กุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]




ไม่มีสาระ...จริงๆ นะ..

แต่ถ้าหลวมตัวมาแล้ว จะแอบอ่านก้อไม่ว่ากัน ถ้ารับแนวเถื่อนนิดๆ ถ่อยหน่อยๆ แต่จริงใจได้ ^_^

คิดถึง ถูกใจ ก้อเจิมกันสักนิดนุง แต่ถ้าไม่ถูกใจ มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น ไม่ต้องเม้นไว้ให้เปลืองมือนะ ฮ่าๆๆ
HighStudio

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
บทความ โดย littlemiumiu.com อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ต้นฉบับ.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ www.littlemiumiu.com.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ www.littlemiumiu.com
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กุ๊ดจัง's blog to your web]
Links
 

 
The Coffee Journey with Akha Ama Coffee # 1



จากที่มาที่ไปว่าทำไมถึงแม่อยากไปทริปนี้ และอยากพามิวมิวไปด้วย เพราะ ถึงจะ 4 ขวบ แลดูลำบากลำบนเกินไปสักนิดสำหรับมิวตัวจิ๋ว ใจนึงก็ลังเลว่าจะไหวไหมหนอ ทั้งอากาศที่หนาวเหน็บ อาหารการกินที่ไม่คุ้นเคย การเดินทางที่สมบุกสมบัน ผู้คนแปลกหน้ามากมาย แต่ลึกๆ แล้วก็คิด(เข้าข้างตัวเอง)ว่าไหวอยู่...มิวมิวซะอย่าง มันน่าจะเอาตัวรอดได้แฮะ...4 ขวบไม่ใช่อุปสรรค์ อยากให้เจ้าลิง ได้ไปเรียนรู้โลกกว้าง ฝึกลำบากไว้ ได้พบเจอผู้คนแปลกหน้า เห็นโลกในแบบที่ไม่คุ้นเคย เป็นบทเรียนที่หาไม่ได้ในวันปรกติ ลองดูสักตั้ง...ฮึบบบบบบบบ (ถ้าเป็นเด็กคนอื่น ไม่การันตีนะฮะ ว่าไหวไม๊ 4 ขวบนี่ brake record เด็กสุดของทริปกาแฟที่เคยจัดมาเลย พี่ลีบอกว่า น้องมิวไหวอยู่แล้ว ในใจอิชั้นก็แบบว่า..อย่ามาหลอกตรู...ถ้าไม่ไหวพี่ลีแบกมิวละกันนะ ไปกลับ 8 โลเอง! 555555)

หลังจากที่รู้กำหนดวันก่อนล่วงหน้า ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ วางแผนกันว่าจะเดินทางด้วยรถทัวร์ หรือรถไฟ สำหรับรถไฟให้จองตั๋วล่วงหน้าได้นานสุด 60 วันล่วงหน้า กว่าสมาชิก จะเคลียร์คิวต่างๆ ได้ ว่าพร้อมที่จะไป เวลาก็ล่วงเลยไปกลางเดือนพฤศจิกา ทำให้ตั๋วรถไฟช่วงปีใหม่ตอนนั้น หาที่นั่งดีๆ เวลาดีๆค่อนข้างยาก ตู้นอนแทบจะเต็มหมดเลยก็ว่าได้ ขาไปจึงจองรถทัวร์ของนครชัยแอร์ ผ่านหน้าเว็บ(ฝากน้องจองให้) ไปจ่ายตังค์ที่เซเว่นแล้วเก็บใบเสร็จไปใช้ขึ้นรถทัวร์ได้เลย (ยกเว้นถ้าต้องการใบเสร็จเพื่อไปเบิก) ขากลับ กลับรถไฟโดยจองตั๋วผ่านหน้าเว็บ //www.thairailticket.com จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต เสียค่าธรรมเนียมและอื่นๆ ต่อที่นั่งอีกนิดหน่อย

