คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

ทัศนศึกษากับเหล่า ส.ส. ส.ก. ส.ข. เขตคลองเตยและวัฒนา
ทัศนศึกษากับเหล่า ส.ส. ส.ก. ส.ข. เขตคลองเตยและวัฒนา

ตามที่ฉันเคยทราบมาว่า ทุกพรรคการเมือง เขาจะมีงบประมาณในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชุมชนของตนเองตามงบประมาณที่ได้รับ โดยอาจเป็นกิจกรรมพาคนในชุมชน ไปทัศนศึกษา ไปอบรมสัมมนาให้ความรู้ทางด้านต่าง ๆ เช่น ด้านความเป็นผู้นำในชุมชน เป็นต้น

การที่จะได้ไปร่วมกิจกรรมในงบประมาณเรื่องนี้ ฉันคิดว่า คนที่ไปร่วมนั้น จะต้องรู้จักกับใครสักคนในกลุ่มที่จัดงานแน่นอน ไม่งั้นจะทราบข่าวได้อย่างไร ฉันอยู่ในชุมชนแสนสบายมา 40 กว่าปี ก็ยังไม่เคยได้ไปร่วมกิจกรรมตามที่กล่าวมาเลย ได้ยินแต่คนมาเล่าให้ฟังว่า ได้ไปเที่ยวกับพรรคนั้น พรรคนี้

สำหรับครั้งนี้ คงเป็นเพราะฉันมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาเป็น ส.ข.กระมังฉันเลยได้สิทธิ์จากลูกศิษย์คนนี้ เขาให้สิทธิ์ฉัน 10 ที่นั่ง แต่มันไปคาบเกี่ยวกับวันจันทร์ 1 วัน คนที่ทำงานอยู่ก็ไปไม่ได้ เพราะต้องลางาน ต้องพวกที่เกษียณอายุแล้วหรือทำงานส่วนตัวหยุดเองได้ ฉันเองก็ไม่รู้จะไปชวนใครดี พอดีไปประชุมสมาคมนักเรียนเก่า พี่จิราพร เขารู้ว่าฉันมีบัตรหลายใบเลยขอไปด้วยกับสามีเขาสองคน ฉันก็ไปชวนบุษยา เป็น 4 คน พี่เสริมกับน้องสาว(น้องแต้ว) รวมกันก็ได้ 6 คน ก็เลยขอบัตรเขาแค่นั้น

การไปครั้งนี้ ฉันถือว่าเป็นการไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ว่า แต่ละพรรคการเมืองเขาจะมีวิธีการจัดกิจกรรมอะไรบ้าง เท่าที่ฉันคิด การจัดพาคนในชุมชนไปเที่ยว ไปทัศนศึกษา ก็น่าจะมองได้ว่า เป็นการวางฐานเสียงของแต่ละพรรคแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า กิจกรรมที่จัดนั้น จะแทรกความรู้ ความถูกต้องในด้านการเมืองอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้แทนแต่ละพรรค ในการจัดกิจกรรม ในการพูดโน้มน้าวใจให้เชื่อถือในพรรคของตนนั่นเอง

เจ้าเม ลูกศิษย์ที่เป็น ส.ข. ฝากบัตรขึ้นรถให้ไว้ที่ครูวิ และครูวิฝากไว้ที่ยามอีกที ฉันแวะไปเอาวันศุกร์ เพราะพอดีจะไปงานฟังสวดศพลูกศิษย์คนหนึ่งที่วัดธาตุทองด้วย เขาให้มา 7 ที่ เกินมา 1 ที ไม่รู้จะชวนใครไปอีกแล้ว

เช้าวันที่ 18 ส.ค. ฉันตื่นประมาณตี 5 อาบน้ำแต่งตัวและทานข้าวเช้า เพราะต้องทานยาอยู่ ประมาณ 6.00 น. ออกจากบ้าน จ้างมอเตอร์ไซด์ไปส่งที่โรงเรียนปทุมคงคา 30 บาท รถเขาจอดที่นี่ (ของเขตวัฒนา) พี่เสริมและน้องมาแล้ว บุษยามาทีหลังเพื่อน แต่บ้านเขาอยู่ใกล้ที่ขึ้นรถมากที่สุด

ส่วนพี่จิราพรและแฟนเขาก็มาแล้ว ฉันแจกบัตรขึ้นรถให้แต่ละคน เพราะต้องมีบัตรที่เขียนชื่อ ที่อยู่เรียบร้อยแล้ว จึงจะขึ้นรถได้ ฉีกส่วนหนึ่งอยู่ที่เขา อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่เรา เพื่อเอาไปจับฉลากด้วย คราวนี้สบาย เพราะในตัวบัตรมีเลขที่นั่งด้วย เลยไม่ต้องแย่งจองที่กันเหมือนที่พี่จิราพรบอก (เขาเคยไปกับเขตพระโขนงแล้ว )

รถเขตวัฒนามีทั้งหมด 4 คัน ส่วนเขตคลองเตย มี 3 คัน ไปขึ้นรถที่ ท่าเรือคลองเตย ฉันโชคดี ที่เม เขาให้มาขึ้นรถที่ปทุมคงคาได้ ไม่งั้นก็คงลำบากและอาจจะไม่อยากไป อิอิ

