ไปเที่ยว เขาอีต่อง ปิล็อก เมืองกาญจนบุรีกัน ค่ะ ตอนที่ 1 ทริปนี้ เป็นทริปที่ลูกศิษย์ กลุ่ม "ธาตุทอง 2 ส" เป็นผู้จัด โดยมี หนึ่ง เป็นผู้นำทริป มีเก๋ เป็นเหรัญญิก ค่าทัวร์ครั้งนี้คนละ 2.000 บาท 2 วัน 1 คืน ปรกติเขาจะไม่มีการประกาศ เก็บค่าใช้จ่ายก่อน แต่ครั้งนี้ ไปไกลและต้องมีการจองที่พักและเช่ารถตู้ 1 คันด้วย ต้องมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า โดยจำนวนเงินที่เก็บนี้ รวมค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเข้าชมสถานที่บางแห่ง และถ้าหากมีเงินส่วนที่เหลือ เขาก็จะเฉลี่ยเงินคืนให้แก่สมาชิกที่ร่วมเดินทางครั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันรับรู้มา ฉันก็เลยต้องลายน์ถาม หนึ่งว่า ไปครั้งนี้ จะให้ครูจ่ายด้วยไหม (เพราะปกติไปไหน พวกลูกศิษย์เขาเชิญไป ไม่ได้เก็บเงินครู) เพื่อความสบายใจและไม่ไปนินทาฉันภายหลัง ฉันจึงต้องถามให้กระจ่างก่อน ตามนิสัยของฉัน ที่ชอบถามแบบตรงไปตรงมา หนึ่ง ตอบฉันด้วย ข้อเขียนที่ฉันอ่านแล้ว เกิดความรู้สึกปลื้มปิติ ว่า "ครูไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น ขอให้ไปเป็นขวัญใจของพวกเราก็พอ" อ่านแล้ว ก็ต้องปลื้มเป็นธรรมดา ที่ลูกศิษย์เขาอยากพาไปเที่ยวสังสรรค์ด้วย คงเห็นฉันเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว อีกอย่าง แค่ครูคนเดียว จะไปกินอะไรมากมายนักมั้ง ห้าห้า ได้อ่านคำตอบนี้แล้ว ฉันก็เกิดความสบายใจขึ้นมาก วันที่ 14 มกราคม (วันเด็ก) หนึ่ง นัดมารับฉันที่บ้าน ตีสี่ครึ่ง แต่สี่ เศษ ๆ หนึ่งก็มาเคาะประตูเรียก ดีนะ ที่ฉันแต่งตัวเสร็จ เพราะตื่นตั้งแต่ตีสาม ห้าห้า ตื่นเต้น อ่านในลายน์กลุ่ม คนที่ตื่นเต้นกว่า คือ เจ้าเก๋ เห็นทักสวัสดีในลายน์ ตั้งแต่ ตีสองกว่า อิอิ คงนอนไม่หลับ ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว หนึ่งพาเด็กสาว 2 คน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ เรียนการท่องเที่ยวมาด้วย เพื่อให้เรียนรู้งานทัวร์ เป็นภาคปฏิบัติไปในตัวด้วย เด็กสาวทั้งสอง หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู หนึ่งแนะนำเขาทั้งสอง ให้รู้จักฉันว่า เป็นครูของหนึ่ง ทั้งสองก็สวัสดีฉัน ช่วยกันขนกระเป๋าและของที่เตรียมจะไปใส่บาตร ที่เขา อีต่อง หนึ่งขับรถไปยังจุดนัดพบคนอื่น ๆ ที่วัดธาตุทอง ซึ่งจะต้องขึ้นรถตู้ที่เช่าไว้ คนไปรถตู้นี้มี 10 คน รวมคนขับ ที่ชื่อ "เยี่ยม" เป็น 11 คน ไปถึงที่วัด มีคนมาแล้ว หลายคน คือ เดือน นิด เจี๊ยบ และแหม่ม เก๋(ห้อง 5 ซึ่งเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก หลังจากที่จบไป ตั้งแต่ปี 22 มั้ง) เด็กสาวทั้งสอง คนหนึ่งสูง เพรียวลม ชื่อว่า "เดียร์" อีกคนหนึ่งท้วม ๆ หน่อย ชื่อว่า "แตงกวา" ได้ช่วยกันยกกระเป๋าและของที่จะใส่บาตรในวันพรุ่งนี้ ลงจากรถของหนึ่ง เพื่อที่จะให้ฉัน และลูกศิษย์ อีกสองคนของหนึ่ง มานั่งคันรถตู้ ซึ่งนัดกันไว้ว่า ออกรถตีห้า ช้าสุด คือ ตีห้าครึ่ง ล้อหมุน ปรากฏว่า ทุกคนตรงต่อเวลามาก ตีห้า ทุกคนมาครบแล้ว คันรถตู้ ก็มี ฉัน ลูกศิษย์ของหนึ่ง อีก 2 คน เจี๊ยบ อี๊ด เดือน นิด ห้อง 5 ซึ่งฉันเพิ่งเจอเป็นครั้งแรกอีก 3 คน คือ แหม่ม ต๋อง และโจ้ ส่วนรถคันของ หนึ่ง มี อา เก๋ และต้องไปรับผันที่สมุทรสาคร นัดกันที่ตรงไหน ฉันไม่ได้ถาม (ที่จริง จะมีพจน์ ไปอีก 1 คน แต่ได้ข่าวว่า พจน์เกิดอุบัติเหตุ หกล้ม แขนเข้าเฝือกเลยอดไป) ส่วนรถอีกคันหนึ่ง คือ ต้อม กับศิษย์สะใภ้ ขับรถไป สองคน ซึ่งบ้านอยู่แถวพุทธมณฑล รถทั้ง 3 คัน นัดเจอกันที่ร้านอาหาร วุ้นเส้นท่าเรือ ทานอาหารเช้ากันที่ร้านอาหารร้านนี้ รถของพวกเรา (รถตู้) แล่นไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็คุยกัน ถ่ายรูปกันไว้ เป็นที่ระลึก ตามสไตล์ ของคนในสมัยนี้ รวมทั้งฉันด้วยนั่นแหละ อิอิ ก็เดี๋ยวนี้ เทคโนโลยีทันสมัย ไม่ต้องเสียค่าฟิล์มเหมือนสมัยก่อน ถ่ายเท่าไหร่ก็ได้ นี่นา ไม่ชอบใจรูปไหน ก็ลบทิ้งได้ ไม่เสียค่าฟิล์ม
รถตู้คันของเรา ไปถึงที่นัดพบ คือ ที่ ร้านวุ้นเส้นท่าเรือก่อนรถคันอื่น ๆ พวกเราลงจากรถ เข้าห้องน้ำ แล้วจึงไปแลกคูปอง ซื้ออาหารเช้าทานกันที่นี่ เป็นห้องอาหารที่คนเข้าร้านมากพอควรทีเดียว มีร้านอาหาร ย่อย ๆ ให้เลือกทานได้หลายร้าน ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู ฉันแลกคูปองแล้ว ก็ซื้อ ต้มเลือดหมู แต่ไม่เอาข้าว ฉันทานข้าวตอนตี 3 กว่าแล้วเพราะต้องทานยาหลังอาหาร จึงไม่ค่อยหิวอะไรมากนัก กลุ่ม อิ๊ด เจี๊ยบ นิด เดือน เรานั่งด้วยกัน กลุ่ม โจ้ แหม่ม ต๋อง แยกไป นั่งอีกโต๊ะหนึ่ง คงเห็นว่าโต๊ะที่เรานั่งไม่พอนั่งหรือไง ก็สุดจะรู้ได้เนาะ อิ่มแล้ว ก็นั่งคุย เพื่อรอ รถอีกสองคัน ก็เลยได้เวลาถ่ายรูปกันอีกแล้วซิ อิอิ
หลังจากอิ่มแล้ว ก็พากันนั่งที่ม้าหินอ่อน ด้านหลังของร้านอาหาร จึงได้รวมกลุ่ม พูดคุยกันกับ ศิษย์เก่าที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรก คือ แหม่ม โจ้ ต๋อง พวกเรา ก็รวมกลุ่มถ่ายรูปหมู่มาให้เห็นโฉมหน้า ค่ะ
ช่วงนี้ รถของหนึ่ง มาถึงแล้ว เลยได่ร่วมแจมถ่ายรูปด้วย ทริปนี้ มีหนุ่มน้อยมาเพียง 3 คน เท่านั้น คือ หนึ่ง ผัน และ ต้อม
หลังจาก เพื่อน ๆ ที่มาใหม่ ทานข้าวมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินที่ร้านเซเว่น เพื่อหาซื้อของ ใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า เช่น พวกนมกล่อง มาม่า ยำยำ ขนมบ้าง แล้วแต่ว่า ใครจะสนใจนำสิ่งใดไปใส่บาตร ใครที่ซื้อเสร็จแล้ว ก็ใช้เวลาที่รอเพื่อน เซลฟี่ รูปกันอย่างสนุกสนานก่อนที่จะขึ้นรถของตน
