คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

ย่าติง ดินแดนสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ หุบเขาเสือกระโจน ความใฝ่ฝันของนัก Tracking


ย่าติง ดินแดนสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ หุบเขาเสือกระโจน ความใฝ่ฝันของนัก Tracking

ทริปนี้ เป็นทริปที่ 4 ในการเดินทางท่องเที่ยวปี 2557 ของฉัน ถือเป็น
ทริปสุดท้ายของปีนี้ จบลงไปพร้อม ๆ กับงบประมาณในการเที่ยวหมดลงไปด้วย ค่ะ อิอิ

เป้าหมายใหญ่ของทริปนี้ ก็เป็นไปตามชื่อเรื่องที่ฉันตั้งไว้นั่นแหละค่ะ แต่นอกจากสถานที่สองแห่งดังกล่าวแล้ว เรายังมีที่อื่น ๆ อีกนะคะที่น่าสนใจ ซึ่งฉันคงจะได้เขียนเล่าให้อ่านไปตามลำดับเรื่องก่อนหลัง พร้อมรูปภาพสวย ๆ งาม ๆ ที่ฉันและเพื่อน ๆ ได้ถ่ายรูปมาฝากเหมือนเช่นเคยค่ะ


ทริปนี้ เป็นทริปกึ่งทัวร์ เพราะคนจัด ฉันเจอเขาในเฟสบุ๊คที่เขาลงโปรแกรมทัวร์ ซึ่งที่จริงจะไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่จำนวนผู้ไปน้อยกว่า 8 คนเขาเลยต้องยกเลิก ปีนี้ สำเร็จ เพราะมีคนร่วมทัวร์ทั้งหมด 16 คน โดยคนจัด คือ คุณพี เป็นผู้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเซีย ตอนมีโปรโมชั่น ด้วยราคา ไปกลับคุณหมิง 4,045 บาท ไปจัดทำวีซ่าให้ ซื้อน้ำหนักกระเป๋าให้ เก็บค่าทัวร์คนละ 17,500 บาท อาหารไม่อยู่ในรายการ ค่าเข้าชม ภูเขาหิมะมังกรหยก ค่ากระเช้า จ่ายเอง

กำหนดการของทริปนี้ คือ 25 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน 57 รวมเวลา 12 วัน นับว่า เป็นช่วงระยะเวลายาวเป็นอันดับสอง รองจากทริป เซี่ยงไฮ้ฮอกไกโด ซึ่งใช้เวลา 22 วัน

วันที่ 25 เม้ง เหลนของฉันมารับฉันประมาณ ตี 5 เพราะเรานัดเจอกันที่ดอนเมือง เวลา 6.00 น. ฉันถึงดอนเมือง ยังไม่ หกโมงดี เข้าประตูไปยังเคาน์เตอร์ มองหา เคาน์เตอร์ แอร์เอเซีย พลันหูได้ยินเสียงเรียก คุ้น ๆ หูว่า "คุณครู ทางนี้" ดีใจ ที่ได้เจอ ต้น น้องที่เคยไปอินโดด้วยกันครั้งแรก ได้เจอเพื่อนร่วมทริปครั้งนี้แล้ว ค่อยอุ่นใจหน่อย สักพักใหญ่ ๆ จุ๊บ วัชรี คุณพี พี่เจ๋และคณะก็มา คณะของฉัน 8 คน มาครบแล้ว สักพัก หญิง ติ่ง โกศล ซึ่งเป็นอีกคณะหนึ่ง 3 คน เขาจะไปกันเอง เนื่องจาก เส้นทางที่เราจะไปนั้น เขาไปมาแล้ว จะไปเพียง อุทยานย่าติง เท่านั้น ที่เขายังไม่เคยไป ก็เป็นเรื่องแปลก ที่เที่ยวบิน ทั้งไปและกลับ ตรงกับของคณะเรา เราเลยได้เจอกันที่สนามบิน

เครื่องบินของเรา ออกตรงเวลา 8.20น. เหินขึ้นสู่เวหา เดินทางไปยังคุนหมิง ใช้เวลา ประมาณ สองชั่วโมงครึ่ง เวลาที่คุนหมิงเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง หลังจากผ่านพิธีการเข้าเมืองแล้ว รอรับกระเป๋ากันเสร็จ ก็มีคนมาเสนอเรื่องรถซึ่งเราจะต้องจ้างจากสนามบินไปยังสถานีรถทัวร์เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง จงเตี้ยน ซึ่งห่างจากสนามบินไปประมาณ 30 กิโลเมตร ในที่สุด ก็เช่ารถ 2 คัน นั่งคันละ 8 คน คนละ 30 หยวน ส่วนกลุ่ม หญิง ต้องไปแท็กซี่ 3 คน ดูเหมือนเหมาไป 110 หยวน



คุณพี พูดภาษาจีนกลางไม่ได้ ภาษาอังกฤษคงไม่แข็งแรงด้วย ประกอบกับพวกคนจีน ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ค่อยได้ รถสองคันนี้ พาเราไปบริษัททัวร์ก่อน พยายามจะให้เราไปซื้อทัวร์เที่ยว ฉันต้องไปส่งภาษาบอกเขาว่า เรามีมัคคุเทศก์แล้ว ไม่ต้องการซื้อทัวร์ เขาจึงพาพวกเราไปส่งที่สถานีขนส่ง รถสองคันไปไม่พร้อมกัน ต้องลากกระเป๋ากันไปไกลพอสมควรจึงถึงสถานี คุณพี ก็เดินเข้าสถานีขนส่งไป โดยไม่รอใคร เงินก็ไม่จ่ายค่ารถสองคันนี้ เฮ้อ! เจ้าของรถก็มาขอค่ารถจากฉัน ซึ่งพอจะพูดกับเขารู้เรื่องบ้าง เดือดร้อนถึงฉันจะต้องเดินเข้าไปตามหาเขา พอดีเจอโกศล หญิง เลยรู้ว่า คุณพีเข้าแถวซื้อตั๋วรถอยู่ (แปลกไหมล่ะ แทนที่จะจ่ายค่ารถเสร็จก่อนแล้วค่อยไปซื้อก็ได้ เฮ้อ!) พอฉันไปบอกเขาว่า คนรถจะมาเอาเงินค่ารถ เขาก็เลยให้ฉันคุยกับคนขายตั๋วรถทัวร์ที่จะไปจงเตี้ยน เขาจะไปจ่ายค่ารถเอง (คงคุยกับคนขายบัตรไม่รู้เรื่อง) เพราะคนขายบัตรถามฉันว่า ตกลงจะซื้อบัตรกี่คน ฉันก็บอกไป 16 คน คนขายบัตร คิดเงินให้ว่า 16 คน เป็นเงินเท่าไร แล้วก็บอกว่า รถออกบ่ายสองโมงนะ ฉันก็นึกว่า คุณพีคุยกับคนขายบัตรเอาเวลาเที่ยวบ่ายสองโมง ได้ตั๋วพร้อมชำระเงินแล้ว โกศลถามว่า ทำไมรีบไป ไม่เอารอบเวลาอื่น เพราะรอบบ่ายสอง ไปถึงจงเตี้ยน มันประมาณเที่ยงคืน จะลำบาก เอ้า! ฉันก็ไม่รู้ นึกว่า คุณพี เขาคุยกับคนขายจะเอารอบนี้ เป็นอันว่า เราไม่มีเวลาทานข้าวกลางวันกันเลย ได้แต่เข้าห้องน้ำอย่างเดียว บางคนก็แวะร้านขายขนมเพื่อที่จะได้ทานระหว่างทาง

เมื่อขึ้นมาบนรถ ยายผู้หญิงที่น่าจะเป็นเจ้าของรถ โวยวายว่า พวกเราขึ้นรถช้า เลยเวลาไป 20 นาทีแล้ว ฉันก็เลยโวยวายตอบว่า พวกเรายังไม่ทันเลือกไปรถเที่ยวนี้เลย มายัดเยียดให้เรา 16 คน ทำให้รถคุณเต็มออกรถได้ พวกเราคณะใหญ่ ก็ต้องช้าหน่อย เพราะต้องเข้าห้องน้ำก่อน แล้วก็ไม่ได้อยากไปรถเที่ยวนี้ด้วย ถ้าจะโวยวายว่าช้า ก็ต้องไปต่อว่า คนขายบัตรซี เขาเลยเงียบมองหน้าเฉย ๆ ต้องรอพวกเราขึ้นครบทุกคน ฉันจึงหยุดโวยวาย พวกนี้ถ้าพูดกับมันไม่เป็น มันคงข่มเราน่าดู

