Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
อาจเป็นสองคนนี้ที่ใกล้เคียงกันที่สุด





บล็อกนี้เริ่มต้นยากจริงๆ
ด้วยตัวเราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเขียนถึงเลยสักครั้ง อาจเคยแค่แตะผ่านๆบ้าง
เพราะค่อนข้างรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวังตัวเอง

ที่ผ่านมาถึงได้แต่เขียนถึงแต่...เรียกว่า “เด็กในสังกัด”
ด้วยมันเขียนถึงง่ายกว่า แม้เราจะจิกกัดไปบ้าง(...แหะ) หรือออกปากตำหนิแรงๆออกไป แต่จะรู้ตัวว่าทำไปโดยมีพื้นฐานของความเข้าใจและมอบความรู้สึกด้านดีให้โขอยู่

เวลาเขียนชมก็มีทั้งชมแบบเตลิดเปิดเปิงด้วยเข้าข้างสุดชีวิต หรือไม่ก็ติดเบรกยั้งตัวเองไม่ให้เว่อร์จนเกินไป(ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยากกว่า...เฮ่อ)
แต่มันจะสนุกมากเพราะรู้ตัวว่าเขียนเพราะเข้าข้างล่ะ
ขอยอมรับหน้าชื่นตาใส(กระเบื้องหนาเจงๆตู) ซึ่งคนอ่านก็จะพอรู้ล่ะว่าไอ้บ้านี้ ตาเริ่มบอดละ ก็คงจะไม่เอาไปถือสา(เท่าไร)



เพราะอย่างนี้ การเขียนถึงเด็ก...ขอรับรองด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองครับ...รับรองว่าไม่ใช่เกลียด
เราเป็นคนประเภทถ้าเกลียด ก็ไม่แตะ ไม่มอง ไม่สนใจ ชีวิตคนเรามันสั้นไป เกินกว่าเสียเวลาให้กับคนไม่มีค่าในชีวิต


งั้นขอบอกตามตรงว่า การเขียนถึงเด็กที่เรา...ใช้คำอะไรดี...เฮ้ย!

เด็กที่มีอะไรบางอย่างขัดอกขัดใจ จนบางครั้งถึงขั้นขัดหูขัดตาจนต้องอดกลั้นเป็นพิเศษแล้วนั้น
การเขียนถึงมันยาก ยากมากเลยล่ะ
แล้วยิ่งเกรบเป็นเด็กที่เราถอยห่างออกมา เพื่อจะได้เหลือแค่ “ความเสียดาย” เอาไว้
เราก็ยิ่งประมวลความคิดได้ยิ่งกว่ายากอีก


การต้องเขียนไป แล้วหยุดถามตัวเองไปว่า ที่เรามองเห็นน่ะ มันชัดพอไหม ภาพมันบิดเบี้ยวมาจากความรู้สึกในใจหรือเปล่า
แล้วเรามอบความเข้าใจให้มากพอไหม
จนถึงเราระมัดระวังตัวเองเกินไปจนไม่กล้าแตะตรงจุดอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
...มันไม่สนุกเลย มือไม้ติดขัดไปหมด



แต่ว่าหลังจากได้รับการถามไถ่จากเพื่อนคนที่ชอบทั้งเกรบและนัตตี้ถึงมุมมองความคิดและความรู้สึกที่ตัวเรามีต่อเกรบแล้ว
เราเองก็ทบทวนอยู่นาน มองย้อนกลับไปตอนเริ่ม “มอง” เด็กเหวี่ยงคนนี้



เกรบต่างจากนัตตี้ตรงที่เรารู้มาตั้งแต่แรกเลยว่าน้องเป็นเด็กbroken home
รู้มาจากเจ้าตัวที่มีคำพูดติดปากว่า “เกรบอยากพูด เกรบไม่มีอะไรปิด เกรบพูดได้”


เกรบเปิดเผยความรู้สึกตัวเองอย่างไม่ปิดบังที่มีต่อการบ้านแตกของตัวเอง
เราไม่ขอลงรายละเอียด แต่ละบ้านต่างปัญหาของตัวเอง
คนนอกไม่มีสิทธิ์อะไรแม้สักนิดที่จะยื่นมือไปยุ่มย่าม(นอกจากมันล้ำเส้นถึงขั้นลงไม้ลงมือ)
แม้แต่เรื่องจะให้ความเข้าใจ เราก็ว่ายังยากเลย เพราะแม้แต่คนในที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงยังสามารถเข้าใจไปคนละทิศละทางด้วยซ้ำไป

