คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

อยากทราบว่า ประเทศเขมรมีอะไรน่าสนใจ เชิญอ่านได้ ค่ะ
 อยากทราบว่า ประเทศเขมรมีอะไรน่าสนใจ เชิญอ่านได้ ค่ะ

       ประเทศเขมรหรือกัมพูชา เป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งทำศึกสงครามกับไทยในอดีต เช่นเดียวกับประเทศพม่า เราเคยได้เมืองพะตะบอง  เสียมราฐมาเป็นของไทย แล้วยังมีเรื่องกรณี เรื่อง เขาพระวิหาร ถึงกับขึ้นศาลโลกกันมาก่อน  เพื่อนและคนที่รู้จักบางคน ถึงกับไม่ไปประเทศเขมร เพราะว่า ไม่ชอบใจเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตเหล่านี้ แต่นั่นเป็นเรื่องทางการเมือง เรื่องส่วนบุคคล  ฉันไม่อยากจะสนใจอะไรมากนัก สนใจแต่สถาปัตยกรรมที่งดงามที่ลือชื่อของประเทศนี้ อยากจะไปเห็นกับตาว่า จะสมกับคำเล่าลือหรือไม่ นั่นเอง
       ที่จริง ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะได้มีโอกาสไปเขมร เพราะหาเพื่อนไปไม่ได้เลย  ก็เลยลองชวน ภา ไปด้วย พอดี ภา ก็ยังไม่เคยไป เขาไปกันน้องผู้ชาย (วรภพ)ที่ทำงานที่เดียวกัน ส่วนฉัน คนจัดทัวร์ คือ คุณปราโมทย์  สัชฌุกร ก็จัดให้ฉันอยู่ห้องเดียวกับ น้องเรยา ส่วน ภา ก็พักอยู่ห้องเดียวกับน้องของเขา 
       ทัวร์ครั้งนี้ คือ วันที่ 14-16 สิงหาคม 58 โดยคืนวันที่ 13 ภาและวรภพ ต้องมาค้างที่บ้านฉัน (เขาบินมาจาก ภูเก็ต) กว่าจะถึงบ้านฉันก็ ห้าทุ่ม กว่าจะอาบน้ำอาบท่า ก็นอนเที่ยงคืนแล้ว พรุ่งนี้ เราต้องตื่นประมาณ ตี4 เพราะทัวร์นัด 5.30 น. ที่วิภาวดี 

       14 ส.ค. 58 
        เช้านี้ ปรากฏว่า แขกตื่นก่อนฉัน อาบน้ำกันแล้ว อิอิ ฉันตื่นแล้ว ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ลงมาชั้นล่าง ประมาณเกือบตี 5 พวกเราก็ลากกระเป๋า เดินออกไปที่อู่แท็กซี่ แถวบ้านฉัน  โชคดี ได้รถแท็กซี่นั่งไปที่จุดนัดพบ คือ ปั๊มน้ำมัน SUSCO วิภาวดี 20 ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงที่นัดหมาย  ราคาน่าจะประมาณร้อยกว่าบาท จำไม่ได้เสียแล้ว อิอิ ภา เป็นคนจ่ายไป 
        เราลงจากรถซึ่งมีรถทัวร์สองชั้นจอดอยู่ มีสมาชิกที่มาแล้วจำนวนหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่ของทัวร์คนไทยมาคอยต้อนรับ เช็คชื่อสมาชิกและขอพาสปอร์ต  เกิดปัญหาแล้ว ภา ไม่ได้เอาพาสปอร์ตจากกระเป๋าอีกใบหนึ่ง  เฮ้อ! แก้ปัญหาด้วยการต้องกลับไปที่บ้านฉันเพื่อเอาพาสปอร์ต ฉันให้เขาไปกันสองคน ส่วนฉันรออยู่ที่นี่ เพื่อจะได้แจ้งให้รู้ว่า คนยังมาไม่ครบ 
       พักใหญ่ ๆ เรยา ก็มาถึง ฉันจึงรู้สึกอุ่นใจ เพราะสมาชิกที่มาฉันไม่รู้จักใครสักคนเลย ทักทายกันแล้ว เรยา บอกไปรอลูกศิษย์ที่รถดีกว่า  ส่วนใหญ่คนขึ้นไปนั่งตามเก้าอี้ที่เขาจัดให้แล้ว นอกจาก ภา แล้ว ยังมีสมาชิกอีกคนที่ไม่ได้เอาพาสปอร์ตมาด้วยแต่อยู่ไกลมาก รถต้องไปก่อน  แล้วเราต้องไปจอดรอเขาที่ อ.พนมสารคาม  จังหวัด ฉะเชิงเทรา 
       ประมาณ 6.45 น. ภา และ วรภพ ก็มาถึง อีกสักพักใหญ่ น่าจะเกือบโมงเช้า พวกเราก็เริ่มออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ        เช้านี้ เขามีอาหารกล่อง เป็นกระเพรา ไข่ดาว น้ำเปล่าอีกคนละขวด มัคคุเทศก์ของทัวร์ครั้งนี้ ชื่อธนกฤต เสนาะวาทศิลป์ ชื่อเล่นว่า สเนค คุณปราโมทย์ สัชฌุกร เป็นผู้จัดทัวร์  คนละ 6500 บาท  แล้วมอบให้ท้อปฮีท เป็นคนจัดและดำเนินการครั้งนี้  
       อิ่มข้าวกันแล้ว คุณปราโมทย์ ก็มีการให้ลูกทัวร์แต่ละคนแนะนำตัวเอง ฉันถ่ายรูปเหตุการณ์มาประกอบด้วยค่ะ อิอิ

        ฟังจากสมาชิกที่ได้กล่าวแนะนำตัว ก็มีหลากหลายอาชีพกัน มีครู ค้าขาย สรรพากร อายุ ส่วนใหญ่ ก็เลยวั 60 ปี ดูเหมือนเกือบ 80 ปี มีด้วยนะ คือ พี่มยุรี อิอิ อ่อนสุด คงเป็นลูกสาวที่พาแม่มาเที่ยว ถ้าจำไม่ผิด จะชื่อน้องลิลลี่ 
        เรามาจอดรถให้เข้าห้องน้ำที่ อ.พนมสารคาม และรอสมาชิกอีกคนที่ลืมพาสปอร์ตมา  โดยจะให้ลูกขับรถพามาส่งที่นี่  เราเสียเวลาอยู่ที่นี่ เพื่อรอสมาชิกคนนี้ ประมาณน่าจะสองชั่วโมงได้ ทำให้โปรแกรมรวนไปมากทีเดียว 
        เข้าห้องน้ำแล้ว ก็ไม่มีอะไรทำ แดดก็ร้อนมาก ๆ ภา ชวนเข้าร้านอเมซอน พวกเขาทานกาแฟร้อน และซื้อโกโก้เย็นให้ฉัน 1กระบอก  หิ้วขึ้นรถมานั่งดูดดับร้อน เรยา เห็นแล้วอยากดื่มบ้างเลยลงจากรถไปซื้ออีกคน อิอิ 
        และแล้ว ลูกทัวร์ที่ลืมพาสปอร์ตที่เรารออยู่ ลูกของเขาก็มาส่งเขา ทุกคนก็ให้การต้อนรับเขา เป็นอย่างดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถึงจะทำให่ล่าช้าไปถึง สองชั่วโมงก็ตาม รถเริ่มออกเดินทาง  คณะทัวร์ครั้งนี้ ชอบร้องเพลงกัน มีคาราโอเกะ มีไมค์ให้พร้อม เขาเคยเที่ยวกันมาแล้ว ย่อมรู้ว่า ใครร้องเพลงเก่ง ร้องเพราะ ก็เชิญกันไป ฉันก็ร้องเพลงคลอไปกับเขาเท่านั้น ไม่มีความสามารถ อิอิ มีการสลับให้ตอบปัญหาด้วย ฉันได้รับเชิญออกไปจับคำถาม แถม ให้ตอบคำถามด้วย ที่จับขึ้นมาได้เป็นภาพ เป็นเส้น ๆ เขียว ๆ ดูยากเหมือนกัน  เลยเดาสุ่มไปว่า น่าจะเป็นรากไม้อะไรสักอย่าง พี่มยุรี เจ้าของรางวัล บอกว่า ถูกเฉียด ๆ แล้ว เป็นรากอะไร ใครจะไปรู้ล่ะไม่มีภาพเต็มมาให้ดู คุณปราโมทย์เลยบอกว่า เอ้า ! ให้รางวัลไปเถอะ เพราะถูกคำว่า ราก คำตอบ ก็คือ รากไทร นั่นเอง  อิอิ  เขาเลยให้พวกกุญแจช้างทอง มา 1 พวง ตัวช้างข้าง ๆ สามารถเปิดได้ด้วย  ก็มีเกมทายภาพกันต่อไป สลับกับการร้องเพลง อย่างสนุกสนาน ใช้เวลา ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงจังหวัดสระแก้ว  มาถึงที่นี่ ก็มีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายเขมรมา บริการให้รถเข็นมาเข็นกระเป๋าพวกเราไปฝั่งเขมร  ซึ่งต่อจากนี้  เราต้องใช้รถทัวร์ของเขมรแล้ว ทุกคนก็ต้องตรวจตรากระเป๋าของตนว่าอยู่ในรถเข็นหรือยัง แล้วจึงจะไปถ่ายรูปได้ อิอิ มาดูภาพชุลมุนวุ่นวายกัน ค่ะ 
         หลังจากนั้น มัคคุเทศก์ เขมร ซึ่งมาคอยต้อนรับเรา ก็มาช่วยอำนวยความสะดวก  สเน็ค แจกพาสปอร์ตให้พวกเราเพื่อที่จะให้ผ่านด่านตรวจคนออกนอกประเทศ  ก่อนที่จะไปเข้าแถว เรายังมีเวลา พวกเราก็ถ่ายรูปบริเวณชายแดน ที่จะออกไปสู่ประเทศเขมร ที่เรียกว่า ตลาดโรงเกลือ  ปอยเปต  มาชมรูปพวกเรา ค่ะ 


