ไปเที่ยวอุทยาน คานาสือ ทะเลสาบ หอปลา ตอนที่ 3
ฉันได้พาเพื่อน ๆ เที่ยว เมืองจีน ไป 2 ตอนแล้ว ค่ะ ตอนนี้ เป็นตอนที่ 3 เป็นตอนที่ถือว่า เป็นไฮไลท์ ที่เราตั้งใจมา ค่ะ
คือ อุทยาน คานาสือ ค่ะ
เมื่อตอนที่ 2 ฉันได้เขียนถึง การเที่ยว มัสยิด ที่เมือง อูรูมูฉี และกำลังนั่งรถบัสนอนไปเมือง ปู่เออร์จิ้น
เพื่อต่อรถไปเที่ยวที่อุทยาน คานาสือ ค่ะ
วันที่ 13 ตุลาคม
รถบัสนอนจากเมืองอูรูมูฉี ก็พาผู้โดยสารมาถึงเมือง ปู่เออร์จิ้น ตอนเช้าตรู่ น่าจะประมาณ โมงเช้า น่าจะได้นะ
เพราะฟ้าสว่างแล้ว พอเราลากกระเป๋าเดินมาได้แปล็บเดียว ก็มีคนมาถามพวกเราว่า จะไปคานาสือ ใช่ไหม
เป็นรถเหมา คนที่ถาม เป็นคนอ้วน ๆ หน้าตาดูแล้ว น่าจะโอเค สำเนียงที่ถาม ก็ฟังรู้เรื่อง ฉันก็เลยตอบเขาว่า "ใช่"
คิดราคาอย่างไร เขาตอบว่า คนละ 100 หยวน (ซึ่งเราก็ศึกษาราคามาบ้างแล้ว) พอดี เรามี 6 คน 1 คันรถ
(รถของเขานั่งได้ 7 คน) ฉันเลยต่อราคาว่า 6 คน คิดเป็น 500 หยวน ก็แล้วกัน เขาก็ยอม ช่วยพวกเราลากกระเป๋า
ไปที่รถของเขา ซึ่งมีคนนั่งอยู่ น่าจะ 3 คน ให้พวกที่นั่งอยู่ไปรถเพื่อนเขา ฉันเดาเอาว่า รถพวกนี้ ต้องมีคิว แน่นอน
ใครได้ลูกค้าครบ ก็ออกรถ พอดี คันเรา ได้ลูกค้า 3 คน เขาคงต้องรอคนอีก พอพวกเรามากัน 6 คน
เขาเลยถ่ายคนของเขาให้เพื่อนของเขา ซึ่งก็น่าจะเป็นรถคิวต่อไป
ก่อนออกเดินทาง เขาขอไปซื้อซาลาเปา
เพื่อทานเป็นอาหารเช้า มีน้ำใจถามพวกเราว่า ไปทานอาหารเช้าก่อนไหม พวกเราบอกไม่ต้อง
เพราะเราเตรียมอาหารไว้แล้ว อิอิ ที่จริงก็เริ่มหิวเหมือนกัน น้ำก็ไม่ได้อาบทั้งคืน เพราะอยู่บนรถบัส
มาดูรูปของคนขับสักหน่อย ฉันเรียกเขาว่า "เสี่ยวหม่า" เพราะเขาแซ่ หม่า ที่แปลว่า ม้า นั่นเอง
เขาขับรถ พาเราออกจากสถานี ปู่เออร์จิ้นไป ด้วยความคล่องแคล่ว ขับนิ่ม ใช้ได้ อัธยาศัยที่คุยไปตลอดทาง
(เขาขอให้ฉันนั่งหน้า เผื่อเวลาถามอะไร จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง คนอื่นพูดจีนไม่ได้ นั่นเอง)
ตลอดทางที่รถแล่นไป ทิวทัศน์ในเมือง ปู่เออร์จิ้น ที่จะไปยัง อุทยาน คานาสือ นั้น สวยงาม
บางแห่งก็เห็นเป็นทะเลทราย เรามาชมภาพกันตามที่ฉันได้ถ่ายภาพมาฝาก ค่ะ
ก่อนที่จะไปเที่ยว อุทยาน คานาสือ เรามารู้จัก ความเป็นมาของอุทยาน คานาสือ สักเล็กน้อยก่อนนะคะ
อุทยาน คานาสือ หรือมีชื่อ ออกเสียงตามภาษามงโกลว่า คานาส ซึ่งแปลว่า "งามอย่างวิจิตรและลึกลับ"
อุทยาน คานาสือ นั้น ตั้งอยู่ที่ อำเภอ ปู่เออร์จิ้น ห่างจากตัวเมือง ปู่เออร์จิ้น 155 กิโลเมตร
