กุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 75 คน [?]




ไม่มีสาระ...จริงๆ นะ..

แต่ถ้าหลวมตัวมาแล้ว จะแอบอ่านก้อไม่ว่ากัน ถ้ารับแนวเถื่อนนิดๆ ถ่อยหน่อยๆ แต่จริงใจได้ ^_^

คิดถึง ถูกใจ ก้อเจิมกันสักนิดนุง แต่ถ้าไม่ถูกใจ มาทางไหนเชิญกลับไปทางนั้น ไม่ต้องเม้นไว้ให้เปลืองมือนะ ฮ่าๆๆ
HighStudio

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
บทความ โดย littlemiumiu.com อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ต้นฉบับ.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ www.littlemiumiu.com.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ www.littlemiumiu.com
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add กุ๊ดจัง's blog to your web]
Links
 

 
เมื่อลูกนกของฉันหัดบิน ปี 2 ตอน บินไปพันพรรณ ไปหาลุงโจน จันได

จากค่ายอันแสนอบอุ่นปีที่แล้ว ลูกนกหัดบิน ปี 1 ที่มีเด็กๆ อยู่สิบกว่าคน รวมกับสมาชิกเด็กบ้านเรียนเชียงใหม่อีกจำนวนหนึ่ง รวมกัน 20 กว่าคน สนุกสนานกำลังดี เพราะเด็กๆ ได้ปลดปล่อยความเป็นธรรมชาติออกมาอย่างเต็มที่ ยามไม่มีผู้ปกครองอยู๋ใกล้ได้เติบโต เป็นตัวของตัวเอง กลับมาอีกครั้งช่วงปิดเทอมใหญ่ แต่คราวนี้ ค่ายเราใหญ่ขึ้น คนมากขึ้น เด็กๆ มากขึ้น ผู้ปกครองยิ่งมากขึ้น รวมกัน กว่า 50 ชีวิตได้  เด็ก : ผู้ปกครอง แทบจะ 1 ต่อ 1 มีเด็ก อายุ 7-10 ขวบ ประมาณ 7 คน ที่บินเดี่ยวมาเอง พ่อแม่ไม่ได้มาด้วย นับว่าใจมาก เชื่อว่า พ่อแม่รู้อยู่แล้ว ว่าลูกเป็นไง มั่นใจในทักษะลูกๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เด็กๆที่บินเดี่ยวมานี่ ลิงโลดมาก ไม่เห็นใครจะมีปัญหา เอาตัวรอดได้ดีทุกคน  นี่ถ้ามิวมิวโตอีกหน่อย ก็คงจะปล่อยให้ไปเองบ้าง เพราะถึงมีค่ายแบบนี้ เด็กก็ไม่สนใจแม่อยู่ดี T_T จะนึกได้ ก็ตอนนอนเท่านั้นแหละ เวลาที่เหลือ ห่วงเล่น สุดๆ ลืมแม่ไปเลย 

การมีเด็กและผู้ปกครองมาอยู่รวมกันเยอะๆ สนุกไปอีกแบบ แต่ก็ได้เห็นวิถีการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันไปในแต่ละบ้าน ทำให้คิดและเรียนรู้อะไรได้หลายๆ อย่างมาก 

สิ่งหนึ่งที่คิดว่าจำเป็นคือ ดิชั้นคิดว่า..ทุกบ้าน ควรไปศึกษาเรื่อง Non violent communication และฝึกสติ ว่ะค่ะ.... จะเอามาใช้ได้ไม่ได้ นั่นอีกเรื่องนึง เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกครั้งที่เราทำผิดพลาด พูดจาด้วยโทสะ หรือ ทำร้ายจิตใจคนรอบตัว เราจะได้ถึงระลึกอยู่เสมอ ว่า เรามีทางเลือก ที่ จะสื่อสาร เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งสองฝ่าย เพียงแค่เข้าใจว่าต่างฝ่ายต่างมีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่เหมือนๆกัน แล้วแต่ว่า ใครจะเห็นสิ่งใดสำคัญกว่า ณ เวลานั้นๆ ถึงจะทำได้ไม่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เรานึกขึ้นได้ และไม่ตัดสินเด็ดขาด พฤติกรรมเด็กๆ หรือคนอื่น จากความต้องการของเราเอง ทำให้ เราและลูก หาจุดตรงกลางของกันและกันเจอ และชีวิตมันจะแฮปปี้มากๆๆ........บอกแล้วว่า ความสุขและรอยยิ้มของเด็กคนนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

