เพื่อนขอนแก่น พาท่องอิสาน ตอนที่ 2
ทริปอิสาน บล็อกนี้ เป็นทริปต่อเนื่องจากทริปอิสานทริปที่ 1 ค่ะ เพื่อนจะพาเราทัวร์อิสานต่อ ค่ะ
วันที่ 23 ธันวาคม 2559
ดังที่ได้เล่าไว้ในตอนที่ 1 ว่า เมื่อคืน เราได้มาพักโรงแรมที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ชื่อว่า เรือนแวนดา
คืนละ 700 บาท มีอาหารมือเช้าให้ 1 มื้อด้วย แผนการเที่ยวในวันนี้ ก็คือ เราต้องตื่นแต่เช้า
ออกจากโรงแรม เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่ วัดผาตากเสื้อ ซึ่งไม่ไกลจาก
โรงแรมที่เราพักมากนัก ตื่นแล้ว ก็ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ยังไม่อาบน้ำ กลับจากเที่ยวค่อยอาบ
เอก ตื่นมารอพวกเราแล้ว ตอนนั้น น่าจะประมาณ ตีห้าครึ่ง ทุกคนพร้อม เอกก็ขับรถออกจากที่พัก
เดินทางไปยังจุดหมาย ฟ้ายังมืดสนิท แต่ข้างทางมีไฟฟ้า ให้ตลอดทาง รถต้องขึ้นเขาด้วย
น่าจะประมาณ ครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ถึงวัดผาตากเสื้อ มีนักท่องเที่ยวมาแล้วไม่ใช่น้อยเลย
พวกเราต้องเดินขึ้นเขาไปอีกระยะหนึ่ง ไปยังจุดชมวิว เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
จุดชมวิวนั้น ทำเป็นสะพานกระจก มีราวกั้น เพื่อความปลอดภัย เป็นสะพานกระจกสั้น ๆ
มีการจำกัดจำนวนคนที่จะเดินไปที่สะพานด้วย ประมาณน่าจะให้ไม่เกิน 30-40 คน พวกเรา
ก็รอคนออกจากสะพานกระจกบ้าง แล้วจึงทยอยกันเข้าไป ส่วนใหญ่จะไปถ่ายรูปกับสะพานกระจก
แต่ก็ไม่ได้เห็นกระจก ชัดเจนมากนัก เพราะมันแคบ และสั้นนิดเดียว คนก็เยอะ มาชมกันค่ะ
เกาะราวที่กั้น เป็นสะพานกระจก พื้นเป็นกระจก เห็นไหม คะ อิอิ
ถ่ายใกล้มาก เพราะคนเยอะ ที่เห็นนั้นเป็นแม่น้ำโขงอยู่ด้านล่าง
ถ่ายกับป้ายบอกชื่อด้วย กันลืม อิอิ
อีกมุมหนึ่งใกล้ ๆ กับสะพานกระจก หมอกไม่ชัดเลย
นักท่องเที่ยวที่อยู่บนสะพานกระจก แออัดมาก ท้องฟ้าสีแดง แต่ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย
ที่เห็นนี้เป็นภาพ แม่น้ำโขงกั้นกลาง ระหว่างไทยกับประเทศลาว
มุมสวยงามอีกมุมหนึ่งบนเขา วัดผาตากเสื้อ
ถ่ายให้ เอก บ้าง เดี๋ยวโชเฟอร์ไม่มีรูป ห้าห้า
ลงมาด้านล่างแล้ว เหนือแม่โขงเริ่มมีหมอกลงให้เห็นบ้างแล้ว
พระพุทธรูปที่วัด ผาตากเสื้อ
เมื่อชมภาพ วัดผาตากเสื้อ แล้ว ก็มาทราบประวัติของวัดนี้สักเล็กน้อย ก็ดีนะคะ
วัดผาตากเสื้อ สกายวอล์กกระจกใสที่แรกของไทย ตั้งอยู่บนเขา เขต อำเภอสังคม จังหวัด หนองคาย
แต่เดีมชื่อว่า วัดถ้ำพระ หลวงปู่เพชร ปะทีโป ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมบริเวณถ้ำพระ
และได้ก่อตั้งวัด ผาตากเสื้อขึ้นเมื่อ ปี 2477 มีเนื้อที่ 29 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวา วัดนี้
เป็นวัดปฏฺิบัติธรรม ต่อมาได้อัญเชิญ พระสารีริกธาตุ มาประดิษฐาน เมื่อ 2 เมษายน 2550
