พาเที่ยว พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก ค่ะ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวดังมากข่าวหนึ่ง เพื่อน ๆ ชาวบล็อกก็คงได้
ทราบจากสื่อทางโทรทัศน์ วิทยุ มาบ้าง ค่ะ นั่นก็คือ
เรื่องของ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก
ความเป็นมาของข่าว เกิดเพราะมีนายทุนได้มาซื้อที่ดินที่อยู่ติด
กับ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เพื่อสร้างคอนโดหลายสิบชั้น
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะบดบังทัศนียภาพของพิพิธภัณฑ์
อย่างแน่นอน นี่เป็นสาเหตุให้ ร.ศ.อาจารย์ วราพร สุรวดี
ซึ่งเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แต่ได้ยกให้กับกรุงเทพมหานครไปแล้ว
ต้องการซื้อที่ดินผืนนี้ไว้เพื่อทำประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ทำให้
ทัศนียภาพของพิพิธภัณฑ์ถูกบดบังไป
ที่ดินแปลงนี้ เจ้าของจะขาย 50 ล้าน แต่ต่อรองได้เหลือ 40 ล้าน
อาจารย์วราพร ได้ใช้เงินส่วนตัวมัดจำไป 30 ล้าน ยังขาดอีก
10 ล้าน ที่จะต้องหามาให้ได้ภายในเวลา 1 เดือน
มิฉะนั้น เงิน มัดจำจะต้องถูกนายทุนริบไปตามสัญญา
ลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์ เสนอแนะให้ อาจารย์ออกสื่อ
เพื่อขอบริจาค อาจารย์ยินยอมออกสื่อเพื่อบอกจุดประสงค์
ในการขอบริจาค ไม่รบกวนมาก ขอแค่ช่วยกันคนละ 100 บาท
ประชากรชาวไทย มีประมาณ 60-70 ล้านคน 10 ล้านบาท
คนละ 100 บาท เท่านั้นก็พอเพียงแล้ว
ผลปรากฏว่า ประชาชนชาวไทยมีน้ำใจดีมาก ประมาณ 1 สัปดาห์
ผ่านไป ก็มีผู้มาบริจาค ครบ จำนวน 10 ล้านบาทแล้ว
ส่วนฉัน อ.เสริมจิต ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของฉันและเป็นเพื่อน
ที่เรียนทีจุฬามาพร้อมกันกับ อ.เสริมจิต ได้โทรมาหาฉันและขอให้ฉันช่วย
เชิญชวนลูกศิษย์ของฉันร่วมกันบริจาคในงานครั้งนี้ด้วย
ฉันก็ยินดี บอกบุญไปยังลูกศิษย์ของฉัน เพื่อนบ้าน ก็ได้เงิน
บริจาคมาประมาณ เกือบ 5000 บาท
วันที่ 13 สิงหาคม 59 ลูกศิษย์ของฉันคนหนึ่งมาจากญี่ปุ่น
ฉันเลยพาเขาไปชมพิพิธภัณฑ์ ชาวบางกอก และร่วมบริจาคด้วย
ถือโอกาสมาชม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และนำเงินที่รวบรวมได้มาบริจาค
ที่นี่ ด้วย อาจารย์ ได้มีบัตรเล็ก ๆ พร้อมลายเซ็น ขอบคุณให้
ฉันนำบัตรขอบคุณมาฝากให้ชมด้วย ค่ะ
เรา ครูและลูกศิษย์นัดเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้า ทองหล่อ
นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีตากสิน แล้วจ้างรถแท็กซึ่ไป
ที่พิพิธภัณฑ์ ชาวบางกอก ซึ่งตั้งอยู่ที่ ซอยเจริญกรุง 43
ถนนเจริญกรุง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
รถไปจอดยังที่หมาย ประตูเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นประตูไม้มีป้ายชื่อว่า
พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก
BANGKOK JAN MUSEUM
เรามาถึงหน้าประตูนี้ ประมาณ 9.00 น.ได้ เปิดประตูเล็กเข้าไป
พบเจ้าหน้าที่ที่นั่งประจำเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
ลงชื่อเข้าชม พิพิธภัณฑ์ด้วย พวกเราเซ็นชื่อเป็นคนแรกเลย
เซ็นชื่อแล้ว เราก็เดินชมบริเวณทางเข้า รู้สึกร่มรื่นมาก
เพราะมีต้นไม้ใหญ่ ๆ มากมายทีเดียว อาคารที่เห็น เป็นอาคารไม้
เราเดินไปถึงเรือนไม้ที่ใช้เป็นสำนักงาน มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่
ฉันกับชุติมา ลูกศิษย์ นำเงินที่รวบรวมได้จากลูกศิษย์ จากเพื่อน