ระยะเวลาเดินทาง 5 วัน 7 คืน (นอนบนรถ 2 คืน) เสื้อผ้าข้าวของ ของสองแม่ลูก จึงเยอะแยะมิใช่น้อย ยิ่งเด็กซกมกๆ เล่นดินเล่นทรายอย่างเจ้ามิวมิวด้วยแล้ว ต้องเผื่อเหลือไว้ดีกว่าขาด สมบัติเพียบบตั้งแต่ยังไม่ออกตัวไปไหน

เค้าเลือกใช้ backpack แทนที่จะเป็นกระเป๋าเดินทางลากๆ หรือสะพาย เพราะต้องเผื่อมือไม้ไว้อุ้มลูกจูงหลาน (กระเป๋ายังหนักไม่พอใช่ไม๊ล่ะนั่น...ชั่งดู สิบกว่าโล ยกแทบไม่ขึ้น) แต่เอาเข้าจริงๆ Gregory Deva 60 ลิตร มีระบบซัพพอร์ทหลังที่ดีมากกกกกสมคำร่ำลือ ก่อนหน้านี้ ซื้อ dauter Aircontact Pro SL ของผู้หญิงมา ลองสะพายแล้วไม่เป๊ก ต่อให้ปรับความยาวหลังสั้นที่สุด ช่วงตัวก็ยังยาวเกินมาตรฐานหญิงไทยอยู่ดี เหมาะกับไซส์ฝรั่ง หรือผู้ชายที่ตัวขนาดพอดีๆ สูง 170-180 แต่ต้องไม่อ้วน เคยลองให้ผู้ชายสูงใหญ่ สะพาย ปรับหลังยาวสุด ก็ยาวไม่พอดีอีก...

(ตกลงนี่จะรีวิว gadget ท่องเที่ยวชะมะ ฮึ.....ช่วงก่อนตอนเก็บกระเป๋า ยุ่งม๊ากก ยัดเข้ายัดออก รื้ออยู่หลายรอบกว่าจะบาลานซ์น้ำหนักได้โอเค เลยไม่มีเวลาถ่ายรูปเลยง่ะ คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ เวิ่นแต่พองาม 55555)


ถุงนอนจริงๆ รัดไว้ใต้เป้อีกที ไม่เกะกะ ไม่ต้องถือ

Northface flyweight backpack สีแดงด้านขวานั่น ใส่ของจุมากกกกกกกกกก สะพายแล้วชีลๆ เพราะตัวเป้น้ำหนักเบาสุดๆๆ ที่สำคัญ พับได้เหลือเท่านี้เอง ในกรณีที่พกพาไว้สำหรับเป็น daypack โคดเลิฟ
ถุงจีบันกู้ชีพ ยังเวริคทุกสถาณการณ์ จุของได้ดีเช่นเคย ยัดลงไปได้หมดสารพัด นมกล่อง ขนมจุกจิก พอกินหมดขากลับ พับเก็บ หรือไว้ใส่ของฝากกลับบ้านก็ได้


อิ dauter ใบเล็กที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้ ใส่ของจุจริง น้ำหนักว่าเบาในระดับนึง (แต่ไม่เบามาก เพราะมีฟองน้ำซับพอร์ทหลัง มีช่องเก็บของจุกจิกเยอะแยะ) แต่สะพายแล้วปวดหลังโคดๆๆๆๆ ที่รองบ่าหนา ใส่แขนกุดแล้วครูดแขนเป็นรอยอีก..เพลียมาก อีกอย่างคือเพราะสายสะพายหนาๆนั้นทำให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ ergo (เป้อุ้มเด็ก) ได้ เพราะ ergo เอง สายบ่าก็หนาอยู่แล้ว ถ้าสะพายลูกด้านหน้าหรือหลัง แล้วสะพายเป้ใส่ของบาลานซ์ด้านตรงข้าม ก็ต้องหาเป๋าที่มันสะพายด้วยกันได้อะนะ

