Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
ทานตะวัน
หลากเรื่องยุ่งอิลุงตุงนังมาแบกบาล
วิ่งตลอนตลุยไปกับนักล่าฝัน
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก
touch de scène
Time Between Nat and Tol
Emotion
Tempus Fugit
My QS Project : เรื่องเขียนสลับกันอ่าน
<<
สิงหาคม 2553
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
4 สิงหาคม 2553
อาจเป็นสองคนนี้ที่ใกล้เคียงกันที่สุด
All Blogs
พันผูกจนผูกพัน
หนูก็ออกตัวสุดๆ คำจากปากสาวสวย
พี่สอนน้องร้องเพลงempire state of mind
คิดถึงเราว่ะตัวเล็ก
อดทน
แบบไหน...ถึงจะเอาตัวเล็กอยู่!?
Love Actually
ให้ 'เกียรติ' อยู่ได้ในความ 'เกลียด'
พี่ชาย(อีกคน)ของไอ้ตัวเล็ก
พี่ชายของไอ้ตัวเล็ก
อาจเป็นสองคนนี้ที่ใกล้เคียงกันที่สุด
พี่อยากบอกให้รู้ พี่รักหนูนะนัตตี้
หนังก็(นัตตี้)เรื่องเดิม คนฉายก็เดิมๆ
เรื่องของนัตตี้(อีกแล้ว)
Picture says itself
Nutty Attack
ก็เขาแค่ หึง เอ๊ย หวง เพื่อน
แดงไม่แดง ไม่เกี่ยว!!!
ความฝันสีสวย เพียงแต่สังคมมันไม่สวยขนาดนั้น
บอก 'ที' ไม่เอาคำตอบ
6th sweet goes around
สำหรับ ความทรงจำ
ความเป็น ทีป์ชลิต
ไอคิวอีคิว...ผ่านเจอความน้อยใจ
คู่ปราบคู่ปรับกับหัวโจกประจำบ้านAF6
แม็ค วีรดนย์ กับภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เริ่มด้วย...ปลาแรด จบตรงที่...สาคูถั่วดำ
ทีกับซานิ...เจอกันทีก็มวยถูกคู่ล่ะ
โต๊ะอาหารวีคที่ 10 กับห้าที่รอด
คนเรามีขึ้นมีลง
ตำรวจหนุ่มเจอะสาวจอมโก๊ะ vs โคโยตี้ก่อกวน(หัวใจ)หนุ่มขี้อาย
ก็...หนุ่มระวังตัวมาเจอหนุ่มขี้แกล้ง
ลวนลาม โลมเลีย
T-Mac The Unlimited Friendship
เกม(ซอล)เศรษฐี ที-แมคยาจก
บรรยากาศเช้านี้มัน หอมนวล ดี
คุณยายไม่มาหรือครับ~
สงสารนุกนิก
เช้านี้ของแม็ค
ทีที่ผิดคาด
ปัญญาอ่อน
รู้สึกใกล้ชิดกว่าที่เคย...ไหม???
มันอาจไม่เพราะ แค่คิดถึง
AB , NT , GP สามพี่น้องตระกูลAF
CHEER...กับปั๊ม ปิดท้าย AF5
ในที่สุด...AF5 กับภาพที่จะประทับในความทรงจำ
ปั๊ม(ลูก)น้อง(ชาย)เฮียกี๋
There Something About..............
True Love Story
ว่านไฉ เด็กแปลกๆที่น่าสนใจ
women are from venus
ราคาความฝัน
พวกเรา พวกเขา
อาจเป็นสองคนนี้ที่ใกล้เคียงกันที่สุด
บล็อกนี้เริ่มต้นยากจริงๆ
ด้วยตัวเราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเขียนถึงเลยสักครั้ง อาจเคยแค่แตะผ่านๆบ้าง
เพราะค่อนข้างรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังตัวเอง
ที่ผ่านมาถึงได้แต่เขียนถึงแต่...เรียกว่า เด็กในสังกัด
ด้วยมันเขียนถึงง่ายกว่า แม้เราจะจิกกัดไปบ้าง(...แหะ) หรือออกปากตำหนิแรงๆออกไป แต่จะรู้ตัวว่าทำไปโดยมีพื้นฐานของความเข้าใจและมอบความรู้สึกด้านดีให้โขอยู่
เวลาเขียนชมก็มีทั้งชมแบบเตลิดเปิดเปิงด้วยเข้าข้างสุดชีวิต หรือไม่ก็ติดเบรกยั้งตัวเองไม่ให้เว่อร์จนเกินไป(ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยากกว่า...เฮ่อ)
แต่มันจะสนุกมากเพราะรู้ตัวว่าเขียนเพราะเข้าข้างล่ะ
ขอยอมรับหน้าชื่นตาใส(กระเบื้องหนาเจงๆตู) ซึ่งคนอ่านก็จะพอรู้ล่ะว่าไอ้บ้านี้ ตาเริ่มบอดละ ก็คงจะไม่เอาไปถือสา(เท่าไร)
เพราะอย่างนี้ การเขียนถึงเด็ก...ขอรับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองครับ...รับรองว่าไม่ใช่เกลียด
เราเป็นคนประเภทถ้าเกลียด ก็ไม่แตะ ไม่มอง ไม่สนใจ ชีวิตคนเรามันสั้นไป เกินกว่าเสียเวลาให้กับคนไม่มีค่าในชีวิต
งั้นขอบอกตามตรงว่า การเขียนถึงเด็กที่เรา...ใช้คำอะไรดี...เฮ้ย!