รถกว่าจะออกจากปทุมคงคาก็ประมาณ 7.20 น. ได้ ช้าไป 20 นาที เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรถคันเรา ชื่อ ส้ม เป็นเด็กสาวน่ารัก ใส่ใจทุกคนดี รถคันเรา วีไอพีจริง ๆ มีเพียง 14 คนเท่านั้น การจัดทัศนศึกษาครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของงบประมาณปี 56 ก่อนหน้านี้ เขาจัดไปแล้วหลายครั้ง ฉันทราบมาอย่างนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะจะได้งบประมาณใหม่ ปี 57 เมื่อสิ้นสุด 30 กันยายน ตามงบประมาณของทางราชการ นั่นเอง สงสัยคนไปกันจนเบื่อแล้ว ครั้งนี้ คนเลยไปน้อย หรือจองแล้วดันไม่ไป หรืออย่างไร ฉันก็สุดจะเดาได้น่ะนะ

รถเคลื่อนออกไปได้สักพัก ส้ม ก็เริ่มแจกข้าวกล่อง อาหารกล่องยอดฮิต ก็คือ กระเพราไข่ดาว นั่นเอง ข้าวแข็งมาก ฉันทานไปได้หน่อยเดียว ไม่หิวเท่าไร เพราะฉันทานข้าวต้มมาจากบ้านแล้ว นั่นเอง

รายการช่วงเช้านี้ พาไปทัศนศึกษาที่ เวนเนเซีย เมืองจำลองของประเทศอิตาลี่ สถานที่แห่งนี้ ส้ม บอกว่า อยู่ใกล้ ๆ ซันโตรินี่ ที่ฉันเคยไปเที่ยวตอนไปเยี่ยมตุ๊กตาในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรามาถึงที่นี่น่าจะประมาณเกือบ 11 โมง เป็นช่วงที่แดดกำลังร้อนเปรี้ยง ๆ ฉันเอาหมวดมา พี่เสริมกับน้องแต้วกางร่มเดินกันไป ฉันไปกับบุษยา ผลัดกันถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน สถานที่แห่งนี้ ส้มเล่าว่า เพิ่งเปิดได้แค่สองเดือนเศษ ๆ บางช่วงยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์เลย ทิวทัศน์ มุมต่าง ๆ สวยงามด้วยสีสัน มีร้านค้าขายของมากมาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ตุ๊กตา อาหาร เครื่องกีฬา พวกเราไม่ได้ซื้อะไรหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่า ต้องแพงแน่นอน เราได้แต่ถ่ายรูปมุมสวยงามต่าง ๆ ของสถานที่เท่านั้น ท่านผู่อ่านลองชมดูซิคะ



















หลังจากเที่ยวที่นี่แล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง เราทานข้าวเที่ยงที่โรงแรมที่พัก ซึ่งชื่อว่า โรงแรมมิลฟอร์ด เป็นโรงแรมที่ติดชายหาดเลย ทิวทัศน์สวยมากทีเดียว อาหาร เขาจัดเป็นโต๊ะ ๆ นั่งประจำตามรถที่เรามา รถคันเรา เป็นคันที่ 3 มีเพียง 14 คน จัดเป็นสองโต๊ะ โต๊ะเรานั่งกัน 6 คน อีกโต๊ะหนึ่งเขาคงมาด้วยกันเหมือนอย่างเรา เลยไม่อยากแยกมานั่งกับโต๊ะเราอีก 1 คน มั้ง โต๊ะเราเลยทานกัน 6 คน อาหารก็พื้น ๆ คือ ต้มยำทะเลกุ้งหมึก ปลา ไข่เจียว ผัดผัก เผ็ดบ้าง จืดบ้าง ฉันก็จำไม่ค่อยดี รสชาติ ก็พอทานได้ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทะเล ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น มาถึงทะเลถิ่นอาหารทะเลแล้วนี่นา ก็ต้องกินอาหารทะเลซินะ อาหารหวาน คือ รวมมิตร ซึ่งมีแต่ครองแครงกับทับทิม รสชาติหวานเจี๊ยบ กินเอาแต่ครองแครงและทับทิม ไม่กล้าทานน้ำมากเพราะมันหวานเหลือเกินนั่นเอง เบาหวานถามหาแน่นอนเลย อิอิ

ทานอาหารมื้อเที่ยงกันเสร็จแล้ว พวกสตาฟในการทำงานครั้งนี้ ก็ประกาศให้พวกเราทุกคันรถเข้าห้องประชุมที่ชั้นสอง เพื่อฟังการอบรม สัมมนา ซึ่งฉันคิดว่า เป็นขั้นตอนกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของการจัดงบประมาณพาชุมชนมาเที่ยวในแต่ละครั้ง เพราะกิจกรรมที่จะจัดในช่วงนี้ นอกจาก จะมีการแนะนำให้รู้จักผู้นำที่ชุมชนเลือกเข้าไปแล้ว เช่น ส.ส. ส.ก. ส.ข. แล้ว ยังต้องเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมสัมมนาได้เห็นถึงการทำงานของผู้แทนชุมชนของพวกเขา ได้รับความรู้เกี่ยวกับการเมือง การโน้มน้าวให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานของพรรคการเมืองของตน นี่เป็นมุมมองของฉันนะ และคิดว่า น่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าจัดให้มีแต่ความบันเทิงอย่างเดียว มันก็ไร้ความหมาย ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น พรรคการเมืองที่ฉลาด ต้องประกอบด้วยลูกพรรคและสมาชิกพรรคที่รู้จักการบริหารจัดการและการคิดกิจกรรมหลากหลายที่จะทำให้ชื่อเสียงของพรรคเข้าถึงประชาชนมากที่สุด ทำให้ประชาชนเข้าใจจุดยืนของพรรคตนมากที่สุด ฉันจึงคิดว่า การจัดกิจกรรมในช่วงนี้ เป็นช่วงที่สำคัญมากที่สุด เรามาดูซิว่า การจัดงานครั้งนี้ กิจกรรมเขามีอะไรบ้าง ดีกว่า

