คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

ตะลุยอินโดนีเซีย สนุกสุดเหวี่ยง แต่ทรหดอดทน สุด ๆ จ้ะ ตอนที่ 2
ตะลุยอินโดนีเซีย สนุกสุดเหวี่ยง แต่ทรหดอดทน สุด ๆ จ้ะ ตอนที่ 2

ลงจากแพยนต์ เราก็เดินทางต่อ เพื่อหาที่พักใกล้ ๆ กับเชิงเขาโบว์โม ช่วงนี้ เพื่อนของคนขับรถที่อยู่บาหลี ได้ลาพวกเราไปตั้งแต่ตอนก่อนขึ้นแพยนต์ คนขับรถ พาพวกเราตระเวนหาที่พัก ตอนนี้ดูเหมือนดึกพอสมควร กว่าจะได้ที่พัก ก็น่าจะสามทุ่มกว่าแล้ว ได้ที่พักที่แย่และแพงด้วย ห้องน้ำก็เป็นแบบส้วมซึม นั่งยอง ๆ มืด ๆ ผ้าเช็ดตัว สบู่ อะไร ก็ไม่มีเลย ห้องก็แคบ ดูไม่สะอาดเลย แต่พวกเราก็ต้องเอา เพราะมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ เรายังต้องตื่นตีสาม เพื่อจะต้องไปเดินขึ้นภูเขาโบว์โม่อีก คืนนี้พวกเราซักแห้ง ล้างหน้าแปรงฟันเท่านั้น กว่าจะนอนก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ฉันให้จุ๊บตั้งแวลาสักตีสองครึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าห้องน้ำ เขาจะปลุกตีสามครึ่ง รถออกตี 4 อาบน้ำมันตอนนั้นเลย

วันที่ 18 เมษายน พวกเราเดินทางออกจากที่พักประมาณ ตีสามครึ่ง ด้วยรถจี๊บที่เราเช่าไว้สองคัน นั่งคันละ 6 คน เฉลี่ยน้ำหนักกัน คันฉัน มีต้อมกับนา นั่งข้างหน้า ส่วนฉัน กิ๊บ จ๋า และนัท นั่งหลัง รถจิ๊บพาเราฝ่าลมหนาว ๆ ขึ้นเขาไปได้สักพัก จ๋ามีอาการไม่ดี ผะอืดผะอม ร้องบอกว่า จะอาเจียน ใครมีถุงบ้าง โชคดี ที่ฉันมีถุงใส่ท้อปฟี่ติดอยู่ในเป้ รีบเทท้อปฟี่ออกจากถุง แล้วส่งให้จ๋า พอถุงถึงมือ จ๋าก็อาเจียนโอกอ้ากออกมา เฮ้อ ! ถ้าอาเจียนออกมาได้ คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว น่าจะประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถก็ไปไม่ได้ ทุกคน
ต้องลงจากรถเดินเอา รถจอดกันเป็นขบวนยาวเหยียด คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและวิน มอเตอร์ไซด์ เพื่อรับนักท่องเที่ยวที่เดินไม่ไหว ไปส่งที่ใกล้ ๆ จุดชมวิวของโบว์โม ฉันกับจ๋า ขึ้นมอเตอร์ไซด์คนละคัน ราคา คันละ สองหมื่นรูเปีย วิ่งฝ่าความมืดไป ฝ่าลมหนาวไป ซิกแซก หลบหลีกรถและผู้คน ซึ่งมีมากมาย น่าจะ 10 นาทีได้ ก็ถึงจุดชมวิว ซึ่งก็มีร้านค้าขายของกิน ของที่ระลึกมากมายหลายร้าน เราสองคนได้ร้าน ก๋วยเตี๋ยวไก่ (อายัม) ทานคนละชาม แต่จ๋า กินไปได้หน่อยเดียวก็กินไม่ลง เฮ้อ! คงพักผ่อนไม่พอเหมือนฉันเป็นตอนไปเดินขึ้นเขา คาวาอีเจี้ยนนั่นแหละ ฉันถ่ายรูปมาฝากด้วยนะ



