|
ขึ้นรถไฟหัวจรวด เที่ยว ตลาดมุสลิม และ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (ตอนที่ 7) |
|
ขึ้นรถไฟหัวจรวด เที่ยว ตลาดมุสลิม และ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (ตอนที่ 7) ทริปซินเกียง ก็ดำเนินมาถึง ตอนที่ 7 ซึ่งเป็นตอนปิดทริปซินเกียงแล้วค่ะ รวมเวลา 17วัน ความเดิมตอนที่ 6 เราจ้างรถจากโรงแรม โดยเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่น่ารักไปช่วยต่อรองรถรับจ้างให้เรา รถใช้เวลา เพียง 40 นาที ก็ถึงสถานีรถไฟหัวจรวด หลงเหมิน เวลาประมาณ 12.10 น.เราต้องเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สถานีอีกประมาณชั่วโมงกว่า เพราะรถไฟที่จะไปซีอาน ออก 13.15 น.พวกเราถือโอกาสสำรวจและถ่ายรูปสถานีรถไฟหัวจรวดมาให้ชม ค่ะ
เตรียมพร้อมกันรอรถไฟหัวจรวด ค่ะ
มุมชั้นสองของสถานีรถไฟหัวจรวดที่เรารอรถไฟหัวจรวด
พวกเราต้องลงจากชั้นสองไปขึ้นขบวนรถไฟ
ไปหามุมถ่ายรูปกับวัชรี อิอิ
ที่นี่ ถ้าตัววิ่งไม่บอกเวลา เขาก็ไม่ให้เราออกจากชั้นนี้ไป น้องหมัยอยากไปก่อน แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ออก เลยแห้ว ต้องกลับมานั่งต่อไป
ประมาณ 13.07 น.เจ้าหน้าที่ก็ให้เราเข้าไปได้โดยสอดบัตรเข้าเครื่อง พวกเราต้องเดินลงบันไดไปลงไปถึงข้างล่าง ฉันต้องการความแน่ใจ จึงเอาบัตรให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ชานชลารถไฟดูและถามเขาว่าเราต้องไปรอที่ชานชลาที่ 5 ใช่ไหม เขาดูบัตรแล้วบอกว่า "ใช่" ฉันก็บอกพรรคพวกเดินไปที่ชานชลาที่ 5 เพื่อเข้าแถวกันไว้ รอรถไฟหัวจรวดมาเทียบชานชลา รถไฟหัวจรวด มาตรงเวลาเป๊ะ 13.15 น.พวกเราช่วยกันยกกระเป๋าขึ้นรถไฟ พวกเราอยู่ที่นั่งสุดท้าย มีช่องให้วางกระเป๋าของพวกเรา ขบวนรถคนไปซีอาน ขบวนนี้ ที่นั่งยังไม่เต็ม ที่นั่งฉันว่าง 1 ที่นั่ง และไปอีกไม่กี่สถานี คนที่นั่งกับฉัน ก็ลงจากสถานีไปแล้ว เลยนั่งสบายมาดูภายในของรถไฟ หัวจรวด ค่ะ
หน้าตาของรถไฟหัวจรวด ขบวนรถไฟหัวจรวดวิ่งเร็วมาก ใช้เวลาจากเมืองลั่วหยาง มา ถึง เมืองซีอาน ใช้เวลา หนึ่งชั่วโมงครึ่งพวกเราขนกระเป๋าลงจากรถไฟ เดินมาตามทาง ระหว่างทาง มีภาพสวย ๆ พวกเราก็แวะถ่ายรูปกัน หลายแช้ะ ได้มา 2-3 รูป มาชมค่ะ
เป็นทางเดินออกจากสถานีรถไฟหัวจรวด หลังจากออกจากสถานีรถไฟแล้ว ก็มีคนขับรถมาถามเราว่า จะไปไหน จะจ้างรถไหม ฉันก็เจรจากับเขา เอาที่อยู่ของโรงแรมเบล ทาวเวอร์ โฮลเทลให้เขาดู เขาบอกว่า เขารู้จักและบอกราคาเหมาไป6 คน เอา 150 หยวน ฉันต่อเหลือ 120 หยวน เขาบอกไม่ได้ราคานี้ ฉันบอกพรรคพวกว่า เราเดินไปหารถข้างหน้า มันต้องมีรถรับจ้างหลายคันแน่ คนขับรถเห็นว่าเราไม่เอารถเขาแน่จึงเดินตามพวกเรามา และยอมตกลงราคาที่ฉันต่อรอง คือ 120 หยวน พวกเราลากกระเป๋าเดินตามเขาไปที่รถที่เขาจอดอยู่ ไกลพอสมควร เขาจัดกระเป๋าพวกเราขึ้นรถของเขาเรียบร้อยอยากให้เราจ้างรถเขาไปเที่ยวที่ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ฉันลองถามราคาเขาดู เอาแพงเหมือนกันเลยบอกเขาว่า เดี๋ยวต้องปรึกษาเพื่อน ๆกันก่อน