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ และรับบัตรที่ อาจารย์เซ็นชื่อไว้ และเขียน
คำขอบคุณ เพื่อที่จะได้ไปมอบให้กับคนที่บริจาคเงินมา
ความร่มรื่นในบริเวณที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์
อาคารในบริเวณพิพิธภัณฑ์ มี 4 หลังใหญ่ ๆ
เป็นอาคาร ที่จัดแสดงภาพวาด ภาพถ่ายเก่าแก่มากมาย
อาคารหลังนี้ มีสิ่งของต่าง ๆ ที่จัดแสดงในอาคารนี้มากที่สุด
ทั้งชั้นล่างและชั้นบนค่ะ
ก่อนจะไปชม สิ่งของต่าง ๆ ในพิพิธภัณฑ์ เรามาทราบประวัติ
ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อนนะคะ
(ฉันย่อความมาจาก โบว์ชัวร์แนะนำพิพิธภัณฑ์ที่ได้มา ค่ะ )
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ประกอบด้วยอาคารใหญ่ 4หลัง
อาคารหลังแรก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2479 ลักษณะ
เป็นเรือนไม้สองชั้น สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากยุโรป
หลังคาเป็นทรงปั้นหยา มุงด้วยกระเบื้องว่าว เรียกว่า
"เรือนปั้นหยารุ่นปลาย" โดยลดลวดลายฉลุที่ชายคาให้น้อยลง
กว่าเรือนปั้นหยารุ่นก่อน เรือนหลังนี้ จัดแสดงเครื่องใช้ที่สะท้อน
ให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบางกอกที่มีฐานะปานกลาง
ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือนหลังนี้
แต่เดิม ครอบครัวของ สุรวดี เคยใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีห้องน้ำโบราณ
อาคารหลังที่ 2 เดิมที เรือนหลังนี้ ตั้งอยู่ที่ซอยงามดูพลี
ทุ่งมหาเมฆ สร้างเมื่อ พ.ศ.2472 ต่อมา อาจารย์ วราพร ผู้รับ
มรดกบ้านและที่ดินของมารดา ขาดสภาพคล่องในการจัด
พิพิธภัณฑ์ จึงได้ขายที่ดินผืนนี้ไปและรื้อบ้านหลังนี้มา
ปลูกไว้ที่บางรัก นำเงินที่ขายที่ดินไปจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ต่อไป
บ้านหลังนี้ มีห้องจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ของนายแพทย์ฟรานซิส
(ซึ่งเป็นสามีของคนแรกของคุณแม่ ของ อาจารย์วราพร ) เพื่อ
เป็นอนุสรณ์อีกทั้งมีรูปหล่อของนายแพทย์ฟรานซิส ซึ่งรูปหล่อนี้
เป็นผลงานของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บรมครูศิลปกรรม
ร่วมสมัยของประเทศไทย
อาคาร 3 เป็นอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง มีสิ่งของต่าง ๆ
ที่จัดแสดงมากมาย ชั้นบนจัดแสดงนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพมหานครที่แสดงถึงพัฒนาการการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองสังคม วัฒนธรรมของบางกอกและบางรักตั้งแต่
เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในสมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะบทบาทของ บางรักในฐานะชุมชนหลากวัฒนธรรม
เป็นศูนย์รวมของชาวต่างชาติ
โถงด้านนอกจัดเป็นห้องสมุดหนังสือหายากของ
อาจารย์วราพรที่เปิดให้ผู้มาเยือนได้ศึกษาหาความรู้
อาคารหลังที่ 4 เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ปัจจุบันใช้เป็น
ร้านขายของที่ระลึก และเป็นสำนักงาน
สรุป ว่า พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกจัดตั้งขึ้นมาตามวัตถุประสงค์
และความตั้งใจของ ร.ศ.อาจารย์วราพร สุรวดี ซึ่งนำบ้าน
และทรัพย์สิน อันได้มรดกจากผู้เป็นแม่ มาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์
เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังและผู้ที่มีความสนใจได้เข้ามาศึกษา
เมื่อจัดพิพิธภัณฑ์เสร็จได้ทำเรื่องยกพิพิธภัณฑ์ ให้เป็น
สมบัติของกรุงเทพฯมหานคร โดยโอนกรรมสิทธิ์