เด็กที่มีอะไรบางอย่างขัดอกขัดใจ จนบางครั้งถึงขั้นขัดหูขัดตาจนต้องอดกลั้นเป็นพิเศษแล้วนั้น
การเขียนถึงมันยาก ยากมากเลยล่ะ
แล้วยิ่งเกรบเป็นเด็กที่เราถอยห่างออกมา เพื่อจะได้เหลือแค่ ความเสียดาย เอาไว้
เราก็ยิ่งประมวลความคิดได้ยิ่งกว่ายากอีก
การต้องเขียนไป แล้วหยุดถามตัวเองไปว่า ที่เรามองเห็นน่ะ มันชัดพอไหม ภาพมันบิดเบี้ยวมาจากความรู้สึกในใจหรือเปล่า
แล้วเรามอบความเข้าใจให้มากพอไหม
จนถึงเราระมัดระวังตัวเองเกินไปจนไม่กล้าแตะตรงจุดอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
...มันไม่สนุกเลย มือไม้ติดขัดไปหมด
แต่ว่าหลังจากได้รับการถามไถ่จากเพื่อนคนที่ชอบทั้งเกรบและนัตตี้ถึงมุมมองความคิดและความรู้สึกที่ตัวเรามีต่อเกรบแล้ว
เราเองก็ทบทวนอยู่นาน มองย้อนกลับไปตอนเริ่ม มอง เด็กเหวี่ยงคนนี้
เกรบต่างจากนัตตี้ตรงที่เรารู้มาตั้งแต่แรกเลยว่าน้องเป็นเด็กbroken home
รู้มาจากเจ้าตัวที่มีคำพูดติดปากว่า
เกรบอยากพูด เกรบไม่มีอะไรปิด เกรบพูดได้
เกรบเปิดเผยความรู้สึกตัวเองอย่างไม่ปิดบังที่มีต่อการบ้านแตกของตัวเอง
เราไม่ขอลงรายละเอียด แต่ละบ้านต่างปัญหาของตัวเอง
คนนอกไม่มีสิทธิ์อะไรแม้สักนิดที่จะยื่นมือไปยุ่มย่าม(นอกจากมันล้ำเส้นถึงขั้นลงไม้ลงมือ)
แม้แต่เรื่องจะให้ความเข้าใจ เราก็ว่ายังยากเลย เพราะแม้แต่คนในที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงยังสามารถเข้าใจไปคนละทิศละทางด้วยซ้ำไป
ปัญหาครอบครัว มันไม่ใช่แค่ว่าเรามองมุมไหน แต่มันต้องดูว่าเรายึดติดอยู่ตรงจุดใดจนไม่อาจปล่อยมือด้วยหรือเปล่า
เราในที่นี้ก็คือคนในปัญหาเหล่านั้นโดยตรง ไม่ใช่เป็นเราที่เฝ้ามองอยู่วงนอก
ทุกคำพูดของเกรบต่อเรื่องราวในครอบครัวตัวเอง มันให้ภาพหัวใจที่เป็นโพรงกว้างของเจ้าตัว
ยิ่งเด็กเหวี่ยงคนนี้ย้ำถึงความรักที่มีให้
แค่
อากงอาม่า
เราก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องต้องการความรักจากพ่อและแม่อย่างมากมายมหาศาล
หลอกตัวเองว่าแค่ความรักจากอาม่าอากงก็เพียงพอสำหรับเกรบแล้ว
ทุกครั้งที่เกรบออกปากมาว่า
หนูเฉยๆแล้วจริงๆ
เมื่อถูกถามถึงเรื่องราวความรู้สึกที่ผ่านมา
มันก็ไม่ต่างจากที่เรารู้สึกเมื่อได้ยินนัตตี้พูดว่า หนูชินแล้ว
ลูกน่ะไม่มีทางรู้สึกเฉยๆกับพ่อและแม่ได้หรอก ให้ตายเราก็ไม่เชื่อ
เรามองเห็นการโหยหาความรัก อยากได้ครอบครองความรักทั้งจากพ่อและแม่มาเป็นของตัวเองเพียงคนเดียวด้วยซ้ำไป
เฉยๆของเกรบ ก็เป็นเพียงหน้ากากของความทิฐิเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง
มันคือความเจ็บปวดจนต้องหยุดไม่ให้หัวใจตัวเองรู้สึกก็เท่านั้น แม้จะเป็นแค่การหลอกตัวเองก็ยังดี
ลูกที่มองไม่เห็นความรักของพ่อและแม่
มักสงสัยล่ะว่าตัวเองเกิดขึ้นมาจากความรักด้วยหรือเปล่า
เจ็บไหม...เราว่าเจ็บนะ เจ็บไม่ต่างจากโดนแส้ฟาดลงมาตรงหัวใจนั่นเลย
ลูกหนึ่งคนมองตรงไปทางฝั่งของพ่อ แล้วหันกลับไปมองยังฝั่งของแม่
แล้วย้อนถามตัวเองว่าตนมีที่ยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไหม เหลือที่ให้ตัวเองแทรกเข้าไปได้บ้างหรือเปล่า
ไม่ว่าพ่อกับแม่เปิดที่ให้กว้างแค่ไหนแล้วก็ตาม
แต่มันไม่ใช่เรื่องยากเข้าใจว่า เด็กคนนั้นจะมองเห็นตัวเองเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัวที่เริ่มสร้างใหม่นั้น
เรื่องความขัดแย้งที่เกรบมีต่อครอบครัวใหม่ของพ่อที่เรานั่งฟัง