อยู่ใจกลางเทือกเขา อาเออร์ไท่ซาน หรือ เทือกเขาอัลไต อุทยาน คานาสือ ตั้งอยู่ท่ามกลางของเทือกเขา อัลไต
มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,375 เมตร มีพื้นที่กว้างถึง 37.7 ตารางกิโลเมตร
อุทยาน แห่งนี้ มีทิวทัศน์งดงาม อากาศที่นี่ บริสุทธิ์ ยิ่งกว่า อุทยานจิวไจ่โกวหลายเท่า มีพื้นที่ครอบคลุม
กว่า 2,500 ตารางกิโลเมตร ในเขตท่องเที่ยวของเขตไซบีเรียของจีน ปกคลุมด้วยป่าสน มีพันธุ์พืชกว่า 798 ชนิด
ในจำนวนนี้ มีถึง 38 ชนิด เป็นพันธุ์พืชที่หายาก มีพันธฺุ์นกกว่า 75 ชนิด แมลงต่าง ๆ ปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
แหล่งท่องเที่ยวใน คานาส มีหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบ คานาส ทะเลสาบ เย่ เลี่ยง วาน หรือ ทะเลสาบโค้งวงพระจันทร์
ศาลาชมปลา หมู่บ้าน ไป่ฮาปา เป็นต้น
เสี่ยวหม่าขับรถพาพวกเรามาถึงที่ทำการ ของอุทยาน คานาสือ ซึ่งพวกเราจะต้องมาซื้อบัตรที่นี่
เพื่อที่จะเข้าไปในอุทยาน เสี่ยวหม่า มาปรึกษาว่า เพื่อนของเขาจะพาเราเข้าอุทยาน
โดยให้เราจ่ายเงินที่เขา เขาสามารถพาเที่ยวภายในอุทยาน คานาสือ ได้ โดยไม่ต้องรอรถ
ของทางอุทยานพาเที่ยว พวกเรา ปรึกษากันแล้ว ไม่ไว้ใจเพื่อนของ เสี่ยวหม่า แถม เพื่อนของเสี่ยวหม่าคนนี้
ดูไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ เสี่ยวหม่า บอกพวกเรา สายตา มัวแต่มอง นุ่น แววชีกอ ฉายออกมา น้องเอก
แสดงความคิดเห็นว่า พาเราเข้าไป โดยไม่มีบัตรแล้วถ้ามีเจ้าหน้าที่มาขอตรวจบัตร เราจะเอาบัตรที่ไหนให้เขาดู
ก็ถูกของเอก เขาน่ะ เสี่ยวหม่าก็ให้คำรับรองว่า ไว้ใจเขาได้ การเจรจาไม่ได้ประสบความสำเร็จ
เจ้าเพื่อนเสี่ยวหม่า ก็ไม่ตกลงกับพวกเราแล้ว คงเห็นว่า ไม่สำเร็จ ขณะนั้น ฝนก็ตกปรอย ๆ
อากาศก็หนาวมากด้วย เสี่ยวหม่าคงเห็นฉันพูดไป สั่นไป เลยให้เสื้อของเขาที่มีอยู่ในรถ ให้ฉันใส่ไว้อีกตัว
ตัวเบ้อเร่อเลย แต่อุ่นมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
ในที่สุด เสี่ยวหม่าก็พาพวกเราไปที่ช่องซื้อบัตรเข้าอุทยาน ราคาค่าบัตรเข้าอุทยาน แพงมากนะ 275 หยวน ต่อคน
ฉันกับวัชร์ อายุเกิน 60 ปี เลยได้ครึ่งราคา 137.5 หยวน เสี่ยวหม่าน่ารักนะ พาไปซื้อบัตรแล้ว
ก็ช่วยลากกระเป๋าไปขึ้นรถของอุทยาน รถเขาไม่ได้เข้าไป เขาติดรถของอุทยานไปด้วย
เพื่อหาที่พักให้พวกเราด้วย (คิดว่า คงเป็นพรรคพวกเดียวกัน น่าจะได้เปอร์เซ็นจากการพาแขกมาพัก นะ อิอิ)