หลังจากทุกคนขึ้นรถของตนเองไปแล้ว รถทั้ง 3 คัน ก็มุ่งหน้าสู่ เมืองกาญจน์ ช่วงนั้น น่าจะประมาณ 9 โมงกว่า รถทั้ง 3 คันแล่นตามกันไป มีค้นต้อมรั้งท้าย เพราะต้อมกลัวหลง เป้าหมายของเรา คือ เราจะไปเที่ยวที่ช่องเขาขาดก่อน ซึ่งยังไงก็เป็นทางผ่านก่อนจะไปทานข้าวมื้อเที่ยง
มาทราบความเป็นมาของช่องเขาขาดก่อนนะคะ เรื่องของ "ช่องเขาขาด" หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า " ช่องไฟนรก" ที่ช่องนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟ สายไทย-พม่า(เส้นทางรถไฟ สายมรณะ ) มีหลายจุดที่เป็นหิน ภูเขา หน้าผา หรือหุบเหว ขวางอยู่ จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการขุดเจาะเป็นช่อง เพื่อให้รถไฟสามารถลอดผ่านไปได้ ซึ่งที่ ช่องเขาขาดเป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดของเส้นทางนี้ การขุดเจาะช่องเขาขาด เริ่มในเดือนเมษายน 2486 ซึ่งเป็นเดือนที่อากาศร้อนมาก ๆ ปรากฏว่า งานขุดเจาะล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ จึงมีการเร่งขุดเจาะ อย่างเร่งด่วน กะละ 18 ชั่วโมง คนที่น่าสงสาร คือพวกเชลยศึกและกรรมกร การขุดเจาะต้องใช้แรงงานคนทั้งสิ้น เช่นการสกัดหินด้วยมือ ซึ่งเป็นงานที่ทารุณมาก ต้องลงไปสกัดในช่องเขาลึก ถึง 11 เมตร แทบจะหาอากาศหายใจไม่ได้ แล้วยังต้องทำงานท่ามกลางความร้อนอย่างร้ายกาจในช่วงฤดูร้อน การเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อเกิดขึ้น เครื่องมือแพทย์และแพทย์ในการรักษาคนป่วย ก็มีน้อย ไม่เพียงพอ ทำให้กรรมกรและเชลยศึกล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จึงได่ขนามนามที่ช่องนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "ช่องไฟนรก" หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รื้อถอนทางรถไฟบางส่วนออกจาก รถไฟสายมรณะในปัจจุบัน เหลือเพียงแค่ตั้งแต่สถานี หนองปลาดุก ถึงสถานีน้ำตก เท่านั้น นี่เป็นประวัติ ช่องเขาขาด ที่ฉันรวบรวมมาให้ทราบ ในที่นี้ มีพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราว ของรถไฟสายมรณะและเรื่อง ช่องเขาขาด แสดงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วย พวกเราได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมองด้านบน ถือเป็นจุดชมวิวจุดหนึ่งด้วย ก่อนจะไปเดิน ชม ช่องเขาขาด ฉันได้รวบรวมรูป ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงเส้นทางที่เราจะเดินในช่องเขาขาด ค่ะ
พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด ที่พวกเราเข้าไปเดินชม เป็นแห่งแรก มีชาวต่างชาติมาชม นักเรียนมาทัศนศึกษา
