Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
28 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
วิทยาศาสตร์ในขวดน้ำอัดลม

วิทยาศาสตร์ในขวดน้ำอัดลม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำอัดลมเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยม
ที่หลาย ๆ คนเลือกเป็นตัวเลือกแรกเมื่อกระหาย ผมเองก็เช่นเดียวกัน
ลองคิดถึงความรู้สึกเหนื่อย ๆ ร้อน ๆ แล้วได้ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ สักขวด รู้สึกว่าดื่มแล้วจะมีเรี่ยวแรง
ใครที่ออกกำลังกายมา ดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อย อิ่มเลยก็มี
บางคนถึงกับไม่ต้องทานอาหารมื้อนั้นเลยก็เป็นได้
แต่รู้หรือไม่ว่า องค์ประกอบของน้ำอัดลมนั้นมีอะไรบ้าง ทำไมดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเช่นนั้น

. . . ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมรสไหน ชนิดไหนก็มีองค์ประกอบหลักเหมือนกัน
คือน้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด

เมื่อเราทราบถึงองค์ประกอบของมันแล้ว เรามาวิเคราะห์กันดีกว่า ว่าสารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง
มีประโยชน์หรือเป็นโทษอย่างไร มีผลกระทบต่อร่างกายเราอย่างไร

. . . เริ่มจากองค์ประกอบแรกและเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของน้ำอัดลม คือน้ำนั่นเอง
ร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60-70% นอกจากน้ำจะทำให้เราสดชื่นแล้ว
น้ำยังเป็นตัวรักษาสมดุลต่าง ๆ ให้กับร่างกาย เช่น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่
เพราะน้ำมีความจุความร้อนมาก ช่วยละลายสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ
ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้ประโยชน์ได้
นอกจากนี้ยังช่วยในระบบขับถ่าย และเจือจางสารพิษที่ร่างกายได้รับอีกด้วย
แต่น้ำไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่อย่างใด

. . . ในน้ำอัดลมไม่มีสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมัน
น้ำตาลจึงเป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในขวดน้ำอัดลม เพราะเป็นสารที่ให้ความหวานและพลังงาน
น้ำตาลที่ใช้ในน้ำอัดลมคือซูโครส (น้ำตาลทราย) เป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
ซึ่งจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม ถ้าดูจากข้างขวดก็จะพบว่าในทุกๆ 100 ml จะประกอบด้วย
น้ำตาลประมาณ 10.6 กรัม (ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำอัดลม) ประมาณ 42.4 กิโลแคลอรี่

ถ้าเราดื่มน้ำอัดลม 1 ลิตร จะให้พลังงาน 424 กิโลแคลอรี่
ขณะที่โดยปกติร่างกายต้องการพลังงานวันละประมาณ 2000-2500 กิโลแคลอรี่ จึงทำให้เรารู้สึกอิ่มและสดชื่น
การที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าที่ร่างกายต้องการ อินซูลินจะทำงานหนัก
เพื่อที่จะเก็บน้ำตาลที่มากเกินพอในกระแสเลือดนั้น ในรูปของไกลโคเจนและไขมันใต้ผิวหนัง
เป็นเหตุให้เรามีน้ำหนักมากขึ้นและอ้วนขึ้นนั่นเอง

(ถ้าได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ 7700 กิโลแคลอรี่ ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม)
นอกจากนี้การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง
อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ

. . . ส่วนในเครื่องดื่มบางชนิด เช่น Light, Zero หรือ Diet นั้น จะใช้สาร (เคมี) ให้ความหวานแทนน้ำตาล
เช่น Aspartame, Sodium Saccharin ซึ่งจะให้ความหวานแต่ไม่ให้พลังงาน อันนี้ก็ต้องระวัง
เพราะสารให้ความหวานบางชนิดจะเป็นพิษต่อร่างกาย หรือเป็นสารก่อมะเร็ง
สารให้ความหวานที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นยังได้รับอนุญาตให้ใช้อยู่
เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าสารนั้นเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ในอนาคตอาจพบว่า
เป็นสารพิษเหมือนในอดีตที่เปลี่ยนสารให้ความหวานอยู่เสมอ เพราะพบว่าเป็นพิษก็เป็นได้

. . . กรดคาร์บอนิก เป็นองค์ประกอบที่ทำให้น้ำอัดลมซ่ามีฟอง และมีรสเปรี้ยวอ่อน ๆ
กรดคาร์บอนิกนั้นได้จากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยใช้ความดันสูงบังคับ (อัด) ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้