เขาเลยให้นามบัตรของเขา บอกว่า ถ้าต้องการเช่ารถเขาไปเที่ยว ให้โทรศัพท์ถึงเขาได้ พวกเรามาถึงโรงแรมที่เราพักครั้งแรก เช็คอินเข้าที่พัก ซึ่งนุ่นโทรศัพท์มาจองไว้ก่อน 2 คืนที่นี่ ห้องละ 160 หยวน อยู่ในตัวเมือง ก็นับว่าไม่แพงนัก แต่ที่เป็นข้อเสียอย่างยิ่ง คือ ไม่มีลีฟท์ แถม ห้องที่อยู่ชั้น 3 เป็นชั้นที่ต่ำที่สุดแล้ว เฮ้อ! จุกก็ต้องช่วยฉันหิ้วขึ้นบันไดไป ส่วนของ วัชรี นุ่น ก็ช่วยยกขึ้นห้องไป ส่วนฉันก็ยกเป้ของจุกแทน ประมาณ 17.00 น. พวกเราก็ออกไปเที่ยวที่ตลาดมุสลิม ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองซีอาน และไม่ไกลจากที่พักเรา สามารถเดินไปได้ ใกล้กับหอกลอง หอระฆัง ซึ่งเราไปเที่ยวมาตั้งแต่มาถึงซีอานวันแรกแล้ว ตลาดมุสลิม มีชื่อภาษาจีนว่า ไป่หยวนเหมือน (Bei Yuan Men Jslamic) จากที่พักของเรา ต้องเดินลอดอุโมงค์ ลอดใต้ถนนไปโผล่ที่หน้าหอกลอง ที่เราไปเที่ยวตั้งแต่วันแรกตลาดมุสลิม เป็นชุมชนโบราณ มีของกินขายมากมายเหลือเกิน ที่นักชิมทั้งหลาย ไม่ควรพลาดที่แห่งนี้ เป็นถนนเส้นเล็ก ๆ พื้นถนน ปูด้วยแผ่นหินสีเทาเข้ม ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปูเรียงกันไปตลอดถนน ซึ่งมีความยาวกว่าร้อยเมตร สองฟากฝั่งของถนนสายนี้ มีร้านค้าอยู่มากมาย ติดกันเป็นพรืด นอกจากร้านที่เป็นตึกแถวแล้ว ยังมีร้านที่เป็นรถเข็น ร้านที่ตั้งโต๊ะขายอีกมากมาย ที่นี่ถือว่า เป็นชุมชนโบราณของมุสลิมชาวจีน ของเมืองซีอาน แต่เป็นชาวมุสลิมที่เป็นชาว ฮั่นที่มีจำนวนมาก ร้านขายของที่นี่ ที่นิยมมาก คือ พวกร้านที่ขายพวกปิ้งย่างเดินเข้าไป จะเห็นควันโขมงเลย มีพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ ไก้ ปลา มีบ้าง มีประชาชนชาวจีนมุสลิม มาซื้ออาหารทานกันมากมายในช่วงเย็น พวกนักท่องเที่ยวก็มาชิมอาหารกันที่นี่ช่วงที่เรามา ฝนยังตกปรอย ๆอยู่ ถนนเฉอะแฉะ มากพอสมควร แต่ผู้คนไม่ได้ย่อท้อมาเดินกันเยอะแยะ มากมายเลย มาชมรูปที่ฉันกับเพื่อนถ่ายมาฝากค่ะ
ระหว่างทางที่จะไปถนน ตลาดมุสลิม มีร้านค้ามากมาย
ก่อนที่จะเดินเข้าไปที่ตลาดมุสลาม แช้ะรูปสักหน่อย
เข้ามาถึงถนน มุสลิม จะเห็นว่าที่พื้น ปูด้วยกแผ่นหินสีเทาเข้ม เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เป็นช่วงที่ฝนตก พนักงานเขาจะทำความสะอาดให้พื้นแห้งไม่ลื่น สองฟากฝั่งของถนน มีร้านค้ามากมาย ทั้งขนม ของหวาน ของคาว
ส่วนใหญ่จะขายอาหารประเภท ปิ้ง ย่าง
ปิ้งย่าง ร้านนี้คิดว่าน่าจะอร่อย คนเข้าคิวซื้อ ยาวมากเลย ป้ายบอกว่า ขายพวกเต้าหู้ทอด
ร้านนี้ ขายของติดป้ายว่า 10 หยวน แต่จริง ๆแล้ว 10หยวน มีไม่เท่าไหร่หรอก มีสินค้าที่มีราคามากกว่า 10 หยวนเยอะแยะ เป็นกุศโลบายให้คนเข้าร้านไปซื้อสินค้าเขา วิธีหนึ่งเท่านั้น ร้านนี้ได้เงินจากพวกเราเยอะเหมือนกัน ฉันซื้อแป้งพับ ราคา 39หยวนไป 1 ตลับ ส่วนคนอื่น ๆ ได้กระติกน้ำที่เป็นทรงกระบอก ไปคนละกระบอกสองกระบอก แล้วยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่ล่อใจคนซื้อ นุ่น ก็ซื้อร้านนี้ไปหลายเหมือนกัน จากร้านนี้ ฉันกับวัชรี สองคน ขอแยกกลับที่พักก่อน เพราะไม่รู้จะเดินชมอะไรอีกแล้วแต่ละร้าน ก็ขายคล้าย ๆ กัน เราซื้อของกินผัด ๆ เรียกว่าอะไรไม่รู้ เห็นแปลก ๆ และร้อน ๆ ดี ซื้อมาคนละอย่างกัน มาทานเป็นอาหารมื้อเย็น น่าจะประมาณ อย่างละ 10 หยวน แต่ไม่อร่อยระหว่างทางเดินกลับ ก็แวะถ่ายรูปบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองซีอานมาให้ชม สักหน่อย 1
