คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

ระเบียงไพร .....ความทรงจำ ดี ๆ อีกครั้งหนึ่งของชีวิต
ระเบียงไพร ......ความทรงจำดี ๆ อีกครั้งหนึ่งของชีวิต

ชีวิตของคนเราย่อมจะต้องเผชิญกับความสุข ความทุกข์คละเคล้ากันไปเสมอ ชีวิตของฉันก็คงไม่ผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ เช่นกัน ถึงฉันจะโชคร้ายในด้านความรักฉันหนุ่มสาว แต่ฉันไม่เคยโชคร้ายในด้านความรักที่ลูกศิษย์มีให้กับฉันเลย ฉันมีความรู้สึกว่า ชีวิตของฉันตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากที่ฉันต้องสูญเสียแม่อันเป็นที่รักยิ่งของฉันไปแล้ว สิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิตของฉัน และทำให้ฉันมีความสุข แช่มชื่นในชีวิตโสดของฉัน ก็คือ ลูกศิษย์หลาย ๆ รุ่นที่ฉันได้อบรมสั่งสอนไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยลืมฉัน เขาไปเที่ยวที่ไหน ก็มักจะมารับฉันไปเที่ยวกับพวกเขาเสมอ นี่ถือเป็นความ โชคดี ความอบอุ่นใจของฉันที่ได้รับจากลูกศิษย์ของฉัน

วันที่ 24-25 กันยายน 54 เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ลูกศิษย์ ม.3 ซึ่งฉันเข้าไปสอนแทนห้องเขาเพียง 1-2 ครั้ง มั้ง เขาเจอกับฉันที่เฟสบุ๊ค ก็ทักทายกันในฐานะ ลูกศิษย์ ครู โรงเรียนเดียวกัน จนคุยกันอย่างสนิทสนม และให้ความรัก ความเคารพฉันตลอดมา จนนำไปสู่การนัดทานข้าวกัน เที่ยวด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนของเขา ท่าน ผู้อ่านที่รัก เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ นะคะ ถ้าปราศจากความรัก ความผูกพัน และมีวาสนาต่อกัน ฉันจึงได้บอกว่า ความรัก ความผูกพัน เช่นนี้ เป็นความรักที่ผูกพัน บริสุทธิ์ กว่าความรักฉันหนุ่มสาว ฉันโชคดีในด้านความรัก ความผูกพันที่ลูกศิษย์มีต่อฉันเสมอ สิ่งเหล่านี้ ฉันถือว่า เป็นความสุขที่ยั่งยืน มั่นคง และปราศจากเรื่องเงินตราและสิ่งอื่นใดมาเกี่ยวข้อง มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่ลูกศิษย์เขามอบให้ครูของเขาโดยแท้จริง บริสุทธิ์ ไม่ได้คิดถึงเรื่องกำไร ขาดทุนที่จะได้รับ นั่นเอง ช่างผิดกับความรักฉันหนุ่มสาวที่ฉันเคยพบเจอจริง ๆ

ปู มารับฉันประมาณ แปดโมงเช้าของวันที่ 24 กันยายน โดยมีติ้ม แม่บ้านเพื่อนของกลุ่มเขา ที่เป็นผู้แพลนงานทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องกิน เรื่องที่อยู่ สถานที่เที่ยว เพื่อนในกลุ่มทุกคนยกนิ้วให้ ติ้ม ว่าเป็นสุดยอดของเพื่อน ถ้าขาดติ้มไปสักคน พวกเขาต้องรู้สึกเหมือนขาดแขน ขาดขา ฮิฮิ แล้วฉันก็ได้เห็นความเป็นแม่บ้านสุดยอดจริง ๆ ตามที่เพื่อน ๆ ของ ติ้ม เล่าให้ฉันฟัง

พอรถจอด ติ้มรีบลงจากรถ กุลีกุจอ มาช่วยฉันเอา กระเป่าเดินทางขึ้นรถไป หลังรถ ปาเจโรของ ปู เต็มไปด้วยของกินของใช้ และเครื่องเสียงเพื่อจะให้เพื่อน ๆ ได้มีความบันเทิงใจกัน ทุกอย่างเตรียมพร้อมเพียบ เตาปิ้งย่าง สุดยอดแม่บ้านจริง ๆ ฉันขอยกนิ้วให้ สมแล้วที่เพื่อนในกลุ่มยกให้เป็นผู้นำในการบริหารจัดการ

ระหว่างทาง พวกเขาเล่าให้ฉันฟังว่า น่าเสียดาย เพื่อนของเขาอีกสองคนที่จะไปนั้นเกิดติดราชการด่วนไปไม่ได้เสียแล้ว ชื่อตุ้ย ซึ่งออกไปในทางผู้หญิง ๆ หน่อย ตุ้ยเขาก็อยากเจอหน้าฉัน ฉันก็อยากเจอหน้าเขา เพราะเพื่อน ๆ ของเขาเล่าวีรกรรมของเขาให้ฟังไว้เยอะทีเดียว ตั้งแต่ไปทานข้าวที่บางปะกงคราวที่แล้วก่อนที่ฉันจะเดินทางไปแวนคูเวอร์ พลาดเป็นครั้งที่สองที่ไม่ได้เจอกันอีกแล้ว คราวนี้ติดราชการเกี่ยวกับการทำบัตรประชาชนให้ นักเรียน เขาเป็นปลัดอำเภอจ้ะ เลยไม่พ้นหน้าที่ของเขา รุ่งขึ้นก็ต้องไปแจกถุงยังชีพ ช่วยน้ำท่วมอีก ปลีกตัวมาไม่ได้จริง ๆ ทุกคนก็อภัยให้ทั้งนั้น สาธุ ก็เพื่อนไปทำหน้าที่ ไปทำความดี จะว่าได้อย่างไรล่ะ จริงมะ

ส่วน หน่อย (ผู้ชายนะจ๊ะ) ก็ไปรับ โอ กับลูกสาว (น้องรินทร์) แล้วนัดเจอกันที่ ร้าน มนต์รักคลองสิบห้า เป็นร้านที่ขายน้ำสารพัดชนิด จัดร้านได้สวยงามมากเหลือเกิน เราถ่ายรูปกันไว้เป็นที่ระลึกหลายรูปทีเดียว ท่านผู้อ่านชมดูนะคะ




ติ้มสั่งชาเขียวมะนาวให้ฉัน 1 แก้ว สั่งขนมมา 2 ชิ้นใหญ่มากินเพื่อรอรถคันของหน่อยด้วย ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้มั้ง รถของหน่อยก็มา ให้พักทานน้ำและขนมแล้วพวกเราก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครนายกต่อไป เราตั้งใจจะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้าน ครัวคุณรัฐ ซี่งมีผู้แนะนำว่า เป็นร้านที่อาหารอร่อยมาก ระหว่างการเดินทาง สองฝั่งของถนน มีทิวเขาเขียวชอุ่ม ฉันรู้สึกและสังเกตได้ว่า นครนายกเป็นจังหวัดที่ยังมีภูเขาเขียวชอุ่มมากกว่าจังหวัดที่ผ่านไปทางเหนือมากทีเดียว คงจะเป็นป่าที่ยังไม่ถูกบุกรุกทำลาย และมีป่าสงวนมากอยู่ จึงทำให้เขียวชอุ่ม ไม่หัวโล้นเหมือน ทางผ่านที่ขึ้นไปทางเหนือเลย น้ำปีนี้ ท่วมมากเหลือเกิน จังหวัดนี้ ฉันเห็นท้องทุ่งนา ก็มีน้ำท่วมขังบ้าง แต่ดูไม่มากและน่ากลัวเหมือนกับจังหวัดอื่น ๆ ที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์