เริ่มด้วย การแนะนำ ส.ก. ส.ข. บางคนที่มาแล้ว เช่น ส.ก.ประสิทธิ์ (คนนี้ฉันพอรู้จัก เพราะนิตย์เคยพาไปหาเขาตอนจะฟ้องคนเช่าบ้าน ไม่ยอมจ่ายค่าเช่าและจ่ายเช็คเด้ง แต่เขาคงจำฉันไม่ได้หรอก อิอิ) มีการเชิญเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติมาพูดด้วย ฉายวิดีโอ ประวัติของการเคหะแห่งชาติ ฉันไม่ได้สนใจนัก เป้าหมายที่นำเรื่องนี้มาพูด คงต้องการจูงหรือโยงไปถึงความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่า พรรค ต้องการให้ประชาชนมีแหล่งที่อยู่อาศัยดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น มีบ้านเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูงนัก อะไรประมาณนั้นน่ะนะ ฉันคาดเจตนาเอง นั่นก็คือ การพยายามชี้ให้เห็นว่า พรรคได้พยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น นั่นเอง

นอกจากนั้น ก็มีวิทยากรอีกคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดได้ยินเขาแนะนำว่า ชื่อ จิรพร เป็นผู้ที่นำเข้าสู่การให้ความรู้ด้วยวิธีที่ฉันได้พบบ่อยที่สุดในสมัยที่ยังไม่เกษียณและมีการไปฟังอบรม สัมมนา นั่นก็คือ การพยายามหาเกม หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ไม่ใช่นั่งฟังเฉย ๆ ฉันคิดว่า วิทยากรแต่ละคน คงจะเรียนมาจากสำนักการฝึกวิทยากรเหมือน ๆ กันเนอะ จึงมีเกมที่ให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมเหมือน ๆ กัน เหอะเหอะ การให้ผู้ฟังมีกิจกรรมยืดเส้นยืดสายก็ดีไปอย่าง ไม่น่าเบื่อ แต่บางครั้งการลุก ๆ นั่ง ๆ สำหรับคนสูงอายุมาก ๆ ก็เซ็งได้เหมือนกัน ฉันไม่ค่อยได้ลุก นั่ง ตามเกมเขาหรอก ไม่ใช่เพราะลุกไม่ไหว แต่ฉันต้องการเก็บภาพสวย ๆ งาม ๆ ในการเล่มเกมมาฝากท่านผู้อ่านนั่นเอง อิอิ (แก้เกี้ยวชะแล้วเรา) การเล่นเกม ก็มีพวกทีมงานที่ทางคณะกรรมการของเขตนี้จ้างมาทำงาน (มั้ง) เป็นผู้สาธิตการเล่นก่อน แล้วก็ให้ทีมงานนี้มาโค้งคำนับผู้ฟังออกไปทำกริยาอาการตามที่ได้สาธิตกันให้ดู ท่านผู้อ่านลองชมภาพที่ฉันเก็บมาฝากนะคะ







จากการเล่นเกมของ วิทยากร พอจะสรุปให้เห็นและจูงเข้าสู่หัวข้อเรื่อง โครงการอบรมเสริมสร้างศักยภาพผู้นำชุมชน ว่า การที่ชุมชนจะพัฒนาสภาพแวดล้อมของชุมชมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองในชุมชนนั้น ๆ จะต้องอาศัยความพร้อมของปัจจัยต่าง ๆ หลายปัจจัย คือ มีผู้นำที่ดี ที่พร้อมจะให้มีการพัฒนาชุมชนที่ตนเองรับผิดชอบและอาสาประชาชนมาทำงานให้ เมื่อมีผู้นำที่จริงใจพร้อมแล้ว คนในชุมชน ก็ต้องพร้อมที่จะให้ความร่วมมือร่วมใจกับผู้นำในการพัฒนาด้วย ช่วยกันสอดส่อง ให้ความร่วมมือในการดำเนินงานของผู้นำ นอกจากนี้ ประการสำคัญ ยังต้องมีความรู้พร้อมอีกด้วย จึงจะสามารถนำพา นาวาแห่งการพัฒนาลำนี้เดินหน้าได้อย่างถูกต้องตามเป้าหมายที่วางไว้ ความรู้พร้อมนั้น ก็คือ เป็นความรู้ที่ต้องรู้ ความรู้ที่ควรต้องรู้ และความรู้ที่น่ารู้ หากคนในชุมชน ปราศจากความรู้ทั้ง 3 ประเภทนี้ การพัฒนาชุมชนนั้น คงเป็นไปได้ยากอย่างแน่นอน การทำงานจึงต้องทำให้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้พร้อมที่จะเดินไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาชมชนนั้น ๆ จึงจะเดินหน้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้และได้เห็นผลงานที่ลงทุนลงแรงไปอย่างจริงจัง (ฉันสรุปตามความคิดเห็นของฉันนะ ไม่เกี่ยวกับวิทยากรที่พูด)

ประมาณ บ่ายสามโมงกว่า ได้ ทางทีมงานก็ให้ผู้เข้าร่วมอบรมสัมมนาพักทานน้ำชา กาแฟ ตามลักษณะของงานอบรมสัมมาที่ทำ ๆ กันมาเป็นประจำ ประมาณ 15-20 นาที เพื่อเข้าห้องน้ำกันด้วย

หลังพักแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ ส.ส. อนุชา ส.ส. รูปหล่อเขตคลองเตยของฉัน มาเป็นผู้บรรยายบ้าง คงเพิ่งมาจากรุงเทพฯ ตอนหาเสียง เขาก็มาหาเสียงที่ซอยบ้านฉันด้วย เรียกว่า หาเสียง เคาะบ้าน สวัสดี กันทุกบ้านเลย น่าเสียดาย ปีนั้น ฉันติดไปยุโรป ไปได้ไปเลือกเขา แต่ฉันก็บอกเขาตรง ๆ ว่า ครั้งนี้ไม่ได้ไปเลือกหรอกนะ เพราะไปต่างประเทศ เขาก็น่ารักนะ บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่า อยากจะไปเลือกผม ก็ปลื้มใจและขอบคุณมากแล้วครับ" นี่เป็นปากของนักการเมืองจริง ๆ ที่ทำให้คนฟังชอบอกชอบใจได้ วาทศิลป์ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักการเมือง การมีไหวพริบ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การรู้จักพูดให้น่าฟัง ล้วนแต่จะส่งผลต่อตัวนักการเมืองและต่อพรรคของตนเองทั้งนั้น นักการเมืองที่ดี จึงต้องรู้จักและระมัดระวังเรื่องของการพูด คำพูด ของตนเอง ยิ่งนัก คำพูดนั้นเปรียบเหมือน งาช้าง "งอกได้แต่หดไม่ได้" นะคะ

ลองชมลีลาของ ส.ส.อนุชาที่ฉันถ่ายมาฝากนะคะ



ส่วนเนื้อหาที่ ส.ส. อนุชา กล่าวให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาฟัง เป็นเรื่องเนื้อหาที่ ฟังแล้ว เหมือนเรื่องที่มาเล่าสู่กันฟัง มาชี้แจง เน้นย้ำ ให้ผู้เข้าอบรมได้เข้าใจ นั่นคือเรื่องประเด็นที่กำลังร้อน ๆ ทางการเมือง ได้แก่ เรื่อง กฎหมายนิรโทษกรรม ที่กำลังถกปัญหากัน เป็นเรื่องร้อนและใหญ่ เรื่องการแก้ไข กฎหมายรัฐธรรมนูญ เรื่อง พระราชบัญญัติเกีี่ยวกับการเงินการคลัง คือ งบประมาณแผ่นดิน เรื่องการกู้เงินสองล้านล้าน ของรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้พุดทุกเรื่องหรอกนะ เพราะเวลามีน้อย เทคนิคการพูดก็ดีนะ มีการตั้งคำถาม เร้าความสนใจ โดยมีรางวัลให้สำหรับคนตอบคำถามถูกด้วย อิอิ เขาก็เล่าเรื่องงบประมาณปี 57 ที่ยังไม่ผ่าน พูดเรื่องการจำนำข้าวที่กำลังมีปัญหา การโกงเกี่ยวกับการจำนำข้าว พูดถึงเรื่องโครงการรถคันแรก ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังก่อปัญหาให้แก่คนซื้อ เพราะผ่อนส่งไม่ไหว โดนยึด ปัญหาจราจร ฯลฯ ฉันฟังแล้วก็ได้ความรู้ต่าง ๆ มากขึ้น ที่จริง ฉันเป็นคนเบื่อหน่ายเรื่องการเมืองมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้ว คือ เบื่อหน่ายการแย่งชิงอำนาจ ความขึ้โกงของนักการเมืองหลาย ๆ คนที่เป็นข่าวกัน การด่ากันในสภา สารพัดเรื่อง ล้วนแต่ไม่น่ารื่นรมย์ทั้งนั้น แต่ฉันก็ไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ตามความพอใจและการพิจารณาแล้วว่า พรรคไหนโกงน้อยที่สุด อิอิ การฟังในครั้งนี้ จึงเป็นเพียงได้ความรู้เพิ่มเติมเท่านั้น ไม่สนุกสนานอะไรเท่าไรนัก

มีคนตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเลขที่ ส.ส.อนุชาถามได้หลายคน อาจจะเคยได้ฟังคำถามอย่างนี้มาเมื่อครั้งก่อนหรืออย่างไร ไม่มีใครทราบ หรืออาจจะเป็นพวกติดตามข่าวคราวด้านการเมืองก็ได้ อิอิ พวกเรานั่งฟังถึงประมาณ น่าจะ 17.00 น.ได้ จึงได้ออกจากห้องสัมมนา มีการนัดหมายให้ไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าและกุญแจห้องที่จะพักคืนนี้ พวกเราโชคดี ทุกคนได้ห้องพักแถบที่มองลงไปเจอชายหาดอันเวิ้งว้างกว้างไกล สวยงาม

พี่จิราพรกับสามี พี่เสริมกับน้องแต้ว ได้อยู่ชั้นสอง ส่วนฉันกับบุษยาได้อยู่ชั้น 3 ห้องนอนก็สะอาดสะอ้านน่าอยู่ มองลงไปก็เป็นชายหาดที่ยาวสุดลูกหูลูกตา น้ำทะเลตัดกับขอบฟ้าไกลเหมือนทะเลจูบกับขอบฟ้าทีเดียว มองแล้วก็สบายใจแต่รู้สึกเหงา ๆ พิลึกเหมือนกัน