กำลังทานกันอยู่พวกที่เดินเท้า ก็มาถึง พวกเขาเดินไปก่อน ส่วนฉันกับจ๋า ทานอิ่มแล้ว ก็เดินไปที่จุดชมวิว คนแน่นมาก จ๋าไปดูสักพัก ก็กลับมานั่งที่เดิม อาจจะยังไม่หายดี ฉันก็นั่งกับจ๋าต่ออีกสักพัก แล้วก็ไปเดินหาพรรคพวก เบียดเสียดผู้คนเข้าไปยังจุดชมวิว ซึ่งมีคนเยอะมาก ขณะนั้น ท้องฟ้ายังสลัว ๆ มีแต่แสงสีส้มอ่อน ๆ สลับกับความมืดแบบเทา ๆ ทุกคนถือกล้องเตรียมถ่ายพระอาทิตย์ที่จะค่อย ๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า เบียดฝูงชนเข้าไปได้ใกล้หน่อย อาศัยที่ฉันตัวเล็ก และก็ได้เจอ หญิง ติ่ง กิ๊บ และจุ๊บ เลยได้ถ่ายรูปกัน จ๋า ก็มาเจอกับพวกเราด้วย ฉันได้ถ่ายรูปสวย ๆงาม ๆ มาฝากเยอะพอสมควร เชิญชมได้ค่ะ















หลังจากชื่นชมที่จุดชมวิวที่โบว์โมแล้ว พวกเราก็นั่งรถจิ๊บต่อไปอีกน่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง เพื่อไปที่ตีนเขาโบว์โม เพื่อเดินหรือขี่ม้าไปชมปากปล่องของภูเขากลุ่มนี้ ซึ่งรถส่งพวกเราได้แค่ด้านนอก แล้วก็ต้องเดินไปอีกไกลมากพอควร แล้วก็มีบันไดอีก น่าจะร้อยกว่าขั้น เดินขึ้นไปเพื่อชมปากปล่องของภูเขาไฟกลุ่มนี้ เรื่องม้าต่อรองกันยาก เอาแพงมาก เราเลยเดินกันไป ทางที่เดิน เป็นลานกว้างมาก โชคดีที่เมื่อคืนฝนคงตก เลยไม่มีฝุ่นจากม้าที่วิ่งรับจ้าง เป็นทรายดำ ๆ น่าจะเป็นดินอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้ ด้านหน้า เป็นภูเขาสูงตระหง่านสีดำทะมึน ดูก็ใกล้ดี แต่เดินไกลเหลือเกิน คนอื่นล่วงหน้าไปแล้ว เหลือฉันกับ กุ๊บกิ๊บและจุ๊บ ซึ่งเท้าเริ่มเจ็บ ในที่สุดจุ๊บก็ขอล่วงหน้าไปก่อน เดินมาเจอทางที่ชันและเป็นทราย เริ่มเดินยาก คนจูงม้ามาถามจะให้ขี่ม้า ก็ต่อรองราคาไปกลับคนละ 5 หมื่น ในที่สุดเขาก็โอเค ไปถึงใกล้บันไดที่เราจะต้องเดินขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟ คนจูงม้าก็ให้พวกเราลงจากม้า และให้บัตรเล็ก ๆ เป็นชื่อเขา ซึ่งขากลับ เราต้องตามหาคนที่ให้เราขี่ม้าขึ้นมา

ฉันกับกุ๊บกิ๊บก็เริ่มขึ้นบันได ซึ่งมีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งขึ้น อีกฝั่งหนึ่งลง น่าจะประมาณ ร้อยกว่าขั้นขึ้นไป เล่นเอาหอบ บางช่วง ต้องให้คนที่อยู่หลังเราขึ้นไปก่อน แต่ในที่สุดพวกเราก็ขึ้นไปจนถึงปากปล่องกลุ่มภูเขาโบว์โมจนได้ ได้เห็นทิวทัศน์แปลกตา เป็นแอ่งใหญ่ มีควันพวยพุ่งขึ้นมาเป็นกลุ่มเหมือนหมอก พวกเราก็ถ่ายภาพกัน แต่ถ่ายตัวคนยาก เพราะคนเยอะมาก เวลาก็น้อย ได้แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้า ให้รู้ว่า เรามาถึงปล่องภูเขาไฟโบว์โมแล้วนะ อิอิ ขอให้ชมภาพที่ฉันรวบรวมมาฝากได้แล้วค่ะ