มันทำให้เรารู้สึกถึงได้แบบนั้น
ต่อหลายการกระทำของเกรบในบ้านหลังนี้ ทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคือ
สิ่งที่ไม่เคยได้รับ ก็จะทำต่อไปไม่ได้
เกรบเป็นเด็กที่ไม่รู้วิธีมอบความรักให้คนอื่น เพราะตัวเองก็ไม่เคยได้รับการแสดงออกถึงความรักให้เห็น
เด็กก็ได้แต่เอ่ยปากว่าอยากให้คนรักเกรบ ไม่อยากให้คนเกลียด ได้แต่พูดแต่ไม่เคยรู้วิธีจะทำเพื่อให้ได้มา
ไม่รู้ว่าก่อนจะให้ใครมารักตน ตัวเองก็ต้องรักตัวเองก่อน
ใจที่มอบความรักให้คนอื่นก่อน มันจะไม่อ้างว้างเท่ากับเฝ้ารอคนอื่นหยิบยื่นความรักมาให้
เราถึงได้เห็นแต่เด็กที่เรียกร้องหาความรักมาถมใจตัวเองให้เต็ม
แต่เหมือนกับว่าความรักที่เกรบได้รับไปมันไม่เคยพอเลย ได้ไปแค่ไหนก็ซึมหายไปเท่านั้น ใจเด็กถึงได้แต่แห้งผาก ไม่อาจชุ่มชื้นได้สักที
เพราะความรักที่ตัวเกรบต้องการมากที่สุด เกรบยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยได้รับมัน
เรารู้ว่าไม่มีใครชอบให้ใครมาพูดใส่หน้าว่าสงสารหรอก ยิ่งเด็กลักษณะนิสัยแบบเกรบอาจคิดว่าเป็นการดูถูกด้วยซ้ำไป
งั้นพี่ขอบอกแค่ พี่เศร้าแทนเรานะเกรบ
ยิ่งเวลาเห็นเราทำหน้าดื้อดึง เหมือนไม่แคร์คนทั้งโลก ก็อยากเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆยุ่งๆแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้
แล้วบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ลูกหนึ่งคน ไม่ควรเติบโตมาพร้อมความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
ความอ้างว้างแบบนี้มันเย็นชาเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ
เราจึงไม่แปลกใจเลยที่เกรบเขม่นนัตตี้
เด็กสองคนเหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน
หัวใจต่างก็พร่องเป็นโพรงกว้างเหมือนกัน แต่กลับเป็นแม่เหล็กคนละขั้ว ต่างผลักกันอย่างรุนแรง
เรามองว่าเกรบเห็นตัวเองสะท้อนผ่านนัตตี้ อาจเป็นเรื่องของสัญชาตญาณด้วยซ้ำไป
เห็นทุกการกระทำของนัตตี้ในการเรียกร้องความรัก ไอ้การเข้าไปกอด ซบ ออกปากชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมากมาย
แรกๆก็มีคนมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่ด้วยกันนี่ล่ะ
แต่ว่า...ไม่นานนักเลย
เกรบกลับเห็นว่าสิ่งที่นัตตี้ทำลงไปทั้งหมดได้รับการสะท้อนกลับมาในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ(หลังจากไอ้ตัวเล็กน่วมไปหลายรอบ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบรรดาครูคลาสต่างๆ ครูทุกคนต่างพากันเข้ามารวบไอ้ตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดจนแน่น เรียกหานัตตี้ทุกครั้ง
เห็นถึงสายใยบางอย่างเริ่มต้นขึ้นมา
กับพี่ผู้ชายในบ้าน ทุกคนก็เริ่มชินกับความเป็นนัตตี้ ประมาณยอมๆน้องมันไป มันไม่มีอะไร กลายเป็นธรรมชาติเวลาอยู่กับนัตตี้
แม้แรกๆเกรบจะมองด้วยสายตาเขม่น
แต่ในสายตาเรา เกรบก็เป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการการยอมรับและความรักกลับคืนมามากมายไม่ต่างจากนัตตี้เลย
แต่เด็กคนนี้กลับแสวงหาด้วยวิธีการที่ต่างออกไปซึ่งช่วงเวลานี้เกรบอาจจะคิดว่ามันยากกว่าในการจะได้รับกลับคืน
เด็กคนนี้ก็เก็บรายละเอียดรอบตัวไว้ได้เก่งไม่แพ้กันหรอก แล้วก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันหรอก
ยิ่งเมื่อคู่แข่งดูจะก้าวเดินนำให้ตัวเองได้แต่มองตามแผ่นหลังแล้วล่ะก็....
ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผลสะท้อนที่นัตตี้ได้รับ ก็มาอยู่ในสายตาเกรบ
เกรบก็เริ่มกับคนที่ง่ายที่สุดคือเพื่อนและบรรดาพี่ๆบางคนที่ให้ความเอ็นดูตัวเองเป็นพื้นฐานที่ตัวเกรบเองรู้สึกถึงได้
เราถึงได้เห็นภาพเกรบเข้าไปออดอ้อน สัมผัส แล้วก็เริ่มเอ่ยปากชม อาจยังไม่ถึงขั้นนัตตี้ช่วงแรกๆ แต่ก็เป็นการเริ่มต้น
และผลลัพท์ก็สะท้อนกลับมาให้ตัวเองรู้สึกถึงได้ในแง่บวกทีเดียว
เราจึงเห็นแล้วต้องยิ้มขำๆ เหมือนเห็นภาพเด็กอนุบาลสองคนแย่งชิงจะเป็นที่รักของเพื่อนในห้อง
ต่างเอาเชิงกันในที
โดยคนหนึ่งแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนอีกคนเห็นก็เลี่ยงไม่ปะทะโดยตรงแต่ก็ไม่มีทางหยุด
แย่งไปคนหนึ่ง อีกคนก็ควานหาคนใหม่มาให้แสดงความรัก
ต่างคนต่างยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีต่อกันหรอก
ต่างฝ่ายต่างใช้อีกฝ่ายเป็นแรงผลักดัน
ไม่แน่สักวัน ทั้งคู่อาจก้าวไปถึงการจะเป็นเพื่อนกันโดยไม่ต้องรักกันจี๊จ๋าก็ได้
เพื่อนแบบนี้เราเห็นมาไม่น้อยเหมือนกัน
เข้าใจโดยไม่ เข้า กันนั่นล่ะ
เรื่องราวระหว่างนัตตี้กับเกรบ มันทำให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
การที่คนหนึ่งคนรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือขัดหูขัดตาใครบางคนขึ้นมานั้น
สาเหตุหนึ่งเลยมันอาจเป็นเพราะว่า
คนคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรใกล้เคียงกับเรามากที่สุด
เพียงแต่ว่า...
การแสดงออกของเขา เป็นสิ่งที่ตัวเราข่มเอาไว้ไม่ยอมแสดงออกมา กดตัวเองเอาไว้เพื่ออะไรก็ตามแต่
หรือคิดว่านั่นเป็นนิสัยส่วนเสียของตัวเองที่ไม่อาจยอมรับได้จึงกดไม่ยอมให้แสดงออกมา
และแม้แต่ไม่ยอมอนุญาตใจตัวเองให้คิดถึงจนทำเป็นลืมไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่าเมื่อได้มาเห็นหรือต้องก้าวมารับมือในพฤติกรรมนั้นๆ
มันจึงให้ส่วนลึกในใจเราเกิดความรู้สึกว่าเห็นเงาในใจตัวเอง
เห็นว่าเขาทำในสิ่งที่เราเองก็อยากทำแต่ไม่กล้าที่จะทำ
แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับยอมรับและราวกับง่ายดายที่แสดงออกถึงข้อเสียนั้นทั้งที่ตัวเราเองกลับต้องกดมันเอาไว้แทบตาย
มันจึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกชะตามากลบเกลื่อนเอาไว้ไงล่ะ
โดยที่แท้จริงอาจเป็นความอิจฉาจนต้องนับถือในการที่คนคนนั้นสามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งก็เป็นได้
มุมมองเรื่องนี้ ตัวเราเองก็กำลังทบทวนดูตัวเองอยู่เหมือนกัน
แล้วหลายต่อหลายคนน่าจะกลับเอาไปสำรวจใจตัวเองดูว่ามันใกล้เคียงบ้างไหม เป็นไปได้ไหม
จากนั้นเราจะมองโลกมองคนโดยให้ความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเลยล่ะ
ส่วนในประเด็นเรื่องลักษณะนิสัยบางอย่าง ความไม่มุ่งมั่น ไม่ทุ่มเท ผ่านการจัดการโจทย์เพลงของเกรบ
ลองมองผ่านเรื่องราวที่เกรบ
อยากเล่า
ดูสิ
ตัวเราให้ความเข้าใจในตัวเกรบขึ้นมากตอนนั่งฟังเกรบเล่าบางเรื่องให้ครูใหญ่ทั้งสองคนฟัง