การยอมลูก หรือตามใจลูกในความเป็นธรรมชาติของเด็ก สามารถเป็นไปได้  พ่อแม่อาจจะลืมความหน้าบางลงไปได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องแคร์ว่าใครจะต้องมองว่า เราเลี้ยงลูกไม่ดี หรือไม่มีมารยาท เด็กงก เด็กไม่แบ่งปัน เด็กไม่สวัสดีผู้ใหญ่ ไม่มีมารยาท เด็กแหกปากร้องไห้ จะโดนตีความว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่บนพื้นฐานการยอมลูก ไม่ใช่เราตกอยู่ภายใต้อิทธิผลของลูก โดยยอมให้ลูกใช้เงื่อนไขเหล่านี้มาเป็นตัวประกัน ว่าพ่อแม่ต้องตามใจฉันทุกอย่าง  ถ้าเราไม่ยอมลูก แล้วลูกจะไม่เป็นตัวของตัวเองหรือ โตขึ้นมันจะเป็นเด็กไม่ดี เพราะเราบังคับหรือตามใจในการที่เด็กจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
การอยู่ในสังคม บางที มันก็มีจุดตรงกลางที่ต้องปรับเข้าหากัน เรื่องไหนไม่คอขาดบาดตายยอมรับได้ เรื่องไหนที่มันมีผลกระทบต่อความสงบสุขคนรอบข้าง อาจจะจำเป็นต้องสร้างข้อตกลงขึ้นมา เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะใช้การสื่อสารแบบไหนกับลูก ชี้นำ เหนี่ยวนำ เอาชนะ หรือ แสดงให้เขาเห็นผลดี ผลเสีย ของการกระทำที่เกี่ยวข้องกับตัวเค้าเองโดยหลีกเลี่ยงคำตัดสินจากพ่อแม่และสังคม ให้เด็กมีสิทธิที่จะ "เลือก" ที่จะทำหรือไม่ทำ บนข้อตกลงร่วมกัน เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้และเติบโต  พ่อแม่ก็จะได้เติบโตไปพร้อมกับลูกด้วย เพราะถ้าหากเรายังใช้วิธีเดิมๆ บังคับ ข่มขู่ สอนๆๆๆ ด้วยเหตุและผล ที่เราได้รับรู้มาจากประสบการณ์ของเราเอง จากการฟังคนอื่นมา ก็เท่ากับว่า เราเอาประสบการณ์คนอื่น ประสบการณ์ตัวเองไปยัดเยียดให้ลูกเรา คิดเหมือนๆ กับเรา นั่นเอง  ด้วยเหตุนี้ บางครั้ง เราควรที่จะปล่อยให้เด็กๆ เรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันเอง โดยไม่มีผู้ใหญ่เข้าไปแทรกแซง หรือชี้นำ ถ้าไม่จำเป็น  
ถ้าเขาอยากจะอยู่คนเดียว ก็อยู่ อยากจะเล่นกับเพื่อน ก็เล่น เพื่อนไม่อยากเล่นด้วย อาจจะไม่ใช่เพราะเขาไม่ดี แต่แค่ เพื่อนไม่อยากเล่นด้วย ถ้าอยากจะเล่นกับเพื่อน อาจจะต้องยอมรับเงื่อนไข ที่ไม่ปกติ ยากแก่การยอมรับ กฏของเพื่อน ผิดไหม ไม่ผิด ใครๆ ก็สามารถตั้งกฏขึ้นมาเองในโลกส่วนตัวของตัวเองไม่ใช่เขาไม่ดี ไม่ถูก เขาผิด เราถูก คุณกำลังสอนให้ลูก ตัดสินคนอื่นก่อนวัยอันควร 
ถ้าเราจะเข้าไปในโลกของเขา เราก็ต้องยอมรับกฏเขา เพื่อให้เขาเล่นด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ลูกเราจะยอมรับได้หรือไม่ ถ้ายอมรับไม่ได้ จะทำอย่างไร...เราไม่สามารถให้ทุกคน ทำตามกฏ กฏเดียวกันได้ แม้แต่โลกของผู้ใหญ่เอง   ปัญหาอยู่ที่ เราจะทำยังไง เราถึงจะมีความสุขได้ บนความแตกต่าง โดยที่เด็กยังคงรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง  ยากอีก....