 เมื่อได้พาสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว  เขาก็พาพวกเราไปยื่นหนังสือเดินทางตามช่องที่เขาเปิด แล้วก็เปิดปัญหาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ปัญหานี้ใหญ่หลวงนัก เพราะพี่มยุรี ไปหยิบเอาหนังสือเดินทางเล่มที่หมดอายุมา  เลยเข้าเขมรไม่ได้ พี่ท่านก็ใจเด็ด จ้างแท็กซี่จากสระแก้วไปกรุงเทพฯ เที่ยวละ 1800 บาท ขากลับ อีก 1800 บาท แล้วยังกลับมาไม่ทัน ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองปิดเสียแล้ว แกเลยต้องเสียค่าโรงแรมที่สระแก้ว อีก 1 คืน  เฮ้อ! ใจเด็ดมาก อายุจะ 80ปีแล้ว อายุเป็นเพียงตัวเลขจริง ๆ เป็นนักสู้อย่างหาคนเทียบยากนะเนี่ย 
       หลังจากที่เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปแล้ว  พวกเราก็เดินตามมัคคุเทศก์ของเขมรไป เพื่อจะไปขึ้นรถที่ทางบริษัทนำเที่ยวของฝั่งเขมรจัดมาให้ รถเขมร ไม่โอ่อ่าเหมือนรถโค้ตของเรา แคบและเก่า แอร์ก็ไม่เย็นเท่าที่ควร  ก่อนขึ้นรถไป ก็ต้องดูบริกรเขายกกระเป๋าเราไว้ใต้ท้องรถหรือเปล่า แล้วค่อยขึ้นรถ อิอิ ระหว่างทางไปเสียมเรียบ ฉันก็ถ่ายภาพบรรยากาศที่ผ่านมาให้ชม ค่ะ 
           อาหารมื้อแรกที่เขมร  เป็นร้านอาหารที่มีชื่อไทยด้วยนะ ชื่อ ร้านประกายพรึก  รสชาติอาหาร เหมือนของไทย นั่นแหละ มีต้มยำ ไข่เจียว ผัดผัก ปลา ฯลฯ ค่อยยังชั่ว  มาดูอาหาร ค่ะ 

       ทานมื้อเที่ยง ซึ่งก็ปาเข้าไปน่าจะบ่ายสองแล้วมั้ง เราก็ไปซื้อ ไอศกรีมที่ร้านนี้ทานกัน คนละแท่ง ดูเหมือนเป็นของบริษัทวอลล์ น่ะ เป็นของหวานไป ภา เป็นคนจ่ายไป 
       หลังจากที่ทานข้าวเสร็จแล้ว  เราก็เริ่มไปเที่ยวที่ทะเลสาบโตนเลสาบ  ระหว่างทางไป ฝนตกหนักมาก พวกเรากำลังหวั่นวิตกว่า แล้วเราจะลงเรือไปชมโตนเลสาบได้อย่างไร  พายุก็พัดแรงมาก แต่เป็นที่มหัศจรรย์ พอมาถึงที่ท่าเรือ  ซึ่งมัคคุเทศก์เขมร ไปซื้อตั๋ว ส่วนพวกเราก็ไปหาห้องน้ำ เสียคนละ 5 บาท ฝนที่ตกหนัก ๆ ก็ซาลง โปรย ๆ เล็กน้อย  แต่อากาศยังรู้สึกเย็นมากอยู่ โชคดีจริง ๆ ที่ฝนหยุดตก  อันตรายในการล่องเรือก็จะลดน้อยลง
       มารู้จัก โตนเลสาบ ก่อนจะไปดูรูปสวย ๆ ของโตนเลสาบค่ะ
       โตนเลสาบ เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้  ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางประเทศกัมพูชา เป็นทะเลสาบที่เกิดจากแม่น้ำโขง  ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความยาวประมาณ 500 กิโลเมตร ไหลผ่าน ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดของเขมร คือ  กำปงธม กำปงชนัง โพธิสัตว์  พระตะบอง  และเสียมราฐ เป็นทะเลสาบที่มีปลาน้ำจืดมากว่า 300 ชนิด  ในฤดูน้ำหลาก  น้ำจะท่วมบริเวณรอบ ๆ ทำให้ทะเลสาบนี้ ใหญ่กว้างขยายออกไป กว้างเป็น 10 ของเดิม คือ ประมาณ 7500 ตารางเมตร ความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เมตร แต่ต่อมา ในปี 2550 น้ำในทะเลสาบไม่มากเสียแล้ว เพราะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เป็นสิบ ๆ แห่งของประเทศจีน เวียดนาม เป็นผลทำให้น้ำในทะเลสาบลดลง
     ระหว่างที่นั่งเรือล่องไปในทะเลสาบแห่งนี้ บางช่วงของทะเลสาบ มีผักตบชวามาก เป็นแพใหญ่กว้างไกลมาก เรือที่สัญจร ก็ตัดผ่านไปอย่างสบายอารมณ์  สองฟากฝั่ง เป็นที่อาศัยของชาวบ้าน เป็นบ้านในน้ำ บางแห่งมีเรือเป็นบ้าน มีค้าขายบ้าง ประชากร ที่อาศัยอยู่บริเวณโตนเลสาบมีประมาณ 8000 ครอบครัว ร้อยละ 30 เป็นชาวเวียดนาม ที่หนีสงคราเวียดนามเมื่อ 30กว่าปีที่เกิดสงคราเวียดนาม  อาชีพของชาวบ้าน เป็นชาวประมงเป็นส่วนใหญ่ โดยชาวบ้านจะทำแพอาศัยอยู่ บางครอบครัวก็อาศัยอยู่ในเรือ นอกจากอาชีพจับปลาแล้ว  ยังมีการเลี้ยงจรเข้ สัตว์เลื้อยคลานเช่น งูเหลือม ซึ่งรายได้ดีกว่า การจับปลา เพราะขายได้ราคาแพง ไม่มีกฎหมายห้ามเลี้ยง ไม่ต้องขออนุญาต โดยทำเป็นกระชังเล็ก ๆ ติดแพที่อาศัย  แพแต่ละหลัง จะเห็นมีไม้ไผ่อยู่ใต้แพ (ใต้ถุนแพ) ส่วนนี้จะเป็นกระชังเลี้ยงปลา บนแพจะเจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นช่อง เพื่อให้อาหารที่ผสมเองให้ปลา เป็นการเลี้ยงปลาในที่ร่ม ต่างกับการเลี้ยงปลาในที่กลางแจ้งโดยทั่ว ๆ ไป 
         ที่น่าเห็นใจ ก็คือ โตนเลสาบ เป็นพื้นที่สัมปทานของรัฐบาล  แบ่งให้เช่าเป็นเขต ๆ ชาวประมงแถวนี้จึงเป็นเพียงผู้รับจ้างจับปลาในธุรกิจสัมปทาน  
         โตนเลสาบ เป็นเสมือนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่รองรับน้ำจากแม่น้ำหลายสิบสาย  มีแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำหลัก ซึ่งอาจเรียกว่า เป็นแก้มลิงเหมือนที่พระเจ้าอยู่หัวของเราได้มีพระราชดำริให้สร้างแก้มลิงในประเทศไทยหลายแห่ง นั่นเอง ปัจจุบัน มีข่าวว่า บริษัทสำรวจน้ำมันจากต่างชาติ พบว่า ที่นี่มีบ่อน้ำมันอยูใต้ทะเลสาบด้วย 
          อีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยเราคงรู้กันน้อย ก็คือ ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชของเรา เคยให้ทหารไทยยกทัพไปตีเมือง   เสียมราฐ และพระตะบอง ซึ่งขณะนั้น เขมรกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่ไทย การยกทัพไปตีเขมรครั้งนั้น ได้ยกทัพเรือไปทางโตนเลสาบด้วย  และได้ชัยชนะกลับมา ทราบประวัติคร่าว ๆ ของโตนเลสาบแล้ว  มาชมภาพสวย ๆ ที่ฉันและเพื่อนนำมาฝากค่ะ 