วันที่ 25 ตุลาคม 59 วันนี้พวกเราตกลงใจจะไปเที่ยวที่ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยไม่ซื้อทัวร์ น้อง ๆ ศึกษาจากอากู๋โดยพวกเราต้องออกจากโรงแรมเช้าหน่อย ไปขึ้นรถไฟที่สถานีจงโหลว สาย 2 ไปลงสถานี ไป่ต้าเจียแล้วซื้อตั๋วรถไฟใหม่ไปลงที่ป้าย ทงหัวเหมิน (ไปอีก 4 ป้าย) เรียกว่า ยุ่งยากพอควรออกจากสถานีรถไฟที่ ทงหัวเหมิน แล้ว ก็ต้องไปต่อรถโดยสารประจำทาง เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่ สุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ (ปิงหม่าหย่ง) ค่าตั๋วโดยสารรถประจำทางคนละ 6 หยวน เรามาทราบประวัติความเป็นมาของสุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินซื่อหวง) สักหน่อย นะคะ สุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ในภาษาจีน ใช้ว่า ปิงหม่าหย่ง แปลว่า หุ่นทหารและม้าของฉินซื่อหวงสุสานแห่งนี้ ก็คือ เป็น ฮวงซุ้ย ของจักรพรรดิ จีน ที่มีพระนามว่า ฉินซื่อหวง แห่งราชวงศ์ ฉิน(สำเนียงแตกต่างกันบ้าง ฉิน หรือ จิ๋น เหมือนกัน) จักรพรรดิพระองค์นี้ เป็นผู้รวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกกัน ให้เป็นปึกแผ่น และให้ใช้ภาษาจีนกลางในราชการ ทำให้การสื่อสารของคนจีนในแต่ละถิ่น เกิดความเข้าใจภาษาเหมือนกันทั่วประเทศ เพราะทุกคนต้องเรียนภาษาจีนกลาง ในการใช้สื่อสาร ตามที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า จักรพรรดิ จีนทุกพระองค์ ในประวัติศาสตร์ จีน มีความใฝ่ฝันอยู่ 2 ประการ ประการแรก ก็คือ ต้องการ ยาอายุวัฒนะ เพื่อเป็นอมตะ ไม่ตายประการที่สอง ต้องการสร้างมหาสุสานเป็นที่ประทับชั่วกาลนาน จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็เช่นกันพระองค์ได้ส่งคนไปเสาะหา ยาอายุวัฒนะ รอเป็นสิบปี คนที่ส่งไปหานั้น ก็ไม่ได้กลับมาสักคน ดังนั้น จึงต้องทำความใฝ่ฝันในประการที่ 1 ต่อไป นี่คือ จุดมุ่งหมายของการสร้าง สุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้พระองค์เริ่มสร้างสุสานนี้ ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 247-210 ก่อนคริสต์ศักราช สุสานนี้ ใช้เวลาสร้าง 38ปี และมาเสร็จหลังจากที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว สองปี จึงเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของพระราชโอรส คือ ฉินเอ้อซื่อ สุสานแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบลและอำเภอ หลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ไม่มากนัก สุสานแห่งนี้ ถูกค้นพบโดยความบังเอิญ เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2517 