เรานอนคุยกันบนเตียง แอร์เย็น ๆ น่านอนมาก สักครึ่งชั่วโมงหลังจากชาร์ทแบตกล้องถ่ายรูปแล้ว ฉันกับบุษยาก็ลงไปที่ชายหาดถ่ายรูปกัน ตอนนี้ประมาณใกล้ 18.00 น. แล้ว แสงแห่งดวงสุรีย์ กำลังจะลาลับจากโลกไป ความมืดมิดกำลังคืบคลานเข้ามาแทนทีแล้ว พวกเราเดินตามชายหาด ชื่นชมกับบรรยากาศที่ยังมีลำแสงอ่อน ๆ ไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงบ่าย มีเด็กวัยรุ่นในหมู่เราเล่นน้ำทะเลไม่กี่คน ในกลุ่มพวกเรา ก็นั่งอยู่ริมหาดชมน้ำทะเลกันไป ฉันกับบุษยาก็ผลัดกันถ่ายรูปตามมุมที่คิดว่าสวย เชิญชมได้ นะคะ







เมื่อถึงเวลานัดทานข้าว คือประมาณ 18.30 น. ผู้เข้าร่วมสัมมนาก็ทยอยกันเข้าห้องประชุม การหาโต๊ะทานอาหารก็ไม่ยากลำบาก เพราะเขามีปักป้ายบอกว่า โต๊ะของรถคันที่เท่าไร เราก็ไปนั่งโต๊ะนั้น ก็ไม่ต้องวุ่นวายหาโต๊ะ พวกเราหกคน นำทีมโดยพี่จิราพรนำหน้าหาโต๊ะ แล้วก็เรียกพวกเราซึ่งเดินอยู่ด้านหลังไปนั่งกันเป็นที่เรียบร้อย เวทีประดับประดาด้วยแสง สี เสียง มีดนตรี มีพิธีกรเริ่มพูด ผู้คนต่างทยอยกันมาเต็มห้องประชุมไปหมด เสียงไมค์ ดังมาก จนฉันต้องแอบไปกระซิบบอก เม ว่า ให้เขาหรี่เสียงลงหน่อย แก้วหูจะแตกอยู่แล้ว เม ก็ไปจัดการให้ พอดีฉันนึกขึ้นได้ว่า ซอยบ้านฉัน ทางเขตบอกจะมาถมที่ในซอยไทยสินทั้ง 3 ซอยให้สูงเท่า ๆ กัน ปรากฏว่า ถมแต่ซอยหนึ่งเสร็จไปนานแล้ว ซอยไทยสินสองและสาม ยังไม่เห็นมาทำให้สักที เลยบอก เม ซึ่งเป็น สข. แต่อยู่เขตวัฒนา เม บอกว่า "อาจารย์มาเลย สก.กรณิศร์ เขตคลองเตยของอาจารย์มาแล้วไปบอกเขาเลย" แล้วเขาก็จูงมือฉันไปหา สก.กรณิศร์ ซึ่งฉันก็พอจะจำหน้าเขาได้ เพราะเคยมาหาเสียงซอยบ้านฉันพร้อม ส.ส. อนุชา นั่นเอง ฉันได้โอกาสเลยถามเขาว่า ซอยไทยสินหนึ่งเขาทำถนนในซอยให้เรียบร้อยนานแล้ว ทำไมไทยสิน หนึ่งและสอง จึงไม่ทำถนนให้สักที เขาก็รีบบอกว่า กำลังดำเนินการอยู่ ตอนนี้ได้ผู้ประมูลแล้ว ภายในปีนี้ได้ทำแน่นอน อิอิ แล้วฉันก็หยอดไปว่า ดีแล้ว เลือกตั้งคราวหน้าเราจะได้เลือกทีมท่านอีกนะ เหอเหอ สนุกดี เนอะ

รายการอาหาร ก็ไม่พ้นของทะเลอีกตามเคยน่ะ ก็เรามาทะเลนี่นา อาหารก็พอทานได้ คล้าย ๆ กับอาหารมื้อกลางวัน ส.ส.อนุชา ก็กล่าวเปิดงาน มี สก.เขตบ้านฉันขึ้นเวทีไปพูดด้วยเหมือนกัน ฉันก็ถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ ชมได้เลยค่ะ









มีรายการจับรางวัลหางบัตรของผู้เข้าอบรมด้วยนะ มีการบอกเบอร์โทรศัพท์ ส.ส.อนุชาและ สก.กรณิศร์ แล้วให้โทรมาหา ผู้แทนสองคนนี้ ใครโทรติดเป็นคนแรกก็จะได้รางวัลไป ที่จริง ไม่ยุติธรรมนะ เพราะคนสูงวัยของโต๊ะเราและโต๊ะอื่น ๆ จะไปกดเลขทันได้อย่างไร เงอะ ๆ งะ ๆ พวกวัยรุ่นหนุ่มสาว ก็คว้ารางวัลไปหมดเลย อิอิ ดูเหมือนจะมีทั้งหมด 4 รางวัล เป็นเตารีดและหม้อหุงข้าว อะไรประมาณนั้น แล้วก็มีการจับฉลาดหางบัตรกัน ก็ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ก็แล้วแต่ดวงใครดวงมัน เนอะ เขาจับฉลากเป็นช่วง ๆ สลับกับการร้องเพลงบนเวที ก็เหล่าผู้แทนทั้งหลายนั่นแหละ เป็นผู้จับไมค์กันร้องเพลง ไม่ต้องไปจ้างนักร้องให้เสียงบประมาณ แต่ก็จ้างนักเต้นนุ่งน้อยห่มน้อยสองคนมาเป็นน้ำจิ้มให้คนดู เต้นแอ่นหน้าแอ่นหลังตามสไตล์ของหางเครื่อง นันแหละ