หลังจากที่พวกเราได้เก็บภาพสวย ๆ ของปากปล่องกลุ่มภูเขาไฟนี้แล้ว พวกเราก็เริ่มลงบันไดมา ขาลงง่ายกว่าขาขึ้นมาก ลงมาถึง ฉันก้บกุ๊บกิ๊บก็เที่ยวมองหาคนจูงม้าตอนขามา ซึ่งขากลับเราต้องกลับกับเขา เพื่อจ่ายเงิน 5 หมื่นให้เขา ปรากฏว่า หาไม่เจอ นั่งรอตรงโขดหิน มือก็ถือบัตรชื่อเขาไว้ แต่ก็ไม่มีใครมาหาเราเลย มีเจ้าของม้าอื่น ๆ มาชวนเราไปขึ้นม้าของเขาและบอกไม่เป็นไร ไปกับเขาก็เหมือนกัน เดี๋ยวจะเอาเงินอีกครึ่งหนึ่งไปให้คนจูงม้าที่นำเรามาตอนขาขึ้น พวกเราก็ไม่กล้าไป เพราะไม่รู้จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน รอประมาณ 15 นาที ก็ยังไม่เห็น จวนเวลาที่นัดหมายแล้ว ฉันกับกุ๊บกิ๊บจึงต้องเดินลงจากเขาเอง ตรงไหนชัน กุ๊บกิ๊บก็ให้เกาะไหล่เขาลงไป เพราะกลัวฉันจะไถลลื่นลงไป กว่าจะถึงลานกว้าง เล่นเอาเจ็บเท้าระบมไปหมด เฮ้อ ! แต่คิดถึงความสวยของภูเขาไฟกลุ่มนี้แล้ว ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อย

เป็นอันว่า เราไม่ได้จ่ายค่าม้า เพราะไม่รู้จะไปจ่ายกับใคร ตอนขาลง ก็มองหาเพื่อจะได้จ่ายเขา แต่ก็ไม่เห็นเลย สงสัย เขาคงรับคนอื่นไปที่ราคาดีกว่าที่จะมารอเรานั่นเอง

นั่งรถจิ๊บกลับมายังที่พัก ก่อนเข้าที่พักอาบน้ำ ต้อมให้พวกเรารวมกลุ่ม ไปถ่ายรูปหลังโรงแรมที่พัก ที่เป็นภูเขา ป่าไม้ ทิวทัศน์สวยมาก โดยให้ ต้น ตั้งกล้องถ่ายรูป รูปหมู่นี้ จึงมีสมาชิกครบทั้ง 12 คน ค่ะ



หลังจากนั้น ก็กลับเข้าห้องพัก อาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวน้ำตกกัน เตรียมใส่ขาสั้นกันเรียบร้อย แต่อนิจจา! พอขึ้นรถ ต้อมแจ้งข่าวร้ายว่า ทางเข้าน้ำตก มีปัญหา น้ำตกนี้ ปิดไม่ให้เที่ยวชั่วคราว เลยอดไป ว่าจะไปหาที่เที่ยวใหม่ชดเชย ก็ไม่ได้ไปกัน ได้แต่ไปแวะทานข้าวกัน บริเวณห้างร้านที่ขายของก๊อป แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพราะทุกคนกระเป๋าแห้งกันหมด หาที่แลกเงินกันให้วุ่น ฉันก็ต้องแลกเพิ่มทั้งหมดเป็น 5,500 บาท