เป็นวัดที่มีความสวยงาม อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร ภายในวัด มีธรรมชาติ
ที่สมบูรณ์ เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง จะเห็นสันทรายเป็นริ้วเหมือนเกล็ดพญานาค
อย่างชัดเจน และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเส้นทางในฝัน(Dream Destination 2
จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นั่นก็คือ "เกล็ดพญานาคริมโขง" ถือเป็นความมหัศจรรย์
ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างน่าพิศวง จากจุดชมวิว วัดผาตากเสื้อ มองไปทางซ้ายมือ
จะมองเห็นวิวแม่น้ำโขง วาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขง
ช่วงนี้ มีลักษณะคล้ายแยกเป็นตัว y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้าน(ลาว) ได้อย่างชัดเจน
หลังจากชื่นชมความงาม และทำบุญเขียนแผ่นทอง แผ่นละ 100 บาท ทำให้เยาว์อีกคนด้วย
พอสมควรแก่เวลาแล้ว พวกเราก็อำลา วัดผาตากเสื้อ เดินทางกลับที่พัก โรงแรมเรือนแวนดา
ถึงที่พัก ก็มีอาหารเช้า เป็นข้าวต้มหมูสับ เขาให้ไปนั่งอยู่ที่ริมน้ำโชง เห็นน้ำโขงไหลเอื่อย ๆ
บางช่วง บางช่วงก็ไหลเชี่ยว ตามแต่แก่งหินที่ไหลผ่าน ลมโชยมาเย็นสบาย แต่เราก็นั่งนาน
ไม่ได้ ต้องรีบอาบน้ำและเตรียมตัวเดินทางเที่ยวต่อไป ค่ะ
ก่อนออกจากที่พัก เราก็ถ่ายชื่อของโรงแรมไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย
ก่อนเดินทางต่อไป
ออกจากที่พัก ประมาณ 9.00 น. เอก ก็พาเรามาถึง วัดป่าภูก่อน ชายแดนอุดรธานี
วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าโสม อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
เป็นรอยต่อแผ่นดิน 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และ หนองคาย วัดป่าภูก้อน เป็นสถานที่
สงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม บำเพ็ญภาวนาของพระสงฆ์สายกรรมฐาน
มีวิหารงดงาม มีพระพุทธรูปหินอ่อน พระวิหาร ศาลารายและอาคารรอบลานเขาพระวิหาร
เป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ ภายในพระวิหาร มีเรื่องราวคำสอน
ของพระพุทธเจ้า มีภาพพระพุทธประวัติ ภาพทศชาติแกะสลักด้านบนของทุกภาพ
แกะสลักบทสวด อิติปิโส ช่องละหนึ่งท่อน ด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาว คือเป็นผนัง
พระวิหารที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
มีพระพุทธรูปไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี เป็นพระพุทธรูปหินอ่อนสีขาว ความยาว 20 เมตร
สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ที่นำมาเรียงซ้อนกันถึง 42 ก้อน ใช้ระยะเวลา
ในการสร้างถึง 6 ปี สร้างในโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ
ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 7 รอบ คือ 84 พรรษาในปี 2554 โดยมีจุดประสงค์
เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์แห่งพุทธศิลป์ในรัชกาลที่ 9
ถ่ายภาพให้เอก เป็นที่ระลึก
พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี
ความงดงามภายในวัด
ส่วนหนึ่งของความงดงามภายในวัด
ภาพอาคารหนึ่งของวัดป่า ภูก้อน
แช้ะ ภาพกับ อาคารงดงาม สักภาพ อิอิ
ฆ้องใหญ่ใกล้อาคาร ลองกำลังตีสัก 3 ครั้ง ดังกังวานดี นะ
จากวัดป่า ภูก้อน เอก ก็ขับรถพาเราไปที่วัด หินหมากเป้ง ซึ่งถือว่า เป็นวัดดังอีกวัดหนึ่ง
ของภาคอีสาน เพราะเป็นวัดที่มีเกจิอาจารย์ดัง เคยอยู่ที่วัดนี้ ก็คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ค่ะ
วัดหินหมากเป้ง เป็นวัดที่มีความเป็นธรรมชาติมาก เข้าไปในวัดจะมีต้นไม้ใหญ่เล็กมากมาย
ดูร่มรื่น และมีด้านหนึ่งของวัดติดกับแม่น้ำโขงด้วย ดูเย็นสบาย เหมาะที่จะมาปฏิบัติธรรม
เรามาทราบประวัติความเป็นมาของวัดนี้สักเล็กน้อย นะคะ
วัดหินหมากเป้ง ตั้งอยู่ที่ บ้านไทยเจริญ ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่
มีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ แม่ชี
และผู้แสวงบุญ บริเวณรอบ ๆ วัด โดยรอบ มีความสะอาด เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่เล็ก
นานาพันธุ์ มีพื้นที่ด้านหนึ่งของวัดติดกับลำน้ำโขง ได้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเมื่อปี พ.ศ. 2523
คำว่า หินหมากเป้ง เป็นชื่อของ หินสามก้อน ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ที่ริมฝั่งโขงที่หน้าวัด นี่เอง
มีลักษณะคล้ายลูกตุ้มเครื่องชั่งทองคำ ในสมัยก่อน คนในพื้นที่นี้ เขาเรียกว่า "เต็ง" หรือ"เป้งยอย"
คำว่า "หมากเป้ง" เป็นภาษาของภาค อีสาน ผลไม้อะไรก็ตาม ถ้าเป็นลูกแล้ว เขาเรียกว่า "หมาก"
ขึ้นหน้าทั้งนั้น เช่น หมากพร้าว หมากม่วง เป็นต้น "เป้ง" เป็นชื่อ ไม้พุ่ม เป็นชื่อ วัดหินหมากเป้ง
คนเฒ่า คนแก่ เล่าต่อ ๆ กันมาว่า หินหมากเป้งก้อนที่ 1 เป็นของหลวงพระบาง ก้อนที่ 2
เป็นของบางกอก ก้อนที่ 3 เป็นของเวียงจันทน์ เชื่อว่า ต่อไปในอนาคตข้างหน้า
จะมีกษัตริย์ทั้ง 3 นครมาสร้างให้วัดนี้เจริญ
ภายในวัดหินหมากเป้ง มีหุ่นขึ้ผึ้งของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่น่าสนใจ เช่น เจดีย์หลวงปู่เทสก์ บรรจุอัฐิของท่าน มีพิพิธภัณฑ์ สร้างปี 2534
มีเมรุหลวงปู่เทสก์ และหินหมากเป้ง มีรูปปั้นของหลวงปู่เทศก์ พร้อมทั้งเครื่องอัฐบริขาร
และชีวประวัติของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ด้วย ประวัติท่าน เล่าย่อๆ ว่า ท่านชื่อ เทสก์ นามสกุล เรี่ยวแรง อายุ 14 ปี ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ ขันตยคโม
ศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อายุ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร อายุ 22 ปี
ได้อุปสมบทที่วัด สุทัศนาราม จังหวัด อุบลราชธานี และได้ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์มั่น นานหลายปี
มาชมภาพภายในวัด ค่ะ
บริเวณของวัดหินหมากเป้ง ร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ จัดเป็นสวนดอกไม้ งดงาม
ด้านหนึ่งของวัด ติดกับลำน้ำโขง
ด้านที่ติดกับลำน้ำโขง ค่ะ
รูปหล่อของหลวงปู่ เทสก์ เทสรังสี
บริเวณภายในวัด ปลูกดอกไม้ สวยงาม ร่มรื่น
หน้าวัด มีรูปเสือ เข้าใจว่า ท่านเกิดปีขาล ค่ะ
รูปหล่อ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มีมณฑป ครอบรูปหล่อท่าน ให้คนเข้ามาสักการบูชา
ชื่นชม วัดหินหมากเป้ง ได้เวลาพอสมควรแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปประมาณบ่ายโมง
พวกเราจึงได้ร้านทานข้าวมื้อเที่ยงกัน ที่ อ.ศรีเชียงใหม่ แล้วไปเดินชมตลาดที่ ท่าเสด็จ
มีขายของมากมาย ทั้งเสื้อผ้า ของเด็กเล่น ของทาน หมวก มีสินค้าหลากหลายมาก แต่เราก็ไม่ได้
ซื้ออะไรเลย เพราะว่าเป็นของพื้น ๆ ที่เราเห็นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว มาชมบรรยากาศของตลาดสักหน่อย ค่ะ
จากท่าเสด็จ ผ่าน โพนพิสัย ดูพญานาค ที่ประดิษฐานตามความเชื่อไว้อย่างสวยงาม
ช่วงนี้ แดดร้อนมาก ๆ เราแวะถ่ายรูปกันนี่ ไม่กี่รูป ก็เดินทาง ต่อ มาชมภาพ ค่ะ
รูปปั้นพญานาค สวยงามมาก บนริมลำน้ำโขง
ลำน้ำโขงที่กว้าง น้ำใส ไหลเอื่อย ๆ
ถ่ายรูปเสร็จแล้ว เอก ก็ขับรถพาพวกเราไปเที่ยวอีกวัดหนึ่ง ชื่อว่า วัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน
องค์หลวงพ่อพระใสที่ชาวหนองคายเคารพ บูชามาก ๆ มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ค่ะ
วัดโพธิ์ชัย ตั้งอยู่ที่ถนน โพธิ์ชัย ห่างจากตัวเมือง หนองคายไปประมาณ 2 กิโลเมตร
ทางหลวงหมายเลข212 ไปทาง อำเภอ โพนพิสัย วัดโพธิ์ชัย เป็นที่ประดิษฐานของ
หลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ชาวหนองคายเคารพและมีความศักดิ์สิทธิ์ มาก ๆ
กำหนดวันสงกรานต์ของทุกปี จะมีการนำ หลวงพ่อพระใส มาแห่รอบเมืองและสรงน้ำ ทุกปี
หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุกหน้าตักว้าง 2คืบ 8 นิ้ว
จากการสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อพระใส
เป็นพระพุทธรูปหล่อ ในสมัยล้านช้าง ตามตำนาน เล่าว่า มีพระธิดาของกษัตริย์ล้านช้าง
3 พระองค์ เป็นผู้สร้างไว้ แต่บางตำราก็กล่าวว่า พระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช
ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์และขนานนามพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ตามพระนามของตนเอง