ทางเดินที่เป็นช่องเขาขาด ถ่ายหมู่เสียหน่อย ค่ะ
เบื้องหลังของรูปที่เซลฟี่ เป็นหุบเหวลึก มีต้นไม้ขึ้นมากมาย ค่ะ
ต้นไม้ต้นนี้อยู่ท่ามกลางของช่องเขาขาด ต้นใหญ่มาก มีโพรงให้คนเข้าไปถ่ายรูปได้ด้วย
มุมนี้ เป็นแท่นแสดงประวัติของช่องเขาขาดด้วย
เราน่าจะอยู่เที่ยวที่ ช่องเขาขาดอย่างสนุกสนาน ดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัวช่องเขาขาด ประมาณ ชั่วโมงครึ่ง น่าจะได้ พวกเราก็เริ่มทยอยขึ้นเขาไป ซึ่งกลุ่ม เจี๊ยบ โจ้ แหม่ม ต๋อง ล่วงหน้าไปแล้ว ระหว่างทางที่จะขึ้นเขาไป แฟนต้อม รู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยนั่งพักอยู่ตรงโขดหิน ต้อมให้พวกเราเดินล่วงหน้าไปก่อน ไปรอกันบนเขา มาทราบภายหลังจากต้อมว่า ปรกติ แฟนเขา เป็นคนแข็งแรง เดินแค่นี้ ไม่น่าจะเหนื่อย มีอาการอ่อนเพลีย แต่วันนี้ที่มีอาการเช่นนี้ เหมือนมีอะไร ที่มาคอยฉุดแกไม่ให้เดินต่อ เหมือนมาถ่วงและทับร่างแกไว้ จนกระทั่งพักใหญ่ ๆ สิ่งที่รู้สึกถ่วงร่างของแก ก็เหมือนยอมออกจากร่างแกไป เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ มาในสถานที่ที่มีคนตายมาก ๆ ในอดีต ใครที่จิตอ่อน หรือดวงตก ตามโบราณก็บอกไว้ว่า อาจจะโดนเข้าร่างเราโดยไม่รุู้สาเหตุ การไม่มีเรี่ยวมีแรง นี่น่ะ เขาปรานี คงมาหยอกเล่นเฉย ๆ แล้วก็ยอมจากไป ถึงเราจะไม่เห็นเขา พิสูจน์ไม่ได้ แต่บางอย่างในโลกนี้ ก็ลึกลับ ยากแก่การให้คำตอบได้น่ะนะ ได้แต่ภาวนาอย่าเจอเลย อิอิ
ออกจากที่ช่องเขาขาดแล้ว น่าจะเที่ยงกว่ามากแล้วรถของหนึ่ง นำหน้าไป เป้าหมายอาหารมื้อเที่ยงของเรา คือ ร้านชื่อว่า "แปดริ้ว" ฉันคิดในใจว่า ที่นี่เมืองกาญจน์ ทำไมตั้งชื่อร้านว่า "แปดริ้ว" คงต้องเป็นร้านที่ ย้ายมาจาก "แปดริ้ว" จ. ฉะเชิงเทราและการคาดหมายของฉัน ก็ถูกต้อง เมื่อฉันได้ถามเจ้าของร้าน เมื่อไปถึงที่ร้านนี้ อิอิ เรามาถึงร้านนี้ น่าจะประมาณเกือบบ่ายโมง คนในร้านยังแน่นอยู่เลย กลุ่มของเรา มี่ 17 คน รวมคนขับรถด้วย จึงต้องแบ่งเป็น 2 โต๊ะ สั่งอาหารเป็น 2 ชุด โต๊ะละ 8 คน อีกโต๊ะ 9 คน อาหารที่ช่วยกันเสนอ เช่น หมูแดดเดียว ทอดมันปลากราย แกงป่าไก่ อาหารน่าจะประมาณ 7-8 อย่างท่านดูจากภาพ แต่คงไม่ครบทุกอย่าง
เมื่อทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถ ขับไปเรื่อย ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พัก อีต่อง โฮมสเตย์