พวกเราทุกคนได้นั่งด้านหลังกันหมด เพราะเราซื้อบัตรโดยถูกยัดเยียดให้เต็มเที่ยวนี้ แถมรถใกล้ออกแล้วด้วย เลยได้จับกลุ่มใหญ่อยู่หลังรถหมด รถทัวร์เที่ยวนี้ คนละ 243 หยวน มีห้องน้ำด้วย แต่ฉันก็ไม่ได้เข้า พวกพี่เจ๋และคนอื่น ๆ ที่ทนไม่ไหวก็ได้เข้ากันบ้าง ผู้โดยสารบางคนสงสัยเมารถ อาเจียนในห้องน้ำโอ๊กอ้าก น่าเห็นใจคนเมารถ พวกเราก็หิวกันมาก ฉันได้ข้าวต้มมัดจากพี่เจ๋และอิมมา 1 คู่ พอจะประทังได้บ้าง พวกเราคุยกันไป สนุกสนาน มาดูรูปบนรถทัวร์ไปเมืองจงเตี้ยน ค่ะ





อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ควบกับอาหารมื้อเย็น ไปทานข้าวเอาตอนสองทุ่ม เขาจอดให้ทานข้าวที่ร้านชาวบ้าน ซึ่งคงเป็นที่ตกลงกันไว้ว่า จะมีรถประจำทางมาจอดให้ทานข้าวกัน เพราะพอลงจากรถ อาหารเขามีพร้อมแล้ว ไม่ต้องมีการสั่งอยากทานโน่น ทานนี่ เขาทำกับข้าวเสร็จแล้ว น่าจะมี 3-4 อย่าง ใช้เป็นถาดหลุม คนละ 25 หยวน เยอะมาก ฉันกับวัชรีแบ่งกันคนละครึ่ง กินอิ่มพอดี ไม่เหลือทิ้ง ถ้าต่างคนต่างซื้อเหลือทิ้งแน่นอน เพราะมันเยอะมาก มีน้ำแกงฟักซอยตักกินไม่อั้น รสชาติก็กินได้ อร่อยพอควร อาจจะเป็นเพราะกำลังหิวด้วย เลยอร่อยกันใหญ่ น่าจะจอดให้กินข้าวครึ่งชั่วโมงกว่า ไปเข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จ คนละ 1 หยวนค่าเข้า คนขับรถบีบแตรเรียกขึ้นรถ เพื่อเดินทางต่อ

พวกเราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เทอร์โมมิเตอร์ที่หน้ารถ บอกอุณหภูมิว่า ภายในรถเท่าไหร่ ภายนอกรถเท่าไหร่ โห ! นอกรถตอนนี้ เหลือ 3-4 องศา คงหนาวน่าดู ตอนลงไปทานข้าว น่าจะประมาณ 10 องศา แต่เราเข้าร้านทานข้าวเลยไม่รู้สึกมากนัก ฉันไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวออกจากกระเป๋าใหญ่เลย ใส่แต่เสื้อแขนกระบอกและมีผ้าพันคอเท่านั้น ก็รู้สึกหนาวพอประมาณ

น่าจะประมาณ 22.30 น.เห็นจะได้มั้ง ก็ถึงสถานีปลายทาง เขาให้พวกเราลงจากรถ และต้องไปหยิบกระเป๋าเอง แย่จัง เก็บเงินค่ารถก็แพง ไม่บริการเลย ดีที่กลุ่มเรามี ต้น มาด้วย เขามีน้ำใจมากกว่าใคร ช่วยกันเอากระเป๋าลงจากรถให้หลายคนอยู่ ขณะนี้ อุณหภูมิอยู่ที่ 2 องศา หนาวสั่นกันหมด ทุกคนเปิดกระเป๋าเพื่อเปิดเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่บ้าง ใส่เสื้อเพิ่มบ้าง กระเป๋าฉันเป็นซันโซไนต์ เป็นตัวล็อกแบบรหัส หนาวจนเปิดไม่ออก จุ๊บมาช่วยเปิดก็ไม่ออก เดือดร้อนถึง ต้น มาช่วยเปิดจึงได้เสื้อกันหนาวออกมาใส่ได้ เฮ้อ ! ส่วนคุณพี ให้พวกเรารอกันอยู่แถวนี้ เขาจะไปเดินหาโรงแรมให้พวกเราพักก่อน (ไม่ได้จองล่วงหน้ากันเลยสักแห่ง) พวกเราก็เข้าไปหลบลมหนาวในซอกตึกแถว ๆ นั้นรอคุณพีกัน

สักพักใหญ่ ๆ เขาก็มา บอกว่า เจอโรงแรมแถวนี้แล้ว พวกเราก็ลากกระเป๋ากัน เดิมตามกันเป็นกระบวน เหมือนเขมรอพยพ อิอิ เดินไกลเหมือนกันนะ เดินไปก็สั่นหงึก ๆ กันไป เพราะลมหนาวที่เข้ามาปะทะหน้า หนาวน้อยชะเมื่อไหร่

ปรากฏว่า ฉันก็ต้องเข้าไปช่วยส่งภาษากับอาหมวย พนักงานโรงแรมแห่งนี้ เพราะแกคงฟังภาษาอังกฤษของคุณพีไม่รู้เรื่อง คืนนี้ ราคาโรงแรมห้องละ 150 หยวน อาหมวยบอกว่า นี่ลดให้เป็นพิเศษแล้ว เมื่อชำระเงินแล้ว พวกเราก็ขึ้นลีฟไปห้องใครห้องมัน เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย ห้องพักก็ใช้ได้พอควร มีน้ำอุ่น แต่อากาศหนาวมาก

26 ตุลาคม 57 เช้านี้ ฉันกับจุ๊บต้มน้ำร้อน ทานมาม่ากันคนละห่อ แล้วก็ลงมาชั้นล่างนัดกันไว้ประมาณ 9.00 น.เดินเที่ยวชมเมืองจงเตี้ยน เมืองนี้ คงมีคนธิเบตอยู่ไม่น้อย มีศิลปะของชาวธิเบตเป็นสัญลักษณ์อยู่ มาชมภาพถ่ายสวย ๆ บรรยากาศตอนเช้าของเมืองนี้ จ้ะ





พวกเราขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะไปเที่ยววัด สงซ่านหลินซื่อ คนละ 1 หยวน วัดนี้ เป็นวัดลามะของชนชาวธิเบต มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี มีลักษณะคล้ายพระราชวังโปตาลาในเมืองลาซาของธิเบต แต่ย่อขนาดให้เล็กลง และได้ฉายาว่า "ธิเบตน้อย" บัตรเข้าชมราคาแพงมากที่เดียว 115 หยวน พอได้บัตรกันแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินเข้าวัดไปและเริ่มบรรเลงการถ่ายรูปตามความชอบของแต่ละคน เลือกมุมที่คิดว่าสวย อิอิ กลุ่มฉัน มีจุ๊บ วัชรี ต้น จุก (จริยา) เดินเป็นกลุ่มกันไป ผลัดกันถ่ายรูปตามความชอบ ต้น ชอบถ่ายให้คนอื่น ตัวเองไม่ค่อยได้ถ่าย ต้องขยั้นขยอ หรือไม่ก็ถ่ายแกตอน เผลอ ๆ อิอิ ลองมาชมภาพสวย ๆ ของพวกเราได้ค่ะ





















เราพักทานข้าวมื้อเที่ยงกันที่วัดนี้ โดยตอนเช้าพวกเราซื้อหมั่นโถวกันมาคนละ 2 ใบ 3 หยวน เห็นมันร้อน ๆ น่ากินดี แต่มาถึงช่วงเที่ยง มันไม่อร่อยแล้ว เพราะมันเย็น ก็กินประทังความหิว พอดีฉันซื้อหมูฝอยมาด้วย แบ่งกันกินไป ก็พอจะอร่อยดีเหมือนกัน หมั่นโถวไม่จืดชืดนัก