คือ พระธิดาองค์โต ชื่อพระเสริม องค์รอง ชื่อ พระสุก และองค์สุดท้าย ชื่อว่า พระใส เรียงตามลำดับ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ กบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์
ยกทัพไปปราบและอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ แต่เกิดเหตุระหว่างทาง คือ เกิดพายุ แพที่อัญเชิญ
พระพุทธรูป ที่ชื่อพระสุก ตกน้ำจมหายไป เหลือแต่พระเสริมและพระใส พระเสริมได้รับการอัญเชิญ
มาประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดหอก่องหรือ ปัจจุบันคือ
วัดประดิษฐธรรมคุณ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญ พระเสริมและพระใสลงมากรุงเทพฯ
แต่เกิดปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อพระใส เกวียนที่อัญเชิญพระใสเกิดหัก หาเกวียนมาใหม่แล้ว
ก็ไม่สามารถอัญเชิญท่านไปกรุงเทพฯ ได้ จึงอัญเชิญแต่พระเสริมลงมากรุงเทพฯและประดิษฐาน
อยู่ที่วัดปทุมวนาราม ส่วนพระใสได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัยจนถึงในปัจจุบันนี้
หลวงพ่อพระใส ได้รับสมญานามว่า หลวงพ่อเกวียนหัก ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมา
ออกจากวัดโพธิ์ชัยแล้ว ขับมุ่งหน้าไป จังหวัดบึงกาฬ ระหว่างทางที่ไป แวะเที่ยววัดอาฮงศิลาวาส
วัดนี้ตั้งอยู่ที่บ้าน อาฮง หมู่ที่ 3 ตำบลหอคำ อำเภอ เมือง จังหวัด บึงกาฬห่างจากตัวเมืองบึงกาฬ
21 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดหนองคาย 115 กิโลเมตร วัดนี้ มี "แก่งอาฮง" หรือ ที่เรียกว่า
จุดชมวิว "สะดือแม่น้ำโขง" (เชื่อว่า ที่นี่ เป็นวังของพญานาค) เป็นจุดกำเนิดบั้งไฟเป็นแห่งแรก
สะดือทะเล เป็นจุดที่แม่น้ำโขงลึกที่สุด ไม่สามารถวัดความลึกตรงจุดนี้ได้ ในฤดูน้ำหลาก
ที่นี่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากมาก มีกระแสน้ำวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ สังเกตได้ว่า
ถ้ามีวัตถุหรือขอนไม้ขนาดใหญ่ลอยมาถึงบริเวณนี้ จะหมุนวนอยู่บริเวณนั้น ประมาณ 30 นาที
จึงจะไหลต่อไปได้ เชื่อว่า ตรงนี้แหละ เป็นสะดือทะเลของลำน้ำโขง มีความกว้างประมาณ 300 เมตร
ในฤดูน้ำลด มีความกว้างประมาณ 400 เมตร สามารถมองเห็นแก่งหิน ในช่วง มี.ค.-พ.ค.
ของทุกปี มีกลุ่มหินน้อยใหญ่ปรากฏบริเวณ แก่งอาฮง ที่นี่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยว พักผ่อน
ชมหินสวยของจังหวัดบึงกาฬ และเป็นจุดชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ"บั้งไฟพญานาค"
ในช่วงออกพรรษา ซี่งจะมีนักท่องเที่ยวมาชมปรากฏการณ์นี้อย่างมากมาย
สำหรับประวัติความเป็นมาของ วัดอาฮงศิลาวาส ผู้ก่อตั้งวัดนี้ คือ หลวงพ่อลุน ซึ่งบริเวณ
ที่ตั้งวัด ช่วงนั้น เป็นป่าดงดิบ มีโขดหินใหญ่น้อยปะปน ซึ่งเป็นเทือกเขาเชื่อมโยงมาจาก
ฝั่งประเทศลาว วัดนี้ เดิมมีชื่อว่า "วัดป่าเลไลย" ในปี 2506 หลวงพ่อลุน ถึงแม่มรณภาพ