        หลังจากชื่นชมกับวิถีชีวิตสองฟากฝั่งของชาวเขมรในโตนเลสาบ ประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ ได้ เราก็ต้องรีบกลับ เพราะโปรแกรมเย็นนี้ คือ การไปชมโชว์ระบำนางอัปสรา พร้อม ๆ กับทานอาหารไปด้วย  อาหารมื้อเย็นนี้ เป็นอาหารบุฟเฟ่ มีอาหารมากมาย ทั้งไทย ญี่ปุ่น  จีน มากมาย เลือกชิมตามใจชอบ ค่ะ เรามาถึงที่นี่ ปรากฏว่า การแสดงเริ่มแล้ว  เราหาที่นั่งที่เขาจองไว้แล้ว เอาให้ใกล้เวทีที่สุด เพื่อจะได้ชมการแสดงของเหล่านางอัปสรา แต่ก่อนชมไปตักอาหารมาทานกันก่อน คนเยอะมาก แสดงว่า ทัวร์มากันเยอะ อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้ทีเดียว มีทั้งของหวานของคาวพร้อมสรรพ ก่อนจะไปชมภาพ เรารู้จักนางอัปสร หรือนางอัปสรากันก่อนนะคะ 

       คำว่า  อัปสร  มาจาก ภาษาสันสกฤต  ถ้าภาษาบาลี จะเขียนว่า  อัจฉรา  คำว่า อัป หมายถึง น้ำ สร หมายถึงการเคลื่อนไป  รวมความแล้ว จึงหมายถึง ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ซึ่งก็คงมาจากการกำเนิดของนางอัปสร นั่นเอง  เพราะว่า  นางอัปสร เกิดจากการ กวนเกษียรสมุทร ของเหล่าเทวดาและพวกอสูร ช่วยกันกวน เพื่อเอาน้ำอมฤต ขึ้นมา  ในขณะที่กวนนั้น ก็จะเกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา  นางอัปสร เป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่เกิดขึ้น ฐานะของนาง จึงเป็นเพียงอมนุษย์ มีความสวยเป็นเลิศ แต่ฐานะทางสังคมของนางต่ำกว่า นางฟ้า เพราะนางไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นเทวดาเหมือนพวกเทพธิดา 
        นางอัปสรมีอำนาจในการแปลงกายได้ มีความสามารถในการขับร้อง  ร่ายรำ ได้สวยงาม เป็นอย่างยิ่ง  สำนักของพระอินทร์มีนางอัปสรอยู่ 26 ตน แต่ละตนมีความสามารถในเรื่องศิลปะแขนง ต่าง ๆ กัน  ในประสาทนครวัด มีการสลักภาพของนางอัปสรไว้มากมายประมาณ 1600 ตนแต่ละตน จะมีใบหน้า ท่าทาง และการแต่งกายแตกต่างกันไป  เรามาดูการร่ายรำของนางอัปสรที่ฉันและเพื่อนถ่ายรูปมาฝาก จ้ะ โดยเฉพาะหลังจากที่การแสดงโชว์เสร็จสิ้น เขาอนุญาตให้ขึ้นเวทีไปถ่ายรูปกับเหล่านางรำด้วยนะ อิอิ เชิญชมค่ะ 



       หลังทานอาหารมื้อเย็นและชมการแสดงโชว์การร่ายรำระบำนางอัปสรแล้ว  ก่อนออกจากร้านอาหารแล้ว  เราถ่ายรูปหมู่หน้าร้านก่อนจะไปขึ้นรถไปพักที่โรงแรม

        ขณะที่รอรถ เราก็ถ่ายรูปกับรถสามล้อของเขมรไว้เป็นที่ระลึกด้วย จ้ะ 




        พวกเราก็เข้าที่พัก ชื่อโรงแรม คือ Charemont
 Angkor Boutique  

      วันที่ 15 สิงหาคม 2558
       เช้านี้ พวกเรา ตื่น 6 โมงเช้า ทานข้าว 7 โมงเช้า  เริ่มออกเที่ยวตามโปรแกรม คือ 8 โมงเช้า อาหารก็เหมือนโรงแรมทั่ว ๆ ไป มีไข่ดาว ออมเล็ด สลัด ผลไม้ ขนมปัง ข้าวผัด  แต่รสชาติไม่อร่อยนัก  อาหารก็น้อย ลงมาสาย อาหารบางอย่างหมดก็ไม่มีมาเติมให้ จึงไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร เหมือนอาหารบุฟเฟ่เมื่อคืน ฉันถ่ายรูปบรรยากาศมาฝาก ค่ะ 

      หลังทานข้าวแล้ว  เข้าห้องน้ำอีกครั้ง เตรียมตัวไปลุยแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรก คือ นครวัด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก มัคคุเทศก์เขมร พาเราไปเข้าแถว เพื่อที่จะถ่ายรูปทำบัตรและเสียค่าบัตรเข้าชมปราสาทนครวัด ทุกคนต้องมีรูป มีบัตรห้อยคอ จึงจะเข้าชมปราสาทนครวัด นครธม และอีกหลาย ๆ แห่งได้ (ช่วงนี้ พี่มยุรี ก็มาถึงที่นครวัด  โดยคนของบริษัททัวร์เขมร ไปรับมา 
       ก่อนจะไปชมรูปถ่ายที่ฉันและเพื่อนถ่ายรูปมาฝาก เรามารู้จักความเป็นมาของปราสาท นครวัดก่อน โดยเก็บจากการบรรยายของมัคคุเทศก์เขมร และค้นคว้าเพิ่มเติมมา ค่ะ 
       ปราสาท นครวัด เป็นศาสนสถาน  แต่เดิม พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เป็นผู้โปรดให้สร้างขึ้นประมาณ  ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 12 หรือ ประมาณ พ.ศ.1650-1693 เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระวิษณุ จึงจ้ดเป็นศาสนสถานของฮินดู   ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นพุทธสถานในเวลาต่อมา เป็นศาสนสถานเพียงแห่งเดียวที่รอดจากสงครามมาถึงปัจจุบันนี้  นครวัดเป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก กล่าวคือ มีขนาดใหญ่ถึง  200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง  60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร ตัวเทวสถานถือเป็นยอดของสถาปัตยกรรมเขมร ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา  โดยปรากฏอยู่ที่ธงชาติของประเทศกัมพูชา เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ลือชื่อ  
และได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก
       ปราสาทนครวัด  มีแผนผังที่ถือว่า เป็นวิวัฒนาการสุดยอดของปราสาทขอม  มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูง  ตามคติของศูนย์กลางจักรวาล  มีกำแพงด้านนอก ยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบ ตามแบบมหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบ  ตัวประสาทสร้างยกระดับสูง 3 ชั้น  แต่ละชั้นแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยระเบียงคด คูเมือง หมายถึง  มหาสมุทรที่ล้อมรอบโลก  ระเบียงคด ที่เชื่อมล้อมรอบปราสาท  หมายถึงเทือกเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ  ที่ประทับของเทพเจ้า และตัวปราสาทชั้นบนสุด (ซึ่งเราต้องเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อขึ้นบันไดไปดู โดยปล่อยคนขึ้นที่ละไม่กี่คน) ปราสาทนี้ มีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างเป็นหลัก ภาพแกะสลักในนครวัด  นับเป็นสิ่งมีชื่อเสียงมาก เป็นศิลปะขอม ได้ชื่อว่า ศิลปะยุคนครวัด เช่น ภาพแกะสลักการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร  ภาพขบวนทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ภาพนรก สวรรค์  ภาพกวนเกษียรสมุทร  เป็นต้น
        ชั้นนอก  เป็นทางเดินเข้าตัวปราสาท มี 5 ประตู ประตูใหญ่อยู่ตรงกลางสำหรับเป็นทางเสด็จของพระเจ้าแผ่นดิน เข้าสู่นครวัด ทางเข้าเล็กกว่า  
ถัดออกไป สำหรับเสนาบดี และที่ไกลออกไป มี 2 แห่ง  มีขนาดใหญ่ที่สุด สำหรับประชาชน รวมทั้งสัตว์พาหนะ