กิจกรรมอะไรที่เราอยากให้ลูกทำ บางครั้งเราอาจจะต้องทำก่อน หรือทำไปพร้อมๆ กับลูก ถ้าแม้แต่ตัวเราเองยังขี้เกียจ ไม่อยากทำ แต่เราไปคะยั้นคะยอให้ลูกทำ เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ พอลูกไม่ทำก็รมณ์เสีย ทั้งที่จริง เด็กก็ควรมีสิทธิ์เลือก ที่จะทำหรือไม่ทำเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องคอคาดบาดตายอะไรเลย....ถ้า ณ เวลานั้น เค้ายังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้  ณ เวลานั้น เค้าอาจจะอยากทำอย่างอื่น ถ้าพ่อแม่เข้าใจว่า ถึงแม้ลูกจะไม่ได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองตั้งในอยากให้ทำ แต่หนีไปวิ่งเล่นอย่างอื่น เขาก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้เหมือนกัน

เรื่องเหล่านี้ เราเพิ่งคิดได้ หลังจากเห็นเด็กๆ มันเล่นกัน  สารพัดปัญหาเกิดขึ้น และส่วนมาก จะมาจากการตัดสินของผู้ใหญ่ ที่เอาไปใส่ให้เด็กๆ นั่นเอง บางทีเราพยายามจะเข้าใจลูกเรามากกกกกกซะเหลือเกิน ทั้งที่ เด็กมันอาจจะไม่เข้าใจตัวเองก็ได้ หรือบางทีใส่ความเข้าใจของเราเอง คำตัดสินของเราเองไปให้ลูกเรา สอนให้เขาพยายามเข้าใจตัวเองมากกกกกแต่ดันลืมสอนให้เขาพยายามเข้าใจคนอื่นด้วย เพราะเราทุกคน ต่างมีความต้องการเหมือนๆ กัน เราควรสอนลูกบนพื้นฐานความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์ ที่มีความต้องการเหมือนๆ กันกับเรา จะได้ไม่รู้สึก ว่า คนนี้ ถูก คนนี้ผิด คนนี้ทำไม่ดี แบบนี้ไม่ได้ ก็แค่ ถึงเราแตกต่างกัน แต่เรามีความต้องการเหมือนกัน แค่นั้นเอง มันอาจจะยากเกินกว่าที่เด็กๆ จะเข้าใจ แต่เราเชื่อว่า เด็กๆ จะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่าง ได้โดยที่เราไม่ต้องอธิบาย สาธยายอะไรมากมาย

อ่าว อะไรนะ....จะพาไปดูเด็กๆ เข้าค่ายไม่ใช่หรอ ขึ้นต้นมาก็ยาวละ นี่ยังไม่ออกตัวไปไหนเลย -_-''

อะๆๆ เริ่มต้น จาก สถานนีรถไฟดอกเมืองอะเกน ตอน 5 โมงเย็นกว่าๆ เด็กๆ ตื่นเต้นมากกกกกกก มิวมิวกะพี่กัซ ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน พี่กัซมารอมิวเก้อที่ออฟฟิสหลายครั้งแระ ในที่สุดก็ได้เจอกันนน คึกกันตั้งแต่กรุงเทพนี่แหละ แม่เริ่มเห็นชะตากรรมตัวเองลางๆ 

มิวถามตลอดดดว่า เมื่อไหร่จิระจะมา..จิระอยู่ไหนแล้ว จิระจะมาหรือยัง ถ้าจิระตกรถไฟทำไง..จิระจะได้ไปไม๊....T_T  (แม่ว่า ทำใจเหอะลูก ขนาดแม่มันยังหวิดจะตกเครื่องบินบ่อยๆ นับประสาไรกะรถไฟ ชิลเหอะ รถไฟเลทตลอดดด ทันชัวร์)

รถไฟจะมาแย้วววว...

