Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

หนังก็(นัตตี้)เรื่องเดิม คนฉายก็เดิมๆ







ไม่รู้ว่าคนหลงเข้ามาอ่านบล็อกนี้จะเบื่อหรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆคนเขียนน่ะ เบื่อแล้ว(ว่ะ!)


อ้าว~! ถ้าเบื่อแล้วจะเขียนทำไม๊~
...คงมีคนแอบจิกกัดในใจ ซึ่งก็ไม่ต้องหาไหนไกลหรอก ตัวเรานี่ล่ะก็ยังจิกตัวเองดังๆว่า
“แล้วจะเจือกเขียนทำไมอีก”


ก็เอาวะ...ขอเป็นครั้งสุดท้ายละกันที่จะแตะเรื่องนี้ เอามันให้เคลียร์ จะเขียนแบบเคลียร์ใจตัวเองไปด้วยละกัน



Topicในครั้งนี้คือ รำคาญ!!



ก็ในเมื่อเจ้าตัวเล็กต้นเรื่องก่อเหตุสร้างความรู้สึก “รำคาญ” ระบาดให้คนทั้งบ้านจนลามออกมานอกบ้านขนาดนี้
ไอ้เราก็เลยอยากพูดเรื่องความน่ารำคาญปิดท้ายเอามันตรงนี้ซะเลย



เราเข้าใจในเรื่องหนึ่งคือ
เมื่อคนเราฝัง “ความรู้สึก” บางอย่างลงไปลึกในใจแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่จะถอน “ความคิด” นั้นออกไปได้โดยง่าย


ทำไม “ความรู้สึก” ถึงกลายเป็น “ความคิด” ล่ะ

เพราะ

คนเราเป็นพวกชอบเข้าข้างตัวเองและปกป้องตัวเองจนถึงที่สุด แม้จะไม่แสดงออกหรือกล้าเอ่ยปากออกมาตรงๆ
เพราะงั้นพอเราเริ่มรู้สึก...ไม่ว่าด้านดีหรือแง่ลบ...กับใครสักคน
เราก็เริ่มจะหาเหตุผล(โดยอิงกับความไร้เหตุผลสุดๆ)มาประกอบความรู้สึกนั้นๆ แล้วประมวลให้ทั้งเหตุและผลนั้นนำทางอารมณ์ความรู้สึกไป

ความรู้สึกจึงหลอกให้มันกลายเป็นความคิดไปโดยปริยาย

จากนั้นก็นำความคิดนั้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ดูจนตรอกจนเกินไปในการมอบความรักให้ใครสักคน
และในขณะเดียวกัน
ก็เป็นปราการป้องกันตัวเองอีกชั้นในการจะรู้สึกเกลียดใครสักคน เพื่อที่จะอ้างได้ว่าตัวเองไม่ได้ไร้เหตุผลหรือกลายร่างเป็นมารร้ายที่เกิดมีความรู้สึกด้านลบกับใครบางคน


...นี่เราพูดโดยรวม ไม่ได้เจาะจงถึงเด็กในบ้านAFปีนี้





ความน่ารำคาญของนัตตี้คือของจริง
แม้จะมองด้วยสายตาเอียงระดับไหน ก็ยังมองเห็น ยังรู้สึกได้

ขนาดคนดูที่เฝ้ามองอยู่รอบนอกยังรู้สึกได้ขนาดนั้น
แล้วไอ้คนที่ต้องรับมือใกล้ชิดกว่าทั้งทางกายและใจ จะยิ่งไม่รู้สึกทวีคูณได้ยังไง


บรรยากาศกดดันที่นัตตี้ได้รับมันเริ่มจากคลาสเปิดใจครั้งแรก
...เราไม่รู้มันจะเรียกเป็นข้อผิดพลาดได้ไหม

กับไอ้การมีหนึ่งคนเปิดประเด็นมา แล้วคนที่เหลือพากันพยักพเยิดเห็นด้วยไปในทิศทางเดียวกัน

แม้ครั้งนั้นมันจะดูโหดร้ายกับนัตตี้ แต่มันคือการตีแสกหน้าให้เจ้าตัวรู้ตัว
...ซึ่งเมื่อมองไปในอนาคต เราว่ามันเป็นผลดีต่อตัวนัตตี้เอง หนองน่ะมันต้องกรีดออกมาให้เจ็บหนักเพียงครั้งเดียว
จากนั้นก็รอเวลาเยียวยาให้มันยุบ อาจหลงเหลือแผลเป็นไว้ แต่ก็ดีกว่าบ่มทิ้งไว้ให้มันลามกินเนื้อดีส่วนอื่น



