ท่านเจ้าพระยาเสนาบดีกลาโหม ร่างสูง สง่า เส้นผมท่านหงอกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ดูกลมกลืนไม่น่าเกลียด หนวดที่คลุมริมฝีปากข้างบนโค้งลงมาตามรูปริมฝีปาก ทำให้ดูเหมือนท่านเป็นคนดุ น่าเกรงขาม แต่น้ำเสียงของท่านที่พูดเบาๆ เรียบๆ นุ่มนวล เรียกผมให้เข้าไปหา
"หนู...........เข้ามานี่" สีหน้าของท่านเฉย ใบหน้าของท่านน่าเกรมขามยิ่งนัก แต่น้ำเสียงของท่านราบเรียบไม่ดัง แต่เด็ดขาดอยู่ในที จนผมต้องก้าวขาเข้าไปหา ทั้งๆที่ใจประหวั่นพรั่นกลัวอยู่เป็นอันมาก
กลัวอะไร ?
ก็สง่าราศีของท่าน ภาพถ่ายของท่านถือคฑาในชุดจอมพลแห่งกองทัพบกของกรุงสยาม (ขณะนั้นประเทศไทยยังเป็นประเทศสยาม) จอมพลจะมีอยู่กี่ท่านในขณะนั้น ผมเป็นเด็กเกินไป ไม่ทราบ แต่สำหรับท่านเสนาบดีผู้นี้ ภาพถ่ายของท่านติดอยู่ที่ข้างฝา ท่านให้แม่ผมไว้เป็นที่ระลึก พร้อมด้วยลายเซ็นงดงามของท่าน
แม่บอกว่า ท่านสามารถสั่งยิงเป้าใครก็ได้ ในสงคราม ท่านเป็นใหญ่ยิ่งกว่าใครๆในกองทัพ ยกเว้นในหลวงพระองค์เดียว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยะมหาราชนั้น ท่านงามสง่ากว่าใครๆทั้งสิ้น ท่านเสนาบดีกลาโหมผู้นี้ก็มีความสง่างาม ภาคภูมิสมเป็นข้าทหารของพระพุทธเจ้าหลวงยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้เด็ก ๖-๗ ขวบ เคยอยู่แต่ในรั้วบ้าน ไม่เคยโผล่ออกไปเห็นโลกภายนอกเลย อดที่จะตกอกใจอย่างไรได้เมื่อท่านเรียกให้เข้าไปหา ด้วยลักษณะขึงขังจริงจังเช่นนั้น ใจคอมันเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว
จริงอยู่ท่านเคยมาที่บ้านนานๆครั้ง มาเยี่ยมพ่อซึ่งไม่สบาย แต่พวกเราพี่ๆน้องๆไม่เคยมีใครบังอาจออกไปรับหน้าเสนอหน้า ได้แต่แอบดูอยู่ไกลๆ ตามหลังเก้าอี้บ้าง ข้างฝา ข้างประตูบ้างตามแต่จะมีโอกาสเลือกได้
ขณะที่ผมดูอยู่ห่างๆ โดยคิดว่าท่านจะไม่เหลียวมาเห็นนั้น ท่านกำลังพรวนดินใต้ต้นแยม ซึ่งมีใบเป็นจักๆเล็กๆ ต้นไม่ใหญ่โตอะไรนัก ท่านปลูกเป็นแถวยาวบนหลังร่อง มันกำลังออกลูกเป็นสีแดงคล้ายๆดีปลีสุก มีขนนิดๆ รสเปรี้ยว ที่ผมรู้รสเพราะทหารรับใช้เคยเด็ดมาให้ลองชิม ในขณะมี่ท่านมิได้ปลูกต้นไม้
ท่านมักจะนุ่งกางเกงแพรดำ สวมเสื้อผ้าป่านบางๆ แขนเลยข้อศอกนิดหน่อย ผ่าอกตลอดแบบกุยเฮง แต่ไม่เจาะรังกระดุม ใช้กระดุมถักแบบเสื้อกุยเฮงของคนจีน
มองดูไกลๆ ถ้าไม่มีใครรู้จักก็นึกว่าเป็นคนแก่ชาวสวนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