ประมาณบ่ายกว่า ๆ เราก็นั่งรถประจำทางมาเที่ยวเมืองจงเตี้ยน ต่างแยกย้ายไปเดินเที่ยว ชมร้านค้าต่าง ๆ เจอร้านขายขนมปัง ก็ซื้อกันใหญ่ เตรียมไว้ทานระหว่างทาง พรุ่งนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องเดินทางไปเมืองเต้าเฉิง ต้องใช้เวลายาวนานไม่น้อย ฉันซื้อขนมปังที่มีไส้ครีม ดูท่าน่าจะอร่อย เพราะซื้อเสร็จก็ลองชิมไปชิ้นหนึ่ง อร่อยสมความคิด ซื้อขนมเค้กคล้ายแยมโลอีกกล่องหนึ่ง เตรียมพร้อมพรุ่งนี้ ระหว่างนั้น ก็เดินเที่ยวถ่ายรูปสวย ๆ ของเมืองนี้มาให้ชมค่ะ





อาหารมื้อเย็นวันนี้ เราหาร้านกินกันที่เมืองเก่าของจงเตี่ยน โดยจับกลุ่มกันโต๊ะละ 4-5 คน ปรากฏไม่รู้เดินหายไปไหน 3-4 คน โต๊ะฉัน มีจุก วัชรี จุ๊บ 4 คน สั่งอาหารกินกัน กับข้าว 3 อย่าง แกงจืดที่เป็นไก่แพงที่สุด ตกคนละ 26 หยวนหรือไงก็จำไม่ค่อยได้

อิ่มข้าวแล้ว ไปเดินเพื่อหาซื้อไม้เท้าที่จะไปเทรคกิ้งกัน ต่อรองร้านแรกด้วยราคา 35 หยวน เขาไม่ให้ มาเดินเจออีกร้าหนึ่งในซอย เจ้าของร้านเป็นหญิงสาว ตัวป้อม ๆ สูงพอ ๆ กับฉัน หน้าตาจิ้มลิ้ม อัธยาศัยดี ค้าขายเก่ง เพื่อนให้ฉันช่วยต่อกระป๋องออกซิเจน เขาซื้อกันเยอะ คนละกระป๋องสองกระป๋อง แต่ฉันไม่ซื้อ ตกลงได้ซื้อกันทั้งหมด 7 กระป๋อง เขาจะเอากระป๋๋องละ 30 หยวน ฉันต่อให้เขาได้กระป๋องละ 25 หยวน ทุกคนต่างก็พอใจ แล้วก็มาต่อไม้เท้าอีก อิอิ ได้อันละ 37 หยวน ของฉันเขาลดพิเศษให้เหลือ 35 หยวน แถมให้ของที่ระลึก 1 ชิ้น เป็นผ้าชิ้นเล็ก ๆ ใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วคุณพีก็ให้ช่วยพูดเรื่องจองห้องพักกับเม่ย เม่ยด้วย (ชื่อจริงเขา คือ
อี้ตี้ แซ่เจี่ย) ห้องละ 100 หยวน 8 ห้อง ซึ่งเราจะพักในวันที่ 1 พ.ย. หลังจากกลับจากย่าติงแล้ว

หลังจากทุกคนได้ของแล้ว ก็เดินไปที่ซอยซึ่งกำลังมีการก่อสร้างกันอยู่ คุณพีบอกว่า เป็นส่วนหนึ่งของเมืองเก่าและถูกไฟไหม้ ในนี้มีวัดเก่าแก่ด้วย ไม่รู้ว่า ถูกไฟไหม้บ้างไหม พวกเราไม่ได้เข้าไป เพราะเริ่มมืดและหนาวมากขึ้น เดินไปเพื่อจะไปขึ้นรถประจำทาง ระหว่างทางก็เจอคนกำลังออกกำลังกายกัน ก็ไปถ่ายรูปและแจมกับเขาด้วย ถ่ายรูปมาฝากด้วยจ้ะ







คุณพี เขาให้นั่งแท็กซี่กลับ คันละ 10 หยวน ไปส่งที่โรงแรมที่พักเมื่อคืนนี้ พรุ่งนี้ เราจะต้องออกแต่เช้า เพราะจะต้องไปขึ้นรถทัวร์ไปเต้าเฉิง รถออก 7.30 น. โดยคุณพี จะเอากระเป๋าใบใหญ่ของเราไปฝากไว้ที่ โรงแรมของ อี้ตี้ ให้พวกเราจัดกระเป๋าเล็ก เอาเสื้อผ้าไปประมาณ 3-4 ชุด เราจะกลับมาพักที่นี่วันที่ 1 พ.ย.

วันที่ 27 ตุลาคม 57

เช้านี้เราต้องตื่นเช้ามาก เพราะต้องเอากระเป๋าให้คุณพี นั่งแท็กซี่ไปฝากไว้ที่โรงแรมของ อี้ตี้ ตั้งแต่ 7.00 น. ส่วนพวกเราก็ลากกระเป๋าไปที่สถานีขนส่ง เพื่อที่จะขึ้นรถไปเมืองเต้าเฉิง ระหว่างทางที่ผ่าน ทิวทัศน์ก็สวยงาม วันนี้อยู่บนรถทั้งวัน คนรถใจดีผ่านสถานที่ที่มีหิมะ เขาจอดให้คนในรถลงไปถ่ายรูปด้วย แต่ก็ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น มาชมทิวทัศน์ระหว่างทางที่ฉันถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ









อาหารมื้อเที่ยงก็น่าจะไปพักทานกันประมาณ บ่ายโมงกว่าได้แล้ว บางช่วงของทางที่ไป ขรุขระ แคบมาก ทางคดเคี้ยวและแคบ ดูน่ากลัว แต่คนขับก็เก่ง รถประจำทางมีวันละเที่ยวเท่านั้น กว่าเราจะมาถึงเมืองเต้าเฉิงก็ใกล้ค่ำแล้ว หลังจากได้กระเป๋าลงจากรถแล้ว ก็มีคนมาให้เราไปดูที่พัก เหมือนพวกนายหน้ามาต้อนพวกนักท่องเที่ยว คงได้เปอร์เซ็นต์ที่พานักท่องเที่ยวมาพักนะ ฉันเดาเอา แต่ปรากฏว่า ไม่ไหว เพราะว่า ที่ถูก คืนละ 80 ห้องน้ำอยู่นอก คือ เป็นห้องน้ำรวม นั่นเอง ห้องละ 100 หยวน มีห้องน้ำในตัว แต่เป็นส้วมนั่งยอง ๆ พวกเราก็ไม่ไหว คุณพีกับใคร ฉันก็จำไม่ได้ เดินไปหาโรงแรม ให้พวกเรารออยู่ที่หน้าโรงแรมที่ใกล้กับรถเมล์ที่มาส่งนั่นแหละ เป็นโรงแรมที่ดูค่อนข้างดี คุณพี คงคิดว่าแพง เลยไม่ได้เข้าไปถาม ทุกคนรอด้วยความกระวนกระวาย อากาศก็หนาวจับใจ พี่เจ๋ ถึงกับบอกให้ฉันไปติดต่อโรงแรมที่เรายืนรออยู่ด้านหน้าของเขา พี่เจ๋ยอมจ่ายเงินเพิ่ม อิอิ นี่คือความวุ่นวายที่เกิดขึ้มอยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่มีการเตรียมพร้อมนั่นเอง ฉันบอกพี่เจ๋ว่า ถ้าให้ฉันไปติดต่อแล้ว คุณพี เขาหาโรงแรมอื่นได้แล้ว มิวุ่นวายตายเหรอ เฮ้อ!