ระหว่างที่จะไปทานอาหารเที่ยง ฉันเกิดคิดได้ว่า จ๊อยเพื่อนรักของฉันคนหนึ่งเขาย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนปิยชาติ เป็นโรงเรียนที่ติดกับโรงเรียน จ.ป.ร. นานแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ฉันเคยหาเบอร์โรงเรียนนี้และโทรหาเขา เลยได้คุยกันและแลกเบอร์มือถือกัน ฉันจึงลองโทรหาเขา ปรากฏว่า เขาไปกรุงเทพฯ และถามฉันว่า "อยู่ไหน" ฉันบอกเขาว่า "ฉันมานครนายก" เขาถามว่า "มากับใคร" ฉันเล่าให้เขาฟังว่า "ลูกศิษย์ฉันพามาเที่ยว" เขาก็น่ารักมาก บอกว่า "เย็นนี้เขาจะมาหาฉันที่บ้านพัก" ที่ระเบียงไพร ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่นครนายก

กว่าจะได้เจอครัว คุณรัฐ ไกลมาก ต้องติดใจในรสอาหารและอดทนจริง ๆ จึงจะมาทานอาหารที่นี่ได้ ระหว่างทางที่จะไป ร้าน ครัวคุณรัฐ ตามคลองที่ผ่านไป จะเห็นน้ำท่วมปริ่มถนนทีเดียว แม้แต่ร้าน ครัวคุณรัฐ ก็ท่วมในบางจุด พวกเด็ก ๆ สั่งอาหาร จะให้ฉันสั่งด้วย ฉันบอกว่า "สั่งไปเถอะ ครูกินได้ทั้งนั้น ยกเว้น เนื้อวัวที่ครูไม่ทาน" อาหารที่สั่ง ส่วนใหญ่เป็นปลาและไก่ เพราะว่า โอ เป็นมุสลิมนั่นเอง อาหารของร้านนี้ก็อร่อยพอสมควร จ๊อยบอกว่า เป็นร้านอาหารที่ถือว่าอร่อยร้านหนึ่งของจังหวัดนี้ด้วย ฉันก็เห็นมีรถเก๋งมาจอดกินกันหลายคันเหมือนกัน พวกเราถ่ายรูปอาหารเอาไว้ด้วย กินไปคุยไป เด็ก ๆ ก็เอาใจใส่ฉันดีมาก ตักโน่นตักนี่บริการฉันเป็นอย่างดี กลัวฉันจะเหงา เพราะไปคนเดียว ตอนต้น พี่อวยว่าจะไปด้วยแต่ก็บอกว่าติดงานทางกาชาดเลยไปด้วยไม่ได้ ฉันบอกเด็ก ๆ ว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องกลัวครูจะเหงาหรอก ครูไปเที่ยวกับรุ่นน้อง รุ่นพี่เธอ ก็ไปเดี่ยว ๆ อย่างนี้แหละ พวกเขาเลยเบาใจ ฉันก็ตื้นตันใจเหลือเกินที่พวกเขาดีกับฉันมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สอนอะไรเขาเสียด้วยซ้ำ ฉันถึงได้บอกว่า ความรัก ความผูกพัน ระหว่างครูและลูกศิษย์ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีแปรผันเหมือนความรักฉันหนุ่มสาวอย่างแน่นอน











เป็นอย่างไรบ้างคะ เห็นรายการอาหารที่นำมาลงให้ชมนี้ หน้าตาน่าทานทั้งนั้นเลยใช่ไหมคะ โดยเฉพาะปลาช่อนราดน้ำ ยำ อร่อยสุด ๆ เลย ค่ะ รสชาติของเขาจัดจ้านดีจริง ๆ ค่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกนะคะ เดี๋ยวจะเข้าใจฉันผิด ฮิฮิ )

พวกเรานั่งทานอาหารมื้อเที่ยงมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย เวลาผ่านไปประมาณไม่ถึงชั่วโมงดีนัก แล้วพวกเราก็รู้สึกว่าใต้โต๊ะทานข้าวของเรามีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น ก้มหน้าลงไปดู โอ้โห! น้ำจากคลอง ข้าง ๆ ห้องอาหารที่เรานั่งนั้น มีน้ำไหลจากคลองนั้นเข้ามาในห้อง พวกเราต้องชักเท้าหนีน้ำกันจ้าละหวั่น สนุกเหลือหลายเสียแล้ว พวกเราเลยเลิกเม้าส์กัน เรียกพนักงานมาเช็คบิล ประตูทางเข้า ซึ่งตอนขาเข้าห้อง เขาใช้อิฐบล็อกให้เราเหยียบเพื่อเข้าห้อง ตอนนี้ก็เริ่มมีน้ำปริ่มจะท่วมอิฐบล็อกเหล่านั้นแล้ว เสมือนหนึ่ง น้ำจะไล่แขกให้อิ่มเร็ว ๆ อย่างนั้นแหละ มื้อนี้ จ่ายไปพันแปดกว่า บาท ติ้มแม่บ้านควักเงินจ่ายไปอย่างเรียบร้อย ทุกคนมอบหมายทุกอย่างให้ ติ้ม จัดการแต่เพียงผู้เดียว ติ้มบอกว่า "ทุกคนไม่ต้องทำอะไรนะจ๊ะ เอาแต่ตัวและหัวใจ ไปเท่านั้นก็พอ" ตอนต้น ฉันแปลกใจมาก เพราะฉันเพิ่งไปพักเที่ยวกับพวกเขาเป็นครั้งแรก ฉันถามโปรแกรมว่า มีอะไรบ้าง เพื่อฉันจะได้เตรียมตัวถูก เพราะสถานที่บางแห่งไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้ เช่น ไปปลูกป่ากับลูกศิษย์อีกรุ่นหนึ่ง ที่พักเป็นของทหาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่มีเลย เราต้องเตรียมไปหมด แม้แต่ขันน้ำอาบน้ำ ฉันจึงต้องถาม เพื่อจะได้เตรียมการถูก ปรากฎว่า ปู บอกว่า "ไม่ทราบค่ะ ต้องถาม ติ้ม ทุกคนไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วแต่ว่า ติ้มจะพาไป เตรียมการให้หมด" เป็นทริปที่แปลกดีเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า ติ้ม เป็นเพื่อนที่เพื่อนฝูงไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง น่าภูมิใจแทน ติ้มเหลือเกิน ที่ ติ้ม ได้รับเกียรติจากเพื่อนฝูง และเขาก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะทำให้เพื่อนฝูง ครู อาจารย์มีความสุข เฮ้อ ! หายากจริง ๆ ฉันได้เห็นประจักษ์กับตาครั้งนี้ หลังจากที่ได้ยินเพื่อนของเขาเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้ว ฉันไม่เคยเห็นติ้มบ่นอะไรเลยสักคำ ฉันไปหยิบจับช่วยอะไรเขาบ้าง ก็บอกวา "อาจารย์ไม่ต้องทำอะไรค่ะ เดี๋ยวพวกหนูจัดการเอง อาจารย์ไปนั่งพักผ่อนให้กำลังใจพวกหนู ก็พอ ค่ะ" นี่หละน้ำใจของ ลูกศิษย์ของฉันที่ฉันรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน พวกเขาดีกับฉันมาก คำน้อยไม่เคยพูดให้เสียน้ำใจ เสียความรู้สึก ฉันบอกกับปูและโอว่า "มาเที่ยวนี่ให้ครูช่วยออกค่าใช้จ่ายบ้างนะ" พวกเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็ง "ไม่ต้องออกอะไรเลย พวกหนูจัดการเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย อาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น" ฉันฟังแล้ว ก็รู้สึกตื้นตันใจมาก นอกจากคำว่า "ขอบใจ" แล้วก็ไม่รู้จะให้ทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น