Tips พาลูกเที่ยวแบบลุยๆ ไม่มีรถ
- ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เหลือดีกว่าขาด แต่เหลือมาก ก็แบกกันเสียเที่ยวเพราะฉะนั้นควรวางแผนดีๆ
ยารักษาโรค เช่น ยาลดไข้ ยากันยุง ยาลดน้ำมูก พาสเตอร์ยา ยาแก้ท้องเสีย เป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าเกิดทำท่าจะไม่สบาย จะได้ให้กินยาดักไว้ก่อน หรือถ้าเจ็บป่วยกลางคืนออกไปซื้อไม่ได้ ลำบากชาวบ้านอีก
ที่ตัดเล็บ เวลาไม่เอาไปมักมีเรื่องต้องใช้ เช่น มือซนไปคุยแคะเขี่ย เล็บฉีก...เสี้ยนตำ รองเท้ากัดพุพอง ที่ตัดเล็บช่วยได้
- หอบเท่าที่แบกไหว จะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น
- เด็กมักจะทนหิวไม่ค่อยได้ (เวลากินไม่กิน เวลาคนอื่นไม่กิน จะกิน...)
น้ำ นม ขนมที่ช่วยให้อิ่ม อาหารแห้ง ก็ควรพกติดตัวไว้บ้าง..งวดนี้ เราพกโดโซะ นม 4 กล่อง(ที่เหลือไปซื้อเพิ่มเอา) ลูกอม หมูหยอง
- เสื้อผ้าเด็ก ควรมีสำรอง (เสื้อหนาว เจ็ตเก็ต คาดิแกน) เพราะ เด็กมักจะซกมก หกล้ม เล่นซน ทำให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนชนิดที่ว่า ใส่ซ้ำ คงคันน่าดู
- เตรียมร่างกายให้พร้อม ถึงก่อนหน้าที่จะไปแค่ 1 สัปดาห์ แม่ลูก เป็นหวัดงอมแงม ก็ต้องเซฟๆ ร่างกาย ให้หายทันไปเที่ยว ถึงเจ้ามิวมิวจะไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างว่ายน้ำหรือไร แต่ก็พาไปเดินเล่น วิ่งเล่น ขี่จักรยานที่สวนบ่อยมากอยู่ รอบนึง ไปกลับก็ 2 กิโล++
- ฝึกเดินทางด้วยกันตามลำพัง และฝึกให้เด็กรู้จักฟังคำสั่ง รู้จักระวังตัวเอง
เราเดินทางไปไหนมาไหนกับมิวสองคนบ่อยๆ ทั้งขับรถไปเอง นั่งรถสาธารณะ ล่าสุด จอดรถไว้แถวบ้าน ขึ้นรถตู้ไปลงเสาวรีย์ เดินขึ้นสะพานลอยไปรถไฟฟ้า ลงสยาม เดินไปเซนทรัลเวริล ช็อบปิ้งจากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถที่สยาม ลงอารีย์ ต่อแทกซี่กลับมาแถวบ้าน(หลับในแทกซี่) เดินเซนทั่นแจ้งต่อ ไม่มีปัญหา ถึงแม้บนรถไฟฟ้าจะไม่มีคนลุกให้นั่ง มิวมิวก็ยืนเกาะ สายตาว่องไว เดินตามแม่ ระวังตัวได้เป็นเยี่ยม เหนื่อยก็รู้จักที่จะอดทน

ออกเดินทางจากออฟฟิสไปศูนย์รถทัวร์ล่วงหน้าเป็นชั่วโมงเพราะกลัวรถติด รถออกตรงเวลาเป๊ะๆ แจกน้ำ ขนม อาหาร เพียงพอต่อการใส่บาตรวันรุ่งขึ้น....เยอะม๊ากกกกกก หนักมากกกกกก จำใจต้องทิ้งไว้บนรถบางส่วนอะนะ
(ถ้าท่องเที่ยวช่วงเทศกาล ซื้อแบบ First Class ก็ดีนะ เพราะมีห้องรับรองแยกต่างหาก ถ้าแบบโกลด์ธรรมดา หาที่นั่งลำบาก เบียดๆ ชาวบ้าน)
มิวมิวเริงร่านั่งดูชิงร้อยชิงล้าน หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ตื่นเต้นไปกับบรรยากาศรถทัวร์ แม่เล่านิทานไปหลายเรื่อง จนน้ำลายแห้ง ก่อนจะหลับคร่อกกไป ตอนเกือบเที่ยงคืน