ในที่สุด คุณพี ก็คว้าน้ำเหลว ไม่ได้โรงแรม ในที่สุด ก็ต้องให้ฉันไปติดต่อโรงแรมที่เรายืนรออยู่ ต่อรองได้ห้องละ 150 หยวนต่อห้อง จัดการเรื่องห้องพักเสร็จจ่ายเงินพนักงานแล้ว ก็ต้องมาจัดการเรื่องการเช่ารถเพื่อไปย่าติงในวันพรุ่งนี้ ซึ่งมีคนมาติดต่อเรา อาสาเรา ว่าจะบริการรถพาพวกเราไป ย่าติง ความจริงเขามาติดต่อกับฉันตั้งแต่ตอนคุณพีไปหาโรงแรมแล้ว ฉันก็คุยกับหลาย ๆ เจ้า มีอยู้เจ้าหนึ่ง ชื่อ เสี่ยวว่าน ดูราคาค่อนข้างจะถูกหน่อย แถม เด็กก็ไม่คิดเงิน คิดเป็นรายหัวต่อรองได้ราคา หัวละ 40 หยวน โดยใช้รถสองคัน

วันที่ 28 ตุลาคม 57

วันนี้ เรานัดเสี่ยวว่านและเพื่อน มารับพวกเราไปส่งที่อุทยาน ย่าติง เพื่อนั่งรถของอุทยานและซื้อตั๋วเข้าเที่ยวอุทยาน โดยนัดให้มารับพวกเราเวลา 9.00 น. พวกเขามาตรงเวลา ระหว่างทางไปย่าติง ตรงไหนสวย เราจะให้เสี่ยวว่านแวะให้เราถ่ายรูปด้วยตามที่ได้ตกลงกันไว้ เสี่ยวว่านเป็นผู้ชาย ชาวจ้วง อารมณ์ดี ฮัมเพลง ไประหว่างทางที่พวกเราชอบ ก็บอกให้เขาแวะให้พวกเราถ่ายรูป ทิวทัศน์ทางไปก็สวยงามมาก ๆ ดังภาพที่ฉันและเพื่อน ๆ ถ่ายมาให้ท่านผู้อ่านชม จ้ะ









เสี่ยวว่านและเพื่อนของเขา มาส่งเราถึง สำนักงานของ อุทยานย่าติง และรับเงินค่าจ้าง 600 หยวน เราบอกเขาว่ามารับพวกเราวันที่ 30 เพื่อกลับเต้าเฉิน ตอนนี้ คุณพี จองโรงแรมอี้ตี้ผิดแล้ว เพราะเราต้องไปถึง จงเตี้ยนวันที่ 31 ต.ค.เฮ้อ! เขาปล้ำ ๆ เป๋อ ๆ จริง ๆ ฉันต้องยืมโทรศัพท์เสี่ยวว่านเพื่อโทรบอก อี้ตี้ ว่า ที่จองโรงแรม ขอเลื่อนไปนอนวันที่ 31 ต.ค. ไม่ใช่ 1 พ.ย. ที่จริง เขาควรซื้อซิมของเมืองจีนไว้ใช้โทรติดต่อกันในเมืองจีน แต่เขาก็ไม่ได้ทำ

ก่อนกลับ เสี่ยวว่านได้จดหมายเลขโทรศัพท์ของเขาให้ฉัน เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงจะได้โทรบอกเขาได้ เขาก็เป็นคนรอบคอบดีนะ

จากนั้น บางคนก็แยกย้ายไปเข้าห้องน้ำ พวกเราก็ไปซื้อตั๋วรถของอุทยาน คนละ 120 หยวน และค่าเข้าอุทยานย่าติงอีกคนละ 150 หยวน แต่ฉัน พี่เจ๋ คุณสม วัชรี เสียค่าเข้าเพียงคนละ 80 หยวน เนื่องจากอายุเกิน 60 ปี อิอิ ประหยัดไปอีก 70 หยวน เงินค่าเข้ารวมอยู่ในค่าทัวร์อยู่แล้ว จ้ะ ที่สำนักงานนี้ พวกเราเจอกลุ่มของหญิง โก และติ่งด้วย เลยได้ไปรถคันเดียวกันและพักโรงแรมเดียวกันด้วย

คนรถในอุทยาน พาเราไปยังที่พักในหมู่บ้านย่าติง เพื่อดูความพอใจที่จะพักหรือไม่ มีพนักงานของบ้านพักมาต้อนรับเราถึงที่รถและพาเดินไปดูที่พัก ห้องหนึ่งมีสองเตียงใหญ่ มีน้ำอุ่น มีเตียงไฟฟ้า ราคาต่อรองได้เต็มที่ 380 หยวน ก็เรียกว่าแพงพอสมควรแหละ คนละเกือบ 100 หยวน พวกเราจองกัน 4 ห้อง กลุ่มหญิง 3 คน อีก 1 ห้อง รวม 5 ห้อง คนรถของอุทยานเร่งให้เราขึ้นรถ พวกเราขนกระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องเดียวกันก่อน แล้วขึ้นรถเพื่อไปเที่ยว อุทยานย่าติง ในช่วงบ่ายครึ่งวัน

อุทยานย่าติง ขึ้นอยู่กับมณฑลเสฉวน เป็นอาณาเขตที่ชาวทิเบตเชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหมือนสรวงสวรรค์ของปวงเทวา เป็นอุทยานที่ถือว่า สวยมาก ๆ เป็นที่ใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชมความงามของธรรมชาติอยากมาเยี่ยมชม ค่ะ จากรูปภาพที่ฉันถ่ายมา ที่เป็นภูเขาหิมะสีเงินทั้งเทือกเขานั้น เชื่อว่า เป็นตัวแทนของพระโพธิสัตว์ในความเชื่อของชาวทิเบต ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามเปรียบเสมือนพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร พระวัชรปาณี

ที่อุทยานนี้ มีทุ่งหญ้าที่สำคัญอยู่สองแห่ง เรียกว่าชงกู่ และทุ่งหญ้า รั่วหรง วันแรกเรามีเวลาครึ่งวัน ก็ได้เที่ยวเฉพาะแถวที่เรียกว่า ทุ่งหญ้าชงกู่ วัดชงกู่ ก็ไม่ได้เดินขึ้นไปชม เพราะว่าเวลาไมาพอ เราจะต้องไปชมทะเลสาบที่คนไทยเรียกว่า ทะเลสาบไข่มุก (คุณพี ว่าเช่นนั้น)

ความสวยของอุทยาน ย่าติง ครึ่งวัน ก็ทำให้เราเดินจนหอบแล้ว ถ่ายรูปกันตามมุมต่าง ๆ ที่เห็นว่าสวยงาม ทั้งธารน้ำใสที่ไหลริน แรงบ้าง อ่อนบ้าง บางครั้ง คุณสม ก็ถ่ายรูปให้ฉันกับวัชรีบ้าง ถ่ายจากล้องจุ๊บบ้าง ฉันก็รวบรวมความสวยงามของอุทยานย่าติง ครึ่งวันแรกมาให้ชม มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค่ะ



















วันนี้เราออกจากอุทยาน ค่อนข้างเย็นมากแล้ว รถของอุทยาน ออกไปแล้ว แต่ยังเหลือนักท่องเที่ยวอีกจำนวนหนึ่ง กว่าจะมาอีกคัน ก็มืดแล้ว มองหาทางที่จะเป็นที่พักของเราก็ค่อนข้างลำบาก ดีที่ฉันมีการ์ดห้องของที่พักมาด้วย จึงให้คนขับรถดูและบอกเขาว่า ถ้าถึงที่ที่เราพักให้ช่วยจอดด้วย เฮ้อ !

ในที่สุด พวกเราก็มาถึงที่พัก และเห็นคนที่มาพักเยอะแยะ เขามีข้าวขายด้วย จุ๊บกับต้นมาก่อนเรา และกำลังกินข้าวกับกลุ่มหญิง โก ติ่ง พวกเราก็หิวมากเหมือนกัน แต่ต้องรอโต๊ะว่างก่อน มื้อนี้แพงมาก 400 หยวน กินกันประมาณ 12 คน ตัดคนป่วย คือ นายชัยยุทธ จุ๊บและต้น เพราะไปกินกับโต๊ะ หญิงแล้ว

คืนนี้ประชุมกันว่า เราจะพักที่นี่เพียงคืนเดียว เพราะหลาย ๆ คนบอกว่า ไม่ไหวแล้วที่จะให้เดินทางไปถึงทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสี ซึ่งจะมีการเช่าม้าขึ่ไปได้ระยะหนึ่ง เหลือระยะอีก 2 กิโล ม้าที่เช่า ก็ไม่รอ ต้องเดินกลับ 5 กิโล ก่อนที่จะถึงที่เช่าม้า ก็ต้องเดินอีกไกลกว่าจะได้ไปขึ้นรถไฟฟ้า อีกคนละ 80 หยวน จุ๊บ ถามฉันว่า จะไปไหม ฉันก็ตัดสินใจไปนะ ก็นัดกันตื่นตี 4 เพื่อเตรียมตัว รอรถอุทยานเที่ยวแรกซึ่งจะผ่านมาทางหมู่บ้าน เวลา 7.00 น.