ไม่ว่าเกรบจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หลายเรื่องที่เกรบเล่าออกมานั้น ครูรักได้ช่วยเบรกให้มันซอฟท์ลงด้วยการทำเป็นตลกกลบเกลื่อน
แต่พอลองปอกผ่านลงไป
การเรียกร้องสิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินตัว เกินความจำเป็นจากอาม่าอากงอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือการเรียกร้องเอาความรัก ใช้ข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวแทนความรักให้จับต้องได้
อาม่าอากงก็ใช้ข้าวของแสดงออกว่ารักเกรบ
เกรบเองก็เอาของเหล่านั้นมาให้ตัวเองรู้สึกถึงความรักนั่น
เมื่อเกรบได้สิ่งของมากมายโดยไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยต่างฝ่ายต่าง ใช้ ข้าวของเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ
เกรบจึงชินในการจะได้อะไรมาโดยง่ายไม่ต้องลงแรงและความพยายามอย่างมาก
(ไอ้ประท้วงนั้น ตัวพี่ไม่ถือว่าเป็นการลงแรงลงความพยายามนะอีหนู)
การได้ครอบครองข้าวของจึงไม่ใช่ประเด็น
แต่การเรียกร้องให้ได้มา จนได้มาต่างหากคือประเด็น
ข้าวของพวกนั้นถึงได้ไร้ค่าทันทีที่ได้ครอบครองไงล่ะ
เมื่อมองภาพทับซ้อนมาสู่หลังจากได้รับเลือกเป็นนักล่าฝันซีซั่นเด็กน้อยนี่
มันก็เรื่องเดิม เรื่องเดียวกันของเกรบเลยล่ะ
เกรบถึงได้ไม่สู้เลย ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องที่ควรเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมันไม่ได้กลายเป็นเรื่องอันดับหนึ่งของเกรบอีกต่อไปแล้ว
เกรบก็เริ่มพุ่งประเด็นไปเรื่องอื่นๆแทนไปเรื่อยๆ
รับรองเลยว่าถ้าเรื่องที่พุ่งประเด็นไปนั้นเกิดสำเร็จขึ้นมาอีก
เรื่องนั้นก็กลายเป็นสำรองอันดับสองสามลงไปตามเคยๆ
จากนั้นก็กลับไปแสวงหาเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเกรบไว้ก็คือ ข้าวของน่ะมันไม่มีชีวิตจิตใจ
แต่เมื่อไรหนูก้าวมา เล่น กับคนที่มีชีวิต เล่นกับหัวใจคน
มันอันตรายนะเกรบ
...เพราะสุดท้ายแล้ว หนูอาจไม่เหลือใครเลย
พอเราเริ่มเอาเด็กน้อยสองคนระหว่างเกรบกับนัตตี้มาเปรียบกัน
นัตตี้น่ะแม้ตอนนี้จะยังไม่มั่นคง โอนเอนง่ายดายตามแรงของอารมณ์
แต่สักวันเมื่อตั้งหลัก หยั่งรากลงลึกได้
เด็กที่เป็นดั่งไม้เนื้อแข็งแบบนี้ จะสามารถงอกงามและเติบใหญ่กลายเป็นไม้เนื้อดีได้ไม่ยาก
แถมยังกลายเป็นหลักให้ใครต่อใครได้อีกด้วย
แต่เกรบ เด็กที่เหมือนแกร่งกว่า ใจแข็งกว่า ดื้อกว่าแบบนี้ล่ะ
เรากลับเห็นแต่ความอ่อนยวบในตัวตนและใจของเด็ก
เป็นเด็กที่เปราะแต่กลับใช้เกราะกระด้างมาบังไว้
เพราะงั้นถ้าโดนชนแรงๆ น้องก็หักกลางได้ง่ายกว่า
ถึงฝืนลุกขึ้นมาได้ก็ยืนหยัดได้ไม่นานและรอวันล้มอีกจนได้
ด้วยเรามองน้องเป็นเหมือนไม้เนื้ออ่อน ต้องให้ความรักและความทะนุถนอมเป็นพิเศษเพื่อประคบประหงมให้เติบโต
แม้พอจะยืนหยัดสู้แดดลมได้ แต่อาจไม่มีวันสู้ลมพายุหนักไหว จึงต้องหามือคอยประคองเอาไว้จนชั่วชีวิต
เด็กสิบห้าสองคน ต่างวิธีการจัดการหัวใจตัวเอง
ทำคนนั่งมองอย่างเรา....