เริงร่ามาก นี่ ยังไม่พ้นรังสิตเลยนะเนี่ย T_T สงสารเจ้าหน้าที่การรถไฟที่ต้องเดินผ่านไปมา เพราะตู้นี้ดันติดกับตู้เสบียง 

สถานนีต่อไป อยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง ยิ่งดึก ยิ่งกายกรรมลีลาผาดโผน กว่าจะถึงเชียงใหม่ T_T  
ตกแอ่กลงมาจากชั้น 2   2 รอบถ้วน แต่ร้องไม่ออก กลัวแม่ไม่ยอมให้เล่นอีก บอกแต่ว่า มิวมิวเจ็บ แต่ไม่เป็นไร แค่ลืมจับ มือมีน้ำ เลยลื่นลงมาเฉยๆ ขอไปเล่นต่อนะแม่ มิวมิวจะระวัง ทำไงได้ ก็ต้องยอมให้เล่นต่อไปใช่ป่ะ ตกมาแขนหักค่อยว่ากัน 0_o 

นางไม่ค่อยจะหัวโจกเลยนะ 

เช้าแล้วจ้า...ถึงเชียงใหม่แร้ว รถไฟเที่ยวนี้ มาถึงเร็วตรงเวลามาก


ต่อสองแถว ไป ต.แม่โจ้ อ.แม่แตง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 60 กิโล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  สองแถว ยานพาหนะโปรดของคุณนาย กินข้าวเช้าบนรถไฟ ข้าวเหนียวหมูทอด


ถึงปากทางเข้า พันพรรณแย้ว....สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ขอแนะนำกันเล็กน้อยแต่พองาม พันพรรณ เป็นชุมชนพึ่งตนเอง ที่เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับคนที่สนใจ เพื่อมาศึกษา หรือลองใช้ชีวิตในรูปแบบการพึ่งตนเอง มีพี่โจ หรือ โจน จันได เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง เป็นผู้นำอุดมการณ์ ความคิดในการใช้ชีวิตแบบพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด  เป็นคนดังที่หลายๆ คนอาจจะรู้จึก เคยได้ยิน เคยดูจากในทีวี เอาไว้  ส่วนตัวคิดว่า ไฮไลท์ของทริปนี้ ไม่ใช่แค่การได้พาเด็กๆมาสัมผัสธรรมชาติ หรืออยู่กันแบบลำบากๆ บ้างเท่านั้น เพราะถ้าแบบนั้น ไปที่ไหนก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือผู้ร่วมทริป และ แต่การได้มาเจอตัวเป็นๆ ของลุงโจน จันได ได้พูดคุย ได้ทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนทัศนคติ เรื่องการเลี้ยงลูก การใช้ชีวิต ได้มาดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบพึ่งพาตนเอง พอเพียงอย่างแท้จริง 

ในความคิดของ โจน จันได อิสระทางการเงิน ไม่ใช่การหาเงิน หรือสะสมเงิน ในทางกลับกันเขาเลือกอีในทางตรงกันข้าม ใช้วิธีการ minimize ชีวิต ให้ได้มากที่สุด แบบมีความสุขอยู่ได้ 
ลุงโจนเชื่อว่าการที่เรายิ่งมีเงินมาก ยิ่งเป็นภาระ ที่จะต้องจัดการดูแล แต่ไม่ใช่เงินไม่จำเป็นเลยซะทีเดียว แต่เงิน เป็นเพียงแค่เครื่องมือ ในการแลกเปลี่ยนเท่านั้นเอง....ด้วยลัทธิทุนนิยมที่เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเราในปัจจุบันมากซะเหลือเกิน สิ่งเหล่านี้ ช่วยให้เราสบายขึ้น จนทำอะไรเองไม่เป็น ต้องพึ่งพาภายนอกทั้งหมด เด็กๆ บางที ยิ่งเรียนในรร.ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ระบบทุนนิยมกระตุ้นให้เราบริโภคๆ สุดท้าย ระบบนี้ ล้วนแล้วแต่เพื่อสร้างเม็ดเงินและกำไรไหลไปสู่ปลายทางผู้ที่กุมธุรกิจใหญ่ๆ เอาไว้ในมือ ลุงโจนมองเห็นอนาคตที่ไกลกว่าเราว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า ณ วันนึง เราไมสามารถพึ่งพาตัวเองได้เลย  จะสร้างบ้าน เราต้องทำงานหนักๆๆๆ เพื่อจะใช้เงิน ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน เป็นภาระกว่าครึ่งค่อนชีวิต...ถ้าเราสร้างบ้านได้เองแบบง่ายๆ อยู่อาศัยได้ ทนทานล่ะ ? 
ถ้าวงจรอาหารที่เราบริโภคทั้งหมด ตกอยู่ในกำมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ ชาวนาชาวไร่ทั้งหลาย เป็นเหมือนทาส ที่ต้องคอยส่งส่วยทุกปีๆ ทำงานเท่าไหร่ก็ยังยากจนเหมือนเดิม ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทใหญ่ ด้วยต้นทุน ค่าเมล็ด ค่าปุ๋ย ค่ายา ต้นทุนที่เกษตรกรทั้งหลายแบกรับเอาไว้ แต่ขายได้ในราคาต่ำ ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นวงจรอุบาทว์