วันที่ 29 ตุลาคม 57

เช้านี้ คนที่จะไปขี่ม้า และไปเดินเพื่อไปชมทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสี ซึ่งมี หญิง ติ่ง โก จุ๊บ และฉัน คือพวกที่จะไปขี่ม้า ส่วน ต้น สุรพงษ์และภรรยา ศักดิ์ และแม่น้องโชกุล ซึ่งจะเดินด้วยเท้า ไม่ขี่ม้า คือ เดินได้เท่าไหร่ เอาเท่านั้น ทริปนี้ ชัยยุทธ ไม่สบายตั้งแต่มาถึง จงเตี้ยน ฉันให้ยาไปหลายอย่าง แก้แพ้ แก้อักเสบ มาย่าติง เขาก็มีความพยายามที่จะเดินเที่ยวกับพวกเรา เหนื่อย ไม่ไหวก็พัก ข้าวปลาก็กินไม่ลง ทานแล้วก็อาเจียน ยาใหม่ที่ให้ไป คือยาแก้แพ้ความสูง กับยาแก้อาเจียน บางช่วงก็แบ่งขนมเค้กที่ฉันซื้อมาให้เขาทาน วันนี้ดูเหมือนอาการดีกว่าทุกวัน แต่ ตาต้น มาเป็นแทนอีกคน หน้าซีดหน้าเซียว ให้ยาไปเหมือนกัน ได้ข่าวว่า ก่อนมาเที่ยว ไปให้เลือดมา ร่างกายเลยอ่อนแอ เมื่อมาสมบุกสมบั่นอย่างนี้

แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันไม่ได้ไปขี่ม้าทั้ง ๆ ที่ตื่นแล้ว ฉันเขาห้องน้ำถ่ายแล้ว น้ำดันไม่ไหล เฮ้อ! เลยไม่อยากไป อยากทำความสะอาดห้องน้ำก่อนที่คนอื่นจะไปใช้ คณะที่ไป ก็เอากระเป๋ามาฝากห้องฉันเต็มไปหมด ฉันกํบวัชรี จุก ก็นอนต่อกันไป เพราะวันนี้เราจะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปเที่ยวที่ทุ่งหญ้ารั่วหรงกัน กลุ่มพี่เจ๋จะไม่ไป เพราะเข็ดตั้งแต่การเดินเมื่อวาน แต่คุณพีบอกว่า จะเดินทางลัด ไม่ไกลหรอก นอนรออยู่ที่โรงแรมก็ไม่มีอะไรทำ ในที่สุดคณะที่เหลือ เราก็ไปเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าชัยยุทธ ที่อาการยังทรง ๆ อยู่ โชกุล ลูกของน้องอีกคน อาการก็ไม่ค่อยดี แม่เขาฝากไว้กับพี่เจ๋และพวกเรา ส่วนคุณแม่ ก็ไปเดินกับพวก ต้นและอีก 3 คนดังกล่าวข้างต้น ก่อนจะไปรอรถอุทยานผ่านที่พักเรา ก็ถ่ายรูปที่พักที่เราพักมาให้ชม ค่ะ



กว่าคนที่เหลือ ซึ่งมีฉัน พี่เจ๋ คุณสม อิม อ้อย วัชรี ยุทธ จุก และโชกุล ก็ปาเข้าไป 10 โมง เพราะรอยุทธ ซึ่งขอนอนพักเอาแรงสายหน่อย พวกเรารอรถของอุทยานผ่านมาเพื่อเราจะได้นั่งไปลงที่อุทยาน น่าจะประมาณ 20 นาทีก็ถึงอุทยาน คุณพี กับคุณสม พาเราขึ้นทางลัด ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไป เป็นเส้นทางอีกเส้นหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับเมื่อวาน เป็นทางลาด ถนนเรียบ เป็นซิเมนต์ ระหว่างทาง ก็มีทิวทัศน์สวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง เราเดินไป ตรงไหนสวย เราก็แวะถ่ายรูปกันไป จนกระทั่งไปบรรจบตรงที่ขายอาหารและรถไฟฟ้า ซึ่งเราจะต้องนั่งรถไฟฟ้า คุณพี ไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้า เพื่อพาเราไปถึงทุ่งหญ้ารั่วหรง สามารถเห็นยอดเขาหิมะขาวโพนเรียงกันเป็นเทือกเขาสูงสง่าอย่างใกล้ชิดกว่าที่เมื่อวานเราเห็น ค่ารถไฟฟ้าคนละ 80 หยวน จุดนี้ จะเป็นจุดขึ้นม้าด้วย เพื่อไปเที่ยวทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสี ซึ่งพวกเราตัดสินใจไม่ไป แต่มาเที่ยวบริเวณทุ่งหญ้ารั่วหรง ซึ่งก็มองเห็นเทือกเขาหิมะขาวโพน ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้า พวกเราก็เริ่มถ่ายรูปกันตามมุมต่าง ๆ มีคุณสม เป็นตากล้องเป็นส่วนใหญ่ กล้องอ้อยบ้าง แล้วก็กล้องของฉันด้วย มีแต่ภาพทิวทัศน์สวยมาก ๆ สมกับความเหนื่อยที่เราดั้นด้นมาถึงด้วยความเหนื่อยและหนาวเย็น อิอิ เชิญชมภาพสวย ๆ ได้ค่ะ





































พวกเราถ่ายรูปกันมากมาย จนถึงบ่ายแล้ว ก็นั่งรถไฟฟ้ากลับมายังลานที่มีร้านขายอาหาร ซื้อน้ำแกง 1 ถ้วย 20 หยวน ข้าวกล่องและกับข้าว 1 กล่อง 35 หยวน แบ่งกันคนละครึ่งกับวัชรี เพราะมันเยอะมาก ทานไม่หมดแน่นอน อิอิ

ประมาณบ่ายสามกว่าได้แล้ว พวกเราก็เริ่มเดินลงจากทางลัด ขาลงง่ายหน่อย ไม่เมื่อยมาก แวะถ่ายรูปบ้างเล็กน้อย แล้วมารอข้างล่าง พวกที่ไปทะเลสาบน้ำนมกับทะเลสาบห้าสี ยังมาไม่ครบ ปรากฏว่า มีคนเดียวในกลุ่มเราทีไปครบทั้งสองทะเลสาบ คือ ศักดิ์ นอกนั้นไม่มีใครเดินถึง อิอิ เขาว่า เหนื่อยมาก ๆ โชคดีที่ฉันไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นป่านนี้น่าจะยังไม่ถึง พวกแข็งแรง ๆ ยังมาถึง ห้าโมงเย็นเลย

ตอนกลับวันนี้ เราต้องให้รถอุทยานรอเราเมื่อถึงโรงแรมที่เราพัก เพื่อจะได้เอากระเป๋าไปด้วย แต่ปรากฏว่า รถที่เราขึ้น ไปส่งแค่โรงแรมเราเท่านั้น แล้วก็กลับอุทยาน ทั้ง ๆ ที่ให้เขาดูข้อความที่พนักงานโรงแรมเขียนไว้ให้แล้วนะ เฮ้อ! พวกเราก็เลยลำบาก ต้องลากกระเป๋าไปที่ลานกว้างซึ่งเป็นที่จอดรถของอุทยานจะมาจอด ตรงนี้ มีเจ้าหน้าที่อุทยานด้วย ฉันเลยเข้าไปเจรจาว่า เราพักอยู่ที่โรงแรมที่โน่น (ชี้ให้ดู ) ตอนนี้จะต้องกลับไปยังด้านล่างเพื่อต่อรถกลับเต้าเฉิง เขาน่ารักมาก คงเห็นกลุ่มเราเป็นกลุ่มใหญ่ 16 คน มีสัมภาระเยอะแยะอีรุงตุงนังกัน แล้วก็มีบุคคลอื่น ๆ น่าจะนักท่องเที่ยงอีก กลุ่มหนึ่ง เขาก็เลยโทรศัพท์ไปตามรถเปล่า ๆ มารับพวกเรา เพราะถ้าไม่เช่นนั้น พอรถอุทยานที่มาจากต้นทาง มาถึงที่เรารอรถ คนคงเต็มแล้วนั่นเอง โชคดี ที่เจอเจ้าหน้าที่ที่น่ารักคนนี้ มาดูภาพพวกเรารอรถกันหน่อยนะ อิอิ เพื่อนถ่ายเอาไว้ เหมือนเขมรอพยพเลย ห้าห้า