วันแรกที่ไปถึง ทัวร์อาม่า พาไปเยี่ยมเพื่อนฝูงต่างๆ ไปแวะเดอะขัวมุงกินขนม แวะบ้านดินดีกินข้าวเย็น...อิ่มๆ อร่อยยยย
พาทัวร์ร้านกาแฟ และดินดี บ้านดินคาเฟ่ รวมไปถึงร้านอาข่าอาม่า

วันที่สอง ซึ่งเป็นวันที่ชาวเราจะต้องออกเดินทางไปตั้งต้นที่ร้านกาแฟ อาข่าอาม่า พบปะบรรดาเพื่อนร่วมทริปที่จะไปตะลุย The Coffee Journey ณ หมู่บ้านแม่จันใต้ จังหวัดเชียงราย


แรงงานฝรั่งเมกัน เนเธอร์แลนด์ แคนาเดี้ยนไทย สิงค์โปร ญี่ปุ่น อาข่า มัลติเนชั่นแนล พร้อมกัน 25 ชีวิต (เยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีคนไทยที่มาเพื่อทริปนี้ 9 คน เดอะแก๊งเรา 5 คนดั้นด้นมาจาก กทม. ต่างชาติส่วนใหญ่ก็คุ้นเคยกับเมืองไทยมาบ้าง มีไม่กี่คนที่มาเที่ยว)
รถเหลือง ยานพาหนะที่จะพาเราไปส่งที่เวียงป่าเป้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรถ 4WD เพื่อขึ้นดอย




สองแถวสองคัน ออกเดินทาง 10 โมงกว่าๆ


แม่ลูก คนขับไล่ให้มานั่งข้างหน้า เพราะกัวเด็กอ้วกแตก แต่เด็กดิ้นกระแด่วๆ อยากนั่งสองแถวกินลมข้างหลัง ชีวิตไม่มีความพอดี เดินทางร้อยกว่ากิโล ขึ้นๆลงๆเขา ใช้เวลา 2 ชั่วโมง (แวะกินข้าวอีก ชม.กว่าๆ)


เตี๋ยวปลาลูกชิ้นหนุบหนับ เจ้าดังของเวียงป่าเป้า


เวลาบ่ายคล้อย...เปลี่ยนยานพาหนะ


เราชาวไทยน้ำใจงาม รักเด็ก รู้ชะตากรรมล่วงหน้าจากผู้ร่วมทริปที่เคยมาแล้ว รีบกระโดดขึ้นรถกระบะด้านหน้าก่อนเพื่อน เสียสละให้ฝรั่งที่ไหนๆ ก็หัวทองอยู่แล้ว ย้อมสีผมเป็นทองแดงอีกสักหน่อยจะเป็นไร... (โคดเป็นเจ้าบ้านที่ดีเลยใช่ป่ะ 55555)



นอกจากฝุ่นแดงแล้ว ก็มีวิวป่าเขา ลำธาร ดอกไม้ป่า ต้นหญ้า กอไผ่ แสงแดด ทิวเขาสลับเหลื่อมกันเป็นระยะๆ......สวยยยยยยยยย








ชั่วโมงกว่าๆ หลังจากเลาะ ลด คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ลูกแล้ว ลูกเล่า...แปลกใจ ไกลขนาดนี้ ยังมีคนอาศัยอยู่อีก......หมู่บ้านก่อนถึงแม่จันใต้ จะเป็นชุมชนห้วยน้ำขุ่น ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีโรงเรียน มีร้านขายของให้เราแวะจอดซื้อ ตุนเสบียงกันแต่พองาม ก่อนจะมุ่งหน้าข้ามเขาต่อไปอีกนิด ที่ระดับความสูง 1500 เมตรจากระดับน้ำทะเล...สูงกว่าภูกระดึง ที่จุดสูงสุด 1200 เมตรอีกนะนี่


ลงรถปุ๊บวิ่งไปหาเพื่อนทำเนียน ชวนเล่นทันที..