ระหว่างทางที่รถผ่าน สองข้างทาง มีต้นไม้ใหญ่ เขียวขจี เบื้องหลังของสองข้างทาง เป็นภูเขาสูง สลับความสูง ต่ำ ของภูเขาสูง ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงและเขียว มีป่าไม้ที่ยังไม่ถูก พวกตัดไม้ ทำลายป่า ป่าเมืองกาญจน์ จึงสวยงามและน่าชมมากกว่าป่าไม้ในภาคอื่น ๆ ที่ฉัน เคยไปเห็นมา ระยะทางที่จะไป เขา อีต่อง เป็นเส้นทางที่มีโค้งมากมาย น้องเดียร์ และน้อง แตงกว่า จะให้เรานับว่า โค้งทั้งหมดไปถึง ตลาด อีต่องจะมีทั้งหมดกี่โค้ง จะมีรางวัลให้ แต่ทุกคน ก็ไม่มีใครนั่งนับโค้งเลย นั่งคุยบ้าง หลับบ้าง แล้วในที่สุด พวกเราก็มาถึง ตลาด อีต่อง แต่เราไม่รู้ว่า โฮมสเตย์ที่พวกเราจะต้องไปพักคืนนี้ อยู่ที่ไหน อยู่ส่วนไหนของที่นี่ ด้านหน้าของ ตลาด อีต่อง ติดริมสระน้ำ บรรกาศดีมาก ราคาคงสูง พวกเราเดาว่า ที่พักเรา น่าจะอยู่ในตลาด
ซึ่งรถไม่สามารถเข้าไปได้ การเดาของพวกเราถูกต้อง น้องเดียร์ ซึ่งเป็นคนโทร จองที่พัก ได้ลงจากรถและโทรศัพท์คุยกับเจ้าของโฮมสเตย์ และไปรู้จักที่พักก่อน ส่วนพวกเราก็รอกันที่รถ พักใหญ่ ๆ น้องเดียร์ ก็มาพาพวกเราเดินไปที่พัก ต้อมน่ารักมาก ช่วยฉันลากกระเป๋าไปที่พัก ส่วนน้องเดียร์และน้องแตงกว่า ช่วยกันหอบหมอนที่หนุนคอไปยังที่พัก ที่พักต้องแยกเป็นสองแห่ง แต่ไม่ไกลกันนัก ห้องของฉัน เดือน นิด (เดือนส่งข้อความมาให้ฉันจองห้อง 3 คน ห้องเดียวกัน) ฉันตกลง เพราะ เดือนกับนิดสนิทอยู่กลุ่ม 2 ส และสนิทกับฉัน ห้องนอน 3 คน ได้ความว่า คืนละ 1200 บาท ก็ไม่ถูกนัก ของกลุ่มเราต้องเดินเข้าตรอกแคบ ๆ จากตลาดเข้าไป มีทั้งหมด 3 ห้อง กลุ่มฉัน เลือกห้องชั้นล่าง อีกห้อง สองคน เป็นของต้อมกับศิษย์สะใภ้ ส่วนชั้นบน เป็นห้องของ ผันและหนึ่ง นอกนั้น เป็นบ้านอยู่ที่ถนนใหญ่ของตลาดอีต่อง คนจะพลุกพล่านหน่อย ชั้นล่าง มีเต็นท์กางไว้สำหรับ น้องเดียร์กับน้องแตงกวา 1 หลัง ชั้นบน มีอีกสองห้อง เป็นห้อง แหม่ม โจ้ และต๋อง อีกห้องเป็นอี๊ด พจน์ (ไม่มา) อาภัสรา พวกเรา นำกระเป๋ามาไว้ที่ห้องแล้ว ก็นัดกันไปเดินตลาดและเตรียมที่จะไปเที่ยวรอบ ๆ บริเวณเขาอีต่อง ในตลาด มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายเหมือนกัน ส่วนใหญ่คนขายเป็นชาวพม่าที่เข้ามาอาศัยอยู่ ชายแดนไทย มาชมภาพต่าง ๆ สักหน่อยเพื่อพักสายตาจากตัวหนังสือ
เดินเที่ยวตลาดอีต่อง ซึ่งมีร้านค้าขายของมากมาย คนขายก็เป็นชาวพม่าที่น่าจะมาอาศัยอยู่ ในประเทศไทยนานแล้ว ของที่ขายก็นำมาจากประเทศพม่า เช่น แป้งทานาคา อันมีชื่อของชาวพม่า พวกขนม ขบเคี้ยว ชานมพม่า ของคาว ก็เช่น กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ตัวเล็ก ๆ ชื่อว่า ปลาหัวยุ่ง (ชื่อแปลกดี) มาเจอน้องหมาน่ารักมาก เลยขอถ่ายรูปด้วย เรามาดูภาพตลาด อีต่อง และน้องหมาที่น่ารักกันค่ะ
ต่อไป เรามาทราบประวัติความเป็นมาของ ปิล็อก และ เขาอีต่อง กันสักเล็กน้อย นะคะ