มาดูภาพของพวกเราที่มาถึงอุทยาน คานาสือ สักหน่อย ค่ะ
ระหว่างที่นั่งรถของอุทยานเพื่อเข้าที่พัก ได้ผ่าน ทะเลสาบ เย่ เลี่ยง วาน หรือ ที่เรียกว่า ทะเลสาบโค้งวงพระจันทร์
ซึ่งตามตำนานเล่าว่า เจงกิสข่านได้เคยมาประทับรอยเท้าไว้ที่นี่ เป็นทะเลสาบที่มีหลากสี เปลี่ยนแปลงไปตาม
อุณหภูมิไปตามลักษณะของท้องฟ้า ถ้าท้องฟ้า ครื้ม ทะเลสาบจะมีสีคราม ถ้าท้องฟ้าแจ่มใส
น้ำในทะเลสาบจะมีสีฟ้าใส บางเวลาจะแบ่งเป็น 2 สีในเวลาเดียวกัน มาชมภาพ ที่ฉันถ่ายมาไม่มาก
เพราะฝนตกปรอย ๆ ตลอดเวลา ได้ภาพมาเล็กน้อย ขากลับเราได้แวะมาอีกรอบ โดยเสี่ยวหม่า พามาอีกครั้ง
เสี่ยวหม่าพาเราไปดูบ้านพักของเพื่อนเขา (น่าจะเป็นเพื่อนเขา นะ) เป็นห้องพัก 6 เตียง เป็นเตียงสองชั้น
มีห้องน้ำห้องเดียว นี่คือ ข้อเสีย เพราะห้องน้ำ 1ห้องต่อ 6 คน รอกันแย่เลย แถมเป็นส้วมซึมด้วย แต่ราคาก็พอไหว
คนละ 120 หยวน ต่อคน ทั้งหมดคืนละ 720 หยวน แต่ฉันก็ต่อได้เหลือ คืนละ 700 หยวน
2 คืน ก็ประหยัดไป 40 หยวน ไม่แพงจนรับไม่ได้ ซึ่งตามปรกติ ที่พักในอุทยาน อย่างนี้ ราคามักแพงอยู่แล้ว
เป็นอย่างไรบ้างคะ ที่พักของพวกเรา ในอุทยาน คานาสือ ที่ห้องเขามี
ฮีสเตอร์ให้ด้วย
หลังจากที่พวกเรา นำกระเป๋ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวหม่ามาถามว่าพอใจห้องพักไหม พวกเราก็ตอบตกลง โอเค
ฉันได้ถามเสี่ยวหม่าหลายเรื่อง และเชื่อว่า เขาเป็นคนดี ใช้ได้ โดยเฉพาะเรื่องราคา ทุกคนเห็นด้วยว่า
ตอนกลับจาก คานาสือ เราจะไปเที่ยว หมู่บ้าน เหอมู่ ตามโปรแกรม เราจะจ้างรถเสี่ยวหม่าไปเลย
ซึ่งเขาบอกว่า เขาสามารถนำรถเข้าอุทยานมารับเรา ซึ่งเป็นเรื่องสะดวกสบาย สำหรับการขนกระเป๋า
ขึ้นรถของอุทยาน เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องรอรถ ต้องยกกระเป๋าเอง แต่ถ้าจ้างรถของเสี่ยวหม่า
เขามารับเราถึงที่พัก ช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถของเขา เขาเป็นคนขับรถที่มีน้ำใจมากทีเดียว
หลังจากที่ได้พักผ่อนสักพัก พวกเราก็ออกไปเดินเที่ยวรอบ ๆ บริเวณที่พัก ถ่ายรูปบรรยากาศ
บริเวณที่พักของเรา มีที่พักของเจ้าของอื่นมากมาย บางแห่งก็ตกแต่งสวยกว่าที่พักเรา คิดว่า ราคา คงสูง
ตามความสวยงามของสถานที่ อิอิ แถวที่พักเรา มีร้านค้าขายของต่าง ๆ เช่น พวกกระป๋องเส้นหมี่
ผลไม้ โยเกิร์ตที่ชาวบ้านทำใส่หม้อ มาตักขาย เป็นถ้วย ๆ ถ้วยละ 10 หยวน มีไข่ต้ม มีเหล้าขาวขายด้วย
