ตามรอยพระธาตุ 3 โลก
พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ อ่างทอง ชาวพุทธ เราเชื่อว่า การได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุเป็นสิริมงคลยิ่ง เปรียบเหมือนได้สักการะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า นอกจากพระบรมสารีริกธาตุบนโลกมนุษย์ของเราแล้ว ยังมีพระบรมสารีริกธาตุบนสวรรค์เทวโลก และโลกบาดาลอีกด้วย ในครั้งนี้ "ตะลอนเที่ยว" ก็ได้ติดสอยห้อยตามการเดินทางแบบอิ่มบุญกับ "โครงการเที่ยวทั่วไทย สุขใจเสริมมงคล" โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และในทริปนี้ ก็เช่นเคยมีผู้นำทริปผู้เชียวชาญ อย่าง อ.คฑา ชินบัญชร มาเป็นผู้ให้ความรู้แก่พวกเรา ทำให้ได้รู้ว่าการสักการะพระบรมสารีริกธาตุนั้น ควรจะสักการะทั้ง 3 โลก เพื่อความเป็น สิริมงคล สูงสุด ซึ่ง อ.คฑา ก็ได้เล่าให้พวกเราชาวคณะฟังว่า ตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า ก่อนที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพาน ได้ทรงอธิษฐานจิตให้เหลือส่วนต่างๆของร่างกายไว้ หลังถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์ เพื่อให้เหล่าพุทธศาสนิกชนได้ สักการะบูชารูปปั้นในแดนนรก ที่วัดม่วง จ.อ่างทอง เมื่อครั้นถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์แล้วมีส่วนที่ไม่ไหม้ไฟ 4 สิ่งได้แก่ ผ้าขาวห่อพระสรีระชั้นใน และชั้นนอก พระเขี้ยวแก้ว 4 เขี้ยว พระรากขวัญ หรือกระดูกไหปลาร้าทั้ง 2 ข้าง และกระดูกหน้าผาก ส่วนอื่นๆได้กลายเป็นเถ้าถ่านแล้วแตกออก และส่วนที่แตกออกนี้เองที่กลายเป็น พระบรมสารีริกธาตุ โดยแบ่งไปที่กษัตริย์เจ้าเมืองทั้ง 7 แคว้น และอีกหนึ่งส่วนอยู่ที่พราหมณ์ จากนั้นกษัตริย์ตามเมืองต่างๆก็มาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากกษัตริย์ทั้ง 7 เมือง รวมทั้งพราหมณ์ด้วย พระบรมสารีริกธาตุบนมนุษยโลกจึงเสด็จไป ทั่วโลก ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่บนสรวงสวรรค์นั้น พระอินทร์ได้ทรงนำพระเขี้ยวแก้วที่พราหมณ์แอบซ่อนไว้ในมวยผมขึ้นไปบูชาบน สวรรค์ ส่วนอีกหนึ่งชิ้นได้มากจากการที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรด พระมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก่อนที่จะเสด็จกลับมาบนพื้นโลกเหล่าเทวดาได้ขอสิ่งอันเป็นที่ระลึกนึกถึง คำสั่งสอน ของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จปรินิพานไปแล้ว พระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งจึงเสด็จขึ้นไปประดิษฐานอยู่บนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ หรือที่พวกเรารู้จักกันว่า "พระเกตุแก้วจุฬามณี" นั่นเองพระพุทธรูปปางลีลา วัดปราสาทที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย สำหรับส่วนที่อยู่ในโลกบาดาลนั้น มีตำนานเล่าว่ามานพหนุ่มที่เป็นนาคปกครองเหล่านาคทั้งหลายใน ชั้นบาดาล มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงได้แปลงกลายเป็นมนุษย์ไปบวช ต่อมาเมื่อถูกจับได้ว่าเป็น นาคพระพุทธเจ้า จึงขอให้ลาสิกขา มานพหนุ่มจึงขอให้มีชื่อนาคในตอนบวช และขอพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไปแล้ว มาให้เหล่านาคทั้งหลายได้สักการะบูชาใต้บาดาลกลับอีกส่วนหนึ่งมีตำนานล้านนา พงศาวดารของล้านช้าง ที่เชื่อว่าพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ใน ลำน้ำโขง และลำน้ำสายใหญ่ๆ และตำนานพระเจ้าเลียบโลก เล่าว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาริมแม่น้ำปิง จึงได้มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาสถิตอยู่ในลำน้ำปิง เพื่อให้เหล่านาคได้สักการะบูชานั่นเองวัดในเขตกำแพงเมืองในอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย ซึ่งก็มีหลากหลายตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา แม้จะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็อยู่ในทำนองเดียวกันว่ามีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่ในทั้ง 3 โลก อ.