        นอกจากเป็นศาสนสถานแล้วยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ด้วย จากสาเหตุนี้เอง ทำให้ มหาปราสาทนครวัด ถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ต่างจากปราสาทอื่น ๆ ที่จะหันหน้าไปทางตะวันออก
        ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้ยกทัพมารุกราน ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงได้ย้ายเมืองหลวง ไปอยู่ที่เสียมราฐ กล่าวคือ นครวัด อยู่ที่เมือง เสียมเรียบ แล้วได้สร้าง นครธม  และปราสาท บายน ห่างจาก ปราสาทนครวัดไปทางเหนือ  เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม  
       เรามาชมความสวยงามของปราสาทนครวัด กันค่ะ 



     พวกเราหลังจากชมนครวัดแล้ว ก็เที่ยงวันแล้ว มัคคุเทศก์ของเขมร พาไปทานอาหารมื้อกลางวันที่จองเอาไว้  อาหารก็มีหลายอย่าง เป็นอาหารแบบไทยปนจีน รสชาติ ก็ใช้ได้ ค่ะ มาดูหน้าตาของอาหารค่ะ ส่วนของพี่มยุรี เขาทำพิเศษให้ เพราะว่าแกทานมังสวิรัติ 


       หลังอาหารกลางวันผ่านไป มัคคุเทศก์เขมรก็พาพวกเราตะลุยเที่ยวต่อ  ตรงนี้  เราต้องเปลี่ยนเป็นรถเล็ก 2 คัน ไม่ทราบเป็นเพราะสาเหตุใด  คิดว่า คงไม่ให้รถใหญ่เข้าไปที่ ปราสาทนครธม มั้ง แหล่งเที่ยวของเราอันดับต่อไป ก็คือ ปราสาท นครธม  ซึ่ง มัคคุเทศก์ จะบรรยายให้พวกเราฟังด้วยสำเนียงภาษาไทยแปร่ง ๆ บางคำก็ใช้ผิดความหมาย เราต้องเดาเอาเอง อิอิ แกก็ขยันอธิบายเหมือนกัน ก็ได้ความรู้บ้าง เราต้องค้นคว้าเพิ่มบ้าง เพื่อมาให้สมาชิกชาวบล็อกเราได้ความรู้อย่างสุดความสามารถล่ะค่ะ อิอิ  มาถึงที่นี่ แดด ยังคงร้อนตับแล้บเหมือนที่นครวัดนั่นแหละ พวกเราก็ถ่ายรูปหมู่ที่ทางเข้านครธม อีกรูปหนึ่ง  มาดูรูปหมู่หน่อย ค่ะ 

        ในรูปที่เห็นนี้ เป็นทางเข้าไปชม ปราสาทนครธม สองฟากฝั่ง มีรูปพวกอสูร (ยักษ์)อยู่ทางฝั่งขวา ที่กำลังฉุดลำตัวของพญานาคอีกฝั่ง คือด้านซ้าย เป็นรูปเทวดาเรียงรายแบบพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เป็นภาพที่งดงามมาก พวกเรา ก็เริ่มถ่ายรูปกันตามระเบียบเพื่อนำภาพสวย ๆ ศิลปะต่าง ๆ มาเก็บไว้เป็นที่ระลึกและประกอบการเล่าเรื่องมาเที่ยวเขมรกัน ค่ะ ดูภาพนะคะ 

       มัคคุเทศก์ พาพวกเราเดินเข้าไปในตัวปราสาทนครธม แล้วก็บรรยายความรู้เกี่ยวกับนครธม องค์นี้ ให้พวกเราฟัง ฉันเก็บรวมรวมและหาเพิ่มเติมมาให้รู้ประวัติของ ปราสาทนครธม ดังนี้ ค่ะ 

       ปราสาท นครธม เป็นปราสาทศิลปะแบบ บายน เป็นพุทธศาสนสถาน  นิกายมหายาน ที่พระเข้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างขึ้น และให้เป็นนครหลวงแทน นครวัด และเป็นเมืองหลวงแหล่งสุดท้ายของราชอาณาจักรขอม สร้างใน คริสต์วรรษที่ 12 หรือ ประมาณ พ.ศ. 1720-1780 อยู่ทางทิศเหนือของ ปราสาท นครวัด
       ความหมายของชื่อ ปราสาท นครธม คือ เมืองใหญ่  โดยคำว่า ธม ในภาษาเขมร แปลว่า  ใหญ่ เมื่อเราเข้าสู่ใจกลางเมืองของปราสาทนครธม  จะพบสิ่งก่อนสร้างต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงปราสาทบายน ซึ่งอยู่ประตูเมืองทางทิศใต้ แต่บริเวณประตูด้านใต้นี้ ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูได้ดีกว่า อีก 3 ด้าน ปราสาทนครธม ถือว่า เป็นช่วงที่อาณาจักรขอมมีความเจริญรุ่งเรือง และมั่งคั่งมากที่สุด  มีคูเมืองล้อมรอบประมาณ 80 กิโลเมตร แต่ละด้านมีความยาวถึง 3 กิโลเมตร และมีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน  มี พื้นที่มากกว่า 9 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,625 ไร่ กำแพงแต่ละด้าน ก่อด้วยศิลาแลง สูง 7 เมตร 
       นครธม มีปราสาทตาพรหม ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ประมาณปี พ.ศ. 1729 เพื่อถวายแด่พระราชมารดา เป็นวัดในพุทธศาสนาที่ใหญ่มาก  ปราสาทตาพรหมอยู่ในสภาพธรรมชาติ มาเกือบ 500 ปี  มีต้นไม้  รากไม้ เกาะตัวสิ่งก่อสร้าง  รากไม้นั้นชอนไชไปยังส่วนต่าง ๆ ของปราสาท มีต้นไม้ ต้นใหญ่ ๆ มากมาย มัคคุเทศก์เล่าว่า มีอยู่ต้นหนึ่งใหญ่และอายุหลายร้อยปี เป็นต้นที่คนไปถ่ายรูปมากที่สุด พวกเราก็เสาะหาจนเจอได้ถ่ายรูปเหมือนกัน อิอิ 












    จากนั้น เราก็ไปชม ปราสาทบายน เป็นปราสาทที่อยู่ใจกลางเมืองนครธม  เป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และ่
รัชทายาท  ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของนครธม เป็นปราสาทที่งดงามและแปลกตา ปราสาทองค์นี้  สร้างในพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยพระเจ้าชัย
วรมันที 7 เป็นศิลปะ แบบบายน  ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ปราสาทบายน เป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีลักษณะแตกต่างไปจากการสร้างปราสาทแบบเดิมโดยสิ้นเชิง  กล่าวคือ  แบบเดิมนั้น สร้างเพื่อบูชาแด่พระวิษณุ หรือเป็นศาสนสถานฮินดู พราหมณ์) ซึ่งนับถือกันมาถึง 415 ปี แต่มาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ทรงนับถือเลื่อมใสพระพุทธศาสนา นิกายมหายานแทน
       การสร้างตัวปราสาทบายน สร้างโดยการเอาหินนำมาซ้อน ๆ กันเป็นรูปร่าง แต่ไม่ใหญ่โตเหมือนนครวัด แต่ดูแปลก  ลี้ลับ  นั่นก็คือ ทั้งปราสาทที่สร้าง มีแต่หน้าคน  ปรางค์ปราสาทบายน มีทั้งหมด 54 ปรางค์ แต่ละปรางค์มี 4 หน้า ถือว่า ปรางค์หนึ่ง แทน 1 เมือง (มัคคุเทศก์เล่าให้ฟังแบบนี้) หน้าที่สลักเป็นภาพของพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์โลกิเตศวร  แต่ละเมือง ต้องส่งส่วย มาที่ศูนย์กลางนี้ ใครที่ไม่ส่ง จะโดนตัดคอ มัคคุเทศก์เล่าแบบนี้ เหมือนจะเป็นการสร้างเป็นสัญลักษณ์นั่นเอง  พระพักตร์ที่เป็นพระโพธิสัตว์โลกิเตศวร นั้น ผันพระพักตร์ไปทั้ง 4 ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลความทุกข์สุขของเหล่าประชาชนของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุข พระพักตร์นั้น แย้มสรวล เปี่ยมไปด้วยเมตตา  จึงเรียกว่า  ยิ้มแบบ บายน 54 ปรางค์  ปรางค์ละ มี 4 พักตร์ จึงมีทั้งหมด 216 หน้า  แต่ปัจจุบันนี้  บางหน้ามีการสึกกร่อนไปหลายหน้าแล้ว  ตามกาลเวลาที่ผ่านไป 
         ตามผนังระเบียงชั้นใน  ยังมีการสลักภาพต่าง ๆ เช่น ภาพ พระราชพิธีต่าง ๆ  การประชุมเหล่าเสนาบดี  มีบางภาพแสดงถึง กฤษดาภินิหาริย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก่อนขึ้นครองราชย์  การสลักภาพเหล่านี้แตกต่างจากใน นครวัด  จะเป็นภาพสลักในศาสนาฮินดู ที่พระเข้าชัยวรมันที่ 2 ทรงนับถือ 