เย็นนี้รถตู้ต้องไปส่งพวกเราที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางกลับไปจาการ์ตา ก็มีการเก็บค่าทิฟให้คนขับ ดูเหมือนจะคนละ กี่หมื่น รูเปีย ฉันจำไม่ได้ คนขับรถพาเรามาผิดสถานีอีก ทำให้ต้องเสียค่าแท็กซี่ไปอีกสถานีหนึ่ง ดีนะ ที่เรามาถึงสถานีนี้เร็ว เราจึงมีเวลาแก้ไขทัน

ไปถึงสถานีใหม่เรายังมีเวลาไปหาของกินที่ร้านสะดวกซื้อ ได้ซื้อมาม่ากระป๋องกิน เขามีน้ำร้อนให้เติมด้วย แล้วก็ซื้อน้ำพลั้นซ์อีกแก้ว รอดตายไปอีก 1 มื้อ แล้วพวกเราก็นั่งรอรถไฟเพื่อจะกลับจาการ์ตา

วันที่ 19 เมษายน เรามารุ่งเช้าที่จาการ์ต้าแล้ว ทุกคนอยากไปเที่ยว เกาะพันเกาะที่ได้รับฉายาว่า เป็น มัลดิฟของประเทศอินโดนีเซีย ชื่อว่า Pulau Anyer ตกลงไปกัน 10คน ต้อมกับนา อยากไปเที่ยวสวนน้ำมากกว่า พวกเรา 10 คน จึงนั่งแท็กซึ่ไปยังท่าเรือ เพื่อซื้อทัวร์ไป โดยมี นัท เป็นผู้นำและไปติดต่อ เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก สนน ราคาแพงทีเดียว คนละสองแสนสองหมื่นห้าพันรูเปียมั้ง ขนาดลด 10% แล้วนะ เท่ากับพันกว่าบาท มีอาหารกลางวันให้ 1 มื้อ มาถึงประเทศเขาแล้ว ก็ต้องยอมไป เพื่อไปเห็นว่าจะงามสมคำ เล่าลือหรือไม่ พวกเราติดต่อที่บริษัทจัดทัวร์เพื่อฝากกระเป๋าไว้ ตอนเย็นกลับจากเรือจึงจะมารับคืนไป เพื่อจะไปพักที่โรงแรมอีก 1 คืน

เรือที่ไปเป็นเรือ สปีดโบส วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แดดเปรี้ยงมากพอสมควร อากาศก็ร้อนอบเอ้าน่าดู นั่งเรือน่าจะประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงเกาะแห่งนี้ ซึ่งก็จัดภูมิทัศน์สวยงามพอควร มีบ้านทรงสวย ๆ อยู่ในน้ำ มีสระว่ายน้ำ มีสถานที่ให้เด็ก ๆ เล่นของเล่น มีคนมาพักมากพอสมควร มาถึงเจ้าหน้าที่ก็ให้การต้อนรับด้วยน้ำส้มที่เตรียมไว้แล้วคนละแก้ว ต่อจากนั้น พวกเราก็เริ่มบรรเลงถ่ายรูปกัน มุมนั้น มุมนี้ โดยเฉพาะ คุณหญิง เก็บทุกซอกทุกมุม ส่วน ตาต้น ก็ปลึกวิเวกไปเก็บรูปและแอบถ่ายรูปพวกเราบ้างตามความชอบของแต่ละคน ก็ได้รูปสวย ๆ งาม ๆ หลากหลายมุม และฉันก็เก็บรวบรวมมาผนึกไว้ในข้อเขียนนี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ชื่นชมไปกับพวกเราด้วยค่ะ เชิญชมได้ ค่ะ





























รอถึงเที่ยง พวกเราก็เดินขบวนกันไปที่ที่เขาจัดตั้งอาหาร ซึ่งเป็นอาหารบุฟเฟ่ อาหารที่นี่รสชาติใช้ได้ แกงจืดใส่พริกไทยเผ็ดดี มีขนมหวานด้วย แต่ฉันก็กินได้ไม่มาก เพราะอากาศร้อนมาก ๆ ตอนที่เรามาถึง คนเข้ามาทานกันเยอะแล้ว กว่าจะได้โต๊ะนั่ง ก็ต้องพักใหญ่ ๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายอาหารของเขามาให้เห็น กล้องหญิงมีรูปเดียวเท่านั้น



