“ไอน์สไตน์” มีไอคิวเท่าไร
นิตยสารไทม์ยกย่องให้ไอน์สไตน์เป็น "บุคคลแห่งศตวรรษ" ก่อนจะไขข้อข้องใจเรื่องไอคิวของไอน์สไตน์ คงต้องขยายความถึง “ไอคิว” เสียก่อน
ไอคิว (IQ) ย่อมาจาก Intelligence Quotient คือ ความฉลาดทางด้านความคิด ความอ่าน และการกระทำ หรือรวมเรียกว่า ความฉลาดแบบโดยรวมอะไรก็ได้ เช่น เรื่องเรียน ดนตรี หรือกีฬา คำนี้ได้รับการบัญญัติขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18
เรายึดตัวเลข 100 เป็นระดับไอคิวเฉลี่ยของคนปกติ คิดตามหลักสถิติแล้ว และคนส่วนใหญ่หรือ 68% ของประชากรทั้งหมด มีไอคิวอยู่ที่ระดับ 85 – 115 ถ้าสูงกว่านั้นถือว่าเป็นผู้ “มีพรสวรรค์” ส่วนอัจฉริยะมีไอคิวตั้งแต่ 145 ขึ้นไป
แม้คนส่วนใหญ่จะยอมรับว่าไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะ แต่มีการคำนวณออกมาว่าระดับไอคิวของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 160 เท่านั้น ซึ่ง "ไอน์สไตน์ยุคใหม่" อย่างสตีเฟน ฮอว์กิง ก็มีไอคิวในระดับเดียวกัน ซึ่งยังน้อยกว่านักการเมือง ศิลปิน หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่โด่งดังคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
ไหนๆ ก็พูดเรื่องไอคิวขึ้นมาแล้ว คงต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อว่า คนที่มีไอคิวสูงไม่ได้หมายความว่า จะประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป เพราะเคยมีงานวิจัยพบว่า ไอคิวมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิตเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ จึงมีผู้คิดค้นปัจจัยแห่งความสำเร็จขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ อีคิว (EQ)
อีคิว ย่อมาจาก Emotion Quotient คือ ความสามารถทางอารมณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ความสามารถในควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ได้อย่างหนักแน่น และคงเส้นคงวา รวมทั้งรับรู้อารมณ์คนอื่นและอารมณ์ตัวเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความกระตือรือร้นและมีแรงจูงใจสู่ความสำเร็จ
สุดท้ายขอแถมให้อีกสัก “คิว” เพราะเมื่อผู้เชี่ยวชาญพากันศึกษาต่อไปกลับพบอีกว่า คนที่มีอีคิวสูงก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป จึงเป็นเหตุจูงใจให้ ดร. พอล จี. สตอยต์ซ นักบริหารบุคคล ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า เอคิว (AQ)
เอคิว มาจากคำเต็มว่า Adversity Quotient หมายถึง ความสามารถที่จะเผชิญกับความยากลำบาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก้าวสู่ความสำเร็จ
หมายเหตุ: ยูเนสโกประกาศให้ปี 2005 เป็น “ปีฟิสิกส์สากล” เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้นำเสนอรายงานจำนวน 3 ใน 4 ฉบับ ที่ทำให้มนุษย์โลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาล ได้แก่ “ปรากฏการณ์ โฟโตอิเลคตริก” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล ส่วนอีก 2 ผลงานคือ “การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน” และทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งทำให้เกิดสมการอันลือลั่น E=mc2
ข้อมูลโดย : //www.manager.co.th ที่มา : //www.dmh.go.th ภาพจาก : //www.fotosearch.com
Create Date : 11 มีนาคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 11 มีนาคม 2554 20:23:21 น. |
Counter : 2369 Pageviews. |
|
|
|