คฑา จึงได้นำทีมพวกเรามาเยือนยังจังหวัดกำแพงเพชร และ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นจังหวัดที่รับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาในสมัยสุโขทัย และได้มีการเผยแพร่จนได้ชื่อว่าเป็นยุคที่ พระพุทธศาสนา ฝั่งรากลึก และรุ่งเรื่อง ที่สุดก็ว่า ได้ระหว่างการเดินทาง พวกเราชาวคณะได้แวะเติมอารมณ์กันอย่างเต็มเหนี่ยวที่ "วัดม่วง" อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง เพื่อกราบไหว้พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อกำจัดมารเพิ่มความเป็นสิริมงคลก่อนที่จะไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ภายในวัดม่วงแห่งนี้ยังมีพระอุโบสถล้อมรอบด้วยกลีบดอกบัวสีชมพูสวยงาม ตระการตา และยังมีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีรูปปั้นแดนเทพเจ้า แดนนรก แดนสวรรค์ และรูปปั้น พระเวชสันดรชาดก จากนั้นชาวคณะก็มุ่งหน้าสู่ เมืองคณฑี เพื่อไปยัง "วัดปราสาท" อ.เมือง จ.กำแพงเพชร เพื่อสักการะขอพร พระพุทธรูปปางลีลา หรือ พระพุทธรูปปางเปิดโลก โดยในตำนานเล่าว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระมารดาได้ตรัสถามถึงหลาน พระองค์จึงจับจีวรเปิดโลกเห็นทั้งสวรรค์ มนุษย์ และบาดาล ก่อนจะเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันออกพรรษา จึงเป็นที่มาของ พระพุทธรูปปางลีลาเจดีย์ทรงระฆังวัดเจดีย์งามเป็นวัดป่าอรัญวาสี ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย สำหรับพระพุทธรูปปางลีลาที่วัดปราสาทนี้เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ที่มีความสวยงามที่สุดในประเทศ นอกจากนั้น พวกเราก็ได้ร่วมกันลอยกระทงในแม่น้ำปิงที่ไหลพาดผ่าน วัดปราสาท เพื่อเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุใต้บาดาลกัน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองรุ่งอรุณแห่งความสุขในอดีตสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัย โดยผังเมืองเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์กลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งยังเหลือร่องรอยพระราชวัง และวัดอีก 26 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาแห่งพุทธศาสนาที่ฝั่งรากลึกในครั้งนั้นพระอัฏฐารส สร้างตามคติความเชื่อของลังกาที่ว่า พระพุทธเจ้ามีความสูงเท่ากับ 18 ศอก พวกเราจึงได้นั่งรถรางชมเมือง เล่าเรื่องสุโขทัยอย่างเพลิดเพลิน สำหรับวัดที่สำคัญๆ อาทิ "วัดมหาธาตุ" ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่สุด เปรียบได้กับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยอยุธยา หรือวัดพระแก้วในสมัยรัตนโกสินทร์ วัดต่อเป็นคือ "วัดศรีสวาย" มีปราสาทขอม 3 หลัง หรือพระปรางค์ 3 องค์ แทนความเชื่อเรื่อง พระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ หรือพระผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลายนั่นเอง"วัดตระพังเงิน" เป็นวัดที่มีตระพัง หรือสระน้ำใหญ่ ภายในมีเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือดอกบัวตูมเป็นประธาน บริเวณเรือนธาตุมีชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนทั้ง 4 ทิศ "วัดสระศรี" ตั้งอยู่กลางน้ำ ภายในมีเจดีย์ทรงลังกา หรือทรงระฆังคว่ำ "วัดชนะสงคราม" เดิมเรียกว่า "วัดราชบูรณะ" มีลักษณะเด่นคือ เจดีย์ทรงระฆังกลม ขนาดใหญ่ เป็นเจดีย์ประธานพระอจนะ พระผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง ควรแก่การเคารพกราบไหว้ ที่วัดศรีชุม เที่ยวในเขตกำแพงเมืองสุโขทัยแล้ว ก็ต้องเดินสายไปทัวร์รอบนอกกำแพงเมืองด้วย จึงจะครบสูตร โดยเราเริ่มกันที่ "วัดเจดีย์งาม" เป็นวัดป่าอรัญวาสี ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ภายในมีเจดีย์ประธาน ทรงระฆัง ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ฐานชั้นล่างมีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 4 ด้าน ฐานพระวิหารก่อด้วยศิลาแลงปูด้วยหินถัดไปคือ "วัดสะพานหิน" ตั้งอยู่บนเนินเขา พวกเราค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปด้านบน แม้จะสูงเพียง 200 ม. ก็เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อไปถึงยังด้านบน ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง สายลมเย็นพัดมาปะทะกายให้เหงื่อเหือดแห้ง กับทั้งความสวยงามของวิหารก่อด้วยอิฐ เสาก่อด้วยศิลาแลง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยขนาดใหญ่สูงสง่าถึง 12.50 ม. โดยมีชื่อเรียกว่า "พระอัฏฐารส" ซึ่งคงจะสร้างตามคติความเชื่อของลังกาที่ว่า พระพุทธเจ้ามีความสูงเท่ากับ 18 ศอกปล่อยโคมลอยสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีพระบรมสารีริกธาตุบนสรวงสวรรค์ "วัดเชตุพน" ก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีความน่าสนใจยิ่ง โดยมีมณฑปที่สร้างด้วยหินชนวน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยบท คือ ในตอนเช้าพระพุทธเจ้าจะทรงนั่งสมาธิ ในช่วงบ่ายจะทรงพักผ่อนพระวรกาย โดยการนอน ในช่วงเย็นจะทรงยืนแผ่เมตตาจิต ให้เหล่าทวยเทพเทวดา เหล่าสรรพสัตว์ และในช่วงกลางคืนจะเดินจงกลม หรือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน นั่นเองและวัดสุดท้าย ที่พวกเราได้ไปเยือนในเขตนอกกำแพงเมือง คือ "วัดศรีชุม" เป็นที่ประดิษฐาน "พระอจนะ" อันหมายถึง ผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง ผู้ที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้ ลักษณะเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30 ม. สูง 15 ม. ดูสง่างามมาก นอกจากนี้พวกเรายังได้ทำการปล่อยโคมลอยเพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ ประดิษฐานอยู่บนเทวโลกที่นี่อีกด้วยองค์พระบรมสารีริกธาตุสีทองอร่ามงามสง่าที่วัดนครชุม หลังจากสักการะพระบรมสารีริกธาตุทั้ง 2 โลกแล้ว ก็ยังเหลือการสักการะพระบรมสารีริกธาตุบนมนุษยโลก ซึ่งพวกเราก็ได้ทำการสักการะโดยการเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุเจดีย์ ที่ "วัดพระธาตุเจดีย์ยาราม" หรือที่เรียกกันว่า "วัดนครชุม" สร้างเมื่อปี พ.ศ.1762 ในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เป็นพระบรมธาตุองค์เดียวในเขตภาคเหนือตอนล่าง ภายในใต้ดินเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระยาลิไทอัญเชิญมาจาก ศรีลังกาแต่เดิมองค์พระธาตุเจดีย์มี 3 องค์ ลักษณะศิลปะลังกาทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ต่อมาในปี พ.ศ.2414 พะโป้วพ่อค้าไม้ชาวกะเหรี่ยง หรือปกากะญอ มีใจศรัทธาจึงได้บูรณะขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นพระเจดีย์ใหญ่ครอบพระเจดีย์ 3 องค์รวมกันเป็น องค์เดียว ลักษณะเป็น ศิลปะพม่าชเวดากอง ดังเห็นในปัจจุบัน รอบองค์พระเจดีย์ยังประดิษฐานพระพุทธรูปหันพระพักตร์ 4 ทิศ ทิศเหนือเป็นศิลปะแบบสุโขทัย ทิศตะวันออกเป็นศิลปะเชียงแสน ทิศใต้เป็นศิลปะสมัยอยุธยา และทิศตะวันตกเป็นศิลปะแบบกำแพงเพชร ซึ่งภายหลังจากที่พวกเราชาวคณะได้เวียนเทียนรอบองพระธาตุเจดีย์แล้ว ก็เป็นอันจบครบบริบูรณ์ในการสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุทั้ง 3 โลกอย่างแท้จริงที่มา : ผู้จัดการออนไลน์