มีขนมขบเคี้ยวเป็นถุง ๆ ขาย พวกเราก็อุดหนุนไปหลายอย่าง
เหมือนกัน เรามาชม ความงดงามของบริเวณที่พัก
ใน อุทยาน คานาสือ
วันนี้ หลังจากที่เดินเที่ยวรอบ ๆ ที่พักแล้ว พวกเราก็แวะที่ร้านขายของแถวที่พัก น้องหมัย จุก ซื้อโยเกิร์ต ไปทาน
โดยฉันช่วยถามราคา เขาขายเป็นถ้วย ถ้วยละ 10 หยวน ฉันช่วยเขาตักใส่ถ้วย จะได้ตักให้เต็มถ้วย อยากขายแพงนี่
พวกเราต่างก็ซื้อไข่ต้มสีดำ คนละ 2 ฟองบ้าง 4 ฟองบ้าง ฟองละ 2 หยวน เท่ากับสิบบาทกว่า
กลับมาถึงที่พัก น้อง ๆ ที่โหลดโปรแกรม วีแช้ส (เมืองจีน ไม่มีลายน์ ไม่มีเฟสให้เล่น โทรศัพท์ของฉัน วัชร์
ไม่ได้โหลดโปรแกรมนี้ เลยไม่ได้ทราบข่าวคราวของเมืองไทยเรา แต่ของคนอื่น ๆ เขามีโปรแกรมนี้
จึงได้ข่าวจากทางเมืองไทย เป็นข่าวที่ทำให้พวกเราแทบช็อค นั่นคือ ข่าวการเสด็จสู่สวรรคาลัยของพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชฯ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ข่าวนี้ ทำให้พวกเราเศร้าโศกเสียใจ เป็นอย่างมาก
ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ ถาม จุกว่า ข่าวนี้ เชื่อถือได้ไหม เพราะมักจะมีข่าวลวงบ่อย ๆ ในโลกโซเชี่ยล
จุก อ่านในวีแชสที่เพื่อนส่งมาว่า เชื่อถือได้ เพียงแต่รอทางรัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อไป
มันเป็นไปได้เหรอ ฉันถามตัวเองในใจ ทุกครั้งที่มีข่าวจากสำนักพระราชวังว่า พระองค์ทรงพระประชวรหนัก
ขอให้ประชาชน ได้ช่วยกัน สวดมนตร์ตามบทสวดที่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ตฉันได้ทำตาม คือ สวดมนตร์
ให้พระองค์ท่านทุกครั้ง แล้วอาการประชวรของพระองค์ท่านก็ดีขึ้น เรื่อย ๆ เหตุการณ์เป็นเช่นนี้
หลายต่อหลายครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ จึงไม่เป็นดั่งเช่นครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่ อย่างไร ก็ตาม พวกเราก็ต้องยอมรับ
ความเป็นจริง ว่า พระองค์ท่านได้จากพวกเราไปแล้วจริง ๆ สิ่งที่พวกเราจะต้องสำเหนียกอย่างยิ่งก็คือ
การน้อมนำคำสอนของพระองค์นำไปปฏิบัติต่อไปอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่ง ๆ ขึ้น ให้สมกับความรักของพระองค์ที่มีต่อ
ประชาชนอย่างเหนื่อยยากด้วยโครงการพระราชดำริกว่า สี่พันกว่าโครงการ ทั้งนี้ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข
ของประชาชน อันพระองค์ท่านถือว่าเป็น"ลูก"ของพระองค์สมกับความรัก ความเหนื่อยยากที่พระองค์ทรงตรากตรำ มาถึง 70 ปี