โดยชาวนาหมู่บ้าน ซีหยาง ชื่อ หยางซื่อฟา ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ ที่บริเวณเชิงเขา หลีซานห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางตะวันออกประมาณประมาณ 35 กิโลเมตร โดยระหว่างที่ขุดนั้นพบซากของทหารดินเผา อาวุธ ม้าศึก จำนวนทั้งสิ้น 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000ตารางเมตร แต่ส่วนที่เป็นสุสาน 2,180 ตารางกิโลเมตรสุสานนี้ ได้รับการคัดเลือก เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ.2530 ส่วนที่เป็นสุสาน 2,180ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นพระราชฐานชั้นในและนอก ภายในสุสาน ใช้บรรจุพระบรมศพของจิ๋นซี ฮ่องเต้ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนม นางกำนัลรถม้า และขุนพล ทหารจำนวนมาก เพื่อเป็นตัวแทนของข้าราชบริพารในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกของฉินซื่อหวง ภายในสุสานประกอบด้วย หลุมทหารรูปปั้นดินเผาจำนวนมาก ประกอบด้วยหลุมทั้งหมด 8 หลุม ปัจจุบันขุดพบแล้ว 3 หลุม เปิดให้ชมเมื่อ เดือน ธันวาคม 2530 แต่เดิม ทหารดินเผาเหล่านี้ มีแก้มเป็นสีชมพู เสื้อ กางเกงมีสีสันสดใส ทาไว้อย่างสวยงามส่วนใหญ่จะใส่เสื้อสีชมพู กางเกงสีเขียวและฟ้า แต่ว่า รูปปั้นหุ่นเหล่านี้ เมื่อถูกค้นพบ ถูกแสงแดดและอากาศ เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้สีของหุ่นลอกหายไปเป็นสีดำอย่างน่าเสียดายตุ๊กตาทหารดินเผาเหล่านี้ ทุกตัวจะมีตราประทับบนตัวมากกว่า 80 ชื่อ ทำให้นักโบราณคดีจีนมั่นใจว่า ผู้ที่สร้างหุ่นทหารดินเผาทั้งหมด เป็นบรรดาช่างปั้นหม้อในสมัยฉิน มีเอกลักษณ์การปั้นเฉพาะตัว ได้รับคำสั่งเกณฑ์พลจากทุกแห่ง เพื่อสร้างกองทัพทหารดินเผาเหล่านี้มีความสูง 1.8 เมตร กิริยา ท่าทาง เครื่องแต่งกายจะไม่เหมือนกันเลยแท้แต่ตัวเดียว ใน 3 หลุม ที่เปิดให้เข้าชมนั้น มีลักษณะ ดังนี้ หลุมที่ 1มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 3 หลุม เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ 14,260 ตารางเมตรหลุมที่ 2 เป็นรูปตัว l ขุดพบปี พ.ศ.2519 อยู่ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20 เมตร พื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางเมตร หลุมที่ 3 เป็นรูป ตัว U ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางทิตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 25 เมตรพบเมื่อปี พ.ศ. 2519 มีพื้นที่ 520 ตารางเมตร เป็นหลุมที่เล็กที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุดเพราะเป็นกองบัญชาการสูงสุด กองทหารดินเผาทุกตัว มีอาวุธครบมือ เราก็ได้ทราบประวัติความเป็นมาของ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้แล้ว ต่อจากนี้ มาชมรูปที่ฉันและเพื่อนถ่ายมาค่ะ