โลกใบนี้อยู่ยากขึ้นทุกเจนเนอร์เรชั่น
แต่ไม่ว่าจะเจนไหน เด็กมักเป็นฝ่ายเจ็บกว่าเสมอ
Create Date : 04 สิงหาคม 2553
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 12:48:21 น.
6 comments
Counter : 581 Pageviews.
Share
Tweet
เด็กหนอเด็ก
คนเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ความรักเยอะๆนะ
โดย:
บางส้มเปรี้ยว
วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:13:51:46 น.
....การที่คนหนึ่งคนรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือขัดหูขัดตาใครบางคนขึ้นมานั้น
สาเหตุหนึ่งเลยมันอาจเป็นเพราะว่า คนคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรใกล้เคียงกับเรามากที่สุด.....
เอิ่มม ... ค่ะ เพิ่งทราบ ทราบแต่ว่าเรามักจะถูกชะตากับคนที่มีอะไรคล้าย ๆ เรา เพราะคนเรามักหลงตัวเอง ... เช่น เนื้อคู่ ที่มักจะชอบ สะดุดตากับคนที่หน้าตาคล้าย ๆ กัน
... โดยที่แท้จริงอาจเป็นความอิจฉาจนต้องนับถือในการที่คนคนนั้นสามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งก็เป็นได้ ...
คล้าย ๆ นิวตี้ กับนุกนิกหรือเปล่าคะ
เฮ้อ อยากจะเข้าใจเด็กทุกคนในโลกซะจริง ๆ
แต่คงยากนะคะ เด็กร้อยคนก็พันแบบเลยเชียว
โดย:
for Family
วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:21:18:29 น.
คุณคิว...
ขอบคุณที่หันมามองน้องเกรปอย่างจริงจัง
ขอบคุณที่เข้าใจน้องเกรปทะลุไปถึงหัวใจ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ...
ทั้งนี้และทั้งนั้น... พี่ติดตามน้องมาร์คและน้องเบน
แต่เอ็นดูเจ้าเกรปเต็มหัวใจค่ะ
สงสารปนขำ...ทุกครั้งที่เห็นความพยายามที่จะเชิดหน้าบอกทุกคนว่า "ฉันไม่แคร์"
และอ้างว้างไปกับน้องทุกครั้งที่ได้เห็นแววตาคู่นั้น...
โดย:
lannapat
วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:22:27:23 น.
จากความเห็นคุณfor Familyทำเอาเราอยากคุยต่อเลยค่ะ
คือตัวเราน่ะโตมากับการดูซิทคอมกับซีรี่ส์อเมริกันมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ
เรื่องราวที่ชอบมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิทยา ทนายความ การเมือง ไม่ก็พวกหมออะไรเทือกนี้
ซึ่งมันจะมีปัญหาครอบครัวแทรกอยู่เยอะมาก จนเรียกว่าเราปลงกับชีวิตทีเดียวเลย
แล้วมันจะมีปัญหาหนึ่งที่ทางผู้สร้างมักเอามาเป็นประเด็นอยู่บ่อยๆก็คือ ผู้หญิงที่ทนอยู่กับผู้ชายที่ทำร้ายตัวเองอย่าซ้ำซาก
แม้บางทีถูกช่วยไป หรือตัวเองหนีไปเองด้วยซ้ำ
แต่มีไม่น้อยเลยที่สุดท้ายก็กลับมาซบอกไอ้คนที่ทำร้ายตัวเองอีกจนได้
หรือไม่ก็ผู้ชายนิ่มๆอ่อนๆยอมอยู่กับผู้หญิงเจ้าอารมณ์ กดขี่ ไม่ให้เกียรติตัวเองสักนิด
เราไม่เคยเข้าใจประเด็นนี้เลยค่ะ คือสงสัยในทั้งสองฝ่ายเลยว่าทนอยู่กันไปทำไม
บางครั้งบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่มันกลับเห็นเป็นว่าไม่ยอมเลือกเองมากกว่า
เราเคยคุยประเด็นนี้กับพ่อ
พ่อเราอธิบายว่า คำว่าส่วนเติมเต็มของกันและกันน่ะ มันไม่ได้หมายถึงแง่บวกแง่เดียว
คนบางคนเขาเห็นตัวเองจากอีกฝ่าย
ตัวตนที่เขาอยากเป็นแต่เป็นไม่ได้
ตัวตนที่เขาเกลียดและปฏิเศษที่จะเป็นแต่กลับโหยหาอยู่ลึกๆ
มันเลยเกิดทั้งแรงดึงดูดและแรงผลักดัน
ซึ่งมันจะเกิดในรูปแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราถูกหล่อหลอมมาแบบไหน
การที่โมลจะหลอมตัวเองให้สมบูรณ์แบบในเบ้าหลอมที่บิดเบี้ยวนั้น
มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งกำลังกายและใจเป็นพิเศษ
เพราะฉะนั้นเราถึงเห็นการยอมแพ้ ปล่อยตัวเองโดยไม่คิดต่อสู้มากกว่า
บางทีเราว่ามันถึงต้องใช้คำว่า "โชคช่วย" ด้วยซ้ำ