ออกจากร้านอาหารแล้ว หน่อยขับรถนำหน้าไปเที่ยววัด เขาทุเรียน ชื่อแปลกจังเลยเฮะ วัดนี้ ได้ชื่อว่า มีห้องส้วมที่สุดยอด ตัววัดทาสีชมพู ดูสวยงามแปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง มีรถทัวร์มาลงชมเที่ยววัดนี้หลายคัน พวกเราไปกราบไหว้พระและทำบุญใส่ตู้บริจาค เจ้าอาวาสรดน้ำมนต์ให้พวกเราด้วย เพื่อเป็นสิริมงคลตามความเชื่อ แต่ฉันคิดว่า นั่นเป็นเพียงจิตวิทยาทำให้คนสบายใจเท่านั้น คนจะเจริญ จะมีมงคลหรือไม่ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดี คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต่อให้รดน้ำมนต์หมดขัน ก็คงเกิดมงคลไม่ได้อย่างแน่นอน จริงไหมล่ะคะ

เมื่อได้กราบไหว้พระ และได้รับน้ำมนต์จากท่านเจ้าอาวาสแล้ว พวกเราก็ไปเดินตลาดซื้ออาหารเพิ่มเติม ได้กุ้งตัวโตมาก ราคาก็ถูกจังโลละ 200 บาทเท่านั้น ซึ่งที่กรุงเทพฯต้องไม่ต่ำกว่า 280 บาท แน่นอน ซื้อปูม้าอีก น่าจะโลครึ่ง ราคาก็ถูกอีก โลละ 160 บาท เท่านั้น ถึงจะตัวเล็กก็ตาม ก็ถูกกว่ากรุงเทพฯ ฉันเคยไปซื้อที่แถวสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นแหล่งขายของทะเล โลหนึ่งยังตั้ง 240 เลย ตัวก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก เราจะเอาไปปิ้ง ย่าง หรือนึ่ง น้ำจิ้มปู กุ้ง ติ้ม ทำมาเสร็จสรรพ พร้อมมูลทีเดียว แล้วก็เดินหาซื้อผลไม้ ของดอง ของแช่อิ่ม (ของโปรดของฉันเลยนะ ของหมักดองน่ะ) มีมะดันแช่อิ่ม มะม่วงแช่อิ่ม กระท้อนแช่อิ่ม ของอร่อยทั้งนั้นเลย มีพริกเกลือให้จิ้มกินด้วย ผลไม้ เราได้ส้มโอ ไม่รู้ใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "เฮ้ย! โอ ฉันอยากกินหมูสะเต๊ะ แกจะว่าอะไรไหม" (โอ เป็นมุสลิม) เจ้า โอตอบแล้วทำตาค้อน ๆ อย่างน่ารักว่า "ไม่หรอกเพื่อน ตามสบายเลย" ฉันต้องหัวเราะ พวกเพื่อนเขาเหล่านี้ เป็นเพื่อนซี้กันจริง ๆ ฉันเห็นความรัก ความกลมเกลียวและมิตรภาพของพวกเขาแล้ว ก็ชื่นชมพวกเขาเหลือเกิน ชีวิตของคนเรา มิตรภาพ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันเป็นสิ่งสวยงาม ไม่มีอะไรมาขวางกั้นมิตรภาพที่เหนียวแน่นได้ (ถ้าเป็นมิตรภาพที่จริงใจต่อกัน) ไม่มีความรักใดจะดีไปกว่า ความรักแห่งมิตรภาพจริง ๆ (ยกเว้น ความรักของพ่อแม่) ฉันคิดว่า ถ้าเรามี ความรัก ความผูกพันในฐานะแห่งความเป็นเพื่อนจะเป็นความรักที่ยั่งยืนกว่าความรักระหว่างหนุ่มสาว ความรักจากความเป็นเพื่อนที่กลายไปเป็นคู่รัก เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนแปรไปอย่างไร้เหตุผล จะเรียกร้องมิตรภาพที่เคยมี เคยผูกพันกลับไปสู่สภาพเดิม มันไม่มีทางจะเป็นไปได้แล้วจริง ๆ ใครหนอ จะทำใจได้ เหมือนแก้วน้ำที่แตกร้าว จะหากาววิเศษอะไรมาต่อติดให้คงสภาพเดิม มันเป็นไปไม่ได้อยู่ดี ฉันจึงคิดว่า เมื่อเรามีเพื่อนที่ดี จริงใจต่อกัน จึงควรถนอมมิตรภาพแห่งความเป็นเพื่อนให้จีรังยั่งยืนตลอดไป ท่านผู้อ่านว่า จริงไหมคะ

หลังจาก ซื้อของกินเตรียมพร้อมเพิ่มเติมแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังที่พัก อันมีนามกรว่า "ระเยียงไพร แวลลีย์"






ถนนหนทางที่จะไป "ระเบียงไพร แวลลีย์" ดูลึกลับ ซับซ้อนมาก เหมือนเราขับรถผ่านทิวเขาต่าง ๆ เข้าไปในป่า ทางที่ผ่านไปนั้น บางแห่งเป็นถนนสายแคบ ๆ สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่ม รกรุงรัง นาน ๆ จะเห็นชาวบ้านผ่านมาด้วยจักรยายคู่ชีพสักคันหนึ่ง บางแห่งที่ผ่านไป มีน้ำเจิ่งนอง คงเกิดขึ้นจากน้ำหนองคลองบึง ในบริเวณนั้น ๆ มีป้ายบอกสถานที่ต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวอยากจะไป เช่นเดียวกับ ป้ายบอกทาง ไป ระเบียงไพร แวลลีย์ ก็มีบอกไว้ตลอดทางเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แขกที่จะมาพักนั่นเอง ขับรถจากตลาดมาเป็นชั่วโมง เราก็มาเจอ ถนน ที่กว้างหน่อย ข้างซ้ายมือ เป็นภูเขาสูง มีต้นไม้ขึ้นเขียวขจี ทางขวามือเป็นอ่างเก็บน้ำไม่ใหญ่นักแต่น้ำใสสะอาด สายลมที่พัดผ่านเหนือน้ำในอ่างเก็บน้ำ ทำให้น้ำเป็นละลอกคลื่นน้อย ๆ พลิ้วไปตามสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านไป ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าชื่นชมเสียนี่กระไร พวกเราเลยต้องหยุดรถ เพื่อเก็บภาพความงามเหล่านี้ไว้ คนละกี่ภาพ ก็แล้วแต่ความคงทนต่อสายแดดที่แผดเผาจนแสบผิวในยามบ่ายแก่จัด ๆ นี้ ฉัน ปู ติ้ม ลงไปแอกชั่น คนละ 2 รูป แล้วก็ขึ้นรถ จ้ะ ไม่ไหวร้อนเหลือเกิน เหมาะสำหรับมานั่งชมช่วงเย็น ๆ คงโรแมนติคมากกว่านี้ ท่าน ผู้อ่านลองชื่นชมกับภาพอ่างเก็บน้ำ "ทรายทอง" พร้อมภาพของ พวกเราซิคะ