อิสระทางการเงินในความหมายของลุงโจน คือการที่เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้  ผลิตปัจจัย 4  ได้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด หลายคนอาจจะบอกว่า หูยย ฉันจะไปทำได้แบบลุงได้ยังไง....ก็จริงว่า เราอาจจะไม่สามารถทำได้เหมือนกันทุกคน การพึ่งพาตัวเองในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เราต้องทำอะไรเองทั้งหมด ถ้าแบบนั้น เป็นการ "โดดเดี่ยวด้วยตัวเองมากกว่า" ลุงโจนเคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือเล่มหนึ่ง
การพึ่งพาตัวเอง เป็นการลดขนาดการบริโภค นอกจากพึ่งพาตัวเอง เรายังช่วยเกื้อกูล สร้างสังคมที่มีแนวคิดเหมือนกับเราขึ้นมาด้วย ทำด้วยกันเป็นกลุ่ม อยู่ด้วยกันเป็นสังคม ยิ่งคนมีแนวคิดเหมือนกันมากขึ้นเท่าเรา เราก็จะเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้มากเท่านั้น

ชีวิตของเราให้ได้ยิ่งมากเท่าไหร่ เราปลดปล่อยความสุขของเราให้เป็นอิสระ กับสิ่งที่เรามีอยู่ โดยไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย เราก็จะสามารถมีความสุขบนความเรียบง่ายได้มากเท่านั้น 
ทุกสิ่งที่เราอยากมี อยากเป็น นอกเหนือจากปัจจัย 4 และ ปัจจัย 5  คือ การพัฒนาจิตใจ ล้วนเป็นสิ่งที่เราสมมติ คิดขึ้นมาเอง ว่ามันจำเป็น หรือต้องการ  คนรอบข้างที่ได้สัมผัส โจน จันได ทุกคนจึงบอกตรงกันว่า แกเป็นคนที่มีความสุขมาก  เป็นความสุขของคนที่มีความมั่นคงจากภายใน... 

ทริปนี้ ได้รู้จักลุงมากขึ้นทีหลังผ่านตัวหนังสือแล้ว เราก็เข้าใจความหมายของคำว่า ความมั่นคงทางจิตใจมากขึ้น ต่อเนื่องจากคลาสไดอะล็อค คราวก่อนโน้นนนน.....มันต้องเกิดจากความอิ่มตัวจากข้างในจริงๆ การรู้จักแกผ่านตัวเป็นๆ และตัวหนังสือ ทำให้รู้ว่า อ่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง  แกทำตัวเองให้เป็นต้นแบบ ทำเอง สุขเอง ทำให้คนอื่นเห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย ถ้าจะมีความสุขแบบเรียบง่าย "แค่ลงมือทำ" 
สำหรับคนเมืองอย่างเราๆ เสื้อผ้าข้าวของราคาแพงทั้งหลาย หามาเติมเท่าไหร่ ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ไม่นานก็ตกรุ่นอยากได้ของใหม่ ลุงบอกว่า เสื้อผ้าที่ทุกคนมีอยู่ รับรองว่าถ้าเราไม่ตามแฟชั่น เราใส่กันไปได้อีก 10 ปี..... ต่อให้โรงงานเสื้อผ้า ทั้งโลกนี้เลิกผลิต เราก็จะยังมีเสื้อผ้าใส่ต่อไปอีกนานนนนนนนน