แล้วลองมองกลับอีก 180 องศาดู


ในขณะที่หนองของนัตตี้โดนกรีด
หนองในใจบางคนก็เริ่มต้น


เด็กน่ะ เมื่อรู้สึกว่าได้รับการให้ท้าย(แม้จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปนั้น “ไม่ผิด”

และยิ่งเมื่อความรู้สึกนั้นได้กลายเป็นที่พ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์อีกต่างหาก
ทุกคนจึงเริ่มกระหยิ่มใจว่า “เห็นไหม เห็นไหม...ไงล่ะ”


เรารู้ว่าครูรักไม่ได้ให้ท้ายเด็กคนอื่น ในกรณีที่คนนอก(ประเภทอิฉันนี่ล่ะ)รู้สึกว่ามันไม่ต่างจากการรุม
แต่...ไม่รู้ว่าครูรักจะรู้ไหมว่า การที่ครูรักมุ่งโฟกัสไปแค่การให้นัตตี้รู้ตัวถึงการสร้างความน่ารำคาญให้กับเพื่อนๆ
โดยที่ลืมสะกิดให้อีกฝ่ายที่ร่วมกันทำนั้นรู้ตัวด้วยว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำไม่ว่ากับใคร
แม้จะทำโดยไม่ได้รวมหัวตั้งใจจะทำมาตั้งแต่ต้น
ไม่ได้ตั้งใจจะทำ แต่ต้องรู้สึกได้ว่า “ต้องหยุด” เมื่อเผลอตัวทำเกินเลยไป


มันจึงไม่ต่างจากการฝัง “ความคิด” บางอย่างให้เด็กบางคนเอาไว้ต่อรองกับใจตัวเองว่า “สามารถทำได้”
ทำโดยไม่เคยคำนึงถึงจิตใจฝ่ายตรงข้าม


การไม่ได้ถูกเบรกเลย ด้วยความเป็นเด็กมันก็ยิ่งมันมือจนเลยเถิดไม่จบไม่สิ้นสักที
จนเป็นต้นเหตุสร้างเป็นความน่ารำคาญอีกอย่างให้กับคนเฝ้าดูขึ้นมาจนได้






พูดแบบตรงไปตรงมา
เราคิดในแง่นี้มาตั้งแต่นั่งมองเรื่องราวนี้มาตั้งแต่ต้น



ความน่ารำคาญของนัตตี้เป็นเรื่องไม่ยากที่จะรู้สึก
แต่ในขณะเดียวกัน
ทำไมไม่มีสักคนสำเหนียกกันบ้างเลยว่า ตัวเองแต่ละคนต่างก็มีความน่ารำคาญของตนกันทั้งนั้น


เราไม่เชื่อหรอกว่าคนในบ้านจะรู้สึกได้ถึงแค่ความน่ารำคาญของนัตตี้แค่เพียงคนเดียว
แต่ทำไมทุกคนถึงต่างพอจะมองผ่าน ไม่เก็บเอามาใส่ใจได้ล่ะ
...มันน่าคิดไหมล่ะ

เราลองคิดดูแล้วก็พอคิดได้ว่า นอกจากนัตตี้แล้ว ทุกคนต่างมีลูกเกรงใจ(พอประมาณ)ให้แก่กัน ไม่ก็ให้ความรู้สึกดีๆแก่กันเป็นเบื้องต้น


ซึ่งพอคิดว่ามันอาจเป็นไปในรูปแบบนี้แล้ว
เราเองก็ยิ่งมองเหตุการณ์นี้ด้วยความเหนื่อยใจ


แม้จะรู้สึกแย้งมาได้ว่า หรือไม่ก็เป็นเพราะความน่ารำคาญของนัตตี้มันพุ่งทะลุปรอท จนรู้สึกเกินรับได้
มันก็เป็นไปได้ในวีคแรกก่อนได้รับการเปิดใจนั่น


แล้วจากนั้นล่ะ
ทำไมคนนอกที่มองเข้าไปถึงได้เห็นการพยายามปรับตัวของนัตตี้
แล้วทำไม...ทำไมคนในบ้านมองไม่เห็น ไม่พยายามให้ความเข้าใจและไม่รู้สึกกันบ้างเลยเหรอ

ทุกคนที่เคยรู้สึกเดิมๆกับไอ้ตัวเล็กนั้นกลับไม่ลดราวาศอกลงสักนิด
แต่กลับหนักข้อขึ้นทุกวันล่ะ