แม้แววตาของท่านมีประกายกล้า บ่งบอกความมีอำนาจ แต่ก็เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีปนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก น้ำเสียงของท่าน ช่างราบเรียบนุ่มนวลเหลือเกิน น่าเกรงขาม และน่าฟังระคนกันอย่างบอกไม่ถูก
ผมก้าวเข้าไปหาท่าน ไม่ทราบด้วยอำนาจอะไร ท่านยิ้มแล้วถามว่า "ชอบกินลูกแยมนี่ไหม ?" ผมไม่ทราบว่าตัวเองตอบว่า "ครับ" หรืออะไรออกไป จำเสียงตัวเองไม่ได้และจำประโยคที่ตอบไม่ได้ เป็นความจริงมันประหม่าอะไรยังงั้นก็ไม่ทราบ
ท่านกำลังนั่งยองๆอยู่ ท่านลุกขึ้นยืนจึงเห็นว่าท่านสวมรองเท้าคีบ คล้ายๆพระสวม ท่านส่งมีดตาขอ ตรงนี้ต้องอธิบายสักหน่อย เป็นมีดด้ามยาวประมาณศอกหนึ่ง ตัวมีดยาวประมาณคืบเดียว ท่านส่งมีดให้พลทหารรับใช้ ไปตัดใบตองเพสลาด คือ ไม่อ่อนไม่แก่มาครึ่งยอด
ทหารรับใช้แต่งตัวกางเกงสีกากีครึ่งท่อนสวมเสื้อคอกลมผ้าดิบอย่างที่กรมทหารเขาแจกแก่ทหารทั่วไป
เมื่อทหารรับใช้ส่งใบตองให้ ท่านก็ไปที่ต้นลูกแยม เก็บลูกแก่ๆสีแดงเข้มคล้ายสีเปลือกลิ้นจี่ เก็บใส่ยอดตองซึ่งท่านทำเป็นกรวย ท่านเก็บอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ค่อนกรวยประมาณหลายสิบลูก แล้วส่งให้ผมบอกว่า "เอาไปจิ้มเกลือกับน้ำตาลกินอร่อย"
ผมไหว้ท่าน และไม่ได้ตอบว่ากระไร มันพูดอะไรไม่ออกจริงๆ คิดอะไรก็ไม่ทัน พอรับห่อกรวยลูกแยม ก็รีบเดินกลับบ้าน
ดีใจจนหน้าบาน เพราะได้ลูกแยมของโปรค ที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้แต่ พอแม่เห็นเข้า แม่ลูบอก ร้องว่า
"ตายจริง ไปเก็บลูกแยมของท่านมาทำไม ?" เสียงแม่ทั้งตกใจและโกรธ ลงแบบนี่ละก้อมีหวังขาลายด้วยไม้เรียวเป็นแน่ ถ้าหากเรื่องมันเป็นไปตามที่แม่คิดว่าผมไปเก็บมาเองโดยพลการ
ผมบอกแม่ว่าท่านเก็บให้ด้วยมือของท่านเอง โดยผมไม่ได้ขอหรือทำท่าว่าอยากได้ แม่คงจะทราบถึงความใจดีของท่าน จึงพยักหน้า และกำชับว่าอย่าไปยุ่งใกล้ๆสวนของท่าน หมายถึงสวนตัวอย่างเล็กๆที่ท่านออกมาปลูกต้นไม้ และไม้ดอกเล่นเป็นงานอดิเรกนั้น
แม่รู้ว่าลูกของของแม่ไม่ขโมยของของใคร หรือเก็บเอาโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็มันเรื่องอะไรต้องทำเช่นนั้น ต้นไม้ดอกไม้ในบ้านก็ถมไป
โรงเรียนปิดเทอม พวกพี่ๆอยู่กันพร้อมหน้า พวกผู้ชายก็มักจะพาไปซน ความซนนั้นมีตามขนาดของอายุ คนโตๆก็ปีนต้นชมพู่ เก็บชมพู่มากินกับพริกกะเกลือบ้าง ช้อนกุ้งช้อนปลาที่ปากท่อบ้าง ปลาที่ได้ก็มักเป็นพวกปลาบู่ ปลาช่อนตัวย่อยๆ บางทีก็ไปเจอะเอาปลาไหล
ทิดฟักมีวิธีดักปลาไหลที่แยบยล คือใช้ลัน เป็นกระบอกไม้ไผ่ เอาหอยโข่งต่อยเอาแต่เนื้อทำเหยื่อล่อ ปลาไหลแถบท้ายสวนตัวโตๆ มีชุกชุม ดักได้วันละ ๓-๔ ตัวเสมอ