หลังจากเก็บความงามของอ่างเก็บน้ำทรายทองเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินทางต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงตัว "ระเบียงไพร แวลลีย์ " ว้าว! สถานที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ จัดมุมน้ำตกจำลองเล็ก ๆ ให้คนที่มาเที่ยวชื่นชม ถ่ายภาพ บ้านพักปลูกเป็น หลัง ๆ มีชื่อบ้าน ให้ด้วย เช่น ศาลาอโศก ศาลาชวนชม เป็นต้น ส่วนใหญ่ตั้งตามชื่อพันธุ์ไม้ตาง ๆ เป็นบ้านที่สร้างจากไม้ ไม่เป็นปูนเหมือนบ้านพักทั่ว ๆ ไป ดูเข้าก้บบรรยากาศของป่าเขาลำเนาไพร รถเราจอดอยู่หน้าสำนักงาน เพื่อติดต่อบ้านพักที่จองไว้ หลังจากได้กุญแจห้องพัก จ่ายค่าที่พักแล้ว รถเราก็เข้าไปจอดยังที่ที่เขาให้แขกที่มาพักจอด ซึ่งห่างจากบ้านที่พักไม่มากนัก พวกเราเตรียมของที่นำมานั้นกองไว้ที่พื้นก่อน เพื่อรอรถของที่นี่มาบรรทุกไปส่งที่พัก



เมื่อถึงที่พัก พวกเราก็ช่วยกันหอบของสัมภาระ ทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า ของใช้ ของกิน ขึ้นบ้านไป ซึ่งเป็นบ้านที่ติดกับทางไหลผ่านของน้ำตก "คลองตาอิน และ น้ำตก "ทรายทอง" บรรยากาศรอบ ๆ บ้านพัก สวยสดงดงามด้วยสภาพของธรรมชาติ แท้ ๆ ตัวบ้าน ก็ปลูกสร้างด้วยไม้ พื้นไม้ ห้องน้ำถึงจะมีพื้นเป็นปูน แต่รอบ ๆ ภายในห้องน้ำกลับใช้ไม้ไผ่มาเรียงไว้รอบ ๆ สิ่งที่จะให้วางสบู่ ที่สำหรับวางเสื้อผ้า ล้วนแต่ทำด้วยไม้ไผ่ทั้งนั้นเลย ห้องนอน มีสองห้อง ห้องใหญ่ จัดเป็นสองฟาก เป็นที่นอนปูติดกันข้างละ 4ที่ รวมสองฝั่งเป็น 8 ที่ ตรงกลางของห้องใหญ่เป็นที่โล่งเป็นพื้นไม้ สำหรับให้นั่งคุยกัน มีโทรทัศน์ ให้เราต่อเครื่องเสียงร้องคาราโอเกะได้ มีเครื่องปรับอากาศ ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องเล็ก สามารถนอนได้ 2-3 คน มีห้องน้ำ โทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศเช่นกัน สรุปง่าย ๆ ก็คือ สามารถนอนได้ประมาณ 15 คน อย่างสบาย ๆ ท่านลองชมห้องพักได้ค่ะ ฉันถ่ายรูปไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ชมด้วยค่ะ (ไมได้ค่าโฆษณาหรอกนะค่ะ อิอิ)



ติ้ม เริ่มนำเครื่องเสียงออกจากกล่อง นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ต่อสายไฟ เสียบโน่นเสียบนี่อย่างชำนาญการ เพื่อเตรียมพร้อมให้เพื่อน ๆ ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ไปพลาง ๆ ก่อน จากนั้น ก็เริ่มไปเตรียมรายการอาหารที่จะทานกันเล่น ๆ ฉัน โอ ติ๊ก (น้อง ติ้ม) และ ปู เป็นผู้ช่วย ซึ่ง ติ้มบอกฉันว่า "อาจารย์ไปนั่งเถอะ เดี๋ยวพวกหนูจัดการกันเอง อาจารย์นั่งพักผ่อนดีกว่า " แต่ฉันไม่ฟังหรอก จะให้นั่งเฉยรอกิน ฉันก็ไม่ชอบ มันไม่สนุกน่ะซี ฉันกับติ๊ก เอากุ้งและปูม้าที่ซื้อมานั้นไปล้างให้สะอาด โดยต้องไปล้างที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ตรงระเบียงที่พักเขามีโต๊ะกับเก้าอี้ม้ายาวให้นั่งอย่างละ 1 ตัว เท่านั้น ติ้มเอาเตาแก๊สเล็ก ๆ ออกมา มีหม้อเล็ก ๆ สำหรับนึ่งปู นึ่งได้ครั้งละ 3-4 ตัว กว่าจะนึ่งหมด ก็หลายกระทะเหมือนกัน สนุกสนาน แกะปูจิ้มน้ำจิ้มที่ติ้มตำมาจากบ้าน อร่อยมากเลย เจ้าหน่อย ชอบดื่มเหล้ามาก ติ้มก็เตรียมเหล้าอย่างดีมาให้ 1 ขวดใหญ่ ฉันไม่อยากให้หน่อยดื่มเหล้าเลย เพราะรู้สึกเจอกันครั้งนี้ หน้าเขาออกจะบวม ๆ ขอบตาก็ดำเหมือนคนอดหลับอดนอน แต่เขาก็ยังร่าเริง คุยเล่นสนุกสนาน และปะคารมกันเจ้าโอ ได้อย่างสนุกสนาน ฉันได้แต่เตือนเขาบ้างว่า อายุมากขึ้นทุกวันอย่าดื่มให้มากนัก มันไม่ดีต่อสุขภาพ เขาก็ยิ้ม ๆ รับว่า "ครับ" แต่ฉันก็เห็นเขาดื่มตลอดเวลา ฉันเลยเปลี่ยนจากการห้ามมาเป็นให้เขาทานกับข้าวไปบ้าง ปู ก็ช่วยแกะกุ้งให้เขาด้วย ทุกคนต่างก็เป็นห่วงสุขภาพของเขาเหมือนกัน ได้แต่เตือน ๆ กันเท่านั้น ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะต่างคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนั่นเอง การอดเหล้า มันต้องขึ้นอยู่กับจิตใจที่เข้มแข็งของตัวของเขาเอง

ฉันนั่งแกะปูและกุ้ง (กินกุ้งที่นึ่งมาจากบ้านแล้ว ที่ซื้อมาใหม่จะใช้ปิ้งเอา) จิ้มน้ำจิ้มไปด้วย อร่อยดี ตามด้วย มะดัน มะม่วงและกระท้อนแช่อิ่ม รวมทั้งส้มโอ รสอร่อย หวานอมเปรี้ยว
ท่านชมแม่บ้านและพวกเราที่ช่วยกันนึ่งปูได้ค่ะ ฉันเก็บภาพมาฝากด้วยค่ะ