ปัญหาครอบครัว มันไม่ใช่แค่ว่าเรามองมุมไหน แต่มันต้องดูว่าเรายึดติดอยู่ตรงจุดใดจนไม่อาจปล่อยมือด้วยหรือเปล่า

เราในที่นี้ก็คือคนในปัญหาเหล่านั้นโดยตรง ไม่ใช่เป็นเราที่เฝ้ามองอยู่วงนอก





ทุกคำพูดของเกรบต่อเรื่องราวในครอบครัวตัวเอง มันให้ภาพหัวใจที่เป็นโพรงกว้างของเจ้าตัว
ยิ่งเด็กเหวี่ยงคนนี้ย้ำถึงความรักที่มีให้แค่อากงอาม่า
เราก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องต้องการความรักจากพ่อและแม่อย่างมากมายมหาศาล
หลอกตัวเองว่าแค่ความรักจากอาม่าอากงก็เพียงพอสำหรับเกรบแล้ว


ทุกครั้งที่เกรบออกปากมาว่า “หนูเฉยๆแล้วจริงๆ” เมื่อถูกถามถึงเรื่องราวความรู้สึกที่ผ่านมา
มันก็ไม่ต่างจากที่เรารู้สึกเมื่อได้ยินนัตตี้พูดว่า “หนูชินแล้ว”

ลูกน่ะไม่มีทางรู้สึกเฉยๆกับพ่อและแม่ได้หรอก ให้ตายเราก็ไม่เชื่อ
เรามองเห็นการโหยหาความรัก อยากได้ครอบครองความรักทั้งจากพ่อและแม่มาเป็นของตัวเองเพียงคนเดียวด้วยซ้ำไป

เฉยๆของเกรบ ก็เป็นเพียงหน้ากากของความทิฐิเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง
มันคือความเจ็บปวดจนต้องหยุดไม่ให้หัวใจตัวเองรู้สึกก็เท่านั้น แม้จะเป็นแค่การหลอกตัวเองก็ยังดี


ลูกที่มองไม่เห็นความรักของพ่อและแม่
มักสงสัยล่ะว่าตัวเองเกิดขึ้นมาจากความรักด้วยหรือเปล่า

เจ็บไหม...เราว่าเจ็บนะ เจ็บไม่ต่างจากโดนแส้ฟาดลงมาตรงหัวใจนั่นเลย


ลูกหนึ่งคนมองตรงไปทางฝั่งของพ่อ แล้วหันกลับไปมองยังฝั่งของแม่
แล้วย้อนถามตัวเองว่าตนมีที่ยืนอยู่ตรงนั้นบ้างไหม เหลือที่ให้ตัวเองแทรกเข้าไปได้บ้างหรือเปล่า

ไม่ว่าพ่อกับแม่เปิดที่ให้กว้างแค่ไหนแล้วก็ตาม
แต่มันไม่ใช่เรื่องยากเข้าใจว่า เด็กคนนั้นจะมองเห็นตัวเองเป็นคนแปลกหน้าในครอบครัวที่เริ่มสร้างใหม่นั้น


เรื่องความขัดแย้งที่เกรบมีต่อครอบครัวใหม่ของพ่อที่เรานั่งฟัง
มันทำให้เรารู้สึกถึงได้แบบนั้น





ต่อหลายการกระทำของเกรบในบ้านหลังนี้ ทำให้เรานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคือ
“สิ่งที่ไม่เคยได้รับ ก็จะทำต่อไปไม่ได้”


เกรบเป็นเด็กที่ไม่รู้วิธีมอบความรักให้คนอื่น เพราะตัวเองก็ไม่เคยได้รับการแสดงออกถึงความรักให้เห็น
เด็กก็ได้แต่เอ่ยปากว่าอยากให้คนรักเกรบ ไม่อยากให้คนเกลียด ได้แต่พูดแต่ไม่เคยรู้วิธีจะทำเพื่อให้ได้มา


ไม่รู้ว่าก่อนจะให้ใครมารักตน ตัวเองก็ต้องรักตัวเองก่อน
ใจที่มอบความรักให้คนอื่นก่อน มันจะไม่อ้างว้างเท่ากับเฝ้ารอคนอื่นหยิบยื่นความรักมาให้


เราถึงได้เห็นแต่เด็กที่เรียกร้องหาความรักมาถมใจตัวเองให้เต็ม
แต่เหมือนกับว่าความรักที่เกรบได้รับไปมันไม่เคยพอเลย ได้ไปแค่ไหนก็ซึมหายไปเท่านั้น ใจเด็กถึงได้แต่แห้งผาก ไม่อาจชุ่มชื้นได้สักที
เพราะความรักที่ตัวเกรบต้องการมากที่สุด เกรบยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เคยได้รับมัน