จึงไม่มีพระสงฆ์มาจำวัดอย่างถาวร เหลือเพียงแม่ชีชราภาพอยู่เฝ้าและจำวัดที่นี่
ในปี 2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมาน สิริปัญโญ) ผ่านมาพบวัดนี้
เห็นว่า เป็นวัดที่ร่มรื่น อยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขง มีโขดหินเรียงรายในแม่น้ำยื่นออกจากฝั่ง
สู่กลางแม่น้ำโขง เรียกชื่อว่า "แก่งอาฮง" หลวงพ่อมหาสมาน จึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์
และญาติโยม ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ให้กลับมาสมบูรณ์ ถาวร และมีอาคาร สถานที่เพื่ออำนวย
ความสะดวกต่าง ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ตลอดจนญาติโยมที่มาวัดนี้ และได้ตั้งชื่อวัดนี้ใหม่
ว่า "วัดอาฮงศิลาวาส" และพัฒนา เป็นที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันด้วย
เรามาชมภาพสวย ๆ ค่ะ
น่าจะเป็นพระอุโบสถ ฉันกับวัชร์ไม่ได้ขึ้นไปชม แอบถ่ายรูปเอก ไว้ เป็นตัวแทนขึ้นไปชม อิอิ
เป็นศาลา สวยงาม อีกแห่งหนึ่งในวัด นี้
ทิวทัศน์ที่สวยงามบริเวณ ฝั่งลำน้ำโขง มีหินยื่นลงไปในลำน้ำ
ถ่ายรูปกับป้าย สะดือทะเล ชะหน่อย คนมาถ่ายเยอะ ต้องรอคิว ถ่ายกัน
อีกมุมหนึ่งที่ทำป้ายไว้ให้คนมาเที่ยวถ่ายรูป
มุมสวยอีกมุมหนึ่ง ค่ะ
จากการชม วัดอาฮงศิลาวาส แล้ว ก็ต้องออกเดินทางต่อไป ไปไกลพอสมควรเพื่อหาที่พัก
ได้โรงแรม ชื่อ โรงแรมแม่น้ำ ติดริมถนน ด้านหน้า เป็นลำน้ำโขง แต่มืดแล้ว มองไม่เห็นลำน้ำ
ห้องพักคืนนี้ โชคดี อยู่ด้านล่างและราคาถูกด้วย ราคาห้องละ 400 บาท เท่านั้น สภาพห้องก็โอเค
ถึงจะไม่มีตู้เย็น เป็นพัดลม พวกเราก็นอนได้สบาย เพราะช่วงนี้ อากาศเย็น ๆ อยู่
เมื่อนำสัมภาระเข้าห้องพักแล้ว พวกเราก็ออกมาเดิน ถนนคนเดิน ที่ติดกับลำน้ำโขง
มีสินค้าขายหลากหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ของกินมากที่สุด มีผลไม้หลายชนิด
พวกเราซื้อ คอหมูย่างมา ดูเหมือน 50 บาทมั้ง จะได้แกล้มเบียร์ของเอกและวัชร์ด้วย
บรรยากาศของถนนคนเดิน ริมฝั่งโขง
อาหารหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อได้มากมาย
หลังจากเดินชมตลาด ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า พวกเราก็ไปหาร้านอาหารมื้อค่ำทานกัน
ร้านใกล้ ๆ โรงแรมที่พัก นั่นแหละ เพราะ เอก เหนื่อยแล้ว ไม่อยากขับรถไปหาร้านที่อื่นกิน
อาหาร ก็พื้น ๆ เหมือนร้านทั่ว ๆ ไป ฉันสั่งข้าวต้มทะเล 1 ชาม วัชร์ สั่งไข่เจียวและอีก 2อย่าง
มาชมรูปถ่ายอาหารกัน ค่ะ
หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว พวกเราก็เข้าห้องพักกันไปเพื่อ เตรียมพัก่อน พรุ่งนี้ยังต้องเดินทาง
เที่ยวกันต่อไปแต่เช้า
บล็อกนี้ ขอจบการเที่ยว อีสาน ไว้ที่โรงแรมแม่น้ำ เชิญติดตาม ทริป อีสาน ตอนที่ 3 ต่อไป ค่ะ