ที่นี่โทรศัพท์มือถือของหลายคนใช้ไม่ได้เลย ของฉันไม่มีคลื่นเอาเสียเลยทั้งดีเทคและเอไอเอส ของหน่อย มีคลื่นสามขีดแต่ก็โทรออกไม่ได้ รับก็ไม่ได้ อากาศเริ่มขะมุกขมัวแล้ว บรรยากาศรอบ ๆ บ้านเริ่มถูกปกคลุมด้วยแสงมัว ๆ เสียงฟ้าร้องครืน ๆ ผสานกับเสียงน้ำตกที่ไหลผ่านหลังบ้านที่เราพัก เสียงดัง ซ่า ๆ ครืน ๆ ผสมผสานกันไป เป็นเสียงธรรมชาติเหมือนเสียงฝนตก แต่ไม่ใช่เป็นเสียงน้ำตก พักใหญ่ ๆ ฝนเริ่มโปรยลงมาแต่ไม่แรงมากนัก พวกเราเริ่มย้ายสัมภาระเข้าไปในบ้าน ฉันเริ่มวิตกว่า ทำไมจ๊อยเพื่อนของฉันถึงยังไม่มาหาฉันที่บ้านพัก เออ ! ก็โทรศัพท์ฉันใช้โทรออกก็ไม่ได้ รับก็ไม่ได้ จ๊อยอาจจะโทรหาฉันแล้วก็ได้ ฉันบ่นให้เด็ก ๆ ฟัง โอก็เลยบอกว่า "เอาของหนูโทรเลยค่ะ ของหนูโทรออกได้" ฉันเลยบอกเบอร์จ๊อยให้ โอ โทร พอจ๊อยได้ยินเสียงฉัน ก็ต่อว่าทันทีว่า "ทำไมเจ๊แอ๋วไม่รับโทรศัพท์จ๊อยเลย จ๊อยโทรหาเจ๊แอ๋วเป็นสิบครั้ง" ฉันเลยต้องอธิบายว่า โทรศัพท์ของฉันทั้งสองเครื่องใช้ไม่ได้เลย มีของลูกศิษย์ใช้ได้แค่สองเครื่องเท่านั้น ปรากฎจ๊อยหลงไปหาทางน้ำตกไทรโยค สาริกา นึกว่าที่พักของพวกเราจะอยู่แถวนั้น ฉันจึงต้องให้ ติ๊ก ซึ่งเป็นคนรู้จักเส้นทางดีอธิบายให้จ๊อยฟัง และในที่สุด จ๊อยและสามีของเขาก็มาถึง ระเบียงไพร ที่พักของพวกเรา ฉันและจ๊อยต่างดีใจมาก เพราะไม่ได้เจอกันนานมาก ต่างคุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน เด็ก ๆ น่ารักมากจัดขนม น้ำดื่ม มาต้อนรับแขก โดยที่ฉันไม่ต้องออกปากเลย จ๊อยบอกว่า ตั้งใจจะพาฉันไปกินข้าวมื้อเย็น ฉันบอกเขาว่า เกรงใจ ฉันไม่ได้มาคนเดียว มีลูกศิษย์มาด้วยหลายคน จ๊อยบอกไม่เป็นไรหรอก แต่คืนนี้ พวกเราก็สั่งข้าวผัด แกงเลียง ผัดผักหวานกินกันแล้ว แล้วยังมี ปูนึ่ง กุ้งเผา กุ้งนึ่ง อิ่มกันอยู่แล้ว จ๊อยเลยบอกว่างั้นนัดกันพรุ่งนี้มื้อเที่ยง จะพาไปกินข้าวและพาเที่ยวใน จ.ป.ร. ด้วย เป็นน้ำใจของเพื่อนรัก ถึงจากกันไปหลายปี จ๊อยเขาก็ยังน่ารักเหมือนเดิม สามีเขาก็ร่าเริง มีมนุษยสัมพันธ์ดี เพิ่งเกษียณอายุราชการปีนี้เอง คุยกันได้ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ได้ ฝนก็ตกเปะ ๆ หนักขึ้นทุกที ขณะนั้นประมาณสองทุ่มแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาและสามีขับรถกลับบ้านดึก ๆ จึงบอกเขาว่า กลับบ้านเถิด ดึกแล้วจะขับรถลำบาก จ๊อยจึงนัดแนะว่า พรุ่งนี้จะมารับพวกเราประมาณ 11 โมง เพื่อไปทานข้าวเที่ยงและพาไปเที่ยวใน จ.ป.ร. แต่เด็ก ๆ ต่อรองว่า ขอเป็นเที่ยง เพราะตอนเช้า ๆ จะไปเล่นน้ำตกกัน กลัวว่าจะเก็บของสัมภาระต่าง ๆ ไม่ทัน จ๊อยก็โอเค ตกลงตามนั้น ติ้ม ถือร่มคนละคัน เดินไปส่งจ๊อยและสามีที่รถ ช่างเป็นคนที่น่ารัก เข้าใจ ใส่ใจ ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยที่ฉันไม่ต้องพูดอะไรเลย เฮ้อ ! ฉันภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้มากที่เดียว

หลังจากจ๊อยและสามีกลับไปแล้ว พวกลูกศิษย์จอมร่าเริงของฉันก็เริ่มเปิดคาราโอเกะ เลือกเพลงกันตามความชอบของตัวเอง (แขกกลับไปแล้วนี่นา จึงสามารถวาดลวดลายในการร้องเพลงได้อย่างเต็มที่) ช่วงเย็นนี้ มีเพื่อนของ ติ้ม ชื่อ ตุ้ย (ไม่ใช่ตุ้ยปลัดอำเภอนะ) เป็นเพื่อน ติ้ม ที่อยู่นครนายก ซื้อ ข้าว กับข้าวมีต้มขาไก่ ยำสามกรอบ มาม่าถ้วย มาแจม ด้วย ตุ้ย รับราชการ ในแผนกควบคุมความประพฤติของผู้กระทำผิด ที่ต้องมารายงานตัวกับเขาตามวัน เวลา ที่ทางราชการสั่ง เป็นชายหนุ่มค่อนข้างเจ้าเนื้อ อัธยาศัยดี เรียบร้อย นั่งคุยกับฉัน ทุกคนจะให้เขาร้องเพลงด้วย เขาบอกขอนั่งฟังเพื่อนดีกว่า ฉันทำหน้าที่เก็บภาพต่าง ๆ ของลูกศิษย์ที่ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน นักร้องนำและร้องมากที่สุดก็คือ ยายโอ กับ ตาหน่อย ร้องได้ทุกเพลง เขาสนุกสนานกัน เสียงยายโอ จะเพราะและร้องได้ชีวิตชีวากว่าเพื่อน มีปู และ ติ๊ก ร้องบ้างบางเพลง ส่วนติ้ม นั่งฟังและบริการเพื่อน อาหารบนโต๊ะเตรียมไว้เพียบ เขารินไวน์แดงให้ฉันลองดื่มดู ฉันจิบเข้าไปหน่อยเดียว ขมเหลือเกิน เลยจิบ นิดเดียวเท่านั้น ติ้มคงเห็นฉันไม่ชอบไวน์ ก็เปลี่ยนใหม่ ไปชงเหล้าอ่อน ๆ ที่เรียกว่า วอลก้า อะไรประมาณนั้น (เรียกถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ) ผสมกับน้ำอัดลม เช่น น้ำเขียว น้ำแดง ลองให้ฉันดื่มอีก เออ ! แก้วนี้ค่อยยังชั่ว หวาน ๆ มีกลิ่นแอลกอฮอร์อ่อน ๆ อร่อย ใช้ได้ทีเดียว สักพัก ก็ชงชาเขียวร้อนมาบริการฉันอีกแก้วหนึ่ง ฉันขอบใจเขา นั่งฟังเพลงที่พวกเด็ก ๆ ร้องกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาจะให้ฉันเลือกเพลงที่อยากร้อง ฉันหัวเราะบอกพวกเขาว่า "อย่าเลย เดี๋ยวพวกเธอจะตกใจเสียงกะลามังแตกของครู" เด็ก ๆ ก็ไม่เซ้าซี้ ฉัน กลับไปร้องเพลงของเขา ฉัน ติ้ม และ ตุ้ย เป็นผู้ชมและ ฟัง ปรบมือบ้างบางเพลงที่พวกเขาร้องกัน ท่านผู้อ่านลองชมภาพแห่งความสนุกสนานของพวกเขาซิคะ