แวะเก็บสัมภาระ รวมพล แนะนำตัวเองกันพอหอมปากหอมคอที่ชานเรือนบ้านลี 20 กว่าชีวิต อัดกันเข้าไปบ้านแทบพัง 5555 แม่และน้องลี หนุ่มชาวอาข่าผู้นำทริปกล่าวต้อนรับในฐานะเจ้าของบ้าน(เป็นภาษาอาข่า น้องลีต้องแปลให้ฟัง) แม่ด้วยสีหน้าและรอยยิ้ม(แต่ทำไมน้องลีถ่ายกี่รูปๆ หลับตาหมดเลยฟระ) น้ำชาอุ่นๆ ฝรั่ง มันแกว ขนม (เป็นข้าวเหมือนข้าวตัง เอาไปย่าง จิ้มน้ำตาล) ถูกเสริฟต้อนรับแขกไม่ขาดสาย...หนุบหนับๆ แย่งกันกิน ก๋วยเตี๋ยวปลาที่เพิ่งลงท้องไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ย่อยหมดไปในพริบตาที่ขึ้นโฟล์วิล






รวมพลก่อนออกเดินสำรวจหมู่บ้าน



ทุกคนพร้อม น้องลีพาเดินทัวร์หมู่บ้าน แนะนำจุดสำคัญๆ ต่างๆ เช่น ป่าศักดิ์สิทธิ์ ที่มีแหล่งน้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่า ป่าและน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดให้ชีวิต หล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้าน จะต้องดูแลรักษาไว้ให้ดี (สมัยก่อน จะต่อลำรางไม้ไผ่ลงมา ในหมู่บ้านไว้ใช้สอย แต่สมัยนี้ ใช้น้ำจากแหล่งบนภูเขา ผ่านเครื่องกรอง sand filter และคลอรีน สะอาดแน่นอน) และยังพาไปดูชิงช้าของอาข่า ที่ใช้ต้นไม้ 3 ต้นค้ำกัน มีเถาวัลย์จากป่าลึกมามัดเป็นชิงช้า ใน 1 ปี จะมีงานรื่นเริงปีใหม่ ช่วงเดือนสิงหาคม ให้สาวๆอาข่าซึ่งทำงานหนักมาตลอดทั้งปีได้พักผ่อน จัดงานปาร์ตี้ โล้ชิงช้า ผู้ชายก็เป็นคนแกว่ง หลังจากวันงานแล้ว ชิงช้าจะตั้งทิ้งไว้ และห้ามไปเล่นอีก (จิงๆคงเกรงว่าจะมีอันตราย เพราะทิ้งไว้นานๆ ไม้ก็ผุพังไปตามกาลเวลาอะนะ) ปีหน้าก็ตัดไม้มาทำชิงช้าอันใหม่อีก
ชิงช้าอันใหญ่ยักษ์ แกว่งทีกริ๊ดลั่นหมู่บ้าน


นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมี ประตูที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ ขนาดพอดีคนเดินผ่าน ด้านทิศเหนือ ใต้(ทิศอื่นมีป่าวมะรุ คล้ายๆ ประตูหมู่บ้าน) แขวนเครื่องรางสานจากไม้ไผ่เป็นวงกลม เหมือนขวากหนาม(จำชื่อเรียกไม่ได้อะ) เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายเข้ามา จะเห็นเครื่องรางหน้าตาแบบนี้แขวนไว้ตามต้นไม้ต่างๆ อีกด้วยเหมือนการบวชต้นไม้ ห้ามตัด