วันที่ 14 ตุลาคม 59
เช้านี้ พวกเราตื่นสาย ต้มน้ำเพื่อเตรียมทานอาหารเช้ากัน ซึ่งต่างคนต่างก็ซื้อเตรียมกันมา เช่น ซื้อข้าวต้มกุ้ง
หมู ไก่ มาม่า ยำยำ ข้าวสวยก็มี เดี๋ยวนี้เรื่องอาหารที่เป็นซอง ๆ สะดวกมาก เช่น เช้านี้ ทานข้าวต้มกุ้ง
เราก็เทข้าว (ซึ่งเป็นข้าวแห้ง ๆ มีกุ้งแห้ง) จากในซองใส่ภาชนะที่เราเตรียมกันมา แล้วก็เติมน้ำร้อน
รอสัก 5-7 นาที ข้าวที่เราเทน้ำร้อนไว้ ก็จะพองกลายเป็นข้าวต้ม ซึ่งมีรสชาติเหมือนเราทำข้าวต้มกุ้งทานกันเลย
เมื่่อทานอาหารเช้ากันเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกมารอรถของอุทยาน เพื่อพาเราไปเที่ยว
รอสักพักใหญ่ ๆ รถอุทยานก็มา พวกเราก็ขึ้นรถไป รถคันนี้ พาเรามาที่ ทะเลสาบ คานาสือ แล้วก็จากไป
ทะเลสาบ คานาสือ เป็นทะเลสาบน้ำแร่ และเป็นทะเลสาบน้ำจืด ที่ลึกที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่มาก
ลึกถึง 188.5 เมตร โอบล้อมด้วยขุนเขา มีขนาดใหญ่กว่าทะเลสาบเทียนสือถึง 10 เท่า อยู่ในป่าลึก
กลางเทือกเขาอัลไต บริเวณนี้ ได้รับการขนานนามว่า "โอเอซีสสวรรค์แห่งซินเจียง"
จากการที่ เทือกเขานี้ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งมาเป็นเวลาอันยาวนานบนแม่น้ำ คาร์นาส
ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะล ถึง 1,375 เมตร และบริเวณนี้ ชาวบ้านเล่าขานกันว่า มีสัตว์ประหลาด
มาจับกินสัตว์เลี้ยงของพวกเขาซึ่งเลี้ยงอยู่บริเวณทะเลสาบ
ต่อมามีการสำรวจ พบว่า เจ้าสัตว์ประหลาดนั้น
คือ ปลาชนิดหนึ่ง ชื่อว่า "ปลาแดงยักษ์"อาศัยอยู่ในทะเลสาบนี้มีความยาวถึง 8 เมตร
(บางตำราว่ายาวถึง 15เมตร)มีน้ำหนักถึง1 ตัน (บางแห่งหนักถึง 4 ตัน)
มันสามารถกลืนวัวทั้งตัวได้อย่างสบาย
(น่ากลัวมาก) เป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
น้ำในทะเลสาบ คานาสือ มีความงดงามหลากสีสัน
ได้รับฉายาว่า "ทะเลสาบเปลี่ยนสี"
เพราะเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง สีสันของน้ำในทะเลสาบก็จะเปลี่ยนไปด้วย สีฟ้าใสของน้ำ
ตัดกับหมู่แมกไม้ในบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบ เป็นภาพที่สวยสดงดงาม เหลือจะพรรณนา
พวกเราได้ถ่ายรูปอยู่ในบริเวณทะเลสาบ รอบ ๆ ทะเลสาบประมาณชั่วโมงเศษ ๆ น่าจะได้ ฉันรวบรวมภาพมาฝากค่ะ
เมื่อพวกเราถ่ายรูปและชื่นชมความงามของทะเลสาบ คานาสแล้ว พวกเราก็มารอรถบริเวณที่พาเรามาลง