คำว่า ปิล็อก เป็นชื่อ เหมือง ซึ่งมีประวัติเล่ากันมาว่า เมื่อ70ปีก่อน มีการล่าเมืองขึ้นของชาติตะวันตก มีคนพบว่า กรรมกรพม่าเข้าไทยมาทางพื้นที่ ปิล็อก แอบขุดแร่ของไทย ไปขายให้ ทหารชาวอังกฤษ เป็นสาเหตุให้ กรมทรัพยากรของไทย ต้องเข้าไปสำรวจ และได้พบว่า ที่ปิล็อกนี้ มีแร่ดีบุก แร่วุลแฟรม มากมาย ดังนั้น ในปี 2483 องค์การเหมืองแร่ กรมโลหะกิจ จึงได้เปิด "เหมือนแร่ ปิล็อก" ขึ้นเป็นแห่งแรกที่ อีต่อง ต.ปิล็อก มีการปะทะกันระหว่างกรรมกรพม่าที่แอบมาขุดแร่กับทหารไทย ทำให้มีคนตายมากมายทั้งสองฝ่าย ชาวบ้านแถวนี้ จึงเรียกเหมืองแห่งนี้ว่า "เหมืองผีหลอก" และต่อมาได้เพี้ยนเสียงไปเป็น "เหมือง ปิล็อก" และกลายเป็นชื่อของ เหมือนแร่ และ ตำบล ในเวลาต่อมา ยังมีการเปิดเหมือนแร่เล็ก ใหญ่อีกมากมาย แต่ว่า ต่อมาราคาดีบุก ตกต่ำ เพราะ ประเทศจีนส่งขายในราคาที่ถูกกว่าของไทย และความนิยม ดีบุกในอุตสาหกรรมมีน้อยลง เหมืองแร่ต่าง ๆ จึงปิดตัวลงไป รวมทั้ง เหมืองแร่ ปิล็อกด้วย เหมืองแร่ปิล็อกนี้ อยู่ตรงข้ามกับ ตลาด ดีต่อง พวกเราไม่ได้เข้าไปดูเหมืองแร่ เพราะว่า มีแต่ร่องรอยและเครื่องไม้เครื่องมือ ในการขุดแร่ รถเก่า ๆ ที่ใช้ในการขนส่งแร่ ที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเหมืองแร่ในอดีตเท่านั้น เรานัดกันออกจากที่พัก ประมาณ 5 โมงเย็น เพื่อไปเที่ยวชายแดนไทยที่ติดกับชายแดนพม่า โดยนำรถกระบะของหนึ่งซึ่งเปิดท้าย ให้คนในรถอีก 2 คัน ขึ้นท้ายรถไปหมด อัดกันไป
เย็นนี้ หนึ่งพาพวกเรามาเที่ยวรอบ ๆ อีต่อง คือชายแดนสองจุด เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก เรามาช่วงที่ดวงอาทิตย์ กำลังจะอัสดง แต่ยังมีแสงจ้า เป็นช่วงที่จะถ่ายรูปได้สวยงามทีเดียว พวกเราไม่ละโอกาส ตากล้อง มีหลายคน ทั้ง นิด เก๋ ต้อม ทั้งรูปเดี่ยว รูปหมู่ หมู่เยอะ หมู่น้อย พวกเราเป็นนางแบบให้ถ่ายรูปอย่างเต็มใจ เซลฟี่บ้าง ให้น้องเดียร์ น้องแตงกวา ถ่ายให้บ้าง มาชมที่ฉันรวบรวมรูปจากกล้องต่าง ๆ มาให้ ชม ค่ะ
ถ่ายย้อนแสง อยากเห็นทิวทัศน์ด้านหลัง ค่ะ สวยมาก
หลังจากที่ถ่ายรูป ชมความงดงามของธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร จนจุใจแล้ว พวกเราก็กลับมา ที่ตลาดอีต่อง จะไปสั่งอาหารทานที่ร้าน ซึ่งหมายตาไว้ก่อนที่จะไปเที่ยว ปรากฏว่า ไม่มีโต๊ะว่างเลย ก่อนไปเที่ยว ของจองโต๊ะและสั่งอาหารไว้ล่วงหน้า เขาก็หยิ่งไม่รับจอง พวกเรากลับมาอีกครั้ง คนก็แน่นร้านไปหมด เข้าไปถามว่า จะให้รอนานไหม เขาตอบว่าประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนั้น น่าจะประมาณ 6 โมงกว่าแล้ว ทุกคน ท้องร้องจ๊อก ๆ กันแล้ว จะเปลี่ยนไปกินร้านอื่น ก็ไม่มีโต๊ะว่างเช่นกัน ร้านค้าที่ขายของ พวกอาหารทะเล มีอยู่ แค่ 2-3 ร้าน นอกนั้น ก็เป็นร้านเล็ก ๆ อาหารตามสั่ง