ที่จริงเรานัดให้ เสี่ยวว่านมารับเราวันที่ 30 ต.ค. แต่ปรากฏว่า เราไม่ค้างย่าติงสองวัน กลับ 29 แทน ฉันให้คุณพี โทรบอกเสี่ยวว่าน แต่เขาก็ไม่ได้โทร แถมทำเบอร์เสี่ยวว่านที่ฉันให้เขาไปหายอีก เฮ้อ! เลยต้องจ้างรถจากที่นี่ เป็นคนละ 50 หยวน แพงกว่าของเสี่ยวว่านอีก ก็เพราะไม่โทรหาเสี่ยวว่าน เลยต้องจ่ายแพง อิอิ เพื่อจะไปเต้าเฉิง แล้วค่อยให้พนักงานโรงแรมที่เราพักก่อนจะมาย่าติง โทรบอกเสี่ยวว่านอีกที

ฉันได้คุยกับเสี่ยวว่านเพื่อว่าจ้างรถเขาไปส่งพวกเราที่จงเตี้ยนในวันพรุ่งนี้ เพราะเราไม่อยากไปนั่งรถประจำทาง มันแวะเที่ยวไม่ได้ ตกลงต่อรองได้เป็น 4000 หยวน จากเต้าเฉิงไปจงเตี้ยน (รถสองคัน คันละ 2000 หยวน) แต่เราไม่ตีรถกลับจงเตี้ยนเลยในวันที่ 30 จะแวะเที่ยวไปตลอดทางและจะพักที่เซียงเฉิง 1 คืน ต้องออกค่าโรงแรมให้เสี่ยวว่านและเพื่อนเขาด้วย

รถที่จ้างจากสถานทำการของย่าติงมาถึงเต้าเฉิง เป็นเวลาเย็นมากพอสมควร มาถึงโรงแรม ก็มีปัญหา เพราะไฟดับ บางคนโวยว่า เขาไม่อยู่ คุณพี ต้องไปหาโรงแรมอีก ปล่อยพวกเราขึ้นห้องไปก่อน ซึ่งเขายังไม่ได้จ่ายเงิน คิดว่า คุณพี คงฟังพนักงานเขาบอกว่า ไม่มีไฟฟ้าไม่รู้เรื่องมั้ง ฉันต้องถ่อสังขารลงไปเจรจาถามเจ้าพนักงาน ซึ่งคุณสุรพงษ์มาบอกฉันว่า สื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่อง ทุกคนยินยอมอยู่ที่นี่ เพราะเหนื่อยกันมากแล้ว ฉันลงไปคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรม จึงได้เรื่องว่า ไฟฟ้าเกิดขัดข้องทั้งเมือง แต่ที่เห็นบางจุดมีไฟฟ้าใช้ เพราะเป็นไฟฟ้าสำรอง เขายินดีลดราคาเหลือห้องละ 120 หยวน แล้วเขาก็แจกเทียน แจกกล่องไม้ขีดไฟให้ ในที่สุด คุณพี ก็หาโรงแรมใหม่ให้แม่โชกุลไม่ได้ ทุกคนเลยต้องมาอยู่โรงแรมเดิม ถึงจะไปที่อื่นก็สภาพเดียวกัน

ตอนคุณพี จ่ายค่าห้อง เขาเอาห้องละ 150 หยวนเหมือนเดิม ฉันประท้วงว่า เมื่อกี้บอกว่าลดเหลือ 120 หยวน แล้วทำไมเก็บห้องละ 150 หยวน เขาเลยตอบว่า ตอนนี้ไฟฟ้ามาแล้ว ไม่ลดราคาแล้ว ว้า! รู้อย่างนี้ จ่ายตั้งแต่แรกก็ประหยัดได้อีกเยอะเลยน่ะนะ อิอิ

เราไปทานข้าวร้านข้าง ๆ โรงแรมที่เราเคยไปทานตอนมาถึงเต้าเฉิงคืนแรก ทุกคนหิวมาก อาหารก็ค่อนข้างช้า เพราะคนเยอะ จานไหนมา ก็หมดอย่างรวดเร็ว อิอิ

30 ตุลาคม 57

เช้านี้ เสี่ยวว่านมารับพวกเรา โดยนัดมาเจอกันตอน 9 โมงเช้า อธิบายให้ฟังว่า เขาต้องจอดรถให้เราเที่ยวตามที่เราต้องการ เพราะเราจะเช่าโรงแรมให้เขาอยู่ 1 คืนด้วย ก็เป็นราคาที่ยุติธรรม ดีและค่อนไปในทางถูก โดยฉันเทียบจากราคาที่เขาพาพวกเราไปยังที่ทำการของย่าติง กับการจ้างรถ จากย่าติงมายังเต้าเฉิง นั่นเอง

ทุกคนขนกระเป๋าขึ้นรถ กระเป๋ากลุ่มพี่เจ๋ ใหญ่สุดมากสุด อิอิ ประมาณ 9.30 น. พวกเราก็อำลาเมืองเต้าเฉิง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองจงเตี้ยนต่อไป ระหว่างทางที่ไป เสี่ยวว่านพาเราไปเที่ยววัด ชื่อวัดอะไร ก็ไม่รู้ แต่ฉันถ่ายรูปวัดเอาไว้ มีชื่อติดมาด้วย น่าจะเป็นสไตล์ธิเบต มีชาวธิเบศเดินเวียนรอบเจดีย์องค์ใหญ่ รอบ ๆ มีระฆังให้ดีด้วย ฉันและเพือน ๆ ก็ไปตีกับเขาด้วย มาชมภาพกันค่ะ





เราออกจากที่วัดนี้ เพื่อเดินทางต่อไป แต่ไปถึงถนนใหญ่ได้สักพัก เห็นรถคันหน้าเลี้ยวกลับ เสี่ยวว่านและเพื่อนก็เลี้ยวกลับบ้าง พวกเราก็นึกว่า พวกเขาคงไปผิดทาง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะเขาพาพวกเราเข้าทางที่แสนจะทุรกันดาล เป็นลานกว้าง มีก้อนหิน ใหญ้บ้างเล็ก บ้าง เป็นดินทรายสีแดง ๆ บางช่วงมีธารน้ำเล็ก ๆไหลด้วย รถต้องขับหลบหิน หลบทางที่มีน้ำ บางครั้งหลบไม่ได้ก็ต้องลุยข้ามไป บางช่วงต้องให้พวกเราลงจากรถ เพราะรถหนักเกินไป กลัวข้ามไม่ได้ พวกเราก็สนุกสนานลงไปถ่ายรูปกันใหญ่ แต่ก็ภาวนาว่า อย่าให้รถที่สมบุกสมบั่น เกิดมีปัญหาเลย ไม่งั้นกลางป่าเขาลำเนาไพร (ฉันและทุกคนคิดว่า เสี่ยวว่านคงหนีตำรวจทางหลวง ซึ่งรถเขาอาจจะออกนอกเขตไม่ได้หรืออย่างไรอย่างหนึ่ง มาทราบภายหลังว่า ที่พวกเราคาดเดานั้นถูกต้องโดนปรับ 500 หยวน เชียวนะจ๊ะ ) ดีที่ช่วงนี้ แดดไม่ค่อยร้อน เรามาชมรูปช่วงนี้กัน นะคะ










ในที่สุด เสี่ยวว่านก็พาพวกเราออกจากผืนแผ่นดินใหญ่ที่เป็นลานกว้าง มีโขดหินใหญ่น้อย บางช่วงมีธารน้ำเล็ก ๆ ไหลท่วมเฉอะแฉะ กลัวติดหล่ม ผ่านพ้นออกสู่ถนนของหมู่บ้านได้ แสดงว่า พวกนี้เขาต้องรู้จักทางหนีทีไล่ได้ดี ชำนาญทางเป็นพิเศษ ก็สนุกไปอีกรูปแบบหนึ่ง ได้ผจญภัยไปกับพวกเขาด้วยเนอะ

การเดินทางก็ยังเป็นไปอย่างเรียบร้อย ทางผ่านช่วงไหนที่มีทิวทัศน์สวยงาม พวกเราก็จะให้เสี่ยวว่านจอดให้ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก มาชมภาพแทนการบรรยายค่ะ