        การถ่ายรูปที่ ปราสาทบายน ช่างภาพที่ตามมาถ่ายรูปพวกรเรา เพื่อจะได้มาขายเรา ได้แนะนำและรับถ่ายรูปให้  โดยมีมุมกล้องที่ถ่ายให้จมูกของเราชนกับจมูกของพระโพธิสัตว์โลกิเตศวรด้วย ฉันก็ถ่ายกับเขาด้วย เสียไปรูปละ 10 บาท ก็ไม่แพงหรอก  วรภพ ก็ถ่ายได้ เลยถ่ายกล้องของวรภพอีก ภาพหนึ่ง อิอิ  มาชมภาพสวย ๆ ของประสาท บายน ค่ะ 









ออกจากที่นี่แล้ว  เหลืออีกที่หนึ่งที่เราต้องรีบไป คือ ปราสาทบันทายศรี (สรี)หรือ สำเนียงเขมร เรียกว่า บันเดียไสร ซึ่งแปลว่า ปราสาทสตรี หรือ ป้อมสตรี ซึ่งเป็นปราสาทที่สวยงามมากที่สุดของประเทศกัมพูชา เพราะว่า ปราสาทนี้ สร้างมาแล้วกว่าพันปี แต่ลวดลายที่เกิดจากการแกะสลักบนหิน  ยังคงความคมชัด เหมือนประหนึ่งว่าเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ 
       ปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทเล็ก ที่สร้างด้วยหินทรายสีชมพูเนื้อละเอียด ซึ่งเป็นหินทรายที่หายาก เล่ากันว่า พราหมณ์ ชื่อ ยัชญวราหะ ซึ่งเป็นทั้งพระอาจารย์และผู่สำเร็จราชการในสมัยที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ยังทรงพระเยาว์ ได้ทูลขอที่ดินแปลงหนึ่งจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อสร้างปราสาทไว้สำหรับไว้บูชาพระศิวะ ใช้พระนามว่า"ตรีภูวนมเหศวร"  แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้ง 3"และจะได้เป็นศูนย์รวมของประชาชน ปราสาทหลังนี้ เริ่มสร้างในปลายรัชกาลของพระเจ้าช้ยวรมันที่ 4 พ.ศ. 1487-1511 มาเสร็จในสมัยพระเจ้าชัย วรมันที่ 5 ปราสาทหลังนี้  ถึงจะเป็นเทวสถานขนาดเล็ก  แต่ลวดลายที่แกะสลักที่ซุ่มประตูและที่ต่าง ๆ งดงามอ่อนช้อยสวยงาม
ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก จนได้จัดเป็นศิลปะ ยุค แบบบันทายศรี ซึ่งอยูในยุค พ.ศ. 1510-1550 
       ปราสาทบันทายศรี อยู่ห่างจากเมืองเสียมเรียบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมเรียบ
        ซุ้มประตูทางเข้า   สลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายนั้นละเอียดงดงามมาก
        ซุ้มประตูซ้ายมือ  สลักเป็นภาพพระอิศวรทรงโค มีพระอุมาเทวีประทับด้านซ้าย
        ซุ้มทางขวามือ  สลักรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์
        น่าเสียดาย เรามาถึงที่ปราสาท เมื่อใกล้ค่ำแล้ว และเกิดท้องฟ้ามืดครื้ม  ลมพัดแรงมาก เหมือนฝนจะเทลงมา  แต่โชคดี มีแต่ลมแรงอย่างเดียว  ฝนยังไม่ลง ที่จริง วันนี้ต้องไปเที่ยวที่เขาพนมบาเค็ง แต่เวลาไม่พอเสียแล้ว เพราะเราเสียเวลาจากวันแรกไปหลายชั่วโมง เลยอดไปเห็นพระอาทิตย์ตกที่พนมบาเค็ง ซึ่งเป็นเขาที่เราสามารถเห็นทิวทัศน์ของปราสาท นครวัดจากมุมสูงได้  
         มาดูรูปถ่ายปราสาทบันทายศรี ปราสาทสีชมพูที่งดงาม แต่น่าเสียดาย เรามีเวลาชื่นชมน้อย เลยได้รูปน้อย อิอิ 

       อาหารมื้อเย็นนี้  เป็นอาหารบุฟเฟ่เหมือนเมื่อวานนี้ มีอาหารมากมายให้เลือกทานตามที่เราอยากทาน  ก๋วยเตี๋ยว  หมูสะเต๊ะ ขนมจีน น้ำยา ซูชิ ขนมหวาน  สลัดผัก ฯลฯ เสียดายว่า ต่างคนต่างหิน ไม่ได้ถ่ายรูปเอามาให้ชมกันเลย ที่นี่มีการแสดงหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ เพราะห้องที่เขาจัดให้เรา อยู่ในห้องกระจก ไม่เห็นเวที พวกเราก็ไม่มีใครสนใจหรอก เพราะสนใจอาหารมากกว่า อิอิ 
       น่าจะทานอาหารประมาณ ชั่วโมงเศษ ๆ รถก็พาพวกเรากลับโรงแรม  เพื่อนของน้องเรยาที่มาสอนภาษาไทยให้กับพวกเขมร ได้มารอพบ  ดูเหมือน เขาจะชิบภาไทษมา   อนจะชื่อ หน่อย นะถ้าจำไม่ผิด เป็นหญิงสาวอ่านกว่าน้องเรยาคงไม่กี่ปี เขามากับเด็กสาวเขมรคนหนึ่ง เป็นนักเรียนของหน่อย รูปร่างสันทัด ผิวเข้ม คมขำ หน้าตาน่าเอ็นดู พูดเก่ง คล่องแคล่วว่องไว  คุณหน่อย จะมารับน้องเรยาไปนั่งรถสามล้อชมเมืองเสียบเรียบยามค่ำคืนและไปเดินตลาด ที่เรียกว่า ถนนคนเดิน อะไรประมาณนั้น  เรยาชวนฉันไปด้วย ที่จริงฉันไม่คิดอยากไป เพราะมันก็สองทุ่มกว่าแล้ว อีกอย่างฉันไม่คิดอยากจะซื้ออะไรด้วย แต่ในเมื่อเรามาด้วยกัน ก็ต้องไปเป็นเพื่อนกัน ฉันเลยไปชวน ภา และ วรภพ ไปด้วย พอดี น้องลิลลี่โผล่หน้ามานอกห้อง เรยาเลยชวนไปด้วย พร้อมกับแม่ของน้องเขาด้วย  รวมเป็น 8 คน ต้องเรียกสามล้อมา 2 คัน โดยมีเด็กสาวเขมรที่มาด้วยเป็นคนติดต่อเรียกสามล้อมารับ ก่อนออกจากโรงแรม น้องเรยา ก็เรียกให้ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกด้วย 


        กว่าจะมาถึงที่โรงแรม  ก็น่าจะ4 ทุ่มได้นะ ภา วรภพ น้องลิลลี่ (ด้วยมั้ง) ไปต่อดื่มกาแฟที่ได้ชื่อว่าอร่อยของเขมรโดยมีหน่อยเป็นคนพาไป พวกเราเฉลี่ยค่ารถสามล้อให้ตามที่คุณหน่อยบอกราคามา  จำไม่ได้แล้วว่า ราคาคนละเท่าไร อิอิ 