นั่งรถโดยสารประจำทาง คนละ 6 หยวน ประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางน่าจะประมาณเกือบสองชั่วโมง มีการจดรถรับผู้โดยสารตลอดระยะทางไปด้วย ฝนก็ยังตกปรอย ๆ อยู่รถโดยสารพาพวกเราไปลงที่ท่ารถ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีก โดยถามชาวบ้านที่ค้าขายอยู่แถวนั้นที่นี่ สิ่งที่ขายมากที่สุด คือ ลูกทับทิม เขาจะใส่กระเช้าเล็ก ๆ น่าจะประมาณ 4-5 ผล ขาย 10 หยวน แต่พวกเรายังไม่มีใครซื้อหรอก จะซื้อหิ้วหนักไปทำไม ยังไม่ได้เที่ยวเลยทางที่เดินเข้าไป จะเห็นรูปปั้นของ จิ๋นซีฮ่องเต้ องค์ใหญ่มาก พวกเราก็เริ่มถ่ายรูปกัน
ระหว่างทางเดินไปชมสุสาน
ประตูทางเข้าไปชม สุสาน หลุมที่ 1
รูปปั้นดินเผาในหลุมที่ 1
จากหลุมที่ 1 แล้ว เราก็ไปดูที่หลุมที่ 2 ซึ่งก็มีลักษณะเหมือนหลุมที่ 1 แต่มีรูปปั้นต่าง ๆ แสดงด้วย
หลุมที่ 3 ของสุสาน เราแทบจะไม่ได้ถ่ายอะไรเลย เพราะดูมืด ๆ เป็นที่โชว์รถม้า เหมือนจัดเป็นนิทรรศการด้วย เราไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน เพราะมืดและทุกคนเริ่มเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขาไปหมด หิวอีกต่างหาก ฝนก็ตกหนักและเบาเป็นพัก ๆ เลยได้รูปมานิดหน่อย
เมื่อพวกเรารอจนฝนซามากแล้ว ก็เริ่มเดินออกไปจากสุสาน ระหว่างทาง มีร้านค้าขายอาหารขายผลไม้ ของที่ระลึกมากมาย โดยเฉพาะทับทิม มีคนหิ้วมาขายเยอะมาก น้องหมัยอยากทานแต่ไม่อยากซื้อหลายลูก อยากซื้อแค่ 2 ลูก หรือครึ่งเดียว คือ 5 หยวน ก็ต่อให้หมัยดูเหมือนได้ 3ผล 5หยวน ฉันก็ต่อของฉัน ได้มา 6-7 ผล 10 หยวน จะแบกมาแจกเพื่อนบ้านที่เมืองไทย อิอิ จากนั้น เราก็เดินมาถึงข้างนอก เจอร้าน เคเอฟซี หมัยกับเอกแยกไปซื้อกินกันเอง 2 คน ส่วนเรา 4 คน สั่งไก่ทอดมา 1 กระป๋อง มากินกัน ฉันเป็นคนไม่ชอบกินพวกนี้อยู่แล้ว กินไปเพียงชิ้นเดียว ก็จอด ส่วนจุก นุ่น วัชรี เขาชอบกินมาก พักใหญ่ก็หมด พวกเราหาร 4 จ่ายค่าไก่ไป แล้วก็เดินออกมาที่ลานสถานีจอดรถ หลงทางอีก อิอิกว่าจะถามทางและหาลานจอดรถที่มาจอดตอนขามา ก็เล่นเอาเหนื่อยและเพลียเลยแหละนะ รอน่าจะประมาณเกือบเครื่องชั่วโมง รถโดยสารประจำทางสายที่เราต้องการไปนั้น ก็มาจอด พวกเราดีใจ จะได้กลับโรงแรมสักที เพราะทุกคนเหนื่อยมาก ๆ เลย บอกคนขับรถว่า เมื่อถึงป้ายที่เราจะไปขึ้นรถไฟ คือสถานี ทงหัวเหมิน รถโดยสารมาถึงสถานีรถไฟแล้ว คนขับรถก็บอกพวกเราให้ลงป้ายนี้ พวกเราก็ต้องเดินรอดอุโมงค์เพื่อข้ามไปอีกฝั่งคือสถานีรถไฟพวกเราต่อ รถไฟ สองต่อเหมือนตอนขาไป มาถึงแล้ว เห็นสถานีมีรูปสวย ๆ ให้คนถ่ายรูปด้วยพวกเราก็ไม่ได้รอช้า โพสต์ท่าถ่ายกับตุ๊กตาภาพเหล่านั้น คนละท่า สองท่า อิอิ มาดูกันค่ะ
วันที่ 26 ต.ค. 60 ช่วงเช้าวันนี้ ต่างคนต่างแยกย้ายไปเดินเที่ยวกันเป็นคู่ หมัยกับเอก สามีภรรยา ก็ไปเดินช้อปส่วนจุกกับนุ่น ไปกันอีกคู่หนึ่ง ฉันกับวัชรี ไปเดินเล่นบริเวณ ตลาดมุสลิม หาซื้อของที่ระลึกพวกแม่เหล็กติดตู้เย็น เดินไปตามถนน ชมห้างร้าน ขายของ มีทั้งของกิน เสื้อผ้า ของทุกอย่าง 10 หยวน ได้ตลับกรรไกรตัดเล็บ 1 ตลับ มีทั้งหมด 4 ชิ้น ฉันได้เสื้ออีก 1 ตัว เครื่องบินเราออกประมาณ 2 ทุ่ม พวกเราให้ทางโรงแรม เรียกรถแท็กซี่ให้พวกเรา 2 คัน คันละน่าจะ 150 หยวน ถ้าจำไม่ผิด นะ สองคันก็ 300 หยวน