เรารู้ว่าไม่มีใครชอบให้ใครมาพูดใส่หน้าว่าสงสารหรอก ยิ่งเด็กลักษณะนิสัยแบบเกรบอาจคิดว่าเป็นการดูถูกด้วยซ้ำไป

งั้นพี่ขอบอกแค่ พี่เศร้าแทนเรานะเกรบ
ยิ่งเวลาเห็นเราทำหน้าดื้อดึง เหมือนไม่แคร์คนทั้งโลก ก็อยากเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆยุ่งๆแล้วดึงเข้ามากอดเอาไว้
แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”


ลูกหนึ่งคน ไม่ควรเติบโตมาพร้อมความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ
ความอ้างว้างแบบนี้มันเย็นชาเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ






เราจึงไม่แปลกใจเลยที่เกรบเขม่นนัตตี้

เด็กสองคนเหมือนภาพสะท้อนของกันและกัน
หัวใจต่างก็พร่องเป็นโพรงกว้างเหมือนกัน แต่กลับเป็นแม่เหล็กคนละขั้ว ต่างผลักกันอย่างรุนแรง



เรามองว่าเกรบเห็นตัวเองสะท้อนผ่านนัตตี้ อาจเป็นเรื่องของสัญชาตญาณด้วยซ้ำไป
เห็นทุกการกระทำของนัตตี้ในการเรียกร้องความรัก ไอ้การเข้าไปกอด ซบ ออกปากชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมากมาย
แรกๆก็มีคนมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนพี่ด้วยกันนี่ล่ะ

แต่ว่า...ไม่นานนักเลย
เกรบกลับเห็นว่าสิ่งที่นัตตี้ทำลงไปทั้งหมดได้รับการสะท้อนกลับมาในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ(หลังจากไอ้ตัวเล็กน่วมไปหลายรอบ)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบรรดาครูคลาสต่างๆ ครูทุกคนต่างพากันเข้ามารวบไอ้ตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดจนแน่น เรียกหานัตตี้ทุกครั้ง
เห็นถึงสายใยบางอย่างเริ่มต้นขึ้นมา
กับพี่ผู้ชายในบ้าน ทุกคนก็เริ่มชินกับความเป็นนัตตี้ ประมาณยอมๆน้องมันไป มันไม่มีอะไร กลายเป็นธรรมชาติเวลาอยู่กับนัตตี้


แม้แรกๆเกรบจะมองด้วยสายตาเขม่น
แต่ในสายตาเรา เกรบก็เป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการการยอมรับและความรักกลับคืนมามากมายไม่ต่างจากนัตตี้เลย
แต่เด็กคนนี้กลับแสวงหาด้วยวิธีการที่ต่างออกไปซึ่งช่วงเวลานี้เกรบอาจจะคิดว่ามันยากกว่าในการจะได้รับกลับคืน
เด็กคนนี้ก็เก็บรายละเอียดรอบตัวไว้ได้เก่งไม่แพ้กันหรอก แล้วก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันหรอก


ยิ่งเมื่อคู่แข่งดูจะก้าวเดินนำให้ตัวเองได้แต่มองตามแผ่นหลังแล้วล่ะก็....



ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผลสะท้อนที่นัตตี้ได้รับ ก็มาอยู่ในสายตาเกรบ
เกรบก็เริ่มกับคนที่ง่ายที่สุดคือเพื่อนและบรรดาพี่ๆบางคนที่ให้ความเอ็นดูตัวเองเป็นพื้นฐานที่ตัวเกรบเองรู้สึกถึงได้

เราถึงได้เห็นภาพเกรบเข้าไปออดอ้อน สัมผัส แล้วก็เริ่มเอ่ยปากชม อาจยังไม่ถึงขั้นนัตตี้ช่วงแรกๆ แต่ก็เป็นการเริ่มต้น
และผลลัพท์ก็สะท้อนกลับมาให้ตัวเองรู้สึกถึงได้ในแง่บวกทีเดียว



เราจึงเห็นแล้วต้องยิ้มขำๆ เหมือนเห็นภาพเด็กอนุบาลสองคนแย่งชิงจะเป็นที่รักของเพื่อนในห้อง
ต่างเอาเชิงกันในที
โดยคนหนึ่งแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนอีกคนเห็นก็เลี่ยงไม่ปะทะโดยตรงแต่ก็ไม่มีทางหยุด
แย่งไปคนหนึ่ง อีกคนก็ควานหาคนใหม่มาให้แสดงความรัก



