ภาษีทางอ้อมที่ไม่เป็นธรรมของหวย
การเล่นหวยมีประวัติมายาวนาน บังเอิญช่วงที่ผ่านมาบ้านเรามีเหตุการณ์สำคัญคือรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ได้ทำการยกเลิกหวยบนดินและมีข้อมูลว่าจะมีคนเดือดร้อนถึง 30 ล้านคน หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าการเล่นหวยจะมีช่องโหว่ด้านเศรษฐกิจอย่างไร
ก่อนอื่นผมขออนุญาติคัดตัดทอนเรื่องหวยจากหนังสือ "พม่าเสียเมือง" โดย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ดังนี้ "ในขณะนั้นเงินทองในท้องพระคลังของพระเจ้าสีป่อหร่อยหรอจนเกือบจะไม่มีเหลือ.... ในวังนั้นก็มีงานใหญ่เล่นละเม็งละครเลี้ยงดูกันอยู่ทุกวันมิได้ขาด ทุกอย่างต้องใช้ทรัพย์มากทั้งสิ้น เมื่อเป็นดังนี้พระเจ้าสีป่อก็ต้องทรงหาทางที่จะทำให้เงินเข้าท้องพระคลังให้มากขึ้น เมื่อหมดหนทางเข้าจริงๆ พระเจ้าสีป่อก็ต้องทรงใช้วิธีหาเงินเข้าคลังที่ยังเหลืออยู่อีกวิธีเดียว วิธีนั้นคือ การออกหวยเบอร์ ราษฎรพม่านั้นชอบเล่นการพนันอยู่แล้ว ขุนนางกราบบังคมทูลว่า ถ้าทรงเป็นเจ้ามือการพนันเสียเองก็จะหาพระราชทรัพย์ได้ไม่มีวันที่จะขาดแคลนอีกต่อไป หวยในเมืองพม่านั้นเริ่มออกจำหน่ายใน พ.ศ.2422 พออกจำหน่าย พม่าทั้งเมืองก็คลั่งหวยเบอร์กันจนไม่เป็นอันทำมาหากิน ทุกคนก็อยากเป็นเศรษฐีง่ายๆด้วยกันทั้งนั้น"
แสดงว่าหวยไม่ได้เพิ่งมีมาแค่ไม่กี่ปีมานี้ ตามบันทึกของฝรั่งระบุว่าหวยมีมาตั้งแต่สมัยโรมัน เมื่อสามพันปีก่อน จักรพรรดิ Augustus และ Nero แบ่งสรรทาสและทรัพย์สินแก่ทหารและประชาชน ด้วยหวยในช่วงตรุษฉลองต่างๆ หลังจากนั้นมาอิตาลีก็เป็นผู้ริเริ่มการออกหวยยุคใหม่ในปี ค.ศ.1530 ที่เมืองฟลอเรนซ์ Le Lotto de Firenze เป็นรายการแรกที่แจกเงินสดแก่ผู้ถูกรางวัล ปรากฎว่าจากนั้นมาการออกหวยก็เป็นที่นิยมจนแพร่หลายไปทั่วอิตาลีและยุโรปในเวลาต่อมา
กลไกการทำงานของภาษีทางอ้อมจากหวย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการออกหวยของรัฐบาลแต่ละประเทศเป็นแนวทางการเก็บภาษีทางอ้อม เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศแบบหนึ่ง ช่วยสมานฉันท์ให้ประชาชนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในวันหวยออก และช่วยสร้างความหวังให้กับคนจนอีกจำนวนมากให้มีความหวังในชีวิต ซึ่งการออกหวยถือเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมแบบที่คนเสียภาษีไม่รังเกียจ และ “สมัครใจ” ที่จะจ่าย โดยที่คนเล่นหวยไม่ได้คิดว่าการซื้อหวยเป็นการลงโทษตนเองซึ่งเป็นคนเสียภาษีทางอ้อมประเภทนี้ทันทีที่เงิน ออกจากกระเป๋า การเก็บภาษีโดยอ้อมผ่านทางหวยนั้นเป็นการเก็บภาษีในประเภทที่เรียกว่า “ถดถอย” (Regressive) หมายถึง คนมีเงินมากแบกภาระอัตราภาษีน้อย ในขณะที่คนมีรายได้น้อยต้องแบกอัตราภาษีมาก ซึ่งไม่เหมือนกับการเสียภาษีโดยทั่วไปที่เสียในอัตรก้าวหน้า (Progressive) คือ คนมีรายได้มากเสียมาก มีรายได้น้อยก็เสียน้อย ซึ่งการที่คนจนแบกภาระภาษีมากจากการซื้อหวยนั้นไม่มีความเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่น คนจนมีรายได้ 1,000 บาท ซื้อหวยราคา 50 บาท ก็แปลว่า ต้องแบกภาระภาษีร้อยละ 5 แต่ถ้าเศรษฐีมีรายได้ 100,000 บาท จ่ายเงินซื้อหวยเท่ากันคือ 50 บาท ก็เท่ากับว่า เขาแบกรับภาษีเพียงร้อยละ 0.05 อีกตัวอย่างหนึ่งของภาษีแบบอัตราถดถอยก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ที่คนรวยกับคนจนจ่ายภาษีเท่ากันในการรับประทานอาหารที่ร้านเดียวกัน และสั่งอาหารแบบเดียวกัน
ภาษีคนจน ซึ่งเงินที่จ่ายภาษีทางอ้อมออกไปเท่ากันของคนจนย่อมมีความหมายมากกว่าเงินของคนรวย ซึ่งถ้าคนทั้งสองจ่ายภาษีเท่ากันในรูปแบบนี้ ก็แปลว่าได้เกิดภาวะถอถอยในด้านภาษีอากรขึ้น การซื้อหวยก็เหมือนกับการจ่ายภาษีให้รัฐ เพียงแต่คนจ่ายภาษีหวังรางวัลเป็นการทดแทน แทนที่จะเป็นบริการจาก รัฐแบบภาษีปกติ ดังนั้นในหมู่นักเศรษฐศาสตร์การคลังจึงเรียกหวยว่า “ภาษีคนจน” นั่นเอง เนื่องจากคนที่ซื้อหวยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีรายได้น้อย
โดยปกติแล้วรัฐบาลของแต่ละประเทศที่ออกหวยจะระมัดระวังดาบสองคมเล่มนี้มาก ไม่ให้อยู่ในข่ายของการมอมเมาประชาชน เนื่องจากระยะยาวจะไม่เป็นผลดีกับโครงสร้างของเศรษฐกิจในอนาคต เพราะคนจะไม่ทำงาน และรอแต่วันที่ 1 กับ 16 อย่างเดียว(แค่ประสบปัญหา จน เครียด กินเหล้า ก็แย่แล้ว) เป็นการทำลายคติที่ว่าความบากบั่นมานะทำงานหาเลี้ยงชีพคือหลักชัยแห่งชีวิต ดังนั้นแนวทางการออกหวยของภาครัฐในแต่ละประเทศโดยทั่วไปจะควบคุมการจำหน่าย การประชาสัมพันธ์ และ การให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับผลเสียของหวย โดยจะเป็นการนำเงินส่วนที่เหลือจากเงินรางวัลไปทำสาธารณะ ประโยชน์ที่เน้นไปที่กลุ่มคนเสียภาษีประเภทนี้ให้มากที่สุด
โดย ดร.วรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ที่มา : //www.vcharkarn.com
Create Date : 17 เมษายน 2552 |
Last Update : 17 เมษายน 2552 13:08:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 828 Pageviews. |
|
|
|
|
|