เมื่อโลกของปั๊มกลายเป็นสีเขียว
เราถึงได้ยินเจ้าเด็กผู้ชายเสียงสูง เพิ่มระดับดีกรีความสูงของเสียงไปอีกหนึ่งเดซิเบลยามที่เดินทอดน่องด้วยความสุขในโลกสีเขียวใบเล็กๆ
เมื่อโลกของปั๊มเป็นสีเขียว
เราถึงได้ข้อพิสูจน์ว่าคนเรามีเรดาร์ประจำกายติดตัวเพื่อไว้มองหาใครสักคน
และเมื่อโลกของปั๊มเป็นสีเขียว
ทฤษฎีแรงดึงดูดของโลกก็ได้รับการรับรองอีกครั้ง ก็เวลามองหาปั๊มเราก็เห็นโลกสีเขียวที่แสนหวานอยู่ไม่ห่าง...นี่นา
แล้วรู้ไหม...ปั๊มนี่ล่ะคือตัวอย่างที่มีชีวิตของคำว่า
Men are from Mars , Women are from Venus
เวลาที่ใครสักคนเริ่มมองโลกเป็นสีชมพู
มีอากัปกิริยาไม่กี่อย่างหรอกที่จะบ่งบอกความรู้สึกดีๆที่อยู่ในหัวใจ
ซึ่งคนเรายิ่งโตเท่าไรก็มักจะเก็บไอ้กิริยาชวนเขินนั้นได้มิดชิดมากขึ้นตามประสบการณ์ชีวิต
เพราะฉะนั้นเมื่อมองกลับไป ก็จะเห็นเช่นกันว่ายิ่งเด็กเท่าไร ความรู้สึกในใจมีเท่าไร มันก็เก็บได้ไม่มิดเท่านั้น
เพียงแต่ว่า รูปแบบการแสดงออกมันจะแสดงออกมาในรูปแบบไหนก็เท่านั้น
แต่กับปั๊ม...ชายหนุ่มที่ริแอบรัก
ดันกลับย้อนเวลาไปสมัยเด็กอนุบาล มากสุดก็ประถม...เอ้า
แถมอ่านอารมณ์ได้ง่ายราวกับอ่านหนังสือภาพประกอบนิทาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวมีเอกลักษณ์ตรงความสูงของเสียง ด้วยเสียงปกติก็สูงเกินมาตรฐานชาย(ที่อาจไม่ใช่แค่)ไทย
เราถึงได้ยินเสียงออดๆเป็นมอดกินไม้ที่แหลมทะลุทะลวงประสาทสัมผัสยามที่เจ้าปั๊มอยู่ใกล้ใครสักคนที่ใกล้หัวใจ
ปลายเสียงที่ตวัดแหลมกว่าปกติ น้ำเสียงที่อ่อนอ่อยเสียจนทำให้คนนั่งฟังผ่านจออ่อนอกอ่อนใจกับการแสดงออกที่ปิดไม่มิดของเจ้าของเสียง
ก็ขนาดจะปลอบใจสาวเจ้าที่กำลังซึมเนื่องจากถูกตำหนิในความผิดพลาดกับโชว์ที่ผ่านมาจนน้ำตาซึม
เจ้าปั๊มก็อุตส่าห์รอเวลาอยู่อย่างเงียบๆ เมื่อได้โอกาสแทนที่จะปลอบเค้าดีๆ ให้กำลังใจตามที่ตั้งใจเอาไว้
มันก็ดัน...ไปล้อเค้า...ว่า...ขี้แง คนขี้แง
ด้วยน้ำเสียงอ่อนจนถึงอ่อนที่สุด ปลายเสียงงี้ทั้งออดทั้งอ้อน
แถมตาก็พราวไปดวงดาวนับพันกระพริบระยิบระยับเสียจนหมอนที่เอาไว้ใช้แอบลอดดูสาวก็ปิดไม่อยู่
แล้วเป็นไงล่ะ...ใช้มุขเด็กอนุบาลจีบสาว
สาวเจ้าถึงได้งอนให้เจ้าปั๊มตามง้ออย่างใจเสีย
กว่าเค้าจะยอมยกโทษให้...ก็วิ่งขึ้นเขากันไปหลายลูก
สุดท้าย..เจ้าปั๊มถึงกับต้องเอามือขยุ้มกบาลกลมๆของมันพร้อมโอดครวญว่าตัวมันก่อเรื่องอีกแล้ว ทำคนร้องไห้อีกแล้ว
....มันช่างเป็นผู้ชายที่มาจากดาวอังคารจริงๆ ที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะสามารถเข้าใจผู้หญิงจากดาวศุกร์ได้ไหมในสักวัน
อาจมีสักวันที่ปั๊มจะเข้าใจว่าน้ำตาของผู้หญิง...มันแปลได้หลากความรู้สึก
เวลาผู้หญิงงอน มันอาจไม่ใช่แค่งอน ไม่ใช่แค่อยากให้ง้อ...มันอาจ ไม่มีความหมายเลยด้วยซ้ำ
และอย่าเชื่อ เวลาผู้หญิงบอกว่า "ไม่มีอะไร" เพราะ...มันมีอะไร อะไรอยู่ตรงนั้นเสมอ
.....แค่นี้ ปั๊มมันก็คงกลุ้มตายแล้วมั้งเนี่ย
พวกเราจะรู้ตัวกันบ้างไหมนะว่า น้ำเสียงคนเราน่ะมันจะเปลี่ยนไปเวลาพูดคุยกับใครสักคน
ยิ่งกับคนพิเศษ...เสียงเราก็จะยิ่งพิเศษ
ถึงแม้เราจะรู้ แต่ก็อาจไม่มีโอกาสได้ยินชัดขนาดนี้....