แกงปลาไหลนั้น แม่ห้ามไม่ให้กิน ว่ามันน่าเกลียดเหมือนงู พอได้ปลาไหลแล้วเขามักจะเก็บรวบรวมไว้โดยใส่โอ่งปิดฝาให้สนิท และเอามันแกงตอนวันหยุดงาน มีพ่อม้วน ทิดฟัก แบน ตาสุ่ม ใครต่อใครมาร่วมวงกินแกงปลาไหล มีเหล้าปนด้วยแกงปลาไหลนั้น เขาว่าเหยาะกัญชาลงในน้ำพริกแกงแล้วทำให้รสชาดดีขึ้น
เท็จจริงยังไงไม่ทราบ ผมลองชิมแต่น้ำแกงคลุกข้าว แต่ต้องแอบกินไม่ให้แม่และย่าเห็น ถ้าเห็นถูกดุ บางทีอาจถูกเฆี่ยนเพราะแม่ไม่ชอบ ว่าเป็นสัตย์น่าเกลียดคล้ายงู
แกงปลาไหลรสทั้งเผ็ดทั้งร้อน คงแก่พริก หรือร้อนผงกัญชาก็ไม่ทราบ เจ้ามือกัญชาคือตาสุ่ม เพราะแกมีไว้สูบเป็นประจำอยู่แล้ว เวลาสูบกัญชาเสร็จตาสุ่มหัวเราะเอิ้กอ้ากอารมณ์ดีนัก ใครจะว่ากล่าวยังไงไม่โกรธ แต่เวลาแกหิวกัญชา ใครยั่วไม่ได้ อารมณืเสียทุกที
วิธีดักปลาไหล นอกจากใช้ลันแล้ว ตาฟักยังใช้กรงดักหนู เป็นกรงลวดแบบที่มีบันไดให้หนูไต่เข้าไปกินเหยื่อซึ่งใส่ล่อไว้ข้างใน หนูตกลงไปแล้วลิ้นกลมันปิด หนูออกไม่ได้
ปลาไหลก็เช่นเดียวกับหนู มันหาทางเข้าไปข้างในเพื่อกินเนื้อหอยโข่งที่เขาล่อไว้ แล้วเลยถูกลิ้นกลของกรงหนูปิดขังออกไม่ได้
ย่าบ่นว่ากรงดักหนูของย่าหายไปบ่อยๆ ผมรู้ว่าคนแอบหยิบไป คือทิดฟัก แต่ไม่กล้าบอก กลัวทิดฟักโกรธ แกว่าถ้าทำให้แกโกรธโดยบอกย่า แกจะไม่ยอมให้ทำข้าวตังกะทิในกะทะหุงข้าว พวกเรากลัวคำขู่ของแกเพราะอยากกินข้าวตังกะทิบ่อยๆ
การกินเหล้ากินยา ต้องไปแอบทำทีปลายสวนนอก เพราะพ่อไม่อนุญาตให้มีการกินเหล้ามั่วสุมกันหลายๆคน พ่อไม่ชอบคนกินเหล้า ไม่ชอบพวกขี้เมา เพราะฉะนั้นพวก ๔-๕ คนนั้น ต้องแอบไปกินให้พ้นหูพ้นตา กินแล้วต้องทำกิริยาสงบเสนี่ยม จะเดินทำโซเซ พูดจาเอ็ดตะโรไม่ได้เป็นอันขาด แต่ขณะที่กินเหล้ากันนั้น เขาก็พูดคุยหัวเราะกันสนุก เพราะอยู่ห่งไกลไม่มีใครได้ยิน พอกลับบ้านก็สงบเรียบร้อย ไม่แสดงกิริยามึนเมาให้เห็น เพราะกลัวถูกดุ
ที่ปลายสวนมีอาณาเขตติดต่อกับสวนแขก สวนแขกนั้นเป็นสวนรก หญ้าคาและต้นเลาขึ้นเป็นพงสูงท่วมศีรษะ มีเนื้อที่ประมาณ ๗-๘ ไร่ เป็นสวนของท่านเจ้าคุณใหญ่ ท่านเป็นทหาร ผมไม่ทราบนามของท่าน เพราะเขาเรียกกันว่าสวนแขก ด้วยพวกมาเช่าที่ดินเลี้ยงแพะเป็นฝูงๆ แต่เลี้ยงตอนด่านหน้าซึ่งอยู่ติดกับคลองวัดดอกไม้ แขกอยู่กันมากคน บางคนรับจ้างเฝ้ายามตามโรงงาน ตามสถานที่ราชการห้างร้านต่างๆ สมัยก่อนนั้นเขาใช้แขกเฝ้ายามแทนตำรวจ