นี่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของแนวคิดชองผู้ชายชื่อ โจน จันได ที่เรากำลังจะไปอาศัยอยู่บ้านเค้านี่แหละ....
ถึงจะเป็นครั้งแรก แต่เชื่อว่า จะมีอีกหลายครั้งตามมา


อาหารกลางวัน ที่ พันพรรณ.....ไม่ได้กินเจ กินมังสวิรัติ กินผลิตผลที่เป็นของภายในศูนย์พันพรรณ วันไหนมีอะไร ก็กินแบบนั้น  outsource บ้าง พอประมาณ โปรตีน จาก ไข่ ปลา 

โชคดี ที่นี่มีร้านขายน้ำผลไม้ปั่น ชา กาแฟ ให้กับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่ด้วย เหมือนโอเอซีส ให้ชาวกรุงอย่างเรา มานั่งนอนสิงสถิตอยู่ที่นี่ยามที่แดดร้อนแผดเผา ไม่รู้จะไปแฝงกายไว้ตรงไหนดี 
ทีแรกเกือบจะไม่พกตังค์มาแล้วเชียววว คิดว่า คงไม่ได้ใช้เงินหรอก เหมือนทริปไปสายลมจอยปีที่แล้ว อุดมสมบูรณ์มาก ถึงจะโหยๆ หิวหนมเล็กๆ แต่ก็มีผลไม้ มีไรให้กินแก้เซ็งกันไป แต่ที่พันพรรณ หลังสงกรานต์มานี่ ฝนไม่ตกเลย แห้ง แล้ง ร้อนมากกกกก มีแต่ฝุ่น ใบไม้เหลือง กรอบบ....ระอุ สุดๆ กินน้ำปั่นกันวันละ 5  แก้วเลยอะ บ้านเรา เช้ากลางวันเย็น

นั่งพักเหนื่อยให้คลายหายร้อนก่อนจะขึ้นมาแนะนำตัว ทำความรู้จักกัน กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆที่หอประชุมด้านบน

ลุงโจนของเด็กๆ พาเดินไปรอบๆ แนะนำ ทำความรู้จักกับสถานที่ ตรงไหนเป็นเล้าไก่ ไก่พันธุ์อะไร ตรงไหนเป็นแปลงผัก ตรงไหนมีต้นอะไร 

ระบบเครื่องทำน้ำร้อนแบบธรรมชาติ  ใช้แสงแดด และระบบความหนาแน่นของน้ำที่อุณหภูมิแตกต่างกัน ช่วยในการไหลเวียนน้ำร้อน ให้มีใช้ได้อย่างพอเพียงตามความจำเป็น ภายในศูนย์

เตาเผาขยะแบบไร้ควัน เทคนิคคือ ใช้ไฟสุมจากด้านล่างสุด ด้านบนเป็นขยะ พอเผาจากด้านล่างแล้ว ควันลอยขึ้นมาด้านบน เจอช่องที่เจาะให้อากาศเข้า ควันเจออากาศที่เข้ามาทางช่องสามเหลี่ยม โดนดูดกลับเข้าไปเผาไหม้อีกที สิ่งที่ออกมาจากปล่องด้าบนสุด จึงเป็นเปลวความร้อนออกมาเท่านั้น ไม่มีควันน..ภูมิปัญญาชาวบ้าน ดูไม่น่ายาก แต่จริงๆ ยากนะ เค้ายังคิดตั้งนาน

ระบบกรองน้ำ โดยใช้วัสดุตามธรรมชาติที่เราเคยเรียนๆ มา ปั้มน้ำจากอ่างเก็บน้ำ ผ่านชั้นกรอง หิน ทรายละเอียด ถ่านไม้(เดาว่าน่าจะเป็นพวก activated carbon ที่ลุงโจนบอกว่า ถ่านไม้เผาที่อุณหภูมิสูง) มาช่วยกรอง และส่งตัวอย่างน้ำไปทดสอบคุณภาพ เรื่อยๆ ผ่านการทดสอบว่าเป็นน้ำดื่มที่ได้มาตรฐาน น้ำที่ออกจากก็อก เย็นชื่นใจ ถึงจะไม่เย็นเหมือนแช่ตู้เย็นก็เถอะ