หวังว่า เขาจะพาเราไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ ที่อยู่ในอุทยาน ปรากฎว่า เขาพาพวกเรากลับมายังที่เก่า ที่เราขึ้น
ฉันสอบถามคนขับรถว่า พวกเราจะไปเที่ยวที่ ศาลาชมปลา รถคันไหนจะไปได้ เขาบอกว่า ไปไม่ได้
เพราะหอชมปลาปิด เนื่องจากหิมะตกหนัก เอ้า ! ไฮไลท์ที่หนึ่งที่พวกเรามา คานาส ก็คือ ศาลาชมปลานะเนี่ย
พวกเราเดินกลับออกจากท่ารถอย่างไม่ชอบใจนัก เดินมาถึงบริเวณที่พัก ก็เจอรถที่รับจ้างพาเที่ยวในอุทยาน
ฉันก็ไม่เข้าใจว่า เมื่อเสียค่าผ่านประตูเข้ามาแพงถึง 275 หยวนแล้ว เรายังต้องซื้อทัวร์เที่ยวอีกเหรอ
ถ้าเราไม่ยอมเสียค่าทัวร์ไปเที่ยวจุดต่าง ๆ ใน คานาส เราก็ได้แต่เดินอยู่แถว ๆ ที่พัก เลยถามคนรถที่มาติดต่อ
ว่า พวกเราจะไป ที่ศาลาชมปลา เขาว่า ปิดไม่ใช่เหรอ เขารีบบอกว่า
ไปได้ (คิดว่า คำว่า ปิด หมายถึง
ไม่ได้เปิดศาลาให้นักท่องเที่ยวให้เข้าไปชมศาลา) ถามราคาเขา ราคาคนละ 100 หยวน ฉันต่อเหลือ 6 คน เป็น 500 หยวน
เขาก็ยอมไป รถเขาค่อนข้างเล็กที่จะอัดเข้าไป 6 คน เขาก็บอกว่า ไปได้ 6 คน โดยให้ เอก กับ หมัย นั่งหน้า
ตอนนี้เอง เป็นภาพประวัติศาสตร์เลย หมัยได้นั่งตักเอก อิอิ เสียดาย ไม่มีใครถ่ายรูปเอาไว้ ส่วนด้านหลัง
เรานั่งกัน 4 คน ต้องนั่งเบียดอัดกันน่าดู ระหว่างทางที่ไป เป็นหนทางที่ดูอันตรายไม่น้อย ถนนมีหิมะ น่าจะลื่น
ล้อรถเขา ก็ไม่ได้ใส่โซ่กันลื่นด้วย ระหว่างทางที่ไป มีเจ้าหน้าที่กำลังโกยหิมะ เพื่อให้มีถนนรถแล่นได้
รถพวกเราไม่สามารถไปได้แล้ว พวกเราต้องลงจากรถ อากาศก็หนาวน่าดู แต่คนรับเขาก็รับผิดชอบนะ
โทรศัพท์ตามเพื่อนของเขาให้มารับพวกเราขึ้นเขาไป เพื่อไปส่งที่ตีนเขาที่จะต้องเดินขึ้นไปที่ ศาลมปลา 1100 ขั้น
พวกเรารู้สึกปริวิตกเหมือนกันว่า แล้วขากลับ เราจะกลับรถใครล่ะ เพราะรถที่เขาเรียกเพื่อนเขามา
ก็ต้องพานักท่องเที่ยวของเขาลงจากเขาไป เมื่อไปถึงที่ตีนเขาที่จะเดินไปชม ศาลาชมปลา ก็เจอ นายคนที่เป็นเพื่อนกับ
เสี่ยวหม่าที่จะให้เราเสียเงินให้เขา แล้วให้เขาพาเที่ยว เขายิ้มร่ามาเชียว คงจะมาหลี เจ้านุ่นอีกแหละ
เมื่อรู้ปัญหาเรื่องรถของเรา ก็ชวนให้ไปรถเขา เออ! เขาไม่คิดถึงเพื่อนร่วมอาชีพของเขาเลยเนาะ
ว่า ถ้าพวกเราไปกับเขา เพื่อนเขาตีรถเปล่ามา จะทำอย่างไร เหมือนเป็นการแย่งลูกค้าอย่างนั้นแหละ
พวกเราก็เริ่มเดินขึ้นบันไดไป ยิ่งเดิน ก็ยิ่งเจอหิมะมากขึ้นเรื่อย ๆ บางช่วง ก็มองไม่เห็นขั้นบันไดเลย
ขอเล่าความรู้เกี่ยวกับ ศาลาชมปลาสักเล็กน้อย ค่ะ