แพงกว่าตอนขามา เหมามา1 คันรถ ได้ราคา 280 หยวน เรามาถึงสนามบินแต่หัววันเลย น่าจะประมาณเที่ยงเศษ ๆ รอถึงสองทุ่ม เป็นสิ่งที่น่าเบื่อไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เดินกันอยู่ในสนามบิน เที่ยวอยู่ในสนามบิน ที่สนามบิน กว่าจะเปิดให้เรายื่นพาสปอร์ตเพื่อรับตั๋วเครื่องบิน ก็เปิดช้ามาก แถมตรวจเข้มงวดมากโดยเปิดตรวจกระเป๋าหลายคน ของฉันก็โดน เพราะซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็นรวมของวัชรีที่ฝากไว้ก็หลายอัน มันคงเอกซเรย์เห็นแม่เหล็กเยอะ พอเปิดกระเป๋าให้ดู เห็นเป็นของฝาก ก็ให้ผ่าน แล้วปัญหาใหญ่ ก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ตั๋วเครื่องบินของนุ่น ไม่ผ่าน กลายเป็นตั๋วกลับพรุ่งนี้เย็น นุ่น มาซื้อตั๋วทีหลัง ไปแทน จุ๊บ (แม่) จุกจองให้ทีหลัง เจ้าจุกคงสับสน ขากลับกลายเป็นกลับคืนวันที่ 27 แทนที่จะเป็น 26 เหมือนพวกเรา เจ้านุ่นเอง ก็ตรวจใบจองตั๋วไม่ละเอียด จึงเกิดปัญหานี้ขึ้น มีวิธีแก้ปัญหาอย่างเดียว คือ ต้องซื้อตั๋วใหม่ นุ่นเสียดายเงิน ไม่ยอมซื้อตั๋วใหม่ แต่จะนอนที่สนามบินรอถึงเย็นวันที่ 27 คือ 1 คืน กับ 1 วัน จุกบอกเขาจะอยู่เป็นเพื่อนนุ่นค้างที่นี่ เออ! ดูเขาแก้ปัญหากันซิพูดตลก ถึงจะอยู่เป็นเพื่อน จุกก็ต้องซื้อตั๋วใหม่อยู่ดี แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ฉันตัดสินใจให้นุ่น นำพาสปอร์ตมาให้ฉันเพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปซื้อตั๋วให้ใหม่ โดยสมสมัยซึ่งเหลือเงินหยวนมากที่สุดไปจ่าย แต่นุ่นไม่ยอมให้พาสปอร์ต เวลาก็เหลือน้อย เครื่องบินก็ใกล้ถึงเวลาบินแล้ว ฉันจึงต้องส่งเสียงดุ และบังคับเสียงดัง เพื่อแก้ปัญหาความดื้อของเด็ก ต้องใช้การบังคับ จะมาอ้างว่า เขาโตแล้ว สามารถรักษาตัวเอง ดูแลตัวเองได้ นั่นไม่ใช่เหตุผล มาประเทศที่ตัวเองก็พูดภาษาของเขาไม่ได้ ถึงจะเป็นสนามบิน ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย ฉันรับปากจุ๊บจะดูแลลูกสาวเขา แล้วจะปล่อยให้ลูกสาวเขาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวได้อย่างไร ถ้าลูกสาวเขาเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะเอาอะไรไปแก้ตัวกับแม่ของเขา ใช่ไหมล่ะ เด็กมันก็ยังคงเป็นเด็กวันยังค่ำเฮ้อ! ทริปนี้ มีปัญหาตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่องที่เมืองไทย ยันมาถึงตอนกลับเมืองไทยเลยทีเดียว นะเนี่ย ในที่สุดพวกเราก็ได้ขึ้นเครื่องกลับมาเมืองไทย ตลอดทาง ยายนุ่นเงียบ ไม่พูด ไม่คุยกับใครหน้าบอกบุญไม่รับ ห้าห้า เด็กหนอเด็ก อย่างนี้ จะเรียกว่า โตแล้ว ได้อย่างไร หนอ ฉันได้ทำหน้าที่นำลูกทีมกลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพทุกคน ต่างคนต่างก็แยกย้ายร่ำลากันกลับบ้านของตัวเอง ลูกชายของวัชรีมารับ ฉันได้อาศัยใบบุญของเขามาส่งฉันที่บ้านด้วย ทริปนี้ ก็จบลงไป อย่างสมบูรณ์ มีทั้งสุขและทุกข์ ความชอบใจ ไม่ชอบใจกันบ้างอันเป็นธรรมดาของการอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่พวกเราก็สามัคคีกัน ประคับประคองกันจนผ่านไปอย่างเรียบร้อยนับเป็นทริปที่มีอะไรตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนจบทริป หวังว่า ท่านผู้อ่าน คงได้รับความเพลิดเพลินกับทริปของพวกเรา ตลอดทั้ง 7 ตอน นะคะ