แขกบางคนก็เลยถือโอกาศตอนกลางวันไม่ได้ไปเฝ้ายามเลี้ยงแพะ ขายทั้งตัวและขายนม แต่สมัยก่อนคนกินนมแพะยังมีน้อย แขกพวกนี้ไม่ค่อยกินเส้นกับแขกหมอผัวแม่โนรี แขกหมอเลี้ยงวัวเป็นฝูง ขายนมวัวและวัวตัวผู้ ส่วนตัวเมียมักเอาไว้ทำพันธ์ขายนม ผสมลูกต่อไป
แขกหมออาศัยที่ป่าช้าวัดดอกไม้อยู่ หรือจะเสียค่าเช่าให้วัดอย่างไรไม่ปรากฏ แต่วัวของแขกหมอนั้นปลูกโรงเรือนให้อยู่ติดๆกับ "สามส้าง" ที่เผาผี ใกล้ๆสามส้างเป็นที่ฝังศพ ฝังกันตื้นๆ ใส่โลงก็มี ชนิดใส่เสื่อม้วนๆแล้วฝังก็มี ที่ใส่โลงนั้นมีน้อย คงไม่ค่อยมีเงินซื้อโลงนั่นเอง
ปลาไหลมันชอบกินผี นี่เป็นความจริง ในบริเวณป่าช้า มีปลาไหลชุมมาก ตัวอ้วนเหลือง เขาว่าที่ใกล้ๆหลุมฝังศพ ถ้าขุดลงไปจะพบปลาไหลจำนวนมาก
เรื่องนี้ลุงรอด นายป่าช้าใหญ่เป็นผู้ล่า รับรองและสนับสนุนโดยตาปั้นหัวล้าน ผู้ช่วยนายป่าช้า สองคนนี่เป็นเกลอกับผี บอกว่าไม่เคยถูกผีหลอกเพราะผีมันกลัว
ผมชอบคุยกะลุงรอดและตาปั้น บ้านตาปั้นแกอยู่หน้าบ้าน ภรรยาตาปั้นชื่อยายอิ่มมีชื่อเสียงในการทำขนมจีนน้ำยา อร่อยยิ่งนัก มีคนบอกว่าตาปั้นแอบเอาเนื้อผีผสมลงไปในน้ำยาด้วย
ตาปั้นหัวเราะหึๆ บอกว่าเวลาเมียแกปรุงน้ำยาแกไม่เคยให้ตาปั้นเข้าไปใกล้ๆ หม้อน้ำยาของแกเลย ตำน้ำพริก ขูดมะพร้าว คั้นกะทิ แกทำคนเดียว ปรุงคนเดียวตลอดรายการ
เวลาแม่ทำงานใหญ่ๆทำบุญ หรือไปช่วยงานก็มักเอายายอิ่มไปเป็นลูกมือ เพราะยายอิ่มนั้นอายุเกือบ ๖๐ ปีก็จริง แต่ยังแข็งแรง รูปร่างผอมเกร็ง และแต่งตัวสะอาดอยู่เสมอ ทำขนมเก่ง หยิบทองหยิบสวย ฝีมือทำกับข้าวอร่อย ขนมจีนน้ำยายายอิ่มนั้น หม้อไม่เล็กเลย แต่ขายไม่ถึงบ่ายก็หมดทุกวัน ใครๆก็ชอยรับประทานฝีมือแกทั้งนั้น
แม่มีเตารีดทองเหลืองย่อยๆอยู่อันหนึ่ง สำหรับรีดใบตอง และใบบัวเวลามวนบุหรี่ วันหนึ่งแม่หยิบเตารีดออกมาเช็ดละออง ผมถามแม่ว่าจะมวนบุหรี่อีกหรือ แม่ตอบว่าจะมวนอีก ผมก็ถามว่า แม่มวนบุหรี่ให้ท่านเสนาบดีกลาโหมทำไม ในเมื่อพ่อก็ไม่สูบบุหรี่ ? แม่ยิ้มบอกว่า แต่ก่อนพ่อสูบบุหรี่กลีบบัว ซึ่งแม่มวนให้ ต่อมาเมื่อ ๒ ปีนี้ หมอห้ามสูบ เพราะหลอดลมไม่ดี สูบแล้วไอ พ่อจึงเลิกสูบชั่วคราว แต่ก็ต้อวมวนไว้รับแขก แม่สั่งว่าพรุ่งนี้อย่าไปไหน แม่จะใช้ให้รีดกลีบบัวมวนบุหรี่
ผมจะเล่าเรื่องมวนบุหรี ให้ฟังตอนต่อไป----
หมูอ้วน ชวนมาอ่าน
ป้ากุ๊กรีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม
รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม
รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม
รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิม รีบเจิมจ้าาาาาาา