        วันที่ 16 สิงหาคม  58
        เช้านี้ อาหารของโรงแรมแย่กว่าเมื่อวานตอนเช้าอีก เพราะว่า อาหารบางอย่างหมดไม่มีเอามาเติมเลย น้ำสลัด หมด ก็ไม่มีให้ ให้ทานแต่ผักเปล่า ๆ ไม่ประทับใจเอาเสียเลย 
        เช้านี้ ออกจากโรงแรมไปเก็บสถานที่เที่ยววันแรกที่ขาดหายไป 1 แห่ง คือ ศาลเจ้าเจ็ก  เจ้าจอม ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ที่ใกล้ ๆ เป็นพระราชวังเจ้าสีหนุ บริเวณรอบ ๆ เป็นสวนสาธารณะ  มีต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ มากมาย มีแม่ค้ามาขายดอกไม้ธูปเทียนให้แก่ผู้ที่มาสักการบูชา เจ้าเจ็ก เจ้าจอม ชุดละ 20 บาท สำหรับประวัติของเจ้าเจ็ก เจ้าจอม (ภาษาเขมร ออกเสียงว่าเปี๊ยะอองเจ๊ะ และ เปี๊ยะอองจอม ซึ่งทั้งสององค์นี้ เป็นพี่น้องกัน และเป็นผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  อยู่มาวันหนึ่้ง ทั้งสองคนได้ไปทำบุญ  หลังจากกลับจากทำบุญ แล้วนอนหลับไป ก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ยังความเสียใจแก่คนเป็นพ่อเป็นแม่เป็นอย่างมาก  จึงได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นสององค์  องค์ใหญ่ให้นามว่า องค์เจ็ก องค์เล็กให้นามว่า  เจ้าจอม  เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเสียมเรียบ เฉกเช่นเดียวกับศาลหลักเมืองของเมืองเสียมเรียบ  ทุกวันจะมีชาวบ้านมา กราบไหว้บูชา  นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองเสียมเรียบ ก็ต้องมากราบไหว้มากมายเช่นกัน  พวกเรามาถึงที่นี่ ผ่านสวนสาธารณะ ต้นไม้ใหญ่ๆ ใกล้ ๆ ศาลเจ้า มีแม่ค้ามาขายดอกไม้ธูปเทียนอยู่ สอง เจ้า ฉันกับเพื่อน ๆ ซื้อกันคนละชุดเข้าไปไหว้  เดินไปถึงที่ศาลเจ้า  มีผู้คนมากราบไหว้บูชาองค์เจ้าเจ็กเจ้าจอมมากมาย ฉันเข้าไปไหว้เสร็จแล้ว ก็ออกมาเก็บภาพ มาฝากท่านผู้อ่าน ค่ะ 




จากที่นี่แล้ว  เราก็ไปยังวัดทุ่งสังหาร  หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า  Killing  Fields  วัดนี้ ตามที่มัคคุเทศก์ได้บรรยายให้ฟังและจากที่ฉันได้ไปค้นคว้าหาความรู้มา  ต้องบอกว่า  เป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อเลยว่า  มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันมันจะทำกันได้ลงคอ  แถม ทำกับคนที่เป็นเชื้อชาติเดียวกันอีกด้วย  โหดร้าย ป่าเถื่อน เพียงเพื่ออำนาจทางการเมือง ถึงกับเข่นฆ่าคนชาติเดียวกัน อย่างเหี้ยมโหด ทารุณเหลือที่จะพรรณนา 
บางช่วงที่ฟังมัคคุเทศก์เล่าแล้ว อดสงสาร อดน้ำตาซึมไม่ได้ เพราะความสงสารคนที่ไม่มีความผิดอะไรเลย เพียงแค่สงสัยว่า เขาจะก่อการร้าย ไม่ใช่พวกของตน ก็ถูกทรมาน ด้วยวิธีการต่าง ๆ  ตัดนิ้ว เฆี่ยนตี  เอาหัวจุ่มน้ำ ให้สำลักน้ำตาย ใช้ไฟช็อตให้ตาย ล่ามโซ่  อาหารการกิน แทบจะไม่ให้กินเลย  น้ำก็ไม่ให้อาบ  2-3 วัน หรือ อาทิตย์หนึ่ง ก็เอาน้ำมาฉีดใส่ให้เปียก เท่านั้น  ก่อนจะนำไปตัดหัว ยิงเป้า ก็จะมีการทรมานด้วยวิธี ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก เด็กน้อย  เด็กเล็กฆ่าโดยการจับขาเด็กแล้วฟาดกับต้นไม้ให้ตาย  โอย! ฟังแล้ว จิตใจฉันหดหู่เหลือที่จะกล่าว จิตใจมันทำด้วยอะไรหนอ ทำไมถึงได้เหี้ยมโหดขนาดนั้น 
            ยุคอันโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นในประเทศเขมรดังกล่าวนี้  เกิดขึ้นในยุคของเขมรแดงเรืองอำนาจ  เป็นความโหดร้ายป่าเถื่อนติดอันดับโลกเลยที่เดียว เหมือนกับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในสมัยฮิตเลอร์ ที่ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกยิว  แต่นี่ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกัน  มันโหดยิ่งกว่า ฮิตเลอร์ เสียอีก บุคคลที่โหดเหี้ยมนี้  ก็คือ  นายพอลพต และนายเขียว สัมพันธ์ (ช่วง ค.ศ. 1976-1979)   โดยนายเขียวสัมพันธ์ เป็นผู้เสนอลัทธิคอมมูน  ให้ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีคนรวย ทุกคนต้องทำงานส่งมายังหน่วยกลาง  ตอนที่ยึดอำนาจรัฐบาลของนายพล ลอน นอล ได้แล้ว  นายพอลพต คลั่งลัทธิซ้ายสุด ๆ ได้เกณฑ์คนในเมืองพนมเปญ โดยหลอกว่า  ให้ประชาชนอพยพหลบไปจากเมืองหลวง  ให้เขาจัดการให้เหตุการณ์สงบก่อน แล้วค่อยย้ายกลับมา แต่ที่จริงแล้ว เขาหลอกเกณฑ์ ประชาชนไปในที่กันดาร  ให้ทำงานหนัก วันละ 12 ชั่วโมง อาหารที่แบ่งให้กินก็เล็กน้อย  ขัดขืน ก็โดนทารุณ เฆี่ยนตีอย่างโหดร้าย ถ้าหลบหนี ก็ตายลูกเดียว  ที่พนมเปญ จึงเป็นเหมือนเมืองร้าง มีแต่พวกทหารและครอบครัว ลูกเมียของผู้นำอยู่  เสบียงที่คนที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานนั้น จะต้องส่งมาเลี้ยงพวกเขา พวกทหาร  ซึ่งคนที่ถูกบังคับให้ไปทำงานนี้ มีถึง 850,000 ถึง 3 ล้านคน   
             ความโหดร้ายของ นายพอล พต มีมาก หลังจากที่ยึดอำนาจได้แล้ว ก็จับผู้นำระดับสูง  ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐบาล หลายคน ไปยิงเป้า ต่อหน้าสาธารชน เหมือนเป็นการแสดงอำนาจของตน  
             ประเทศเขมรตกอยู่ในความทุกข์อันทารุณโหดร้ายนี้ เป็นเวลา 4 ปี ที่ นาย พอล พต เรืองอำนาจ ได้ทำให้คนเขมรตายไปประมาณ 3 ล้านคน จากประชากรเขมรที่มีประมาณ 7.5 ล้านคน 
             ที่ทุ่งสังหารที่เรามาวันนี้  เป็นสถานที่ที่ คนถูกทรมานอย่างหนัก ที่คุกโตนสแลงก่อนที่จะนำมาประหารที่นี่   โดยการให้คนที่จะถูกประหารนั้น ขุดหลุมขนาดใหญ่เหมือนกระทะใหญ่ ๆ  ขุดเสร็จก็จะถูกยิงทิ้งตกลงไปในหลุม  ดังนั้นที่ทุ่งสังหารนี้  จึงขุดพบศพมากกว่า 8895 ศพในหลุมขนาดใหญ่  ซึ่งต่อมาได้นำกระโหลก  กระดูก ศพเหล่านี้ บรรจุ ใส่ตู้กระจกไว้  ฉันได้ถ่ายรูปมาฝากด้วย 
              คนทำชั่วก็ต้องได้รับกรรมชั่ว  หลังจากที่ นายพอลพต พ่ายแพ้ไปแล้ว  ได้ป่วยเป็นอัมพาต  อัลไซเมอร์  และตายอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ  คนใกล้ชิดเล่าว่า ตายด้วยโรคหัวใจวาย  พวกเราฟังมัคคุเทศก์เล่าแล้วต่างก็บอกว่า ไม่น่าตายง่าย ๆ อย่างนั้นเลย น่าจะตายอย่างทุกข์ทรมานให้สมกับความโหดร้าย ของเขา  อิอิ  มาดูรูปดีกว่า ค่ะ 