Create Date : 07 เมษายน 2560 |
Last Update : 17 เมษายน 2560 21:44:04 น. |
|
26 comments
|
Counter : 1874 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณClose To Heaven, คุณกะว่าก๋า, คุณtoor36, คุณชีริว, คุณnewyorknurse, คุณmambymam, คุณlovereason, คุณข้ามขอบฟ้า, คุณThe Kop Civil, คุณสองแผ่นดิน, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณภาวิดา คนบ้านป่า |
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:12:44:57 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 เมษายน 2560 เวลา:14:12:29 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:0:07:42 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:6:01:51 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:12:23:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 เมษายน 2560 เวลา:20:45:00 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:2:38:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:6:24:01 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:10:30:36 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:17:45:25 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:23:21:08 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 20 เมษายน 2560 เวลา:23:33:13 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 เมษายน 2560 เวลา:6:37:31 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 21 เมษายน 2560 เวลา:16:33:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 เมษายน 2560 เวลา:20:02:34 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 เมษายน 2560 เวลา:6:24:11 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 22 เมษายน 2560 เวลา:10:56:33 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 22 เมษายน 2560 เวลา:11:07:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 เมษายน 2560 เวลา:14:37:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 เมษายน 2560 เวลา:6:32:27 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 26 เมษายน 2560 เวลา:16:29:53 น. |
|
|
|
โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 29 เมษายน 2560 เวลา:14:47:39 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์ |
|
Rss Feed |
| Smember | | ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]
|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
|
|
โห เห็นรถไฟแล้วอยากไปเลยค่ะครู 55555
หัวรถไฟสวยมาก ๆ ค่ะ
อาหารในตลาดน่ากินหลายอย่างเลยค่ะ แถมมีคนต่อคิวด้วย
แสดงว่าต้องอร่อยจริงแน่นอน