งานนี้เขามีแจกกระเป๋าตอนเลิกประชุมคนละใบด้วยจ้ะ ตอนกลางคืนงานสังสรรค์ ส.ส. สก. สข. ทั้งหลายแหล่ ก็เดินแจกเสื้อสีขาว มีรูป ส.ส.อนุชา อยู่ด้านหลัง ข้างหน้าเป็นชื่อพรรคและชื่อของ ส.ส.อนุชา แสดงว่า เป็นทุนส่วนตัวของเขามั้ง ขณะที่เดินมาแจกที่โต๊ะฉัน ฉันกระซิบบอกให้ เม เชิญ ส.ส.อนุชาและ สก.ประสิทธิ์ มาถ่ายรูปกับโต๊ะเราด้วย ฉันได้ยิน ส.ส.อนุชา ถามเจ้า เม ว่า "ใครเหรอ" ฉันได้ยิน เม ตอบว่า "อาจารย์ผมครับ" ฮ่าฮ่า คงสงสัยว่า ใครหวา มีสิทธิ์ สั่ง เม ให้เขามาถ่ายรูปกับโต๊ะเรามั้ง ก็สนุกดีเนอะ ฉันขี้เกียจเชิญเอง ก็ไม่ได้คิดอยากดัง ถ่ายรูปกับ นักการเมืองหรอก พอดี ส.ส.อนุชา เคยไปบ้านฉันขอเสียง ส่วน สก.ประสิทธิ์ นิตย์เคยพาไปหาเขาเพื่อจ้างเรื่อง คนเช่าบ้านไม่จ่ายค่าเช่าและเช็คเด้ง อย่างที่ฉันกล่าวไว้ข้างต้นนั่นแหละ

จากนั้น ก็เป็นการเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่างนักการเมืองและผู้เข้าอบรม โดยมีการไปโค้งผู้เข้าอบรม เพื่อรำวงกัน เป็นกิจกรรมรื่นเริง เชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกันนั่นเอง ลองชมภาพดูซิคะ





หลังจากรำวง ดึกพอควรแต่การจับฉลากหางบัตรยังไม่หมด พี่เสริมและน้องแต้วไปนอนก่อน พวกเราที่เหลือ นั่งรอลุ้นรางวัลต่อ จนเขาจับหมดแล้ว แต่งานยังไม่เลิก มีการเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน แต่พวกเราไม่ใช่ขาเต้น ก็เลยขึ้นห้องไปอาบน้ำและนอนดีกว่า โต๊ะเราไม่มีใครได้รางวัลเลยสักคน อิอิ

วันนี้เขาให้ตื่นสายได้ถึง 7.30 น. ทานข้าวเช้า 8.30 น. รถออก 9.30 น.ก็เลยนอนตามสบาย ตื่นเอา เกือบ 7.00 น. บุษยานอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นก่อน อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยเตรียมพร้อม มีเวลาเหลือเฟือ เลยถ่ายรูปและใส่เสื้อที่ได้รับแจกจาก ส.ส.อนุชา (เขาให้ใส่) ถ่ายรูปจากระเบียงซึ่งมองเห็นทะเลอันเวิ้งว้างได้อย่างชัดเจน ท่านผู้อ่านลองชมทัศนียภาพที่ฉันนำมาฝากซิคะ



ฉันกับบุษยาลงไปทานอาหารเช้า ซึ่งจัดเป็นบุฟเฟ่ พี่จิราพรกับแฟนลงไปทานแต่เช้าและเริ่มอิ่มแล้ว แต่ก็นั่งเป็นเพื่อนพวกเรา พี่เสริมกับน้องแต้วลงมาเป็นคู่สุดท้ายในกลุ่มของเรา อาหารเข้า ก็เหมือนโรงแรมทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ มีข้าวต้ม ข้าวสวย ข้าวผัด อาหารฝรั่ง ไส้กรอก ฉันกับบุุษยาตักข้าวต้ม ตักผักบุ้งไฟแดงมาทานกัน มีเกี้ยมฉ่ายยำด้วย ตักไส้กรอกและสลัดผัก ดื่มน้ำส้มไปอีก 2 แก้ว น้ำส้มเขาอร่อย ไม่หวานมากไป

หลังอาหารเช้าแล้ว เราก็ขึ้นไปที่ห้องจัดการเรื่องธุระส่วนตัวและลากกระเป๋ามาขึ้นรถ ช่วงนี้ มีแม่ค้าท้องถิ่นนี้แหละมาขายของพวก ปลาหมึกแห้ง ปลาหมึกที่ทรงเครื่องมีรสเผ็ด ราคาก็ไม่ถูกนัก กิโลกรัมละ 680 บาท ฉันซื้อครึ่งโล ให้แบ่งเป็น 2 ถุง เพื่อไปฝากหมออัครฐานด้วย

รายการวันนี้ ช่วงเช้าเขามีรายการทัศนศึกษาป่าชายเลน เมืองปรานด้วย บางกลุ่มสงสัยเดินไม่ค่อยไหว ก็ไปอยู่ที่ชายหาด พวกเรา 6 คน เดินเที่ยวป่าชายเลน ซึ่งเดินไม่ยากเลย เขาทำเป็นสะพานไม้ให้เดิน สองข้างทางมีต้นโกงกาง แผ่กิ่งก้านสาขาเกาะเกี่ยวกันมากมาย ยึดเลนดินไม่ให้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะดิน เลนที่เราเห็น บางแห่งมีน้ำทะเล เป็นแอ่ง บางแห่งเป็นเลนแฉะ ๆ พวกเราคอยมองและสังเกต จะเห็นปูตัวเล็กบ้าง ขนาดกลางบ้าง เป็นปูที่เรานำมาใส่ส้มตำนะ ไม่ใช่ปูทะเล บางตัวมีสีสันสวยงามมาก แต่ถ่ายรูปได้ไม่ถนัดนัก บางแห่งก็เห็นปลาตีนตัวเล็ก ๆ อยู่ในเลนแฉะ ๆ ตามทางเดิน จะมีการเขียนคำอธิบาย ใส่ไว้ที่กระจก ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวด้วย แต่พวกเราไม่มีเวลาอ่านหรอก เพราะเขาให้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ฉันกับ บุษยาผลัดกันถ่ายรูป เจอ พี่เสริมกับน้องแต้ว ก็ถ่ายรูปให้แกบ้าง เป็นที่สนุกสนาน ท่านลองชมภาพสวย ๆ งาม ๆ ที่ฉันถ่ายมาฝาก นะคะ