น้องลี เล่าถึงความสัมพันธ์ ระหว่างชาวอาข่า กับผืนป่าที่อาศัยและทำกิน ทำให้เราๆ เข้าใจใหม่ ว่า ชาวเขา กับธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ป่าบริเวณที่อนุญาตให้ตัด จะแยกเป็นโซน ตรงไหนตัดได้ ตัดไม่ได้ ตรงไหนไว้ทำกินตรงไหนไว้ใช้งาน โดยการตัดต้นไม้ต้องได้รับการลงมติจากคนในหมู่บ้านเสียก่อน ไม่ใช่ใครนึกอยากจะตัด ก็ตัด ถ้าใครจะปลูกบ้าน จะใช้ไม้กี่ต้น ต้องได้รับการยอมรับจากทุกคนในหมู่บ้าน ไม่ใช่อยู่ดีๆนึกจะปลูกคฤหาสน์หลังโต ก็โค่นต้นไม้หมดภูเขาไรแบบนั้น หลังจากตัดแล้ว ตัดไปเท่าไหร่ ต้องปลูกคืนเท่านั้น ทุกๆคนเคารพผืนป่า ไม่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย ช่วยกันปลูกทดแทน เพราะป่า คือบ้าน แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร เด็กๆ ตัดต้นไม้เล่น แม้จะต้นเล็กๆ ก็โดนทำโทษนะ น้องลีเล่าว่าเคยมีชาวบ้านเผาขยะ แล้วไฟลาม ไปทั้งภูเขา ชาวบ้านคนนั้นก็รู้สึกผิดมากๆๆๆๆ ไปขอกล้าไม้จากราชการ มาปลูกใหม่ ทดแทนของเดิมทั้งภูเขาเลย

ฟังแล้วเห็นภาพความสัมพันธ์ของคนเหล่านี้ กับธรรมชาติมากขึ้นทีเดียว ทัศนคติที่คนเมืองอย่างเราๆ รับรู้เรื่องของคนที่อยู่อาศัยพึ่งพาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่น ชาวเขา stereotype มากๆ เหอะ ที่โรงเรียนสอนว่า ผืนป่าถูกบุกรุกโดยชาวเขา ทำไร่เลื่อนลอย ย้ายไป ย้ายมา ทำลายป่าไปเรื่อยๆ พอมาถึงยุคสมัยทุนนิยมจัดหนักขนาดนี้ อัตราการทำลาย ทำร้ายธรรมชาติของชาวเราๆ มากกว่าชาวเขานักขนาด
ยิ่งเห็นสภาพความเป็นอยู่ แบบที่ยากจะเรียกได้ว่าพอเพียง น้ำพอมีใช้ ไฟแทบไม่มี เดินไปทำไร่ หรือขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงาน การกินอยู่ที่เรียบง่าย เปรียบเทียบกับชีวิตคนเมือง ที่แค่ไฟดับชั่วโมงสองชั่วโมง ทำอย่างกะจะตายให้ได้....วันไหนไม่มีรถ ไม่มีมือถือ มันช่างลำบาก อยากได้กระเป๋าแบรนด์เนม อยากได้โน่นได้นี่ กินข้าวทีมื้อละหลายร้อย.....อุวะ..เพลียตัวเองอย่างแรง นี่คือวิถีชีวิตของคนที่ลัทธิทุนนิยม วัตถุนิยมเข้าสิง สินะ...

เรื่องเหล่านี้ เป็นความแตกต่างที่เราๆเองก็อาจจะรับรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ใครจะเปิดหู เปิดตา ใช้หัวใจฟัง คนเหล่านี้ คงไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ทำไร่ทำสวนเหนื่อยแสนเหนื่อย เก็บผลผลิตขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ได้เงินแค่พอประทังชีวิต เพียงแค่เพราะว่า อาจจะไม่มีโอกาส ไม่มีความรู้และอยู่ห่างไกล เห็นแล้วก็เข้าใจสิ่งที่น้องเขาพยายามทำ (ณ จุดนี้ อิชั้นควรไปเป็น NGO ให้รู้แล้วรู้แร่ดไป)