ขณะที่การร้องเพลงของพวกเขาดำเนินไปอย่างสนุกสนาน พวกเขาก็ใส่ใจฉันนะ กลัวฉันเบื่อ กลัวฉันง่วง หมั่นถามฉันบ่อย ๆ ว่า "อาจารย์ง่วงหรือยัง นอนก่อนได้เลยนะ" ฉันก็จะบอกเขาว่า "ยังไม่ง่วงหรอก ปรกติครูเป็นคนนอนดึก" จนถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า จะเที่ยงคืนแล้ว ตุ้ย เพื่อนติ้มที่อยู่นคนนายก ขอตัวกลับก่อน เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องขับรถพาแม่เขาไปตลาดตั้งแต่ ตี ห้าครึ่ง ช่างเป็นลูกกตัญญู จริง ๆ น่ารักมาก หลังจากที่ตุ้ยกลับแล้วได้สักพักใหญ่ ๆ ฉันก็เข้านอน แต่ก็ยังไม่หลับหรอก นอนฟังเพลงที่พวกเขาร้องกัน ได้สักพัก พวกเขาก็บ่นว่า "เฮ้ย! อาจารย์หลับแล้วว่ะ" ฉันอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ โต้ตอบเขาว่า "ยังไม่หลับหรอกจ้ะ ยังฟังเพลงพวกเธออยู่" ทุกคนเลยหัวเราะกันใหญ่ น่าจะประมาณเที่ยงคืนครึ่งได้กระมัง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะพรุ่งนี้ ทั้ง ปู ทั้ง หน่อย จะต้องเป็นคนขับรถ และขับมือเดียวด้วย ที่ไปไม่มีใครขับเป็นเลย ฉันหลับไปถึงประมาณตีห้า ก็ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ เห็นเด็ก ๆ นอนหลับปุ๋ยเงียบกันไปหมด ฉันเข้าห้องน้ำเสร็จเห็นยังเช้าอยู่เลย ก็เลยนอนต่อจนเกือบโมงเช้า จึงตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน แต่ยังไม่อาบน้ำหรอก เพราะว่า ทานข้าวเสร็จเราจะไปเล่นน้ำตกกัน

พวกผู้หญิง ล้างหน้าแปรงฟันแล้ว ก็ตั้งขบวนเดินไปยังที่ที่เขาจัดเตรียมอาหารให้แขกที่มาพักทานข้าวมื้อเช้า ค่าที่พักครั้งนี้ราคา 5,800 บาท มีอาหารเช้าให้ 1 มื้อ ด้วย บรรยากาศ ศาลาที่ให้พวกเรานั่งทานอาหารเช้า เป็นบรรยากาศที่ดีมากทีเดียว อากาศตอนเช้านี้ ท้องฟ้าแจ่มใส แสงอาทิตย์ส่องแสงเรืองรอง และค่อย ๆ แผดแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ รอบ ๆ ศาลาที่ทานอาหาร เขาจัดเป็นน้ำตกเล็ก ๆ ประดับด้วยต้นไม้ ดอกไม้ สีสันสวยงาม อยู่รอบ ๆ น้ำตก ฉันให้น้อง รินทร์ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก 1 รูป บริเวณนี้ ยังมีสระน้ำเล็ก ๆ ให้ได้ออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำอีกด้วย น้องรินทร์อยากเล่นน้ำมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา เพราะไม่นึกว่า จะมีสระว่ายน้ำที่นี่ด้วย



อาหารมื้อเช้า เขาจัดเป็นอาหารแบบบุพเฟ่ มีข้าวต้มเครื่อง ไก่ อาหารฝรั่งก็มี คือ ไส้กรอก ไก่แฮม ไข่ดาว และสลัดผัก มีน้ำส้มด้วย จัดสไตร์ เหมือนโรงแรมเลย ฉันตักข้าวต้มเครื่อง 1 ถ้วยทานก่อน ช่วงเช้า ฉันชอบทานข้าวต้ม เพราะว่ามันคล่องคอดี รสชาติของข้าวต้มเครื่องกลมกล่อมดี โรยพักคึ่งไช่และกระเทียมเจียวไปหน่อย เติมพริกป่นเล็กน้อย เพิ่มสีสันทำให้น่ากินยิ่งขึ้น ไม่กี่นาที ข้าวต้มชามน้อย ๆ ก็หมดเกลี้ยงไป เด็ก ๆ บางคน ไปเติมข้าวต้มบ้าง ส่วนฉันไปเพิ่มไส้กรอก ไก่แฮม ไข่ดาว อย่างละ 1 พอ (เดี๋ยวอ้วน อิอิ) แล้วก็สลัดผักอีกหน่อย ดูมันน่ากินดีแล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะว่ารสชาติของน้ำสลัดของเขารสชาติเข้มข้นดีทีเดียว ตามด้วยน้ำส้มอีก 2 แก้ว ยายติ้มเอาขนมปังทาแยมมาให้อีก 1 แผ่น อิ่มแปร้
ไปเลยทีเดียว

หลังจากที่ทานข้าวมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กลับที่พักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้น เพื่อจะไปเล่นน้ำตกกัน ซึ่งน้ำตกก็อยู่หลังบ้านที่เราพักนั่นเอง ก่อนไปเล่นน้ำ ก็ปลุกหน่อยให้ไปทานข้าวมื้อเช้า แล้วให้ตามไปเล่นน้ำตกกัน

เดินอ้อมไปทางลงน้ำตก ซึ่งเขาทำเป็นทางเดินให้ลงไปด้วย เสียงน้ำตกไหลแรงมากทีเดียว เป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน แต่ก็ดูไม่อันตรายนัก เพราะบางช่วง ทางระเบียงไพร คงลาดปูนไว้ตอนหน้าแล้งที่ไม่มีน้ำ เพื่อลดอันตรายลงบ้าง พวกเราลงไปถึงทางน้ำตก เด็ก ๆ คอยช่วยฉันเดินลงไปที่ทางน้ำตก กลัวฉันจะลื่นล้ม ส่งมือให้เกาะเป็นช่วง ๆ โอ้โห ! น้ำตกที่ตกลงมาจากเบื้องบนเหนือน้ำ ไหลลดหลั่นลงมา ปะทะกับโขดหิน ก้อนแล้วก้อนเล่า น้ำกระเซ็นออกมาสองข้างทางของโขดหิน บางช่วงที่เป็นลำน้ำใหญ่ แรง เมื่อปะทะกับโขดหินใหญ่ เสียงดังเหมือนเสียงของสิ่งของเมื่อตกลงมากระทบกับพื้นดังโครม ซ่า ๆ เป็นฟองฝอยละอองน้ำกระเซ็นไป เป็นช่วง ๆ น้ำตกบางสายเป็นลำเล็ก ก็มีเสียงเบาบางไปตามลำดับ พวกเราแช่น้ำอยู่ในแอ่งน้ำตื้นบ้าง ลึกบ้าง ฉันไม่กล้าลงไปอีกชั้นหนึ่ง จึงอยู่กับน้องรินทร์แช่น้ำอยู่เบื้องบน ส่วน ติ้มปีนลงไปอีกชั้นหนึ่งของน้ำตกพร้อมกับโอ มีติ๊กเป็นช่างภาพเก็บภาพพวกเราตามอิริยาบถต่าง ๆ แล้วแต่จะแอ๊กชั่นกันไป ฉันกลับมาเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไม่มีโอกาสได้เล่นน้ำตกเช่นนี้เป็นเวลานานมาก จำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้เล่นน้ำตก น่าจะเป็นที่วังตะไคร้ ตอนที่แม่เสียใหม่ ๆ ในปี 2529 ฉันเป็นโรคซึมเศร้าไปนานหลายเดือน พี่ปลื้มคงเห็นอาการไม่ค่อยดีของฉัน จึงได้นัดกันกับพี่สุรางค์ อนุสรณ์ อ้วน สุกรรญา พาฉันไปเที่ยว น้ำตกวังตะไคร้ เพื่อให้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้จมอยู่ในความทุกข์ น่าจะเล่นน้ำตกครั้งนั้นแล้ว ฉันก็ไม่ได้ไปเล่นน้ำตกที่ไหนอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เล่นน้ำตกหลังจากครั้งนั้น ๆ ฉันอดหวนคิดถึงภาพต่าง ๆ ในอดีตไม่ได้ ฉันมีเพื่อนดีอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่ทุกคนก็มีครอบครัวแยกย้ายกันไปที่จะต้องดูแล ความสุขท่ามกลางเพื่อน ๆ จึงห่างหายกันไป แต่ขณะนี้ ฉันก็มีความสุขอยู่ในท่ามกลางเด็ก ๆ เหล่านี้ พวกเขาวักน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน เจ้าหน่อย ทานข้าวแล้ว ก็มาเล่นน้ำตกด้วย นอนพุงอืดให้น้องรินทร์วักน้ำใส่อย่างสนุกสนาน ในที่สุด ทุกคนก็มารับฉันลงไปน้ำตกอีกชั้นหนึ่ง น้องรินทร์ก็ลงไปด้วย เลยได้ไปอยู่ในโขดหินที่น้ำตกไหลมาปะทะแรง ๆ เจ้าติ้ม นั่งที่โขดหินให้น้ำตกที่ไหลลงมาปะทะด้านหลังเป็นการนวดหลังไปด้วย ทุกคนสระผมในน้ำตก ยกเว้นฉัน เพราะฉันไม่โดนน้ำสาดให้ผมเปียกนั่นเอง เราถ่ายรูปกัน โดยตากล้อง ติ๊ก เป็นภาพแห่งความสุขของฉันและเด็ก ๆ เป็นภาพอันประทับใจอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของฉันที่มิอาจลืมเลือนได้จริง ๆ ค่ะ