ศาลาชมปลา เป็นจุดชมวิวบนยอดเขา จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ 360 องศา ด้านหน้าเป็นวิวภูเขา
ต้นไม้เปลี่ยนสี อีกด้านหนึ่ง มีแม่น้ำเขียวใส มีต้นไม้ตัดกับแม่น้ำสีเขียวใส สวยสดงดงามมาก มีบันไดขึ้นไป 1100 ขั้น
พวกเราเดินกันขึ้นไป ใหม่ ๆ ก็มีแรงดีหน่อย เดินได้ฉับไว ผ่านไปได้พักใหญ่ กำลังก็เริ่มอ่อนล้า เหนื่อย ด้วยวัย
ด้วยอากาศที่เหน็บหนาว ยิ่งเดินสูงขึ้นไป ความกดอากาศก็ยิ่งน้อยลง ทำให้หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง
เดินบ้าง พักบ้าง น้องเอก คอยปลอบใจให้สู้ ๆ ให้เกาะแขน ลากกันขึ้นไป ลุยหิมะไป ให้เหยียบตามรอยเท้า
ที่แกเหยียบไว้ กันไม่ให้เท้าฉันจมหิมะลงไป ในที่สุด ฉันก็สามารถเดินขึ้นไปถึงจุดที่ใกล้หอ หรือ ศาลาชมปลา ห้าห้า
เรามาชมภาพของพวกเรา ที่ฉันรวบรวมจากกล้องของฉันและกล้องของน้อง ๆ มาไว้ให้เพื่อน ๆ ชาวบล็อกได้ชม ค่ะ
หลังจากชื่นชมความสวยงามของหอชมปลา และถ่ายภาพกันอย่างจุใจแล้ว พวกเราก็เดินกลับ ระหว่างทาง
เจอมุมสวย ๆ เราก็ถ่ายภาพกันมาตลอดทาง ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า รูปของ จุก จะมีน้อยที่สุด
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า จุกใส่รองเท้าเปลือยเท้า คือเป็นรองเท้าสาน แถมไม่ได้ใส่ถุงเท้าอีก เดินได้น่าจะครึ่งทาง
จุกคงทนต่อความเจ็บเท้า เพราะความเย็นของหิมะไม่ไหว จุกเลยต้องเดินกลับลงไปที่ลานจอดรถก่อนพวกเรา
เรามาถึงที่พื้นดินแล้ว ทุกคนบ่นว่า ไม่อยากไปรถ คันเดิมเลย เสี่ยงภัย แถมรถก็คับแคบ แต่เราก็ต้องไป
กับรถคันเดิม เพราะเขาอุตส่าห์ไปหาโซ่มาพันล้อกันความลื่นแล้ว และก็ไม่มีรถให้เราลงไปด้วย
ขาลงจากเขา ครั้งนี้ คนรถ ให้นุ่นนั่งอยู่ท้ายรถ คงนั่งลำบากหน่อย เพื่อไม่ต้องให้ เอกและหมัยนั่งหน้าซ้อนตัก
เหมือนตอนขามา สงสารนุ่น ที่ต้องอุดอู้หน่อย อิอิ
ตอน 3 ขอจบการเที่ยวที่หอปลาก่อน นะคะ เดี๋ยวจะยาวเกินไป เรื่องเที่ยวของวันที่ 14 คือ วันนี้ ยังไม่หมด ค่ะ
เหลือ หมู่บ้าน ไป่ฮาปา ค่ะ โปรดติดตามตอน ที่ 4 ต่อไป ค่ะ
เห็นแต่ละภาพแล้วอยากตามไปเที่ยวจัง
แต่เที่ยวจีนแบบนี้ต้องอาศัยคนพูดภาษาจีนได้ ภาษาอังกฤษหมดหวัง
น้องสาวได้แต่อังกฤษ สำหรับรุ้งคงต้องยอมทัวร์อย่างเดียว แต่ไม่ชอบทัวร์เลย เพราะชอบพาช๊อปปิ้ง
จะว่าไปเห็นหิมะเห็นชุดที่ใส่แล้วยังความสูงที่ต้องพยายามขึ้นไปอีก รุ้งถอดใจตั้งแต่ตีนเขาแล้วค่ะ
ยอมแพ้ใจสว.เลย
อาจารย์สุวิมล Travel Blog