ต้องให้นัตตี้ปรับตัวขนาดไหนถึงจะลดราวาศอกให้เด็กมันได้บ้าง
หรือต้องไปถึงขนาดให้มันอยู่แต่กับตัวเอง หุบปากไม่พูดอะไรเลยเมื่ออยู่ในกลุ่มขนาดนั้นเลยหรือเปล่า
ถึงจะไม่รู้สึกขวางหูขวางตา


หรือว่า...แค่เห็นหน้าก็รำคาญจนสุดทนขึ้นมาแล้ว





มันน่าจะเป็นเพราะไอ้ความคิดที่ฝังลงไปนั้นมันลงรากลึกจนไม่อยากถอน
แถมราวกับได้ปุ๋ยมาหล่อเลี้ยงในแต่ละครั้งที่เรื่องความน่ารำคาญของนัตตี้เปิดเป็นประเด็นขึ้นมาหรือเปล่า


พอมีใครสักคนเปิดประเด็นเรื่องของนัตตี้ขึ้นมา
ไม่ว่าต่อหน้าหรือหลับหลัง

ทุกคนถึงราวกับสนุกปากที่จะได้พูด
ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
มันไม่เหลือการถนอมน้ำใจให้เพื่อนหรือน้องหรือเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเลยสักนิด


บอกตามตรง ในหลายเหตุการณ์
ถ้าเราเป็นนัตตี้แล้วโดนกระแทกคำแรงๆใส่หน้าทั้งถ้อยคำและน้ำเสียงแบบนั้น
เราไม่มีทางหุบตัวลงแล้วรีบเอ่ยปากขอโทษขอโพยแบบที่นัตตี้ทำหรอก
เราจะยืดตัวตรง พูดเสียงเย็นกลับไปว่า
“ขอบคุณที่ตักเตือน แต่กรุณาใช้น้ำเสียงให้เกียรติกันด้วย เพราะฉันไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของใคร”


ในเมื่อไม่ให้เกียรติกัน ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เกียรติกลับคืน


แล้วจากนั้นมันคงเกิดสงครามเย็นขึ้นในบ้านแน่นอน
บอกแล้วโชคดีแค่ไหนแล้วที่คนถูกกระทำเป็นเด็กแบบนัตตี้
มาเจอคนแบบเราเข้าไป เราเอาตายเลยล่ะ





ในทางฟิสิกส์น่ะ มันมีสมการหนึ่งได้รับการพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับ
คือ แอคชั่นเท่ากับรีแอคชั่น


จากเหตุการณ์ที่ทำให้การแสดงความรำคาญถึงความน่ารำคาญของนัตตี้ “เป็นที่ยอมรับ” กันได้นั้น


มันไม่ใช่ให้เห็นผลแค่ทางฟิสิกส์
แต่ไอ้เรื่องเคมีนี่มันสะท้อนให้รู้สึกได้ไม่ต่างกันเลยให้ตายสิ

ดูผ่านจอทีวีทุกวัน เราถึงได้เห็นข้อพิสูจน์สมการนี้จนเต็มตาเต็มใจ


เมื่อนัตตี้ปล่อยความน่ารำคาญหูรำคาญตาออกมา
มันจึงมีทั้งการปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยท่าทาง
และในหลายครั้งมันถึงกับเป็นการหักหน้ากันทันทีอย่างจงใจ

โดยที่คนกระทำโต้ตอบนั้นลืมมองตัวเองแล้วว่ากำลังทำในสิ่งที่ตัวเองพร่ำบอกถึงความน่ารำคาญแบบนัตตี้ไม่มีผิดเพี้ยน



ในชีวิตเราที่คบเพื่อนมา
ไม่มีเพื่อนคนไหนหรอกที่เพอร์เฟคไปทุกเรื่องทุกอย่าง
ทุกคนต่างมีและต่างเห็นข้อบกพร่องอันชวนเป็นที่น่ารำคาญตารำคาญใจด้วยกันทั้งนั้น
แต่การจะคบกันเป็นเพื่อนกันได้นั้น เราไม่จำเป็นต้อง “ยอมรับ” ทุกอย่างที่เพื่อนมันเป็นหรอก
แค่เราสามารถ “มองข้าม” ไอ้บรรดาเรื่องขัดหูขัดตาเหล่านั้นไปได้
เพราะเหตุผลง่ายๆเพียงข้อเดียวก็คือ “ความเป็นเพื่อนมันคุ้มกว่า” ก็เท่านั้น

แล้วถ้าถึงขั้นยอมรับกันไม่ได้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องฝืน
แล้วลดระดับความสัมพันธ์ลงมา โดยที่ยังคง “การให้เกียรติอีกฝ่าย” เอาไว้ด้วย
ก็ง่ายแค่นี้เอง