ในที่สุดพวกเราก็เดินทางถึงเมืองเซียงเฉิง ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาถึงบ่ายมากแล้วน่าจะประมาณบ่ายสอง เราหาร้านอาหารซึ่งก็มีหลายร้าน เสี่ยงดวงเอาว่า ร้านไหนอร่อย โดยดูคนกินในร้าน แต่ฉันบอกเสี่ยวว่านว่า ต้องเป็นร้านที่มีห้องน้ำให้พวกเราเข้าไปทำธุระได้ด้วย ถ้าร้านไหนไม่มี เราจะไม่กินอาหารร้านนั้น อิอิ ในที่สุด เราก็ได้ร้านที่เราต้องการ จัดเป็น 4 โต๊ะ เฉลี่ยกลุ่มเรา โต๊ะละ 5 คน อีกโต๊ะให้เสี่ยวว่านกับเพื่อนเขา

เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว คุณพี จะไปหาโรงแรมนอนคืนนี้ ให้พวกเราไปเที่ยววัดธิเบตที่อยู่ไม่ไกลจากที่เราทานข้าว แล้ว 5 โมงเย็นนัดกันในบริเวณที่เราทานข้าวกลางวันกัน ส่วนจุ๊บและแม่น้องโชกุล อยากสระผม ให้ฉันไปช่วยพูดให้และถามราคา แล้วพวกเราก็ไปเดินเที่ยว และให้คนรถพาพวกเราไปเที่ยววัดธิเบต ต่อไป มาชมความงามของวัดนี้กันค่ะ













พวกเราชื่นชมกับวัดนี้จนเต็มอิ่ม ประกอบกับถึงเวลาที่นัดหมายแล้ว เราก็ไปยังที่นัดหมาย จะไปรับจุ๊บกับแม่โชกุล ปรากฏว่า ยังไม่เสร็จ คุณพี ก็ยังไม่ได้โรงแรมในราคาที่ต้องการ ก็เลยวานให้เสี่ยวว่านช่วยขับรถเผื่อจะได้โรงแรมที่ถูกและดี ปรากฏว่า พาไปที่โรงแรมที่ต้องปีนขึ้นบันไดแคบ ๆ แถม ห้องน้ำเป็นส้วมยอง ๆ ราคาก็ไม่ได้ถูกนักคืนละ 180 หยวน (ยังไม่ได้ต่อ เขาก็บอกว่าลดได้) แต่ฉันบอกคุณพีว่า ถ้าตกลงจะต้องถูกต่อว่าแน่นอน แถมมีแต่ชั้น 3 ชั้น 4 ใครจะปีนไหว บันไดก็แคบมาก ๆ ด้วย ในที่สุด คุณพีก็พามาโรงแรมที่เขามาดูและเห็นมีลีฟ ตั้งแต่ครั้งแรก เพียงแต่เกี่ยงว่า มันแพงไป ฉันก็ต้องไปเจรจา เขาว่าลดได้เต็มที่ คือ คืนละ 200 หยวน จาก 280 หยวน จะขอให้เขาลดเหลือ 180 หยวน เขาก็ไม่ยอม ต่อนานมากเขาก็ไม่ใจอ่อน กลับบอกว่า ฉันทำไมพูดภาษาเขาได้ชัดเจนยังกับเป็นคนชาติเดียวกับเขา อิอิ ฉันตอบเขาไปว่า ฉันน่ะ ลูกคนจีนแต่เกิดในเมืองไทย พ่อให้เรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก และฉันเคยมาเรียนที่คุนหมิง 1 เดือน เขาก็เลยเข้าใจถึงสาเหตุที่ฉันพูดภาษาจีนได้ แต่ที่จริง ภาษาจีนของฉันก็ไม่ได้พูดได้ดีอะไรนักหนา ส่วนใหญ่ก็พูดในเรื่องต่อลองราคาเท่านั้นแหละ อย่างอื่น ๆ ก็พอถู ๆ ไถ ๆ ไปเท่านั้น

หลังจากที่คุณพี เสียเงินค่าห้องไปเรียบร้อยแล้ว พวกเราขนกระเป๋าเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้ว ฉัน จุ๊บ วัชรี จุก (จริยา) ต้น เดินเที่ยวแถว ๆ โรงแรม เพื่อซื้อของกิน อาหารมื้อเย็น ส่วนใหญ่ทุกคนซื้อของปิ้งย่างคนละไม้สองไม้ มีหมู มีไก่ มีเนื้อ ผัก ฉันเลือกปีกไก้ใหญ่ 1 ไม้ 7 หยวน รสชาติอร่อยใช้ได้ มีรสเผ็ดด้วย เดินไปทานไป ชมเมืองเซียงเฉิงยามค่ำคืนไปด้วย

มาถึงโรงแรมได้สักพัก นายเสี่ยวว่านกับเพื่อนก็มาหาฉันและพาเพื่อนของเขาซึ่งคงอยู่ที่เมืองเซียงเฉิน มาบอกฉันว่า เขาและเพื่อนไปส่งพวกเราที่จงเตี้ยนไม่ได้แล้ว เพราะว่า ทางบ้านโทรมาบอกว่า มีเรื่องด่วนที่เขาจะต้องไปจัดการ แต่เขาหารถเพื่อนของเขามาให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้า เขาจะออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6โมงเช้า ฉันก็อนุญาต เพราะคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากเรายังไม่ได้ให้เงินเขาเลย

รุ่งเช้า เกิดปัญหา ไม่มีไฟฟ้า ใช้ลีฟไม่ได้ พวกเราลงมาชั้นล่าง ถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า ไม่เป็นปัญหา เดี๋ยวเขาจะให้พนักงานไปช่วยยกกระเป๋าลงมาให้เอง พวกเรา ก็ไปหาซื้อซาลาเปา ปาท่งโก๋ กินเป็นมื้อเช้าและเตรียมไว้เป็นมื้อกลางวัน เผื่อหาที่กินระหว่างทางไม่ได้

เรานัดคนรถใหม่มารับพวกเรา 9 โมงเช้า ก่อนที่พวกเขามา พวกเราก็ถ่ายรูปเล่น ๆ กันก่อน อิอิ ชมภาพพวกเราได้ค่ะ



กำลังจะออกจากโรงแรมตามกำหนดและขอเงินมัดจำ 200 หยวนคืน แต่ปรากฏว่า เกิดปัญหา ยังไม่ได้คืนกุญแจห้องเขา 1 ห้อง ตรวจแทบแย่ คือ ห้องของนายเสียวว่าน เอ้า! บอกว่าจะออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมงเช้า ทำไมไม่คืนกุญแจห้องเขา สอบสวนกันไปมา เขาไม่ได้นอนที่โรงแรมเมื่อคืนนี้ คนที่ขึ้นไปเคาะห้องบอกว่าห้องนี้มีคนอยู่ ไม่ใช่ห้องเสี่ยวว่าน มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็เราเช่าให้เขาอยู่นี่ ฉันรู้สึกเสียความรู้มาก บอกให้พนักงานโรงแรมต่อโทรศัพท์ไปยังห้องนี้ ถามเขาว่า มาอยู่ห้องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเราเช่าให้เสี่ยวว่านคนรถเรานอน เขาเลยสารภาพว่า เป็นเพื่อนของเสี่ยวว่าน เสี่ยวว่านกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน แล้วให้เขามานอนแทน ทำแสบไหมล่ะ เมื่อโรงแรมได้ทราบเช่นนั้น จึงคืนค่ามัดจำเราสองร้อยหยวน ฉันบอกว่า ให้โรงแรมไปจัดการเอาเอง พวกเรา คืนกุญแจครบแล้ว พวกนี้ ร้ายกาจเหมือนกันนะเนี่ย

ระหว่างทาง คนขับรถคนใหม่ที่เสี่ยวว่านหามาแทนนั้น ก็โอเค ใช้ได้ บริการเราตามเส้นทางที่เราอยากให้เขาจอด เขาก็จอดให้เราถ่ายรูป พวกเราเลยได้รูปสวย ๆ ระหว่างทางที่ผ่านมาฝาก ค่ะ



รถแล่นไปเรื่อย ๆ หนทางทุรกันดารเหมือนตอนขามาที่เรามารถประจำทางนั่นแหละ บางช่วงฝุ่นเยอะ ทางแคบ ถนนขรุขระ หาห้องน้ำก็ยากน่าดู กว่าที่คนขับจะหาห้องน้ำให้เราเข้าได้ เล่นเอาฉันอั้นปัสสวะแทบแย่ บางคนไม่ไหว ยอมเข้าพงหญ้าข้างทาง อิอิ แต่ฉันไม่ไหว พอได้ห้องน้ำ ทุกคนลงจากรถอย่างรวดเร็ว เฮ้อ! เหมือนได้ปลดทุกข์จริง ๆ