          หลังจากเที่ยวที่นี่แล้ว ต่อจากนี้ ก็เป็นเรื่องที่มัคคุเทศก์พาช้อปปิ้งอย่างเดียว ปร้านขายพวกไม้แกะสลักขายพวกเพชรพลอยด้วย เจตนาก็คงต้องการให้พวกเราซื้อสินค้า นั่นเอง ปรากฏว่า มีสมาชิกเรา ซื้อแหวนไป 1 วง เพราะต่อราคาได้มากตามที่ตนพอใจ อิอิมาดูภายในร้านหน่อย ค่ะ  

       จากร้านนี้แล้ว ก็ไปต่ออีกร้าน ไม่นึกเลยว่า ในประเทศเขมร ก็มีร้านขายยาจีน บัวหิมะ และมีการนวดเท้า ขายยา หมอแมะ ด้วย เหมือนเราไปทัวร์ประเทศจีน อิอิ ฉันฟังจนเบื่อ เลยไม่ได้เข้าไปในตอนแรก ถ่ายรูปอยู่ข้างนอกแก้เซ็ง อากาศก็ร้อนมาก ๆ เราเลยต้องเข้าไปนั่งด้านหลังที่พวกเราหลาย ๆ คนกำลังแช่เท้า และฟังบรรยาย แต่ฉัน ภา เรยาและวรภพ ไปแอบนั่งอยู่หลังห้องเพื่อรับแอร์เย็น ๆ อิอิ  แถม แอบถ่ายรูปในห้องด้วย มาชมรูป ค่ะ 
จากร้านนี้แล้ว  ก็ถึงเวลาทานอาหารมื้อเที่ยง  ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายที่ทัวร์จะมีให้เรา  เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ อีก ดีจังเลย อาหารเยอะมากเหมือนเดิม พวกเรา ก็เตรียมแยกย้ายไปตักอาหารตามแต่ที่ตัวเองชอบ อาหารก็คล้าย ๆ กับบุฟเฟ่ สองมื้อที่เราไปทานมาแล้ว ตอนที่เราทานกันนี้ ช่างที่ถ่ายรูปพวกเราตอนไปเที่ยวนครวัด นครธม และที่ต่าง ๆ เขาเอารูปมาขายพวกเรา รูปละ 10 บาท ถ้าเป็นรูปหมู่ รูปใหญ่กว่ารูปเดี่ยว เป็น 20 บาท ฉันมีทั้งหมด 3 รูป จ่ายไป 40บาท ก่อนเข้าไปทานข้าว เราได้ถ่ายรูปหน้าร้านหน่อย อิอิ

       ทานข้าวกันอิ่มแล้ว  มัคคุเทศก์ก็พาเราไปเดินช้อปปิ้งที่ตลาด ซาจ๊ะ ของที่ขาย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อผ้า  ผ้าพันคอ ของที่ระลึก ร้านขายของก๊อบบ้าง พวกกระเป๋ายี่ห้อดัง ๆ ฉัน เรยา และภา ซื้อเสื้อยืด ได้คนละ 2 ตัว 100 บาท มีตรานครวัดปักเป็นสีเงิน ก็ดูสวยดี เป็นสัญลักษณ์ของประเทศเขมร ไว้ใส่เล่น ๆ ฉันซื้อเสร็จแล้ว ก็ไปถ่ายรูปบริเวณ ที่เรียกว่า ตลาดซาจ๊ะ มาให้ชมจ้ะ 
     จากตลาด ซาจ๊ะ แหล่งเที่ยวสุดท้ายของเราในเขมร คือ ไปชมการแกะสลักพระพุทธรูปและสิ่งอื่น ๆ จากหิน เป็นภาพที่สวยมากทีเดียว  มีขายหินก้อนเล็ก ๆ ให้ไว้ใช้ขัดตัวด้วย ก้อนเล็ก 3 ก้อน 50 บาท ก้อนใหญ่และยาว 4ก้อน 100 บาท มั้ง จำไม่ค่อยได้  ฉันซื้อก้อนเล็กมา 3 ก้อน ยังไม่รู้จะได้ไปขัดถูกเมื่อไหร่ อิอิ บ้าจี้ซื้อตามเขานั่นแหละ  ห้าห้า  มาดูรูปหน่อยนะคะ

         นี่เป็นแหล่งสุดท้ายที่เรามาเที่ยวกัน หลังจากนั้น รถเราก็พามาส่งพวกเราที่ปอยเปต ชายแดนเขมร ก่อนจะลงจากรถ  คุณปราโมทย์ หัวหน้าคณะ ก็มีการมอบค่าทิปให้มัคคุเทศก์เขมร คนรถ และมัคคุเทศก์ไทยเรา  ไม่ได้มาเก็บจากพวกเรา หรอก คิดว่า คงคิดรวมอยู่ในค่าทัวร์เรียบร้อยแล้ว  (6500 บาท)  นับว่าราคาไมแพงเลย อาหารก็ใช้ได้  เสียนิดหน่อยที่ไปเที่ยวไม่ครบตามรายการน่าจะ 2 แห่ง  เสียดายมาก คือ เขาพนมบาเค็ง 
       หลังจากที่ผ่านพิธีออกจากประเทศเขาแล้วซึ่งก็ไม่ยุ่งยากนักเพราะมัคคุเทศก์ช่วยจัดการให้ บริการเขมร ก็เอารถมาขนกระเป๋าพวกเราไปขึ้นรถทัวร์ของเราซึ่งจอดรออยู่ที่ฝั่งประเทศของเรา พวกเราก็มาผ่านด่านประเทศไทยของเรา คือพิธีเข้าประเทศ ก็ไม่ได้ยุ่งยากนัก 
        ก่อนอำลาจากอรัญประเทศ  เราก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย  ไม่ให้เสียเวลา อิอิ 
       เขาให้พวกเราเดินช้อปปิ้งที่ตลาดโรงเกลือ น่าจะประมาณ 1 ชั่วโมง เดินดูร้านค้าต่าง ๆ ก็มีเสื้อผ้า กระเป๋า ส่วนใหญ่ของก๊อปทั้งนััน ฉันไม่ได้ซื้ออะไร นอกจากผลไม้ คือ ลองกอง มังคุด กิโลละ 25 บาท ก็ไม่แพง เลยซื้ออย่างละ 2 โล 

       ระหว่างการเดินทางจากอรัญประเทศกลับกรุงเทพฯ พวกเราก็สนุกสนานกัน ใครที่ชอบร้องเพลง ก็ผลัดกันออกไปร้องกัน คนร้องไม่เป็นอย่างฉัน ก็คลอเสียงตามเขาไป ปรบมือให้คนร้อง ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง   น่าจะ 2 ทุ่ม มาถึงที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่า มีของกินขายมากมาย เขาจอดให้เข้าห้องน้ำและซื้ออาหารมื้อเย็นมาทานกันบนรถเพื่อไม่ให้เสียเวลา กลัวว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯดึกเกินไป  ฉันกับ เรยา ได้ข้าวขาหมู คนละ ถ้อย ถ้วยละ 30 บาท ไม่อร่อยเลย ทานแก้หิวไปเท่านั้นเอง  
        กลับถึงกรุงเทพฯ เกือบ 5 ทุ่ม แถมรถเข้าผิดเลน ต้องไปอ้อมอีกไกล กว่าจะไปจอดยังปั๊มน้ำมันตรงที่จอดตอนขามา ต่างคนต่างมารับกระเป๋าของตนเอง  ฉัน ภา วรภพ ได้กระเป๋าแล้ว ก็ลากกันออกมา ที่ริมถนน เพื่อโบกแท็กซี่ กลับบ้าน ถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน รื้อกุนเชียงที่ หน่อย เพื่อนเรยา แนะนำว่า อร่อย บ้านลูกศิษย์ชาวเขมร มีขาย ทั้งปลาช่อนแดดเดียว  พวกเราก็เชื่อใจสั่งกันใหญ่ ฉันสั่งกุนเชียง และปลาช่อนแดดเดียว อย่างละ 1 กิโล เผื่อมาแจกเพื่อนบ้านของฉันด้วย ภา ก็สั่งกุนเชียง 2 กิโล แต่ได้กิโลเดียว ปรากฎว่า ของฉันไม่ได้ปลาแดดเดียวหรอก เลยต้องให้ ภา ไป 2 กิโล ฉันเลยได้ กุนเชียง 1 กิโล โชคดี ที่ฉันไม่ได้ปลาช่อนแดดเดียว เพราะคนที่ได้ไป บ่นกันเป็นหมีกินผึ้งว่า  มันไม่ใช่ปลาช่อนเลย น่าจะเป็นปลาสวาย มันเยิ้มและเค็มมาก ๆ ฉันแบ่งกุนเชียงแจกชาวบ้านไป คนละ 3-4 แถว เหลือของตัวเอง ประมาณ 5 แถว ยังไม่ได้ทอดกินเลย แต่ถามจากเหมียวเพื่อนบ้านที่ฉันนำไปฝากเขา  เขาบอกว่า ก็พอกินได้แต่อร่อยสู้ของไทยไม่ได้  เรยา ก็บอกเช่นนั้น เสียความรู้สึกหมดเลย โดยคนเขมรหลอกขาย ราคาก็ไม่ได้ถูกอะไรมากนัก กิโลละ 240 บาท บอกว่า มีแต่เนื้อ ๆ ไม่มีมันปนเลย ฉันเอาออกมาแบ่งให้เพื่อนบ้าน เห็นแล้ว ก็รู้ว่า ถูกเขมรหลอก เพราะเห็นตัวมันเยอะแยะในกุนเชียน เตือนท่านผู้อ่านที่จะไปเที่ยวเขมร โปรดอย่าไว้ใจสั่งซื้อของโดยที่ยังไม่ได้เห็นของโดยเชื่อใจว่า เขาจะซื่อสัตย์กับเรา อิอิ