หลังจากขึ้นจากการเล่นน้ำตกแล้ว ฉันก็อาบน้ำ แต่งตัวแล้วช่วยกันขนข้าวของลงจากที่พักไป เพื่อนำไปที่รถ ขณะที่ขนของไปนั้น จ๊อยกับสามีมาแล้วพอดี จ๊อยใส่เสื้อสีม่วง กางเกงทรงสแลคสีดำ สวยเหมือนเดิม ไม่แก่ไปจากเดิมเลย เพียงแต่ไว้ผมสั้นเป็นทรงบ๊อบ ปีนี้จ๊อยอายุ 57 ปี แต่ดูยังสาวและทันสมัยเหมือนเดิม เขาให้สามีเขาถ่ายรูปฉันกับเขาคู่กัน 1 รูป ฉันให้ลูกศิษย์มาถ่ายรูปเรา 3 คนเป็นที่ระลึก อีก 1 รูป เด็ก ๆ ช่วยกันขนสัมภาระ ต่าง ๆ ขึ้นรถ ฉัน จ๊อยและสามีของเขา เดินชมดอกไม้ แถว ๆ นั้น เพื่อรอให้ติ๊กไปเช็คเอ้าที่สำนักงาน จ๊อย ชี้ให้ฉันดูดอก ดาหลา ซึ่งเป็นดอกไม้ของทางภาคใต้ฉันจึงได้ถ่ายรูปดอกดาหลาไว้เป็นที่ระลึก ฉันไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้มากนัก วันนี้ก็ได้รู้จักดอกดาหลาเพิ่มขึ้นอีกชนิดหนึ่งแล้วนะ ท่านผู้อ่านที่ยังไม่รู้จักดอก ดาหลา เชิญชมได้เลยนะคะ ฉันถ่ายรูปมาฝากท่านผู้อ่านด้วยค่ะ






หลังจากที่ได้จัดการเรื่องต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จ๊อยให้ฉันไปนั่งรถของเขา แล้วให้เด็ก ๆ ขับรถตามไป เขาจองร้านอาหารไก่ย่าง ส้มตำ เจ้าอร่อยไว้ตอนเที่ยงครึ่ง ฉันไปบอกเด็ก ๆ ว่า ขอไปกับเพื่อนนะ แล้วเจอกันที่ร้านอาหาร เด็ก ๆ บอกว่า ไม่เป็นไร อาจารย์ไปนั่งรถของเพื่อนเถอะจะได้คุยกันได้สนุก ฉันจึงมานั่งรถของจ๊อย แฟนจ๊อยเป็นคนขับ สามีจ๊อยเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ช่างพูด ให้ความเป็นกันเองกับฉันดี เขาเพิ่งเกษียณปีนี้ จึงต้องเรียกฉันว่า พี่ ร้านอาหารอยู่ไกลพอสมควร น่าจะครึ่งชั่วโมงกว่าน่าจะได้ จึงถึงร้าน ดูเหมือนจะชื่อว่า ร้านครัวจ่าขุน อะไรประมาณนั้น ฉันก็จำชื่อไม่ค่อยได้ สามีจ๊อยบอกว่า ร้านนี้อาหารเขามีชื่อ อร่อยมากพอควร จ๊อยได้สั่งอาหารไว้แล้วล่วงหน้า นั่งได้สักพัก อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยกันมาสองชุด มีไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียว ซึ่งมีทั้งข้าวเหนียวดำและขาว มีต้มซุปกระดูกหมู คอหมูย่าง ปรากฏว่า ยายโอ กับหนูรินทร์กินได้แต่ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียวเท่านั้น เพราะเขาเป็นมุสลิมนั่นเอง จ๊อยจึงไปสั่งยำทะเลให้เขาสองแม่ลูกอีก 1 จานใหญ่ ทุกคนทานอาหารมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย รสชาติของอาหารร้านนี้ก็สมกับที่จ๊อยเขาคุยไว้ คนมาทานอาหารร้านนี้เยอะมาก ถ้าเราไม่ได้จองไว้ก่อนก็คงต้องรอนานเหมือนกัน ทานอาหารคาวเสร็จแล้ว จ๊อย อยากให้พวกเราทานขนมถ้วยซึ่งถือว่า ที่นี่ขนมเขาอร่อย แต่น่าเสียดายที่ขนมถ้วยเหลือแค่สองคู่เท่านั้น จ๊อยเลยซื้อเป็นขนมตาลสองถุง ถุงละ มี 4 อัน ก็แบ่งกันกินคนละอัน รสชาติก็ใช้ได้ อร่อยดี หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว จ๊อยและสามีก็พาพวกเราเข้าไปเที่ยวใน จ.ป.ร. เราไปไหว้พระบรมรูปของ พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน นายร้อยขึ้น แล้วก็ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกด้วย



จากนั้น สามีจ๊อยพาไปโหนสริงค์เพื่อข้ามห้วงน้ำ โดยโรยตัวจากบนหอคอยหนึ่งไปยังอีกหอคอยหนึ่ง ดูเหมือนจะเสียเงินเล่นเกมนี้ คนละ 20 บาท มีคนที่จะเล่นเกม นี้ คือ ติ้ม ติ๊ก ปู 3 คน คนที่จะเล่นเกมนี้ ต้องใส่สริงค์ ตามที่เขาจัดให้ มีพวกเราเป็นผู้เชียร์และถ่ายรูปกัน เป็นเกมที่สนุกสนาน หอคอยแรก ทุกคนผ่านไปโดยตัวไม่ถูกน้ำ แต่ก็ไม่สามารถโยนลูกบอลลงในห่วงยางที่กำหนดให้ได้ การโรยตัวจากอีกหอคอยหนึ่งไปอีกหอคอยหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นระยะทางที่ยาวกว่าครั้งแรก และลวดสริงค์ดูเหมือนจะหย่อนกว่าหอคอยแรก จึงทำให้ ทุกคนก้นเปียกน้ำกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ ติ้ม ซึ่งตัวอ้วนกว่าเพื่อน เปียกมากกว่าทุกคนเลย เป็นที่สนุกสนานของผู้เชียร์ ฉันเชียร์ไป และถ่ายรูปพวกเขาไว้ด้วย เพื่อไว้เป็นที่ระลึก ชมรูปลูกศิษย์ของฉัน ซิคะ