ต่างคนต่างยังไม่เข้าใจความรู้สึกที่มีต่อกันหรอก
ต่างฝ่ายต่างใช้อีกฝ่ายเป็นแรงผลักดัน
ไม่แน่สักวัน ทั้งคู่อาจก้าวไปถึงการจะเป็นเพื่อนกันโดยไม่ต้องรักกันจี๊จ๋าก็ได้
เพื่อนแบบนี้เราเห็นมาไม่น้อยเหมือนกัน
เข้าใจโดยไม่ ‘เข้า’ กันนั่นล่ะ





เรื่องราวระหว่างนัตตี้กับเกรบ มันทำให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

การที่คนหนึ่งคนรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือขัดหูขัดตาใครบางคนขึ้นมานั้น
สาเหตุหนึ่งเลยมันอาจเป็นเพราะว่า คนคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรใกล้เคียงกับเรามากที่สุด


เพียงแต่ว่า...
การแสดงออกของเขา เป็นสิ่งที่ตัวเราข่มเอาไว้ไม่ยอมแสดงออกมา กดตัวเองเอาไว้เพื่ออะไรก็ตามแต่
หรือคิดว่านั่นเป็นนิสัยส่วนเสียของตัวเองที่ไม่อาจยอมรับได้จึงกดไม่ยอมให้แสดงออกมา
และแม้แต่ไม่ยอมอนุญาตใจตัวเองให้คิดถึงจนทำเป็นลืมไปเลยด้วยซ้ำ


แต่ว่าเมื่อได้มาเห็นหรือต้องก้าวมารับมือในพฤติกรรมนั้นๆ
มันจึงให้ส่วนลึกในใจเราเกิดความรู้สึกว่าเห็นเงาในใจตัวเอง
เห็นว่าเขาทำในสิ่งที่เราเองก็อยากทำแต่ไม่กล้าที่จะทำ
แต่ทำไมอีกฝ่ายกลับยอมรับและราวกับง่ายดายที่แสดงออกถึงข้อเสียนั้นทั้งที่ตัวเราเองกลับต้องกดมันเอาไว้แทบตาย


มันจึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่ถูกชะตามากลบเกลื่อนเอาไว้ไงล่ะ
โดยที่แท้จริงอาจเป็นความอิจฉาจนต้องนับถือในการที่คนคนนั้นสามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งก็เป็นได้


มุมมองเรื่องนี้ ตัวเราเองก็กำลังทบทวนดูตัวเองอยู่เหมือนกัน
แล้วหลายต่อหลายคนน่าจะกลับเอาไปสำรวจใจตัวเองดูว่ามันใกล้เคียงบ้างไหม เป็นไปได้ไหม
จากนั้นเราจะมองโลกมองคนโดยให้ความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเลยล่ะ







ส่วนในประเด็นเรื่องลักษณะนิสัยบางอย่าง ความไม่มุ่งมั่น ไม่ทุ่มเท ผ่านการจัดการโจทย์เพลงของเกรบ
ลองมองผ่านเรื่องราวที่เกรบ “อยากเล่า” ดูสิ



ตัวเราให้ความเข้าใจในตัวเกรบขึ้นมากตอนนั่งฟังเกรบเล่าบางเรื่องให้ครูใหญ่ทั้งสองคนฟัง
ไม่ว่าเกรบจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม หลายเรื่องที่เกรบเล่าออกมานั้น ครูรักได้ช่วยเบรกให้มันซอฟท์ลงด้วยการทำเป็นตลกกลบเกลื่อน
แต่พอลองปอกผ่านลงไป


การเรียกร้องสิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินตัว เกินความจำเป็นจากอาม่าอากงอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือการเรียกร้องเอาความรัก ใช้ข้าวของเครื่องใช้เป็นตัวแทนความรักให้จับต้องได้

อาม่าอากงก็ใช้ข้าวของแสดงออกว่ารักเกรบ
เกรบเองก็เอาของเหล่านั้นมาให้ตัวเองรู้สึกถึงความรักนั่น


เมื่อเกรบได้สิ่งของมากมายโดยไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยต่างฝ่ายต่าง ‘ใช้’ ข้าวของเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ
เกรบจึงชินในการจะได้อะไรมาโดยง่ายไม่ต้องลงแรงและความพยายามอย่างมาก
(ไอ้ประท้วงนั้น ตัวพี่ไม่ถือว่าเป็นการลงแรงลงความพยายามนะอีหนู)