แม่ค้าขายปลาหมึกที่เราซื้อจากที่พัก ตามมาขายพวกเราอีกที่นี่ เก่งมากเลย ตอนนีดูเหมือนมีสามีขับรถมาให้ด้วย ตอนเช้าเห็นแต่เอาของตั้งโต๊ะขาย มีไม่มากนัก แล้วก็มีคนไปอุดหนุนอีกหลายคน อาจจะเป็นเพราะซื้อตอนเช้าไม่ทันหรือไม่ทราบก็ได้เนอะ อิอิ

จากป่าชายเลนเมืองปรานแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง ซึ่งอาหารมื้อสุดท้ายของทริปนี้ ร้านอาหารร้านนี้ติดชายทะเล ชื่อว่า ร้าน โอเอ็กซ์ ซีฟูดส์ เสียดายโต๊ะเราไม่ติดชายทะเล แต่ไม่เป็นไรค่ะ ทานข้าวอิ่มแล้ว ฉันก็ไปเก็บทิวทัศน์สวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่านเหมือนเดิม ค่ะ อิอิ ลองชมดูนะคะ



ank>

หลังอาหารเที่ยงแล้ว ถ่ายเก็บทิวทัศน์สวย ๆ แล้ว เราก็แวะไปช้อปที่ร้านขนมแถว ๆ นี้กันต่อ ฉันซื้อสับปะรดกวน ขนมไส้สับปะรดมาฝากเพื่อนบ้าน ลูกศิษย์ที่สนิทและมาหาบ่อย ๆ เราก็ต้องมีน้ำใจให้กับพวกเขาบ้าง ไปไหนมาไหนไม่เหลือบ่าฝ่าแรงในการหิ้ว ก็จะหิ้วมาฝากบ้างล่ะนะ จ่ายขนมไปสองร้อยบาท แล้วก็ต้องรีบไปขึ้นรถกัน เพราะยังมีแหล่งทัศนศึกษาอีกที่หนึ่ง นั่นก็คือ ตลาดน้ำสามพันนาม

ตลาดน้ำสามพันนาม เป็นตลาดน้ำที่กว้างใหญ่พอสมควร วันนี้พอดีเป็นวันจันทร์ ผู้คนก็เลยไม่แออัด เดินสบาย ๆ ถ่ายรูปได้โดยไม่ต้องคอยต่อคิวกัน มาที่นี่ ฉันเน้นถ่ายทิวทัศน์มากกว่าการช้อปปิ้ง ที่นี่ฉันซื้อน้ำพริกนานาชนิด 5 ชนิด ถุงละ 1 ขีด 40 บาท เผื่อฝากคนอื่นบ้าง กินเองบ้าง บุษยาก็ซื้อเช่นกัน ก็เจ้าเก่าทีเราซื้อปลาหมึกอบแห้งกับเขานั่นแหละ เก่งจริง ๆ ก็ยังขายพวกเราได้อีกเยอะทีเดียว อิอิ เรามาชมภาพสวย ๆ งาม ๆ กันดีกว่าค่ะ







จากตลาดน้ำแล้ว ก็มุ่งหน้าไปร้านขนมของฝากอีกที่หนึ่ง ช์่อร้านอะไรฉันก็จำไม่ได้แล้ว ก็เป็นร้านขายขนมสารพัด เชน หม้อแกง ขนมชั้น ข้าวตรู มะขาม สับปะรดกวน ฯลฯ เหมือนร้านที่ฉันซื้อมาแล้วนั่นแหละ ฉันไม้ได้ซื้อขนมอีก เดินหาซื้อมะนาว ได้มา 12 ลููก 30 บาท ก็น่าจะถูกกว่ากรุงเทพฯเล็กน้อย และซื้อถั่วพรูมาอีก 1 ถุง สดมาก ๆ เขาปลูกเอง 10 บาทได้ตั้งถุงใหญ่ น่าจะถึง 20 ฝักล่ะนะ กรุงเทพฯ 5-6 ฝัก ก็ 10 บาทแล้วมั้ง

แวะที่ร้านขนมร้านนี้เป็นร้านสุดท้ายและก็มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯเลย มาถึงที่ปทุมคงคาประมาณน่าจะสองทุ่มได้ ต่างคนต่างล่ำลากันและหารถแท็กซีกลับบ้านกัน บุษยาบ้านใกล้ที่สุดเขาให้น้องมารับและช่วยหิ้วของ ส่วนฉันออกมาเรียกแท็กซี่กลับบ้าน พี่เสริมกับน้องแต้วข้ามถนนไปจ้างแท็กซี่อีกฝั่ง