มื้อกลางวันกว่าเราจะได้ทานอาหารร้านที่คนขับรถพามาทาน ก็บ่าย 3 โมงกว่าเห็นจะได้ กว่าจะได้ทาน ก็ต้องรอเขาทำอีก 4 โมงเย็นพอดี เท่ากับสองมื้อกินเป็นมื้อเดียว อาหารมื้อนี้ แบ่งเป็น 3 โต๊ะ พวกเรา 2 โต๊ะ คนขับอีก 1 โต๊ะ อาหารตามสั่ง เขามีให้เห็นของสดทั้งชนิดของผักต่าง ๆ ด้วย ก็สั่งง่ายหน่อย ฉันก็สั่งผัดผักใส่หมูกรอบ แกงจืดเต้าหู้มั้ง แล้วมีผัดถั่ว สั่งมาประมาณ 4-5 อย่าง อาหารมื้อนี้รวมแล้วดูเหมือนแพงมาก แต่ไม่มีใครว่าอะไร เพราะรสชาติใช้ได้ ต่างคนต่างหิวกินกันแป๊บเดียว หมดทุกจาน ห้าห้า รวมมื้อนี้ 560 หยวน เฉลี่ย 16 คนมั้ง

ท้องอิ่ม ก็เดินทางต่อ กว่าจะถึงจงเตี้ยนโรงแรมของ อี้ตี้ ก็ประมาณ 6 โมงเย็น อี้ตี้ รีบมากระซิบบอกฉันว่า โรงแรมวันนี้ คิดให้ฉัน ห้องละ 80 หยวน แล้วบอกว่าให้ฉันบอกพวกเราว่า ถ้าแขกอื่น ๆ ที่มาพัก ให้บอกว่า 100 หยวน ให้ลดให้พวกเราเป็นพิเศษ เพราะคุยถูกอัธยาศัยกัน อิอิ คุณพี ก็ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกเยอะนะเนี่ย ก่อนลากกระเป๋าไปพักที่โรงแรม คุณพี ให้ฉันถามคนขับรถว่า เราจะจ้างเขาต่อไปถึงที่พักในหุบเขาเสือกระโจน ฉันต่อรองเป็นคัน เพิ่มเงินให้อีกคันละ 500 หยวน และออกค่าโรงแรมให้เขานอนอีก 1 ห้อง เขาก็ตกลง ทุกคนชอบใจ เพราะว่า ถ้าเราไปรถประจำทาง เราไม่มีโอกาสได้แวะเที่ยวระหว่างทาง

อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องช่วยคุณพี จัดการ คือการจองที่พักที่บริเวณหุบเขาเสือ กระโจนที่เราจะไป Tracking ในวันที่ 2 พ.ย. โดยคุณพี มีเบอร์โทรของโรงแรมนี้แล้ว ฉันต้องขอให้สามีของ อี้ตี้ เป็นคนช่วยโทรประสานให้อีกที เขาจะเอาห้องละ 120 หยวน สามี อี้ตี้ต่อให้เป็น 100 หยวน แต่ทางโน้นไม่ยอม เขาเลยส่งโทรศัพท์มือถือให้ฉันต่อรองเอาเอง ฉันก็พยายามต่อรองให้เหลือห้องละ 100 หยวน เพราะ เราจะจองถึง 8 ห้อง และพักสองคืนนะ ในที่สุด เขาก็ยอมเหลือห้องละ 100 หยวน ประหยัดไปอีก วันละ 160 หยวน สองวัน ก็ 360 หยวน อิอิ

สำหรับอาหารมื้อเช้า ฉันได้คุยกับ อี้ตี้ เพื่อความสะดวกสบาย เราอยากให้เขาทำอาหารเช้าให้พวกเราด้วย เอาง่าย ๆ ไข่เจียว เขาไม่เข้าใจหรือภาษาจีนที่ได้จากหนังสือจีนของต้น แปลไม่ตรงหรือไง ก็ไม่ทราบ จุ๊บเลยบอกว่า ให้เขาเตรียมไข่ให้เรา จุ๊บจะทำให้ดู ฉันก็ส่งภาษาจีนให้เขารู้ ชวนเขามาดูการเจียวไข่ในตอนเช้าด้วย อี้ตี้ จะหุงข้าวต้มตอนเช้าให้พวกเรา พร้อมกับทำ ซี้ชวงฉ่าย ที่จัดการยำตามวิธีการของเขาให้เรา เท่ากับ มีกับข้าวสองอย่าง ทานกับข้าวต้ม เขาคิดหัวละ 10 หยวน เรามี 18 คน (รวมคนขับ) 180 หยวน เขาใจดี ลดให้เรา เหลือ 150 หยวน พูดจีนกับเขาได้ก็ดีอย่างนี้แหละ ห้าห้า

คืนนี้เราต้องจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้เช้า ต้องเดินทางไปเที่ยวหุบเขาเสือกระโจน และไปพักที่หุบเขาเสือกระโจน เตรียมไปเทรคกิ้ง ตามโปรแกรม อากาศที่จงเตี้ยนหนาวมาก ๆ ทีเดียว

โปรดติตตามตอนที่ 2 ต่อไปค่ะ



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 17 มิถุนายน 2559 20:31:07 น. 5 comments
Counter : 3717 Pageviews.

 
สนุกสนานสวยงาม ..ขอบคุณและเป็นโชคดีของผมที่มีคุณครูร่วมทริป ครับ..ติดตามครับ...


โดย: สุรพงษ์ IP: 1.46.42.81 วันที่: 3 ธันวาคม 2557 เวลา:17:05:42 น.  

 
สวัสดี น้องสุรพงษ์

ดีใจนะ ที่น้องเข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ มีตอนสองด้วย อย่าลืมไปอ่านนะ ในบล็อกแก๊งค์ยังมีมากมาย มีเวลาก็เข้าไปอ่าน เผื่อจะไปเที่ยวจะได้มีข้อมูลล่วงหน้า จ้ะ ห้าห้า ครูก็ดีใจที่ได้ร่วมทริปกับน้อง ๆ น่ารัก เป็นกันเองดี


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 4 ธันวาคม 2557 เวลา:20:15:39 น.  

 
ชื่นชมระบบขนส่งมวลชนของจีนนะครับ ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยในสถานีขนส่งด้วย. มีสแกนกระเป๋ายังกะในสนามบิน การจอดรถก็ไม่ให้เข้ามาจอดใกลๆสถานีขนส่ง นักเดินทาง ต้องมีช่วงลากกระเป๋าเดินเข้ามาในสถานีขนส่ง แม้แต่ในสถานีรถไฟก็เช่นกัน ต้องเดิน ลาก แบกเป้ มายังจุดจำหน่ายตั๋ว พอสมควร.
อีกอย่างชอบมาก คือ รถโดยสารประจำทาง จำกัดจำนวนคนเท่าจำนวนที่นั่ง ไม่มีตั๋วยืน แออัดยัดเยียด และการเก็บ บรรทุกสัมภาระต้องเก็บมิดชิด ชอบจริงๆ ครับ


โดย: สุรพงษ์ IP: 1.47.74.57 วันที่: 14 ธันวาคม 2557 เวลา:8:47:16 น.  

 
สวัสดี น้องสุรพงษ์

อ่านตอนสองแล้วยัง ไม่เห็นไปคอมเม้นท์ อิอิ แต่ครูไม่เห็นด้วยนะ ตอนที่ลีเจียนไปคุนหมิง ต้องให้หิ้วกระเป๋าขึ้นบันได ใครจะไหวอ่ะ ดีที่มี ต้น ช่วยลากขึ้นไป ไม่งั้น จะให้ทำไง มันควรจะต้องมีลีฟให้เรา เหมือนที่ญี่ปุ่นน่ะจ่ะ หลายปีแล้ว ตั้งแต่ 49 ที่พี่ไปเรียน ก็ยัคงสภาพเดิม


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 14 ธันวาคม 2557 เวลา:15:41:32 น.  

 
ดีมากๆ พี่จำไม่ได้แล้วว่าไปใหนบ้าง ได้อ่านของแอ๋วแล้ว สุดยอดค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: วิลาวัณย์ ธนาปัง IP: 180.183.55.165 วันที่: 17 มิถุนายน 2558 เวลา:15:52:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space