เรือจะมารับเรา ตอนบ่ายสี่โมง ดังนั้นหลังจากที่เราทานอาหารเที่ยงแล้ว ก็มีเวลานั่งพักผ่อน คุยกันเรื่องจิปะถะ เรียนรู้นิสัยใจคอของเพื่อนร่วมทริปไปด้วย จากการพูดคุย ก็สามารถเรียนรู้นิสัยได้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา บางคนก็โผงผาง บางคนก็เก็บความรู้สึกเก่ง ก็แล้วแต่นิสัยส่วนตัว พื้นฐานของแต่ละคน ซึ่งเรียกว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคลนั่นเอง บางคนก็แสดงความคิดเห็นนิ่ม ๆ ประนีประนอม บางคนก็ดุเดือดตามแบบฉบับของตน ฉันก็ได้เรียน รู้ไปตามเหตุการณ์ที่ได้ยินได้ฟังไป ก็สนุกดี

ใกล้เวลา ประมาณบ่ายสามโมงกว่า ปรากฏว่า เกิดมีลมพายุ ฟ้าเริ่มมืดครื้ม พวกเราก็ออกจากศาลาที่นั่งคุยกัน ไปที่ท่าเรือ แต่ทางเรือไม่ให้ออกเรือ เพราะฟ้าดำทะมึนมา และแล้วทั้งลมทั้งฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก พวกเราห่วงกระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากเขาไว้ ซึ่งอยู่กลางแจ้ง ทางเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังบริษัที่เราซื้อทัวร์ เขาก็ตอบมาว่า ไม่ต้องห่วง เขาขนเก็บเข้าไปในห้องให้เรียบร้อยและยินดีรอเราจนกว่าจะไปรับกระเป๋า

และแล้วเหมือนฟ้าจะเห็นใจพวกเรา เพราะถ้าไม่หยุดตก พวกเราก็กลับไม่ได้ และถ้าตกหลายชั่วโมงก็แย่ เพราะว่าเราจะกลับไปที่จาการ์ตาดึกแน่และมืด ๆ ค่ำ ๆ ออกเรือคงไม่ดีแน่ ฝนฟ้า พายุที่รุนแรงนั้น ฟ้าที่มืดตึ๊ดตื๋อนั้น ก็เริ่มสดใส สว่างแล้ว เรียกว่า ฟ้าเปิด ฝนซาเม็ดแล้ว โล่งอกเป็นของทุกคน เตรียมตัวลงเรือสปีดโบสไป ประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็ได้ขึ้นฝั่ง และเดินไปที่บริษัทที่เราซื้อทัวร์เพื่อรับกระเป๋า กระเป๋าพวกเราอยู่ในห้องในสภาพเรียบร้อย คนในบริษัทนี้ น่ารักมาก อุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปเรียกแท็กซี่ให้พวกเรา เพื่อไปส่งที่โรงแรมที่เรามาพักครั้งแรก (ชื่อไร ฉันก็จำไม่ได้) แต่รอนานมากทีเดียว

ระหว่างทาง แท็กซี่พาหลงไปไหนก็ไม่รู้ เพราะรู้สึกว่า มันไกลมาก ต้องลงไปถามทางกับคนที่อยู่ตามข้างทาง ในที่สุด 3 คันก็มาเจอกัน และถึงโรงแรม เรา 3 คน ต้องจ่ายค่าแท็กซี่รวมทางด่วนไปเป็นแสนเลย ปรากฏว่า ค้นที่ จ๋า นัท กุ๊บกิ็บ ต้น นั่งมา จ๋า ไม่ยอมจ่ายตังค์ เป็นแสนให้ บอกว่า เขาพาหลงเอง จะมาเก็บจากคนโดยสารไม่ได้ เถึยงกันหน้าดำหน้าแดง ดังมาก เฮ้อ ! แต่ในที่สุด ก็จ่ายมันไป