เราไปเจอร้านที่ว่านี้ มีขายก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไท ข้าวมันไก่ ก็เลยตกลงใจ นั่งกินร้านนี้ ส่วนใหญ่สั่งผัดไททานกัน บางคนสั่งข้าวมันไก่ ซึ่งจะได้เร็วกว่าเพื่อน อาหารมื้อนี้ ราคาจึงไม่มาก ไปแพงเอาน้ำโค้กกระป๋อง แต่รวมกันแล้ว ก็ไม่ถึงพันบาท นับว่า ไม่ถูกโก่งราคานะเนี่ย ที่ ตลาด อีต่อง พวกเราได้เจอ ชลอ พาหลาน ๆ มาเที่ยววันเด็กด้วย แต่จะไปกางเต็นท์ นอนที่ เนินช้างศึก ไม่ได้จองที่พักไว้อย่างพวกเรา ชลอ ก็พาหลาน ๆ มาทานร้านนี้เช่นกัน
หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินเที่ยวตลาด อีต่องในยามค่ำคืน มีนักท่องเที่ยงมาเที่ยวที่นี่มากพอสมควร ได้เห็นวิถีชีวิตของ ชาวอีต่อง ที่เรียบง่าย เปิดเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ บ้าง ขายเสื้อผ้า ของที่ระลึก ขนมพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง พวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ บ้าง ร้านอาหารใหญ่ ๆ น่าจะมีประมาณ 3-4 ร้าน เสื้อผ้า เช่น เสื้อยืด มีตราสัญลักษณ์ของชื่อ สถานที่ตามที่นิยมกัน ราคาถามแล้ว ไม่ถูกเลย ราคา 200 บาท พวกเราเลยไม่ได้ซื้อกัน หลังจาก นั้น พวกเราก็ไปอาบน้ำ ในที่พักของใครของมัน แล้วนัดไปเจอกันที่ห้องพักที่ติดกับตลาดอีต่อง ครั้งนี้ ผันนำเบียร์มาให้ จำนวน 4 ลัง แต่กลุ่มนี้ มีคนดื่มเบียร์ไม่กี่คน ผู้หญิงก็ดื่มไม่กี่คนเท่านั้น เบียร์จึงเหลือ น่าจะ 2 ลังกว่า ไปดื่มต่อที่ร้านริมทะเล มาดูบรรยากาศในห้องพักจ้ะ
ฉัน เดือน นิด อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็มาร่วมสังสรรค์กับคนคอเบียร์ทั้งหลาย แต่ฉันไม่ได้ร่วมดื่มด้วย เพราะไม่ชอบดื่ม เคยแพ้พวกแอลกอฮอร์มาก่อน พวกเรานั่งคุยกันไป คนดื่มก็ดื่มเบี้ยร์และมีกับแกล้ม กันไป ส่วนใหญ่ก็คุยกันถึงเรื่องราวในอดีต สมัยยังเรียนอยู่ที่มัธยมวัดธาตุทอง คุยกันสนุกสนาน พอสมควรแก่เวลา คือ ประมาณ 4 ทุ่มแล้ว ชลอ ก็กลับไปแล้ว ฉัน นิด เดือน ก็กลับที่พักกัน
จบการเที่ยว ปิล็อก ตลาดอีต่อง และชายแดนที่ติดับชายแดนพม่า จบทริปไป 1 วัน โปรดติดตาม ตอนต่อไป ในการเที่ยว เนินช้างศึก น้ำตกจ๊อกกระดิ่งและเขื่อนวชิราลงกรณ์ ของตอนที่ 2 ค่ะ
Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2560 |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2560 19:39:03 น. |
|
21 comments
|
Counter : 3223 Pageviews. |
|
|
ตามมาเที่ยวด้วยค่ะ อาจารย์
ปลายปีที่แล้วไปเที่ยวทองผาภูมิ ก็ไปนั้งทานข้าวเที่ยงที่ร้านแปดริ้วค่ะ
คนยังกะมด
ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกว่าจะได้นั่งกินข้าว อิอิ
แต่กับข้าวก็อร่อยใช้ได้ค่ะ