       รุ่งเช้า ตื่นแล้ว หุงข้าว แล้วไปที่ร้านอาหารตามสั่ง ซื้อต้มยำ กุ้ง หมึก และผัดผักรวมมิตรหมูกรอบ มากินกัน 3 คน 
       ภากับภพ อิ่มข้าวเช้าแล้ว ก็ไปทำธุระเกี่ยวกับเรื่องการลาออกและการดำรงสิทธิ์ จากการบินไทย  แล้วจึงจะมาเอากระเป๋าและของต่าง ๆ ตอนบ่าย ๆ เพื่อเดินทางกลับภูเก็ต  

       การไปท่องโลกกว้างของฉัน ก็ได้จบลงไปอีกประเทศหนึ่งแล้ว นับเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีชายแดนติดกัน ปัจจุบัน คนเขมรมาทำงานในประเทศไทยมีไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้ ในประวัติศาสตร์ไทยจะกล่าวไว้ว่า  เขมรไม่ซื่อสัตย์กับไทย ชอบมาแอบโจมตีเรา ยามที่เรารบกับพม่า ก็ตาม แต่นั่นเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของการเมือง ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกันกับการไปเที่ยว  ประเทศเขามีโบราณสถานหลาย ๆแห่งที่สวยงาม น่าชื่นชม เป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1ใน7 สิ่งของโลก คือ นครวัด  ที่เราควรไป ชื่นชม สักครั้งหนึ่ง ก็ไม่เสียหลาย ค่ะ ไปกับคณะ เพื่อนปราโมทย์ ฉันก็รู้สึกว่า อบอุ่นใจ มีมิตรภาพดี ๆ ให้กันและกันอยู่  ได้รู้จักกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอัธยาศัยไมตรีเอื้ออาทรต่อกัน นับว่า ไม่ผิดหวังที่ได้มาท่องโลกกว้างในครั้งนี้ค่ะ  

      ก่อนจบการพาเที่ยวเขมร  ขอฝากภาษาเขมรไว้สักเล็กน้อย เผื่อเวลาไปเที่ยวเขมรจะได้นำไปใช้ได้บ้าง
1. สวัสดี         ใช้ว่า       ชัวชไดย
2. ขอบคุณ         "        ออกุน
3. ลาก่อน          "        เรียนซันเฮย
4. ขอโทษ         "        โซ้มโต๊ก
5. ผม ฉัน         "        ขยม
6. คุณชื่ออะไร       "        เตอเนี้ยะชัวเว่ย
7. สบายดีไหม       "        ซกสะบายดี
8. ห้องน้ำ          "        ต๊บดั๊ก
9. หิว             "        คลัน
10.ข้าว            "        บาย
11.น้ำเปล่า         "        ตึก   
12.น้ำแข็ง          "       ตึกกอก 
13.อร่อย           "       ชงัญแมนแตน
14.น้ำปลา          "       ตึกไตรย
15.ไม้จิ้มฟัน         "       เฌอจักหมึน
16.ปวดศีรษะ         "      ชือกบาล
17.เจ็บคอ           "      ชือกอ
18.คัดจมูก          "       คันละมวก
19.ปวดท้อง ท้องร่วง   "       ชือปัว
20.คลื่นไส้          "       จอง   




Create Date : 10 กันยายน 2558
Last Update : 17 ตุลาคม 2558 12:03:10 น. 2 comments
Counter : 2808 Pageviews.

 
ตามมาอ่านเขมรครับ เป็นอีกประเทศที่คิดว่าเปิด AEC แล้วไปแน่นอน อารยธรรมขอมเขาดีจริงๆ
ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ผ่านประวัติศาสตร์ร่วมกันมาเป็นพันปีย่อมมีความขัดแย้งกันบ้างไม่มากก็น้อย พม่าจะเป็นผู้กระทำเรามากกว่า ส่วนเขมรและลาวมักเป็นผู้ถูกเรากระทำ สองประเทศนี้ก็เลยไม่ค่อยชอบไทยเท่าไหร่ครับ ส่วนเรื่องเขาพระวิหารนี่เกมการเมืองเต็มๆ แล้วมันคุ้มไหมล่ะนั่น?

พูดถึงอาหารของเพื่อนบ้านเวียดนามนี่มีเอกลักษณ์ชัดเจน อาหารพม่าก็แนวๆแป้งแผ่นหรืออาหารชุ่มน้ำมัน ถ้าลาวก็ออกแนวอีสาน แต่ผมนึกภาพอาหารเขมรไม่ออกเลยครับว่าเป็นยังไง ของร้านประกายพรึกนี่ขายอาหารไทยชัดๆ
โตนเลสาบฟังที่คนเคยไปเล่าว่าจะมีคนจับงูขึ้นมาให้ถ่ายรูปแล้วขยะแขยงไม่อยากไปอะ ดีว่าทริปนี้ไม่เจอใช่ไหมครับ
พอเทียบกับปราสาทนครวัดแล้ว พิมายหรือพนมรุ้งบ้านเรากลายเป็นเด็กๆไปเลยครับ ศูนย์กลางของอาณาจักรขอมยุครุ่งเรืองมันอลังการกว่าปราสาทไกลศูนย์กลางที่หลงเหลือในเขตประเทศไทยมากๆ โชคดีที่ไม่โดนสงครามทำลายนะครับ ส่วนนครธมปราสาทบายนสร้างขึ้นมาทีหลัง อันนี้สวยเลย ยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขอมรุ่งเรืองแบบสุดๆด้วย
ปราสาทบันทายศรีอยากไปตั้งแต่มัยเรียนวิชาเลือก อาจารย์เล่าว่าเป็นปราสาทหินที่สวยที่สุดในเขมร ถ้าของไทยใกล้เคียงหน่อยก็มีปราสาทศีขรภูมิ ที่มีขอบประตู หน้าบัน ฯลฯ ที่งดงามอยู่ แต่เล็กกว่านี้เยอะครับ
ส่วน Killing Fields นี่ไม่อยากไป T^T จิตใจคนเราทำด้วยอะไรถึงคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ความเลวร้ายของเขมรแดงในยุคนั้นทำให้กัมพูชาตามเพื่อนๆในอาเซียนไม่ทันมาจนทุกวันนี้เลยครับ เรื่องเลวร้ายระดับเดียวกันก็เห็นจะมีค่ายเอาท์สวิตซ์ที่นาซีใช้สังหารชาวยิว กับนานกิงที่ญี่ปุ่นกระทำกับคนจีน
ตลาดโรงเกลือผมไปมาเมื่อปีก่อน ยังไม่ได้อัพบล็อกเลยครับ ทริปนั้นเที่ยวปราสาทหินในสระแก้วไปด้วย ของราคาถูกน่าซื้อหลายอย่างเหมือนกัน แต่วันนั้นฝนตกเฉอะแฉะไปหน่อย ไม่ค่อยมีอารมณ์ซื้อ


โดย: ชีริว วันที่: 7 ตุลาคม 2558 เวลา:21:30:49 น.  

 
ได้ความรู้เต็มอิ่มเลยค่ะอาจารย์
ชอบจังเลย
ขออภัยที่อุ้มทิ้งบลฺ็อกร้างไปสามเดือนเลยค่ะ
วัลลีกลับมาตามเดิมแล้วค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 14 พฤศจิกายน 2558 เวลา:9:48:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space