โชคดีพอเจอไฟ เจอเบ้าหลอมใหม่อีกครั้งให้ออกมาเข้ารูป ไ ม่บิดเบี้ยว
แต่หลายครั้งเหลือเกินที่เรารับรู้มาว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะโชคดีขนาดนั้น
คนที่พร้อมให้ความเข้าใจ อีกทั้งพร้อมยื่นมือมาให้ความเข้าใจกับคนที่พร่องน่ะมันหายากขึ้นทุกวัน
เพราะโลกปัจจุบัน ต่างคนต่างพร่องต่างกันไป
แค่ต้องรับมือเรื่องราวของตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมอบให้กับคนที่ต้องใช้เวลาอีกทวีคูณในการให้ความเข้าใจล่ะ
ไม่รู้ทำไมปีนี้เราเขียนแต่เรื่องหนักๆก็ไม่รู้
ทุกซีซั่นเราใช้afในการศึกษาคนก็จริง แต่มันก็ต้องแทรกเรื่องบันเทิงเริงใจบ้างสิ
ปีนี้ผ่านไปครึ่งทาง ทำเอาเราโรคกระเพาะถามหาเลย
พี่lannapatคะ คิวค่อนข้างขัดใจพี่เนอะ เชียร์ไม่ค่อยตรงกันเล้ย ตั้งแต่ผ่านเจอพี่นัทกับกาต้อลไปแล้ว
ไม่รู้ว่าจะหาเด็กที่มีเสน่ห์แบบเด็กสองคนนี้ได้อีกไหม
ขออะไรสนุกๆให้คิวบ้างเต๊อะ เค้าอยากเขียนอะไรตลกๆจะแย่แล้ว
หนูผึ้ง อย่าเครียด อย่าเครียดน้อง ทุกเรื่องมันจะผ่านไป
เอามาตอบตรงนี้ เด๋วจบแล้วพี่จะเข้าไปหาที่บล็อก ไปนั่งปลอบใจให้เอง
โดย:
Quaver
วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:11:43:32 น.
คุณคิว...หลังจากพี่นัทกะน้องต้อลแล้ว
พี่ก็ดูเอเอฟเจ็ดนี่แหละ...ห้ากะหกไม่ได้แตะเลย
คุณคิวไม่ได้ขัดใจพี่หรอก..เพราะพี่ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรกับการดูเอเอฟแล้ว
มันถึงจุดที่ว่า...ไม่ได้ดูก็ไม่เป็นไร ขอเปิดดูแค่คอนเสิร์ตวันเสาร์ก็พอใจแล้วล่ะ
กับเด็กๆ ก็รู้สึกดีกับทุกคนแหละ
สงสารเด็กน่ะ...มาอยู่ในสปอตไลท์ จะทำอะไรก็อยู่ในสายตาของสาธารณชนไปเสียทุกประการ
เคยคุยกะพี่นัท ถามเค้าตรงๆ เรื่องที่อยู่ในบ้าน..อยากกลับเข้าไปอีกหรือเปล่า?
คำตอบคือ "ไม่อยากกลับไปอีกเพราะอยู่ในนั้นมันกดดันมากมาย"
นี่คือความรู้สึกของพี่นัท ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสุขุม มีวุฒิภาวะสูง สำหรับคนอายุแค่ 25 (ตอนที่คุยกัน ๕๕๕+)
พอมาถึงซีซั่นนี้.. เลยมองเด็กทุกคนอย่างเห็นใจ...ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็ตาม
ตั้งแต่วีหนึ่งถึงวีสิบสาม เชื่อว่าทุกคนมีความกดดันเท่าเทียมกันหมด... เพียงแต่บางคนสามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้มากกว่าคนถัดไป
ดู range อายุแล้ว..ก็ไม่ได้ต่างกันมากเลย จาก 15 ถึง 22 เนี่ย
ก็เข้าใจเด็กสิบห้าว่าต้องมีงอแงง้องแง้งมั่ง.. โดยวัยของพวกเค้ายังสามารถทำเช่นนั้นได้และดูไม่น่าเกลียด
ในขณะเดียวกันก็เห็นใจรุ่นพี่อีกสองสามคนที่เหมือนจะต้องรับภาระพี่ใหญ่ของบ้านกันไปโดยปริยาย..ทั้งๆ ที่ตอนอยู่บ้านตัวเอง อาจจะอ้อนพ่อแม่ไม่ต่างกับละอ่อนน้อยที่เหลือ
คิดได้แบบนี้...ปีนี้เลยดูเอเอฟแบบ..สบายใจ
แต่มาตกม้าตายตอนเข้าไปตามข่าวน้องมาร์คในพันทิป เลยอ่านกระทู้โน่นนั่นนี่ไปด้วย...ทำเอาเกิดอาการปรี๊ดบ้างในบางครั้ง แต่ไม่รุนแรงเท่าสมัยเอเอฟสี่ (กร๊ากกก)
อย่างที่บอกคือ ณ เวลานี้ เด็กทุกคนน่าสงสาร
ถูกด่าถูกวิจารณ์สารพัด จะให้ได้ดั่งใจท่านผู้ชมไปทุกอย่าง ซึ่งมันคงเป็นไปได้ยากมากเนาะ
กระทู้ที่ชื่นชมเด็กก็มี...ข้อนี้ดีมากๆๆ
จะขัดใจก็ไอ้กระทู้ที่อวยเด็กตัวเองแล้วเหยียบย่ำเด็กคนอื่นในเวลาเดียวกัน...พวกนี้แหละที่เห็นแล้วปรี๊ดแตก... ฮาาาาา
นัตตี้สำหรับพี่ก็เป็นเด็กสิบห้าที่ต้องการความสนใจและใส่ใจจากคนรอบข้าง ... ด้วยความที่น้องผ่านความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากเยอะ ทำให้น้องเรียนรู้ที่จะเซฟตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน ด้วยการทำดีกับคนรอบข้าง ด้วยความหวังแบบเด็กๆ ว่า เราดีกะเค้า เค้าก็ดีกะเรา..