การได้ครอบครองข้าวของจึงไม่ใช่ประเด็น
แต่การเรียกร้องให้ได้มา จนได้มาต่างหากคือประเด็น
ข้าวของพวกนั้นถึงได้ไร้ค่าทันทีที่ได้ครอบครองไงล่ะ




เมื่อมองภาพทับซ้อนมาสู่หลังจากได้รับเลือกเป็นนักล่าฝันซีซั่นเด็กน้อยนี่
มันก็เรื่องเดิม เรื่องเดียวกันของเกรบเลยล่ะ
เกรบถึงได้ไม่สู้เลย ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องที่ควรเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมันไม่ได้กลายเป็นเรื่องอันดับหนึ่งของเกรบอีกต่อไปแล้ว

เกรบก็เริ่มพุ่งประเด็นไปเรื่องอื่นๆแทนไปเรื่อยๆ
รับรองเลยว่าถ้าเรื่องที่พุ่งประเด็นไปนั้นเกิดสำเร็จขึ้นมาอีก
เรื่องนั้นก็กลายเป็นสำรองอันดับสองสามลงไปตามเคยๆ
จากนั้นก็กลับไปแสวงหาเรื่องราวใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป


แต่สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเกรบไว้ก็คือ ข้าวของน่ะมันไม่มีชีวิตจิตใจ
แต่เมื่อไรหนูก้าวมา ‘เล่น’ กับคนที่มีชีวิต เล่นกับหัวใจคน

มันอันตรายนะเกรบ
...เพราะสุดท้ายแล้ว หนูอาจไม่เหลือใครเลย





พอเราเริ่มเอาเด็กน้อยสองคนระหว่างเกรบกับนัตตี้มาเปรียบกัน


นัตตี้น่ะแม้ตอนนี้จะยังไม่มั่นคง โอนเอนง่ายดายตามแรงของอารมณ์
แต่สักวันเมื่อตั้งหลัก หยั่งรากลงลึกได้
เด็กที่เป็นดั่งไม้เนื้อแข็งแบบนี้ จะสามารถงอกงามและเติบใหญ่กลายเป็นไม้เนื้อดีได้ไม่ยาก
แถมยังกลายเป็นหลักให้ใครต่อใครได้อีกด้วย


แต่เกรบ เด็กที่เหมือนแกร่งกว่า ใจแข็งกว่า ดื้อกว่าแบบนี้ล่ะ
เรากลับเห็นแต่ความอ่อนยวบในตัวตนและใจของเด็ก
เป็นเด็กที่เปราะแต่กลับใช้เกราะกระด้างมาบังไว้
เพราะงั้นถ้าโดนชนแรงๆ น้องก็หักกลางได้ง่ายกว่า
ถึงฝืนลุกขึ้นมาได้ก็ยืนหยัดได้ไม่นานและรอวันล้มอีกจนได้
ด้วยเรามองน้องเป็นเหมือนไม้เนื้ออ่อน ต้องให้ความรักและความทะนุถนอมเป็นพิเศษเพื่อประคบประหงมให้เติบโต
แม้พอจะยืนหยัดสู้แดดลมได้ แต่อาจไม่มีวันสู้ลมพายุหนักไหว จึงต้องหามือคอยประคองเอาไว้จนชั่วชีวิต



เด็กสิบห้าสองคน ต่างวิธีการจัดการหัวใจตัวเอง
ทำคนนั่งมองอย่างเรา....







โลกใบนี้อยู่ยากขึ้นทุกเจนเนอร์เรชั่น
แต่ไม่ว่าจะเจนไหน เด็กมักเป็นฝ่ายเจ็บกว่าเสมอ




Create Date : 04 สิงหาคม 2553
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 12:48:21 น. 6 comments
Counter : 581 Pageviews.

 
เด็กหนอเด็ก

คนเป็นพ่อเป็นแม่ เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ความรักเยอะๆนะ



โดย: บางส้มเปรี้ยว วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:13:51:46 น.  

 
....การที่คนหนึ่งคนรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือขัดหูขัดตาใครบางคนขึ้นมานั้น
สาเหตุหนึ่งเลยมันอาจเป็นเพราะว่า คนคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรใกล้เคียงกับเรามากที่สุด.....