แดดร่มลมตก เด็กๆ พากันเดินไปเล่นน้ำที่อ่างเก็บน้ำ...ลิงภูเขาของเค้า เป็นเด็กแนวหน้า ไม่ว่าจะเดินไปไหน ทำไร ขอตรูอยู่แถวหน้า.....ระยะทางคงสัก 2-3 กิโลได้ ไม่ไกลมาก แต่ร้อนมากกกกกกกกกกกกกกก  เด็กๆที่เดินมาทีหลังโชคดีมีคุณลุงใจดีให้ติดรถกะบะมาด้วย แต่ลิงภูเขาเป็นเด็กแนวหน้า เดินจนใกล้จะถึงอยู่แล้ว เหงื่อท่วมมมมมมมมมม

แม่ต้องวิ่งตาม เพราะเธอเดินตามพี่ๆ ไป ไวมากกกกกกกก

น้ำใส เย็นชื่นนนนนนนใจสุดๆ


ตะวันคล้อย...กลับบ้านดีกว่า

คราวนี้ฉลาดแระ ขึ้นรถกลับมา ถึงจะเบียดๆ กันหน่อย แต่มันส์และเสียวไปอีกแบบ 5555  


หลังอาหารเย็น เด็กๆ แยกกับผู้ปกครอง ทำกิจกรรม สลายพลังงาน 
ส่วนพ่อๆแม่ๆ ไปนั่งพูดคุย และเปลี่ยนทัศนคติ การเลี้ยงลูกกับลุงโจนด้านบนหอประชุม.......แต่ลิงมิวอยากให้อยู่ด้วย เลยนั่งเป็นเพื่อน นั่งไปงั้นอ่ะ...ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ขอแค่นั่งอยู่ด้วยพอ -_-''  

เช้าวันที่ 2 หลังจากกินอาหารเช้า(คุ้นๆว่าผัดไทย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะชวนเราปลงมาก กินเพื่ออยู่หนออ...555 ) ทำให้เราคิดถึงสายลมจอย ค่ายปีก่อนมากกกกก เพราะ อาหารบ้านพ่อเอก อร่อยที่ซู๊ดดด อร่อยทุกมื้อ หนุกหนาน เอ็นจอยอิตติ้งมาก ส่วนพันพรรณนี่ แม่ครัวเข้าเวรเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ  กินเสร็จ สายๆ ลุงโจนพาเด็กๆ ทำสวน ปลูกผักสอนวิธีการย้ายต้นกล้าผัก มาปลูกลงดิน และอื่นๆอีกมากมาย
กิจกรรมคราวนี้ เด็กๆ ทำเป็นกลุ่มใหญ่พร้อมกันหมด ทั้งเด็กเล็กเด็กโต เลยชุลมุนวุ่นวายเล็กน้อย เด็กๆคนไหนที่ไม่อยากทำ เช่นมิวมิว เจ้าเด็กหลังห้อง ก็ไปนั่งขุดดิน คุ้ยดินเล่นกันไป เพราะแดดมันร้อนมากจริงๆ  ตารางกิจกรรม จึงเริ่มหลังจากกินข้าวเช้า สายๆ หน่อย พอใกล้เที่ยง กินข้าว ปล่อยให้เด็กๆ เล่นตามสบายกันจนถึงบ่ายสอง ค่อยเริ่มทำกิจกรรม บ่ายๆ ไปถึงเย็นและกลางคืน ไม่อย่างนั้น สู้แดดไม่ไหว 
ถ้าคราวบ้านพ่อเอก ยังพอมีให้หลบร่ม และแบ่งเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ เด็กน้อยคละกับพี่โต สลับกิจกรรมกันทำในแต่ละวัน เช่น วันแรก กลุ่มนี้ไปเก็บผักทำสวน อีกกลุ่มไปเก็บไข่เป็ด อีกกลุ่มไปตามหลวงปู่บิณฑบาตร หมุนเวียนกันไป ทุกคนได้ทำครบทุกอย่าง แล้วกิจกรรมกลางวัน ก็แบ่งกลุ่มกันทำ ทำให้เด็กๆ รู้สึกสนุก และมีส่วนร่วมมากกว่า  แต่อันนี้ เด็กๆ ก็สนุกไปอีกแบบ มีอิสระจริงๆ เล่นดิน คุ้ยเขี่ยกันเพลิน