ในตอนแรกๆ อาจจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ แต่อาศัยลูกตื๊อและลูกอ้อน...สุดท้าย ทุกคนก็ยอมรับนัตตี้ได้แล้ว ...
สำหรับเกรป...เด็กสิบห้าอีกคนผู้ซึ่งโหยหาความรักและความใส่ใจจากคนรอบข้างไม่น้อยไปกว่านัตตี้เลย ... แต่เกรปไม่เหมือนกับนัตตี้ตรงที่ว่า น้องก่อกำแพงแก้วเจ็ดชั้นล้อมรอบความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างแน่นหนา.. เละพยายามเมินเฉยกับความรู้สึกโหยหาของตัวเองด้วยการเชิดหน้าและทำท่า "ฉันไม่แคร์"
ปัญหาของเกรปไม่มีใครช่วยได้ นอกจากจะช่วยกล่อมให้น้องได้เรียนรู้ว่า เราควรจะเปิดใจให้คนอื่นได้รู้ว่าเราต้องการอะไร ไม่ใช่ให้เค้าเดินวนหาหนทางรอบกำแพงเจ็ดชั้นนั้น... ก็นะ ..ค่อนข้างจะเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสอยู่ แต่พี่ก็หวังว่าสักวัน น้องจะทะลายกำแพงนั้นได้ และวันนั้น จะเป็นวันที่ดอกไม้บานของเกรป
พี่ภาวนาให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ ...
เด็กอีกสิบคนที่เหลือก็น่ารักกันทุกคนเนอะ...
เพียงแต่มันไม่มีอะไรจะให้เขียนตลกๆ แบบเอเอฟสี่จริงๆ แหละ...
คิดถึงมุข.. ปั้นข้าวเหนียวลูบควายขึ้นมาทันที
๕๕๕+
โดย:
lannapat
วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:18:18:15 น.
ขอบคุณค่ะคุณคิว
คุณคิวมีพ่อที่มีหลักจิตวิทยาดี ๆ เป็นแบบอย่างนี่เอง
ตอนนี้เราสนใจอยากอ่านพวกจิตวิทยาเด็ก ไว้ค่อย ๆ เรียนรู้ ๆ และอาศัยลักจำจากคุณคิวในทุกซีซั่นเนี่ยแหละ
ไม่รู้ว่าเรารู้สึกถูกหรือเปล่า แต่เราจะเศร้าและร้องไห้ตามทุกครั้งที่ดูเกรปร้องเพลงให้แม่ ตั้งแต่ซ้อมใหญ่ จนคอนเสิร์ต แปลกที่เราไม่ได้ซึมซับความรู้สึกของนัตตี้ได้ เพราะนัตตี้บอกว่าเธอไม่ได้เป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นกระมังคะ แต่เกรป .. เธอขาดเต็ม ๆ
คอนเมื่อวาน ตอนเกรปเริ่มร้อง เรารู้สึกว่าเกรปน้อยใจที่แม้วันนี้แม่ก็ไม่มา .. ถึงจริง ๆ แล้วแม่จะมา แต่เกรปก็ยังงง อึ้ง และทำตัวไม่ถูก กอดแม่แบบแข็ง ๆ จนขืนในตอนท้าย
บางคนในพันทิปมาว่า ... แต่เราว่าเราเข้าใจ
อาจจะไม่ใช่คนดีนักที่คิดไม่รักแม่ ... แต่จะเอาอะไรมากกับเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กที่ถูกกระทำ
เราไม่ได้โทษแม่นะคะ เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่เกรปก็ย่อมมีเหตุผลของเกรปใช่ไหมคะ
โดย:
for Family
วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:14:07:06 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
Quaver
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [
?
]
เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ
artists
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add Quaver's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
คนเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ความรักเยอะๆนะ