เฮ้อ! ความสุขสนุกสนานที่ได้ไปเที่ยวโดยการเชิญชวนของเมธวินครั้งนี้ ก็ทำให้ฉันได้เห็นโลกกว้างของโลกการเมืองเพิ่มขึ้น มีความสุขสนานกับการได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยไป ก็ถือว่าเป็นความโชคดีและเป็นความสุขอีกครั้งหนึ่งของชีวิต และขอถือโอกาสขอบใจ ลูกศิษย์เมธวิน ที่อุตส่าห์คิดถึงฉันและนำบัตรมาให้ฉันชวนเพื่อน ๆ ไปร่วมอบมสัมมนากับพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ทำให้หูตากว้างไกลขึ้น ได้ความรู้ ความสนุกสนานให้กับชีวิตของฉันอีกครั้งหนึ่งค่ะ ฉันก็หวังว่า ท่านที่ได้เข้ามาอ่านงานเขียนชิ้นนี้ของฉัน คงจะได้รับความเพลิดเพลินเจริญใจไปได้บ้างพอสมควรค่ะ แล้วพบกันในโอกาสต่อไป นะคะ สวัสดี ค่ะ




Create Date : 24 สิงหาคม 2556
Last Update : 8 ตุลาคม 2556 10:02:51 น. 7 comments
Counter : 1917 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์หนูเพิ่งมีโอกาสมาอัพบล็อก
หลังจากหายไปนาน อิอิ

อาจารย์น่าอิจฉาจริงๆ ค่ะ ได้ไปเที่ยวอีกแล้ว


โดย: Nepster วันที่: 26 กันยายน 2556 เวลา:22:54:01 น.  

 


ขอบคุณมากนะคะที่มาอวยพรวันเกิดให้กาญ พรใดที่อาจารย์อวยพรให้
ขอให้อาจารย์ได้รับพรนั้นย้อนกลับเป็นร้อยเท่าเลยนะคะ

ช่วงนี้กาญไม่ค่อยได้เข้ามาบล๊อกเหมือนเมื่อก่อน
อาจจะห่างหายไปบ้าง แต่ก็ระลึกถึงอาจารย์เสมอค่ะ
อีกสักพักกาญก็จะปิดบล๊อกแล้วค่ะ ต้องสะสางตารางชีวิตประจำก่อน
อาจารย์ดูแลรักษาสุภาพด้วยนะคะ คิดถึงค่ะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:0:57:05 น.  

 

แวะมาอ่านรอบสองค่ะอาจารย์
ปล. อุ้มแวะมาบอกอาจารย์นิดหนึ่งค่ะ
ในเวลาเดินสายคอมเม้นท์น่ะค่ะ
ถ้าอาจารย์ Log in เข้าบล็อกแก๊งค์มาแล้ว
ตอนอาจารย์ไปเม้นท์ที่บล็อกทุกบล็อก
อาจารย์ไม่ต้องพิมพ์ในช่องชื่อนะคะ
เพราะระบบใส่ชื่อให้อาจารย์เรียบร้อยแล้วค่ะ
ไม่งั้นชื่อจะเป็นชื่อซ้ำกัน 2 ชื่อค่ะ
อิอิอิ เป็นปกติของมือใหม่น่ะค่ะ
ไม่ต้องซีเรียส
อาจารย์จะได้ไม่ต้องเหนื่อย
ไม่ต้องพิมพ์ชื่อในช่องชื่อเวลาเดินสายเม้นท์ค่ะ
ปล. อีกที อุ้มชอบมาก
อาจารย์บันทึกเรื่องราวได้ดีมาก
ว่าจะมาโหวตในหมวดไดอารี่ให้น่ะค่ะ



โดย: อุ้มสี วันที่: 22 มีนาคม 2557 เวลา:16:25:09 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล ได้เจอกันเมื่องาน bloggang แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน (มี๊เก๋ใส่หมวกสีชมพูใหญ่ๆ ค่ะ)

วันนี้เลยขอตามมาเที่ยวด้วยคยค่ะ


โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 24 มีนาคม 2557 เวลา:11:53:05 น.  

 
สวัสดี ค่ะ คุณมี้เก๋ ดีใจและขอบใจที่แวะไปเยี่ยมที่บล็อกครู ค่ะ ทำให้ครูคลิกชื่อมี้เก๋ได้ และได้เข้ามาชมดอกไม้สวย ๆ ที่คุณนำมาฝากชาวบล็อกค่ะ ครูยังใหม่มาก ไลท์ถูก โหวดถูกไหม ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มีอะไรก็ช่วยแนะนำคนแก่หน่อยนะคะ อิอิ โดย : อาจารย์สุวิมล

ดีมจมากๆค่ะที่ได้เจอกัน รูปที่ถ่ายมาฝาก สวยมากๆเลยค่ะ ธรรมชาติเลย ^^ ขอบคุณนะคะ
วันก่อนมี๊ยังโดนแนะนำเรื่องโหวตผิดเลยค่ะ 55555


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 25 มีนาคม 2557 เวลา:13:40:38 น.  

 
วันนี้ไปเที่ยวเกษตรแฟร์ มา เห็นพันธุ์ไม้มากมาย ทั้งไม้ดอก ไม้ผล ทำให้คิดถึงบล็อกดอกไม้สวย ๆ ของคุณมี้เก๋ จ้ะ โดย : อาจารย์สุวิมล

ครอบครัวเรายังไม่เคยไปงานเกษตรแฟร์เลยค่ะ อาจเพราะไกลบ้านไปหน่อย แต่จะหาโอกาสไปให้ได้เลยค่ะ ขอบคุณที่คิดถึงและไปเยี่ยมน้องซีนะคะ ^^


โดย: มี๊เก๋+ป๊าโอ๋=ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 27 มีนาคม 2557 เวลา:9:11:25 น.  

 
ชอบ


โดย: ปิยะณัฐ IP: 180.183.131.190 วันที่: 27 พฤษภาคม 2557 เวลา:15:58:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space