คืนนี้ พวกเราให้ต้นไปนอนห้องติ่ง แล้วให้หญิงมานอนห้องฉันกับจุ๊บ เพื่อประหยัดค่าห้องให้ต้น เพราะอาศัยแค่อาบน้ำและนอนไม่กี่ชั่วโมง ทั้ง จ๋า นัท กุ๊บกิ๊บ และต้น ต้องออกจากโรงแรมไปตั้งแต่ ตี 5 เพราะเที่ยวบินออกประมาณ 7 โมงเช้า ส่วนพวกเรา ออกบินบ่ายสี่โมงกว่า

เช้าวันที่ 20 เมษายน พวกเราตื่นสายได้ ลงไปทานอาหารมื้อเช้าที่โรงแรม มีกับข้าวสองอย่าง แกงเนื้อ กับผัดถั่วงอก ฉันก็กินได้เพียงอย่างเดียว แต่ผัดถั่วงอกของเขาอร่อยดี กินสลัดผัก ผลไม้ และถั่วแดงต้ม อีก 1 ถ้วย หญิง ติ่ง พอลลา ณเดช เขาพากันไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในจาการ์ตา ส่วนฉันกับจุ๊บไม่ได้ไป ฉันก็ไม่ไหว เจ็บเท้า ไม่อยากเดินด้วย ตกลงกันว่า ประมาณ 11 โมงครึ่งเจอกันที่โรงแรมและให้โรงแรมเรียกแท็กซี่มารับพวกเราไปสนามบิน

ถึงเวลานัด พวกเราลงมาเช็คเอ้าหน้าเคาน์เตอร์ แท็กซี่มารับเราตรงเวลาดี พวกจุ๊บกับหญิง ซื้อข้าวเปล่าที่โรงแรมกินกับน้ำพริกที่จุ๊บเอามาจากเมืองไทย ฉันเบื่อไม่อยากกิน ไปกินที่สนามบิน กินกัน 4 คน มีพอลลา ณเดช ฉันและติ่ง กินข้าวผัดกัน แพงเป็นเท่าตัว

อิ่มแล้วมีเวลาเดินซื้อของ เพราะเราไปเช็คอิน เสียภาษีสนามบินไปคนละ แสนห้า รูเปีย เอาเงินรูเปียที่เหลือ หญิงสมทบเศษ ๆ ที่เหลือ จุ๊บให้มาอีก 5 หมื่น รูเปียที่เหลือ ซื้อเป็นขนมปังแห้ง ๆ เพื่อไปฝากลูกศิษย์ เพื่อนบ้านไปหมดเลย และกินบนเครื่องบิน ได้ขนมมา 5-6 กล่อง และถั่วที่ว่าอร่อยอีก 2ถุง เงินรูเปียหมดเกลี้ยงไปตามระเบียบ

นาและต้อม เมื่อคืน พวกเขาแยกไปอีกโรงแรมหนึ่งซึ่งราคาถูกกว่าโรงแรมที่เราพัก พวกเขามาอยู่เกทที่จะขึ้นเครื่องของแอร์เอเซียแล้ว พวกเราก็เลยจับกลุ่มคุยกัน ต้อมถามฉันว่า การจัดทริปครั้งนี้เป็นไงบ้าง มีอะไรขาดตกบกพร่องให้ช่วยแนะนำเขาด้วย เขารู้สึกว่า ยังจัดได้ไม่ดีนัก บางสถานที่ก็ไม่สามารถพาไปได้ ฉันบอกเขาว่า เขาทำดีที่สุดแล้ว ฉันประทับใจในการบริการลูกทัวร์เป็นอย่างดีของเขา เพราะว่า ทริปนี้ เป็นทริป ช่วยกันแชร์ แต่เขาเสียสละบริการเรื่องตั๋วรถไฟ เรื่องรถเช่า เรื่องพาเที่ยว และเอาใจใส่ลูกทัวร์ ใครจะว่าไงฉันไม่รู้ แต่ฉันขอบใจเขามาก ที่เขาดีกับฉัน คอยให้ความช่วยเหลือฉัน ดังที่ฉันได้บันทึกเอาไว้แล้ว ต้อมฟังแล้ว รู้สึกเขาจะสบายใจขึ้น ที่จริง ถึงฉันจะได้ยินบางสิ่งบางอย่างมา ที่พาดพิงถึงเขา แต่ฉันก็เชื่อในสายตาของฉันว่า เขาเป็นคนดีและมีน้ำใจ ไม่ใช่กับฉันคนเดียว เขาก็พยายามช่วยเหลือทุกคน แม้แต่ แอล ซึ่งจองตั๋วรถไฟแล้ว และมาไม่ได้ เพราะแม่ถึงแก่กรรม ก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน เขาก็พยายามวิ่งเต้น จนได้เงินค่าตั๋วคืน โดยทางรถไฟจะโอนเงินคืนให้