เรานั่งเฝ้ามองเหตุการณ์พวกนี้มาหลายวีค ด้วยความเซ็งถึงขีดสุด จนมาสะกิดใจอะไรบางอย่าง
ด้วยเด็กแทบทุกคนในบ้านทำไมมองเห็นแต่ความน่ารำคาญของนัตตี้
โดยเหมือนตั้งใจเมินความจริงใจที่เด็กคนนี้มอบให้กับเพื่อนว่ามันมี “มาก” จนสามารถกลบความน่ารำคาญไปได้ด้วยซ้ำ
...หรือว่าเป็นแค่ตัวเราเองที่คิดว่าความจริงใจแบบนี้ มันมี “ค่า”



อย่าให้ไปๆมาๆ ตัวเด็กคนนี้คิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่อีกฝ่ายเขากลับไม่ยอมรับเราเป็นเพื่อนเขา
หรือไม่
เขาอยากให้มันมาเป็นเพื่อนได้เฉพาะเวลาที่เขาสะดวกใจและกาย

อย่างนี้เขาเรียกว่า เป็นเพื่อนแบบกำหนดเวลา
...คนนะเฟ้ย ไม่ใช่ลูกหมา




ถ้านัตตี้มันอยู่นอกบ้าน เราคงบอกเด็กคนนี้ให้เอาความจริงใจแบบนี้ไปมอบให้คนที่ “เห็น” จะดีกว่า


การมอบใจให้คนไม่เปิดรับเรา ในขณะที่เราเปิดรับเขามาเต็มหัวใจ
แม้จะเป็นเรื่องเพื่อน มันก็ไม่ต่างจากอกหักเลยว่ะไอ้ตัวเล็ก






ผู้พิพากษา พิจารณาระวางโทษหนักเบายังต้องดูที่ “เจตนา” เป็นส่วนประกอบ



ถ้าให้ผู้พิพากษาแบบสองมาตรฐานอย่างเราตัดสิน ก็ดูจะไม่เป็นธรรมกับอีกฝ่าย
ในเมื่อเรานั้นให้ความเข้าใจกับนัตตี้ไปเยอะ


เราถึงไม่กล้าที่จะตัดสินคนอื่น
คงได้แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายที่ให้ใจฝั่งตรงข้ามเป็นคนตัดสินเด็กตัวเองละกัน




ในสายตาเรา ความผิดพลาดของเหตุการณ์นี้ที่มันไม่ยอมจบยอมสิ้นเสียทีนั้น
ก็คือการพลาดที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับการตักเตือนว่าการกระทำบางอย่างนั้นมันสะท้อนผลลบกลับมาที่ผู้กระทำ



การพูดตรงต่อหน้าในด้านลบของใครบางคน
มันเป็นเรื่องควรระมัดระวังในการใช้วาจา
ไม่ต้องถึงกับใช้ภาษากวี หรือมัวแต่ให้ดอกไม้จนเบี่ยงประเด็นไม่ตรงจุดหรอก
แต่มันต้องมีพื้นฐานของความหวังดีอย่างจริงใจให้กับอีกฝ่ายด้วย
ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างจากการกราดกระสุนความรู้สึกเพื่อทิ่มแทงให้อีกฝ่ายพรุน จนตัวเองรู้สึกสะใจในส่วนลึกหรอก



ส่วนการพูดลับหลัง ซึ่งสะเทือนใจใครบางคนถ้าจะใช้ว่าเป็นการนินทานั่น
ก็ต้องดูเจตนา ดูบริบทอีกนั่นล่ะ
(แต่จะมีใครสักกี่คนคนเสียเวลามานั่งวิเคราะห์ล่ะ และถ้าจะวิเคราะห์ ก็มีข้อจำกัดตรงที่เราไม่มีทางรับรู้ถึงทั้งหมดของเหตุการณ์ ด้วยกล้องมันตัดตามใจมากในปีนี้)


เพียงแต่ว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ ยิ่งควรต้องรู้ว่ามันต่างจากการเม้าท์เพื่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ลุกเสียม้ายามเราอยู่ในกลุ่มนอกบ้าน
เพราะคนรับฟังนั้นมันไม่ได้มีแค่คนในกลุ่มแค่นั้น แต่มันออกอากาศไปทุกบ้านที่เปิดดูอยู่
แถมซ้ำร้ายไม่ได้เปิดดูก็ยังมีรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ให้อ่านโดยที่ไม่สามารถบอกอารมณ์ความรู้สึกผู้พูดกำกับตามไปได้