เอิ่มม ... ค่ะ เพิ่งทราบ ทราบแต่ว่าเรามักจะถูกชะตากับคนที่มีอะไรคล้าย ๆ เรา เพราะคนเรามักหลงตัวเอง ... เช่น เนื้อคู่ ที่มักจะชอบ สะดุดตากับคนที่หน้าตาคล้าย ๆ กัน

... โดยที่แท้จริงอาจเป็นความอิจฉาจนต้องนับถือในการที่คนคนนั้นสามารถแสดงออกได้อย่างโจ่งแจ้งก็เป็นได้ ...
คล้าย ๆ นิวตี้ กับนุกนิกหรือเปล่าคะ

เฮ้อ อยากจะเข้าใจเด็กทุกคนในโลกซะจริง ๆ

แต่คงยากนะคะ เด็กร้อยคนก็พันแบบเลยเชียว


โดย: for Family วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:21:18:29 น.  

 
คุณคิว...
ขอบคุณที่หันมามองน้องเกรปอย่างจริงจัง
ขอบคุณที่เข้าใจน้องเกรปทะลุไปถึงหัวใจ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ...

ทั้งนี้และทั้งนั้น... พี่ติดตามน้องมาร์คและน้องเบน
แต่เอ็นดูเจ้าเกรปเต็มหัวใจค่ะ
สงสารปนขำ...ทุกครั้งที่เห็นความพยายามที่จะเชิดหน้าบอกทุกคนว่า "ฉันไม่แคร์"
และอ้างว้างไปกับน้องทุกครั้งที่ได้เห็นแววตาคู่นั้น...




โดย: lannapat วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:22:27:23 น.  

 
จากความเห็นคุณfor Familyทำเอาเราอยากคุยต่อเลยค่ะ

คือตัวเราน่ะโตมากับการดูซิทคอมกับซีรี่ส์อเมริกันมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ
เรื่องราวที่ชอบมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิทยา ทนายความ การเมือง ไม่ก็พวกหมออะไรเทือกนี้

ซึ่งมันจะมีปัญหาครอบครัวแทรกอยู่เยอะมาก จนเรียกว่าเราปลงกับชีวิตทีเดียวเลย


แล้วมันจะมีปัญหาหนึ่งที่ทางผู้สร้างมักเอามาเป็นประเด็นอยู่บ่อยๆก็คือ ผู้หญิงที่ทนอยู่กับผู้ชายที่ทำร้ายตัวเองอย่าซ้ำซาก
แม้บางทีถูกช่วยไป หรือตัวเองหนีไปเองด้วยซ้ำ
แต่มีไม่น้อยเลยที่สุดท้ายก็กลับมาซบอกไอ้คนที่ทำร้ายตัวเองอีกจนได้

หรือไม่ก็ผู้ชายนิ่มๆอ่อนๆยอมอยู่กับผู้หญิงเจ้าอารมณ์ กดขี่ ไม่ให้เกียรติตัวเองสักนิด

เราไม่เคยเข้าใจประเด็นนี้เลยค่ะ คือสงสัยในทั้งสองฝ่ายเลยว่าทนอยู่กันไปทำไม
บางครั้งบอกว่าไม่มีทางเลือก แต่มันกลับเห็นเป็นว่าไม่ยอมเลือกเองมากกว่า


เราเคยคุยประเด็นนี้กับพ่อ
พ่อเราอธิบายว่า คำว่าส่วนเติมเต็มของกันและกันน่ะ มันไม่ได้หมายถึงแง่บวกแง่เดียว

คนบางคนเขาเห็นตัวเองจากอีกฝ่าย
ตัวตนที่เขาอยากเป็นแต่เป็นไม่ได้
ตัวตนที่เขาเกลียดและปฏิเศษที่จะเป็นแต่กลับโหยหาอยู่ลึกๆ

มันเลยเกิดทั้งแรงดึงดูดและแรงผลักดัน
ซึ่งมันจะเกิดในรูปแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราถูกหล่อหลอมมาแบบไหน

การที่โมลจะหลอมตัวเองให้สมบูรณ์แบบในเบ้าหลอมที่บิดเบี้ยวนั้น
มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งกำลังกายและใจเป็นพิเศษ
เพราะฉะนั้นเราถึงเห็นการยอมแพ้ ปล่อยตัวเองโดยไม่คิดต่อสู้มากกว่า

บางทีเราว่ามันถึงต้องใช้คำว่า "โชคช่วย" ด้วยซ้ำ
โชคดีพอเจอไฟ เจอเบ้าหลอมใหม่อีกครั้งให้ออกมาเข้ารูป ไ ม่บิดเบี้ยว

แต่หลายครั้งเหลือเกินที่เรารับรู้มาว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะโชคดีขนาดนั้น

คนที่พร้อมให้ความเข้าใจ อีกทั้งพร้อมยื่นมือมาให้ความเข้าใจกับคนที่พร่องน่ะมันหายากขึ้นทุกวัน
เพราะโลกปัจจุบัน ต่างคนต่างพร่องต่างกันไป
แค่ต้องรับมือเรื่องราวของตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมอบให้กับคนที่ต้องใช้เวลาอีกทวีคูณในการให้ความเข้าใจล่ะ