อย่าง...ตัวอย่าง
ปั๊มนั่งปลอบเพื่อนอย่างมิคที่กำลังกลุ้มใจ เกิดอาการเจ็บป่วยทางอารมณ์
ด้วยคำพูดคำจาที่ดูเป็นผู้ใหญ่...ทั้งน้ำเสียงที่ดูจริงจัง
แต่เมื่อสาวน้อยอีกคนเดินมานั่งข้างๆ ทำเอาเรดาร์เริ่มทำงาน ร่างกายเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
จากน้ำเสียงที่นิ่งๆ มันเปลี่ยนไปไม่แค่นุ่มนวลแต่มันออด มันอ้อน มันง้องแง้งกะเงอะงะได้แค่ชั่วพริบตา
น้ำเสียงสองเสียงที่เดินทางผ่านอากาศมาให้ได้ยินจึงถูกเปรียบเทียบให้หมดข้อสงสัย
โถ่...ปั๊มเอ๊ยปั๊ม
ถ้ามองย้อนกลับไป...ช่วงเวลาที่ปั๊มรู้สึกตัวว่า สะดุดหลุมบางอย่างที่สีเขียวสดใส
ความรู้สึกที่ล้นออกมา จนต้องหาเพื่อนปรับทุกข์ บอกความลับของห้วงหัวใจ
มันก็ช่างเลือกคน...เลือกเพื่อนสนิทอย่างแต็บ ที่แสนห่าม ไม่มีห้าม ไม่มีเหยียบเบรค แต่เข้าเกียร์ช่วยเพื่อนอย่างออกนอกหน้า
...นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราได้กลายเป็นพยานรู้เห็น ความรักของปั๊ม
แล้วพยานรับรู้ก็เพิ่มขึ้นตามอารมณ์ของเจ้าของ จากแค่แต็บ ก็ลามไปทีละคนสองคน จนเพื่อนผู้ชายรับรู้กันไปทั่วบ้าน
เมื่อเพื่อนต่างช่วยกันชงอย่างลับๆเล็กๆ มันก็เริ่มขยาย มุ่งสู่รอบๆจุดเป้าหมาย
เพื่อนผู้หญิงต่างเริ่มรับรู้ มีสายตา มีรอยยิ้ม
...มันช่างราว puppy loveของเด็กมัธยม ที่เพื่อนแอบชอบเพื่อน ก็มีเพื่อนคอยเอาใจช่วยเพื่อน จนรับรู้กันไปทั้งห้อง
เพราะมันดูบริสุทธิ์ ดูจริงใจ ช่างเปิดเผย
กับ
โลกสีเขียวของปั๊ม
จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนกลุ่มหนึ่ง...ที่รับความรู้สึกนี้ได้
จะ
อดเอาใจช่วยไม่ได้
นกเขาคูรัก...มันจะคงอาถรรพ์ได้ตามคำของพี่ชมพู ฟรุตตี้ ได้อีกครั้งหรือเปล่า
เรื่องราวในโลกสีเขียวของปั๊ม...ชวนกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นเสียจริง
บางที...อีกสิบปีข้างหน้าเราอาจได้คำตอบ
เขียนตอนจบของบล็อกนี้
หนึ่งในบันทึกเรื่องราวAF5