แต่มันร้ายกาจเพิ่มเติมตรงไหนรู้ไหม

ตรงที่คนถูกนินทานั่น ก็ยังเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ไม่รับรู้เหมือนเดิม
ในขณะที่คนรับรู้นั่นไม่จำกัดเพียงอยู่แค่กลุ่มนั้น แต่กลับขยายไปสู่วงกว้าง



ผลตามมาจึงมีฝ่ายที่สะใจด้วยเห็นด้วย
กับฝ่ายที่หมดใจด้วยความผิดหวัง




เหตุการณ์ทำนองแบบนี้มันควรจะหยุดได้สักทีแล้ว
จัดการมันเอาทั้งสองฝั่งนั่นล่ะ
ในสายตาคนผ่านมาเกือบครึ่งทางของชีวิตอย่างอิฉัน มันผิดทั้งคู่ ไม่มีใครขาวสะอาดสักคน


อย่าปล่อยให้มีคนจมดิ่งลงไปเรื่อยๆจนสีดำมันกลบสีขาวในใจไปมากกว่านี้เลย
ก็ในเมื่อออกตัวว่าบ้านAFคือสถาบันการศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่ง กล่อมเกลาทั้งความรู้และความเป็นคน
ก็ช่วยกรุณานำพาเด็กรุ่น 7 เรียนรู้การอยู่ร่วมกันแล้วเติบโตไปพร้อมๆกันเถอะ





คนดูAFเพื่อความเพลิดเพลินอย่างเรารำคาญใจที่จะต้องจดจำAFรุ่นนี้เป็นว่า


รุ่นน่ารำคาญ








 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2553
2 comments
Last Update : 27 กรกฎาคม 2553 11:09:46 น.
Counter : 647 Pageviews.

 

น้องๆหนูๆ ก็แบบนี้แหละค่ะ

 

โดย: บางส้มเปรี้ยว 27 กรกฎาคม 2553 14:37:38 น.  

 

ไม่รู้เกี่ยวกันเปล่า แต่อยากเขียน

นิยามการอยู่ร่วมของเราในตอนนี้ (หมายถึงอยู่ร่วมกับคู่ชีวิต แต่คงไม่ต่างกันกับการอยู่ร่วมกันแบบเพื่อนมากนัก)

เราว่านอกจากความรัก การเข้าใจ การให้อภัย การให้ การรับ การฟัง ... ยังมีอีกหนึ่งความที่น่าสนใจนะคะ

ความพึงพอใจ ความพอใจในกันและกัน

ถ้าไม่พึงใจ หรือพอใจแล้ว เราว่า ... อคติก็ก่อเกิด ตอนนี้เด็ก ๆ เกิดอคติในใจกันแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน อาจลบได้บ้าง แต่ก็คงยากมาก

ถ้าครูรักมาเปิดใจในเจ้าตัวรู้ตัวว่าผิดแผกยังไง ก็ควรจะเปิดใจให้คนที่เหลือรู้ตัวว่าได้ลงโทษคนผิดกันเกินไปอย่างไรบ้าง

เฮ้อ เราก็ไม่อยากไปตัดสินหรอกว่าใครถูก ใครผิด .. เพราะเรื่องอย่างนี้ ถ้าเจ้าตัวไม่ก่อให้เกิด คงไม่มี react กันมาแบบนี้ ...

เอาเป็นว่า ชีวิตในบ้าน จะทำให้น้องน้อยเราโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ต้องเสียอะไรไปบ้าง แต่คงคุ้มกับสิ่งที่จะได้มา (กระมัง)

สู้ ๆ (ทุกคนแหละค่ะ) ... ทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ ที่ต้องนี้กลายมาเป็นผู้กระทำ (โอ้ย งง)

คุณคิว เขียนต่อเถิดนะคะ เรื่องน่ารำคาญแบบนี้เราขี้เกียจนั่งเฝ้าดูในบ้าน ดูแค่ True moment ก็จะไม่รู้ผลการปรับตัวของเด็กทั้งสองฝ่าย ^^ เราอยากอ่านอ่า คุณคิว ไม่เบื๊อ ไม่เบื่อ ... ตอนนี้ขอภาวนาแค่ว่า ขอตอนจบ สวย ๆ หน่อย เท่านั้น ฐานะคนดู ยังไงก็อยากเห็นแต่ Happy Ending

ขอบคุณคุณคิวล่วงหน้าคร๊า ขอบคุณกับทุกบทความที่กลั่นออกมาด้วย ขอบคุณนะคะ


 

โดย: for Family 27 กรกฎาคม 2553 18:51:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.