ไม่รู้ทำไมปีนี้เราเขียนแต่เรื่องหนักๆก็ไม่รู้
ทุกซีซั่นเราใช้afในการศึกษาคนก็จริง แต่มันก็ต้องแทรกเรื่องบันเทิงเริงใจบ้างสิ

ปีนี้ผ่านไปครึ่งทาง ทำเอาเราโรคกระเพาะถามหาเลย



พี่lannapatคะ คิวค่อนข้างขัดใจพี่เนอะ เชียร์ไม่ค่อยตรงกันเล้ย ตั้งแต่ผ่านเจอพี่นัทกับกาต้อลไปแล้ว
ไม่รู้ว่าจะหาเด็กที่มีเสน่ห์แบบเด็กสองคนนี้ได้อีกไหม

ขออะไรสนุกๆให้คิวบ้างเต๊อะ เค้าอยากเขียนอะไรตลกๆจะแย่แล้ว


หนูผึ้ง อย่าเครียด อย่าเครียดน้อง ทุกเรื่องมันจะผ่านไป
เอามาตอบตรงนี้ เด๋วจบแล้วพี่จะเข้าไปหาที่บล็อก ไปนั่งปลอบใจให้เอง


โดย: Quaver วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:11:43:32 น.  

 
คุณคิว...หลังจากพี่นัทกะน้องต้อลแล้ว
พี่ก็ดูเอเอฟเจ็ดนี่แหละ...ห้ากะหกไม่ได้แตะเลย

คุณคิวไม่ได้ขัดใจพี่หรอก..เพราะพี่ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรกับการดูเอเอฟแล้ว
มันถึงจุดที่ว่า...ไม่ได้ดูก็ไม่เป็นไร ขอเปิดดูแค่คอนเสิร์ตวันเสาร์ก็พอใจแล้วล่ะ

กับเด็กๆ ก็รู้สึกดีกับทุกคนแหละ
สงสารเด็กน่ะ...มาอยู่ในสปอตไลท์ จะทำอะไรก็อยู่ในสายตาของสาธารณชนไปเสียทุกประการ

เคยคุยกะพี่นัท ถามเค้าตรงๆ เรื่องที่อยู่ในบ้าน..อยากกลับเข้าไปอีกหรือเปล่า?
คำตอบคือ "ไม่อยากกลับไปอีกเพราะอยู่ในนั้นมันกดดันมากมาย"
นี่คือความรู้สึกของพี่นัท ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสุขุม มีวุฒิภาวะสูง สำหรับคนอายุแค่ 25 (ตอนที่คุยกัน ๕๕๕+)

พอมาถึงซีซั่นนี้.. เลยมองเด็กทุกคนอย่างเห็นใจ...ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็ตาม
ตั้งแต่วีหนึ่งถึงวีสิบสาม เชื่อว่าทุกคนมีความกดดันเท่าเทียมกันหมด... เพียงแต่บางคนสามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้มากกว่าคนถัดไป
ดู range อายุแล้ว..ก็ไม่ได้ต่างกันมากเลย จาก 15 ถึง 22 เนี่ย
ก็เข้าใจเด็กสิบห้าว่าต้องมีงอแงง้องแง้งมั่ง.. โดยวัยของพวกเค้ายังสามารถทำเช่นนั้นได้และดูไม่น่าเกลียด
ในขณะเดียวกันก็เห็นใจรุ่นพี่อีกสองสามคนที่เหมือนจะต้องรับภาระพี่ใหญ่ของบ้านกันไปโดยปริยาย..ทั้งๆ ที่ตอนอยู่บ้านตัวเอง อาจจะอ้อนพ่อแม่ไม่ต่างกับละอ่อนน้อยที่เหลือ

คิดได้แบบนี้...ปีนี้เลยดูเอเอฟแบบ..สบายใจ

แต่มาตกม้าตายตอนเข้าไปตามข่าวน้องมาร์คในพันทิป เลยอ่านกระทู้โน่นนั่นนี่ไปด้วย...ทำเอาเกิดอาการปรี๊ดบ้างในบางครั้ง แต่ไม่รุนแรงเท่าสมัยเอเอฟสี่ (กร๊ากกก)

อย่างที่บอกคือ ณ เวลานี้ เด็กทุกคนน่าสงสาร
ถูกด่าถูกวิจารณ์สารพัด จะให้ได้ดั่งใจท่านผู้ชมไปทุกอย่าง ซึ่งมันคงเป็นไปได้ยากมากเนาะ