เล่นเกมนี้แล้ว ก็ไปเล่นยิงปืนเลเชอร์ เหมือนเด็กเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ ค่าเล่นแพงพอควร คนละร้อยบาท มีเล่นอยู่ 4 คน คือ หน่อย ปู น้องรินทร์ และ ติ้ม ติ้มจะให้ฉันเล่นด้วย แต่ฉันปฏิเสธ แก่แล้ว ปืนก็หนักหลายกิโล เขามีการสอนก่อนยิงด้วย สอนท่าการยกปืนให้ท้ายปืนอยู่ที่ไหล่ ทุกคนนั่งในท่าพับเพียบ มีเบาะให้วางปืนด้วย คะแนนที่ออกมา ปรากฏว่า หน่อยได้ที่ 1 ติมได้ที่ 2 ปูได้ที 3 รั้งท้ายด้วยน้องรินทร์



จากนั้นก็ไปยิงปืนสั้น ปืนยาว มีหน่อยและปู ยิงปืนสั้น ส่วนน้องรินทร์ยิงปืนยาว ค่าเล่นแพงที่สุด ดูเหมือนจะสองร้อยอะไรประมาณนั้น ที่แพงเพราะว่า ลูกปืนที่ซ้อมยิงนั้นเป็นกระสุนจริงและแพงมากด้วย ก่อนยิง ก็จะมีทหารสอนและอธิบายวิธีการยิงให้ฟัง ทหารจะใช้สริงค์ให้เป้าที่จะยิงไหลไปตามระยะทางที่จะให้ยิง ฉันก็ไปชมการยิงของ ปูและหน่อย เวลายิง เสียงปืนดังแสบแก้วหูมากทีเดียว ฉันดูแล้ว รู้สึกไม่ค่อยสนุกนัก เพราะฉันไม่ค่อยชอบเรื่องปืนผาหน้าไม้พวกนี้สักเท่าไร

จ๊อยกับสามีอยากพาพวกเราไปเที่ยวเขื่อนอีก แต่ติดขัดที่หน่อยจะต้องกลับถึงกรุงเทพฯ 6 โมงเย็นเพื่อไปงานแต่งงานของใครก็ไม่รู้ ก็เลยไม่ได้ไปเที่ยว เพราะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะขณะนั้นจะบ่ายสามโมงแล้ว เลยถ่ายรูปหมู่อีกครั้งหนึ่งที่ป้ายซ้อมยิงปืน ค่ะ



หลังจากถ่ายรูปหมู่เสร็จแล้ว พวกเราก็ล่ำลากัน ติ้มหยิบร่มออกมาสองคัน มอบให้จ๊อยและฉันคนละ 1 คัน บอกว่า เป็นของที่ระลึก เฮ้อ ! เป็นนักบริหารจัดการ รู้จักการจัดการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ฉันเกรงใจพวกเขามากจัง ไหนจะพามาเที่ยวและยังมีของที่ระลึกมาฝากอีก คราวที่ไปทานอาหารที่บางปะกง ก็เช่นเดียวกัน ก่อนกลับก็มีของที่ระลึกแล้วก็ขนมทองหยิบทองหยอดฝากอีก ส่วนเจ้าหน่อยครั้งที่แล้วก็หิ้วมะม่วงน้ำดอกไม้ฝากฉันและเพื่อนของเขาทุกคนด้วย

รถของพวกเรามุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ โดยขากลับ ติ้มและติ๊กไปรถของหน่อยเพราะไปทางเดียวกัน ส่วน โอและลูก(น้องรินทร์)มารถคันปู ปูไปส่งโอและลูกก่อน แล้วจึงมาส่งฉันที่บ้าน กลับมาถึงบ้านฉันประมาณเกือบทุ่มแล้ว ได้ดูละครเกาหลีเรื่อง ทงอี อีกเกือบชั่วโมง ท้องฉันเริ่มหิว เพราะเลยอาหารมื้อเย็นที่เคยกินเวลาประมาณ ห้าโมงกว่า ฉันต้มบะหมี่เกาหลีทาน 1 ห่อใหญ่ อิ่มท้องไปเลย

ความสุข สนุกสนาน ท่ามกลางลูกศิษย์ที่น่ารักของฉันก็ได้ปิดฉากลงไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว การไปเที่ยวที่ ระเบียงไพร แวลลีย์ ครั้งนี้ ฉันมีความสุขมาก เป็นอีกครั้งหนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำในชีวิตฉันอย่างยากที่จะลืมเลือนไปได้อย่างแน่นอน ค่ะ หวังว่า การเล่าเรื่อง ความรัก ความผูกพันของฉันกับลูกศิษย์ในบทความนี้ คงจะให้ความบันเทิงแก่ท่านผู้ที่ได้เข้ามาอ่านงานเขียนของฉันพอสมควรนะคะ


Create Date : 26 กันยายน 2554
Last Update : 1 เมษายน 2555 14:31:56 น. 7 comments
Counter : 7927 Pageviews.

 
ลูกศิษย์น่ารักมากครับ

อ่านบันทึกของคุณครูแล้ว เห็นภาพความนอบน้อมของเด็กๆได้ชัดเจนมากครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 26 กันยายน 2554 เวลา:20:27:58 น.  

 
มาอ่านต่อครับ

มิตรภาพของหนุ่มสาวกลุ่มนี้น่ารักมากครับ การไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่รู้ใจ
เป็นกันเอง ต่างคนต่างยอมรับให้หน้้าที่ที่บางคนเต็มใจทำ
ไปทริปไหนๆก็มีความสุขครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:20:01:48 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณครู ^^
ดีจังเลยนะค่ะ ลูกศิษย์คุณครูน่ารักมากๆเลยค่ะ :)
การได้ไปเที่ยวกับคนที่รักและรู้ใจเรา มันเป็นสิ่งที่มีความสุขจริงๆนะค่ะ


โดย: Nepster วันที่: 29 กันยายน 2554 เวลา:22:03:59 น.  

 
อาจารย์ คะ หนูอ่านแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนท์ แทนอาจารย์ด้วยค่ะ หนูดีใจ ที่ได้พาอาจารย์ไปเที่ยว และอาจารย์ มีความสุข สนุกไปกับพวหนูและเพื่อนๆ ซี่งเป็นเรื่องที่หนูกังวลใจมาก กลัวอาจารย์จะไม่สนุก อย่างนี้ ก็ต้องมีทริปต่อไปใช่มั๊ยคะ


โดย: pu ka IP: 27.130.71.63 วันที่: 29 กันยายน 2554 เวลา:22:59:43 น.  

 
หวังว่าเวลาผมเกษียณแล้ว ลูกศิษย์ผมจะมาเทคแคร์ผมมั้งนะครับ


โดย: Zabby วันที่: 26 พฤศจิกายน 2554 เวลา:1:11:19 น.  

 
อาจารย์คะ เพิ่งได้อ่านบล็อคของอาจารย์คะ จะติดตามไปเลื่อยๆ นะคะ


โดย: Tik ka. IP: 27.55.9.222 วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:21:33:28 น.  

 
ปีนี้ยังมีเวลาที่หนูจะรวมตัวกันอีกและจะได้พาอาจารย์ไปเป็นช่างภาพให้พวกหนูแบบนี้อีกค่ะ และดีใจที่อาจารย์เอาเรื่องราวดีดีของกลุ่มเพื่อนหนูมาเป็นเรื่องเล่าที่บอกความรู้สึกของทุกทุกคนค่ะ


โดย: tim ka. IP: 101.108.0.227 วันที่: 7 กันยายน 2555 เวลา:18:51:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space