เพราะในสภาวะความดันปกติ คาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ละลายน้ำหรือทำปฏิกิริยากับน้ำเลย
แต่กรดคาร์บอนิกที่เกิดขึ้นนั้นไม่เสถียร คือสลายตัวได้ง่ายในสภาวะความดันปกติ
ยิ่งถ้ามีความร้อนด้วยจะยิ่งเร่งการสลายตัวให้เร็วยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสลายตัวของกรดคาร์บอนิก ก็คือน้ำกับคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง
ดังนั้นจึงต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดัน ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค
ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า “น้ำอัดลม
เมื่อเปิดขวดออก ความดันสูงในขวดก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ
จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวออกมาได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดฟองนั่นเอง
กรดคาร์บอนิกยังสามารถย่อยสลายหินปูนได้ จึงสามารถกัดกร่อนกระดูกและฟันได้เช่นกัน

. . . เช่นเดียวกับกรดฟอสฟอริก ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน
นอกจากจะทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังทำให้นอนหลับยาก ฟันผุ
อาจทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากฟอสเฟสไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน

. . . คาเฟอีนเป็นสารที่มีกลิ่นหอมและพบมากในชา กาแฟ
เป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงลง เมื่อได้รับคาเฟอีน ร่างกายจะมีความต้องการคาเฟอีนมากขึ้น
และถ้าหยุดบริโภคคาเฟอีนอย่างทันที อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนได้
การบริโภคคาเฟอีนมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดคาเฟอีนได้ ซึ่งจะปรากฏอาการต่าง ๆ
เช่นกระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับใจสั่น หรือแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ

เด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะทำให้มีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม
เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืนและง่วงนอนในเวลากลางวัน
ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง

. . . สารกันบูดหรือวัตถุกันเสีย ใส่เพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมได้นาน
ในน้ำอัดลมนิยมใช้กรดซิตริก (เป็นกรดที่อยู่ในมะนาว) หรือ Potassium Sorbate
สามารถป้องกันการเจริญของแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี
แต่เป็นกรดค่อนข้างแรง จะทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร
ส่วนสี กลิ่นและรส เป็นสารเคมีสังเคราะห์ทั้งสิ้น
สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าได้รับมากเกินไป ก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น


แนวทางในการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกต้อง
1. ไม่ดื่มในปริมาณมาก
2. ไม่ดื่มน้ำอัดลมระหว่างมื้ออาหารหลัก หรือดื่มในปริมาณน้อย
3. หลังดื่มน้ำอัดลม ควรบ้วนปากหรือแปรงฟันเสมอ เพื่อป้องกันฟันผุ
4. ไม่ควรดื่มบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ อาจทำให้กระเพาะเกิดแผลได้

. . . เมื่อทราบแล้วว่าน้ำอัดลมประกอบด้วยอะไรบ้างแล้ว
เราก็พอจะประเมินได้ ว่าน้ำอัดลมมีประโยชน์และมีโทษต่อร่างกายเราอย่างไร
การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี ก็สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายได้
ผมเพิ่งดื่มโคลามาขวดใหญ่ ผมต้องไปแปรงฟันก่อนแล้วล่ะครับ
ขอให้สุขสดชื่น (เหมือนดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ตอนอากาศร้อน ๆ) ตลอดปีใหม่นะครับ


โดย ภาณุพันธ์ ลิมปชยาพร

เอกสารอ้างอิง:
//www.horapa.com
//ns.yupparaj.ac.th/web4142/M402/402-06/menu4/menu4.html/
//www.wikipedia.org

ที่มา :
//www.vcharkarn.com
//library.uru.ac.th

ภาพจาก : https://www.youtube.com



Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 15:01:16 น. 2 comments
Counter : 2321 Pageviews.

 
ผลข้างเคียงของคนที่เป็นเบาหวานเวลาถอนฟันจะเกิดอะไรขึ้นคับ


โดย: ตั้ม IP: 202.91.18.201, 141.0.10.202 วันที่: 15 พฤษภาคม 2555 เวลา:22:28:17 น.  

 
ตอบคุณ ตั้ม ค่ะ
เนื่องจากคนที่เป็นเบาหวานนั้น แผลมักจะหายช้ากว่าคนปกติ
ควรปรึกษาทันตแพทย์และบอกให้หมอทราบด้วยว่าเป็นเบาหวานอยู่ด้วย
หากไปถอนฟันแล้ว ก็ควรดูแลและรักษาแผลที่ถอนฟันออกไปแล้วให้ดีเป็นพิเศษ
ทั้งไม่ให้ถูกกระทบกระเทือนและการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในช่วงนี้
เพื่อให้บาดแผลนั้นไม่มีอาการอักเสบเกิดขึ้น และทำให้หายได้เร็วขึ้นค่


โดย: ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง วันที่: 16 พฤษภาคม 2555 เวลา:13:44:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.