กระทู้ที่ชื่นชมเด็กก็มี...ข้อนี้ดีมากๆๆ
จะขัดใจก็ไอ้กระทู้ที่อวยเด็กตัวเองแล้วเหยียบย่ำเด็กคนอื่นในเวลาเดียวกัน...พวกนี้แหละที่เห็นแล้วปรี๊ดแตก... ฮาาาาา

นัตตี้สำหรับพี่ก็เป็นเด็กสิบห้าที่ต้องการความสนใจและใส่ใจจากคนรอบข้าง ... ด้วยความที่น้องผ่านความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากเยอะ ทำให้น้องเรียนรู้ที่จะเซฟตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน ด้วยการทำดีกับคนรอบข้าง ด้วยความหวังแบบเด็กๆ ว่า เราดีกะเค้า เค้าก็ดีกะเรา..
ในตอนแรกๆ อาจจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ แต่อาศัยลูกตื๊อและลูกอ้อน...สุดท้าย ทุกคนก็ยอมรับนัตตี้ได้แล้ว ...

สำหรับเกรป...เด็กสิบห้าอีกคนผู้ซึ่งโหยหาความรักและความใส่ใจจากคนรอบข้างไม่น้อยไปกว่านัตตี้เลย ... แต่เกรปไม่เหมือนกับนัตตี้ตรงที่ว่า น้องก่อกำแพงแก้วเจ็ดชั้นล้อมรอบความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างแน่นหนา.. เละพยายามเมินเฉยกับความรู้สึกโหยหาของตัวเองด้วยการเชิดหน้าและทำท่า "ฉันไม่แคร์"
ปัญหาของเกรปไม่มีใครช่วยได้ นอกจากจะช่วยกล่อมให้น้องได้เรียนรู้ว่า เราควรจะเปิดใจให้คนอื่นได้รู้ว่าเราต้องการอะไร ไม่ใช่ให้เค้าเดินวนหาหนทางรอบกำแพงเจ็ดชั้นนั้น... ก็นะ ..ค่อนข้างจะเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสอยู่ แต่พี่ก็หวังว่าสักวัน น้องจะทะลายกำแพงนั้นได้ และวันนั้น จะเป็นวันที่ดอกไม้บานของเกรป
พี่ภาวนาให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ ...

เด็กอีกสิบคนที่เหลือก็น่ารักกันทุกคนเนอะ...
เพียงแต่มันไม่มีอะไรจะให้เขียนตลกๆ แบบเอเอฟสี่จริงๆ แหละ...
คิดถึงมุข.. ปั้นข้าวเหนียวลูบควายขึ้นมาทันที
๕๕๕+


โดย: lannapat วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:18:18:15 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณคิว

คุณคิวมีพ่อที่มีหลักจิตวิทยาดี ๆ เป็นแบบอย่างนี่เอง

ตอนนี้เราสนใจอยากอ่านพวกจิตวิทยาเด็ก ไว้ค่อย ๆ เรียนรู้ ๆ และอาศัยลักจำจากคุณคิวในทุกซีซั่นเนี่ยแหละ

ไม่รู้ว่าเรารู้สึกถูกหรือเปล่า แต่เราจะเศร้าและร้องไห้ตามทุกครั้งที่ดูเกรปร้องเพลงให้แม่ ตั้งแต่ซ้อมใหญ่ จนคอนเสิร์ต แปลกที่เราไม่ได้ซึมซับความรู้สึกของนัตตี้ได้ เพราะนัตตี้บอกว่าเธอไม่ได้เป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นกระมังคะ แต่เกรป .. เธอขาดเต็ม ๆ

คอนเมื่อวาน ตอนเกรปเริ่มร้อง เรารู้สึกว่าเกรปน้อยใจที่แม้วันนี้แม่ก็ไม่มา .. ถึงจริง ๆ แล้วแม่จะมา แต่เกรปก็ยังงง อึ้ง และทำตัวไม่ถูก กอดแม่แบบแข็ง ๆ จนขืนในตอนท้าย

บางคนในพันทิปมาว่า ... แต่เราว่าเราเข้าใจ

อาจจะไม่ใช่คนดีนักที่คิดไม่รักแม่ ... แต่จะเอาอะไรมากกับเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กที่ถูกกระทำ

เราไม่ได้โทษแม่นะคะ เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่เกรปก็ย่อมมีเหตุผลของเกรปใช่ไหมคะ


โดย: for Family วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:14:07:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.