พวกเราขึ้นเครื่องบินและเดินทางกลับมาถึงดอนเมืองอย่างปลอดภัย มารับกระเป๋ากันแล้ว ต้อมกับนา ก็ล่ำลาฉัน ทุกคนล่ำลากันแล้ว วันนี้ จุ๊บจะไปค้างที่บ้านฉันก่อน เพราะว่า ไม่มีเครื่องบินกลับหาดใหญ่ เขาไปเที่ยวบิน 10 โมงของวันรุ่งขึ้น

เม้ง เหลนฉันก็โทรมาต่อว่า มารอรับนาน วนรถหลายรอบ น้ำเสียงแสดงความหงุดหงิด ฉันฟังแล้ว ก็หงุดหงิดเหมือนกัน พอออกไปถึงเจอหน้ากัน เขาก็พูดว่า รถไม่มีที่นั่งนะ มีของเต็ม ฉันรู้สึกเสียหน้ามาก ทำไม เขาอยู่ในสังคม ภาษาแค่นี้ก็ใช้ไม่เป็น แทนที่จะบอกว่า เดี๋ยวจัดของดูก่อนนะ ว่าจะไปได้กันไหม ฉันเหนื่อยมาหลายวัน เสียความรู้สึกกับคำพูดของเขามาก เลยบอกว่า ถ้าไปไม่ได้ ฉันกับเพื่อนไปแท็กซี่ก็แล้วกัน แล้วฉันก็ชวนจุ๊บไปหาแท็กซี่ของสนามบิน เสียเงินไปสองสามร้อยมาก ดีกว่ามาเสียความรู้สึก แล้วเขาก็คงไม่รู้สึกตัวหรอกว่าทำอะไรลงไป นี่แหละ ญาติของฉัน ถ้าฉันไม่มีผลประโยชน์ให้เขา อย่าหวังว่า จะมีการมาให้ความช่วยเหลืออะไร ฉันคงไม่มีวาสนาในเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ปวารณาตัวว่า เขาจะไม่ลืมสิ่งที่ฉันได้ช่วยเหลือเขาไว้ แต่ปากมนุษย์จะเชื่ออะไรได้มากนักหนา

รุ่งเช้า ฉันพาจุ๊บออกไปปากทาง กลางซอย 36 เพื่อดักแท็กซี่ที่ผ่านมา รอได้สักพัก รถแท็กซี่ก็ผ่านมาพอดี ส่งจุ๊บแล้ว ก็แวะซื้อผัก อาหาร กลับบ้าน

การเที่ยวอินโดนีเซียครั้งนี้ มีทั้งความสุข ผจญภัย ทดสอบความชราของตนเอง ทรมานสังขารบ้าง แต่ก็สนุกสุดเหวี่ยง เหนื่อยมาก ๆ และก็สุขใจ ได้เพื่อนใหม่ มีน้ำใจดีทุกคน โลกของฉันก็กว้างไกลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ได้เพื่อนร่วมโลกที่น่ารักเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ได้เรียนรู้นิสัย ใจคอ ได้ประสบการณ์ชีวิตแปลก ๆ ใหม่ ๆ ได้รสชาติของชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเนอะ

หวังว่า งานเขียนชิ้นนี้ คงทำให้ท่านผู้อ่านมีความเพลินเพลินบ้างพอสมควรนะคะ ถ้าอ่านแล้วจะติ ชม อย่างไร ก็เขียนติ ชมได้อย่างเสรี ยินดีน้อมรับความคิดเห็นค่ะ

สวัสดีค่ะ โอกาสหน้าพบกันใหม่ค่ะ





Create Date : 13 พฤษภาคม 2557
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2558 15:48:42 น. 11 comments
Counter : 1649 Pageviews.

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ ยังไม่เคยได้ไปเลยขอตามมาเที่ยวด้วยคนนะคะ

เมื่อก่อน อ.สอนที่ไหนค่ะ ลูกศิษย์ตัวน้อยๆ แบบน้องซีไหมค่ะ


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 22 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:00:26 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ รูปสวย คราวหน้าขอรูปขนาดใหญ่กว่านี้หน่อยนะคะ มี๊เก็ยุงไม่แก่แต่สายตาไม่ดีค่ะ

ปล.ตอนน้องซีไป รร วันแรก อ.1 ก็ร้องไห้อยู่หลายวันค่ะ


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 23 พฤษภาคม 2557 เวลา:12:55:05 น.  

 
สวัสดีค่ะอจ.สุวิมล..

แวะมาเที่ยวอินโดด้วยคนค่ะ..

น่าสนุกและน่าเที่ยวนะค่ะ

อ้อมแอ้มยังไม่เคยไปอินโดเลยค่ะ

ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ



โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 24 พฤษภาคม 2557 เวลา:12:18:40 น.  

 
เอารูปหลายๆรูปใส่กรอบแบบนี้ดีค่ะ อาจลองเป็น ปรับขนาดดีไหมค่ะ เช่นเดิมรูปของครู กว้าง 750 อาจทำเป็น 950 หรือ 1000 ^^

มี๊เองใช้โปรแกรมง่ายๆ ที่ติดมากับเครื่องเช่นกันค่ะ photoscape


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 26 พฤษภาคม 2557 เวลา:12:34:36 น.  

 

ว๊าวววว เหมือนอุ้มได้ไปเที่ยวกับอาจารย์เลยค่ะ
ชอบๆ


โดย: อุ้มสี วันที่: 26 พฤษภาคม 2557 เวลา:21:05:02 น.  

 
น้องซีชอบไปเที่ยวมากค่ะ เป็นเด็กขี้สงสัย ^^ มีคำถามมากมายในการท่องเที่ยว


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2557 เวลา:11:41:26 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์
หนูเข้ามาทักทายค่ะ อิอิ
ตอนนี้ทุนก็แห้วรอบที่สามแล้ว ฮ่าๆๆ คิดว่าคงต้องเก็บเงินไปเองค่ะ
อาจารย์สบายดีนะค่ะ ?


โดย: Nepster วันที่: 30 พฤษภาคม 2557 เวลา:20:26:04 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์
มาทักทายอีกรอบค่ะ รอบนี้เข้ามาเก็บข้อมูล อิอิ
เผื่อจะมีโอกาสได้ไปบ้าง โบรโม่สวยมากๆ เลยนะคะ


โดย: Nepster วันที่: 7 มิถุนายน 2557 เวลา:23:19:17 น.  

 
มาทักทายอีกรอบค่ะอาจารย์ ^^
อาจารย์สบายดีนะค่ะ


โดย: Nepster วันที่: 19 มิถุนายน 2557 เวลา:9:01:10 น.  

 

กด Like ให้เป็นคนที่ 14
ฝนตกบ่อยๆ เทคแคร์นะคะอาจารย์
เป็นห่วงค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 26 มิถุนายน 2557 เวลา:10:29:17 น.  

 

ตามอาจารย์มาเที่ยวค่ะ
ฝนตกบ่อยๆ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 4 สิงหาคม 2557 เวลา:7:58:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space