พลบค่ำ พระอาทิตย์ตก ฟ้ามืด อากาศเริ่มเย็น น้องลีแบ่งสมาชิกเป็นกลุ่มเล็กๆ พาไปแนะนำที่บ้านโฮส แยกหญิง ชาย หลังที่เราอยู่มี สาวๆ 6 คน (เดอะแก๊ง 4 เจนิส และลิลลี่ ชาวเมกันที่อาศัย ทำงานอยู่เชียงใหม่อีก 2 เด็กลิง 1) โฮสใจดี น่าตายิ้มแย้ม ถึงจะพูดกันคนละภาษา แต่บ่งบอกความจริงใจได้จากรอยยิ้มและแววตา ผลัดกันเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำเย็นเฉียบบบบบ....ส่องไฟฉาย คลำกันอย่างเมามันส์ เพราะที่นี่ ไม่มีไฟฟ้า!! ใช้ไฟจากแบตเตอร์รี 12 โวลต์ เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เตาแก๊สพอมี แต่เห็นชาวบ้านก็เลือกใช้เตาถ่านทำกับข้าวซะมากกว่า วันแรกที่มาถึง เจ้ามิวก็หกล้มหกลุกไถลไปตามทางลูกรังเป็นสิบๆรอบ เสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า เสื้อกันหนาว เต็มไปด้วยฝุ่นดินแดง แต่เจ้าตัวก็ไม่ท้อ ปีนได้ปีน เดินได้เดิน วิ่งได้วิ่ง (โคดเสียวกลิ้งตกเขา) ตรงไหนไม่มั่นใจ จูงมือแม่เอาไว้ รอดตายหายห่วง ได้แต่บอกว่า...เก่งๆ มิวเก่ง เดินเองได้ จับมือกันไว้ ไม่เป็นไรนะ เจ้ามิวก็ยอมเดินเอง

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดเต็มเครื่องกันหนาว และอิ่มหนำกับมื้อค่ำ อาหารบ้านๆ น้ำพริกไรไม่รู้ อร่อยม๊ากกกกก แซ่บ ผัก ต้มจืดคล้ายจับฉ่าย มันฝรั่งผัด(อะไรสักอย่าง)


ก่อนจะส่องไฟฉาย คลำทาง แยกย้ายไต่เขาไปนอนกันแต่หัวค่ำ เตรียมตัวเค้าท์ดาวน์ ใช้แรงงานฝรั่ง ผู้หญิง และเด็ก ไปบุกไร่กาแฟในวันรุ่งขึ้น......

อากาศเย็น แต่ไม่หนาวอย่างที่คิด เจ้าบ้านจัดเตรียมผ้าห่ม ที่นอน หมอนไว้ให้พร้อมสรรพ ถุงนอนที่พกไปด้วยไม่ต้องเอาออกมาใช้เลย

Credit: some photos from Martin/Lina/Kung's facebook


Create Date : 05 มกราคม 2555
Last Update : 5 มกราคม 2555 23:20:13 น. 4 comments
Counter : 3371 Pageviews.

 
มิวเก่งมากกกกกก ม๊วฟฟฟฟฟฟฟ
เห็นแล้วอยากไปมั่งค่ะ


โดย: นิ่ม แฟนขับมิวมิว IP: 58.64.95.42 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:23:01:55 น.  

 
ป่ะ เราไปเป็น NGO กัน 555
เด๋วคราวหน้าพาไปผจญภัยใหม่นะ ได้ข่าวว่ายังไม่ฟิน กร๊ากกก


โดย: ป้ากุ้ง IP: 10.0.100.213, 61.90.29.251 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:0:38:29 น.  

 
ว้าว เหมือนได้ผจญภัยไปด้วยเลยค่ะ


โดย: เจี๊ยบ IP: 10.182.255.60, 203.144.240.232 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:12:07:49 น.  

 
นับถือ ยกนิ้ว ให้มิวมิว เลยนะ



โดย: พี่เอ สามออ IP: 118.172.192.80 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:9:54:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.