มื้อกลางวัน...อร่อยอ๊ะ ตรงข้ามกะหน้าตาไปหน่อยใช่ป่ะ 

หลังจากกินข้าวเสร็จ เจ้าลิงของเราก็เล่นคุ้ยดิน ขุดหลุมไรไปตามเรื่องกะพี่ๆ เพื่อนๆ บ่ายคล้อย ลุงโจนพาไปเล่นเดิน...ให้เด็กๆ ปั้นบ้านในฝันของตัวเอง....กิจกรรมเละๆ เลอะๆ แบบนี้ ถูกใจเค้าล่ะ 

บ้าน หนึ่งในปัจจัย  4 ที่เราสามารถสร้างเองได้


ปั้นกุ๊กไก่ แม่ไก่กกไข่ เล้าไก่ เอาไว้ในบ้านด้วย...ชีก็เล่าเป็นคุ้งเป็นแคว


ใจจดใจจ่อ 


ตอนพี่ๆ เค้าไปย้ำดิน ทำอิฐ หัดก่ออิฐฉาบดินกัน เจ้าสองลิงมิวมิวกะพอลก้า อู้งาน มาเล่นเปลยวนซะง๊านน....หนุกหนานไปอีกแบบ

ไม่มีแรงแกว่ง เพราะพอลก้าหนักกว่า เปลแกว่งมาที มิวจะกระเด็น 5555

จบกิจกรรมเลอะเทอะ ได้เวลาที่ทุกคนรอคอยย....ลงน๊ามมมมมม...เด็กๆโตส่วนใหญ่ อยากไปเล่นน้ำในอ่างเก็บน้ำ แต่คราวนี้ เราลองที่ใหม่ คลองส่งน้ำเล็กๆ หน้าพันพรรณ น้ำเย็นใสชื่นใจ ดับร้อนได้ดีเหมือนกันนน....น้ำเย็นมากกกกกกก...ใสมากกกกก....






เล่นน้ำเสร็จ ขึ้นจากน้ำแล้ว เราชวนเด็กๆ ออกไปเดินสำรวจบริเวณรอบๆ เพราะเมื่อวันก่อน สังเกตว่าพระอาทิตย์ตกดินทางฝั่งนี้ มีทุ่งข้าวโพดเล็กๆ แดดสวยเชียว พาเดอะแก๊งลิง ไปสำรวจกัน




กระดิ่งดังแก๊งๆ  เด็กๆ วิ่งแข่งกันกลับบ้าน ไปกินข้าวเย็น...หิวโฮกก 55555

หลังกินข้าว พ่อแม่แยกย้ายกันไปบนหอประชุม คุยกับลุงโจนอะเกน ส่วนเด็กๆ วันนี้ ทำสมุดทำมือกันและ จดบันทึกเรื่องราวความประทับใจต่างๆ ที่ได้มาค่าย   จิระวาดรถไฟตั้งแต่กรุงเทพ ยันเชียงใหม่ ส่วนมิวมิว วาดรูปตอนที่เล่นน้ำหนุกหนานกันไป

อ่า...หมดไปอีก 1 วัน ที่แสนหนุกหนาน เด็กเบิกบานยิ้มสดใส ^_^ 



Create Date : 06 พฤษภาคม 2556
Last Update : 8 พฤษภาคม 2556 9:16:43 น. 2 comments
Counter : 4081 Pageviews.

 
มิวหน้าแป้นแล้นมาก ^^
อากาศร้อน แต่เด็กๆ ดูหนุกหนานกันดีนะ
(อ่านๆ ดูเหมือนจะชอบบ้านสวนสายลมจอยมากกว่าป่ะ)


เคยฟังพี่โจนพูดที่งานนึงแล้วทึ่งมาก
ทุกสิ่งที่เขาพูดมาจากลงมือทำจริง
ชอบอันนึงที่แกบอกว่า
"ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาที่พยายามหาความง่าย ความปกติ ให้ชีวิตตัวเอง
การได้กลับมาสู่การพึ่งตนเอง ทำให้เราพบอิสรภาพ ความง่ายคืออิสรภาพที่แท้จริง"


โดย: กาน้ำชากะเชี่ยนหมาก วันที่: 8 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:35:44 น.  

 
ดีมากเลยบูกผมโตจะพาไปเรียนรู้บ้างครับ
สุดยอดไปเลย


โดย: เอเอ IP: 49.230.221.153 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2559 เวลา:7:12:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.