แก่กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547
ต่อไปนี้ ฉันได้รวบรวม ถ่ายภาพสิ่งของต่าง ๆ ที่จัดในพิพิธภัณฑ์
ในอาคารต่าง ๆ มาให้เพื่อน ๆ ชาวบล็อกได้ชื่นชม ค่ะ
ห้องส้วมในสมัยก่อน
จัดเป็นนิทรรศการแสดงวัฒนธรรมในสมัยก่อนและหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2
เป็นตู้เย็นในสมัยก่อน โดยเอาน้ำแข็งและของแช่ไว้ในลังนี้
หลังจากที่ชื่นชมและถ่ายรูปสิ่งของต่าง ๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน
พิพิธภัณฑ์แล้ว เราก็ยังกลับไม่ได้ เพราะต้องรอพบอาจารย์ วราพร
เนื่องจาก รับปาก อาจารย์เสริมจิตไว้ว่า จะนำความคิดถึง
ของอาจารย์เสริมจิต มาบอกท่านด้วย
รอประมาณชั่วโมงกว่า จะ11.00 น.แล้ว ต้องขอร้องให้เจ้าหน้าที่
ช่วยไปเรียนอาจารย์ว่า เพื่อนอาจารย์ที่ชื่อ เสริมจิต จะฝาก
ความคิดถึงถึงท่าน (ตอนมาถึงใหม่ ๆ ท่านพักผ่อนอยู่
เนื่องจาก รับแขกที่มาเยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑ์ ถึงเย็น ค่ำ)
เจ้าหน้าที่เห็นเรารอหลายชั่วโมง จึงยอมไปบอกท่าน ประกอบกับ
ยังมีลูกศิษย์ของอาจารย์และพวกที่จะมาถ่ายทำ พร้อมสัมภาษณ์
อาจารย์อีกคณะหนึ่ง ซึ่งก็มารอหลังเราสักพักใหญ่
ในที่สุด อาจารย์ก็ลงมาจากชั้นบน ตัวเล็ก ๆ แต่งกายตามสบาย ๆ
ไม่ถือตัว พูดคุยสนุก ฉันได้นำคำพูด ความคิดถึงของพี่เสริมจิต
มาแจ้งให้ท่านทราบ ท่านยิ้มและบอกว่า จำได้ เพื่อนกันตั้งแต่
สมัยเรียน จุฬาด้วยกัน อิอิ แล้วชวนฉันกับชุติมา ไปถ่ายรูปกับท่าน
พร้อมทั้งให้มีการถ่ายทำจากคณะที่มารอสัมภาษณ์ และถ่ายรูป
กับลูกศิษย์ของท่านด้วย มาดูรูปของพวกเรา ค่ะ
เป็นอันว่า ฉันได้ทำหน้าที่ สะพานบุญ เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับ
กิจกรรมนี้ ในวันนี้ ค่ะ
พวกเราได้อยู่พูดคุยกับท่านอีกพักใหญ่ ๆ พวกที่รอถ่ายทำ
ก็จะได้ทำงานต่อไป กลัวพวกถ่ายทำจะหมั่นไส้ ไม่พอใจ
เพราะเวลาของเขาเป็นเงินเป็นทอง ส่วนเราก็ต้องไปไหว้พระ
อีกหลายแห่ง ใกล้เที่ยงอีกด้วย จึงกราบลาอาจารย์วราพรไป
ฉันขอชื่นชมความดีงามของอาจารย์วราพร ที่ได้ยกมรดกที่ได้รับ
ตกทอดมาจากคุณแม่ และได้จัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ อันเป็น
มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา
หาความรู้ และเป็นการรักษาสมบัติของประเทศชาติไว้
แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนสมถะของอาจารย์วราพร ไม่ยึดมั่น
ในสมบัติต่าง ๆ เอาไว้ กลับยกให้เป็นสมบัติของประเทศชาติไป
จึงสมควรที่เราทุกคนควรจะสดุดีท่านไว้ ณ โอกาสนี้ค่ะ
ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป
ตราบนานเท่านาน ค่ะ
เลยอดอ่านเลยว่าอาจารย์เม้นท์ไว้ว่าไรมั่ง ความสุขของคนอัพบล็อกคือการอ่านคอมเม้นท์นะครับ!
ว่าแล้วก็ขอตามเที่ยวพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกด้วย คนไทยใจดีนะครับ รวมพลังกันแป๊บเดียวได้ 10 ล้านนี่สุดยอดจริงๆ ขนาดว่าข่าวเรื่องนี้ไม่ค่อยจะดังนะ
ผมสนใจของเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ครับ อันนี้อายุไม่ถึง 100 ปีด้วย ไม่ผ่านๆ 555 *พลัวะ!* อาจารย์เขาอุตส่าห์เอามาเรียงเรียงให้อ่าน ชาวบ้านนอกอย่างชีริวที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าไปกรุงจะได้เปิดหูเปิดตา
ชอบดูวิทยุเก่าๆ โทรทัศน์เก่าๆนะครับ (มีคนตะโกนบอกว่าที่บ้านก็มี.... ของบ้านผมมันไม่เก่าขนาดนั้น!) ได้เห็นวิวัฒนาการของข้าวของเครื่องใช้ดี บางอันผมเคยเห็นที่บ้านคุณยาย ไม่ต้องไปดูไหนไกลเลย
ร้านข้าวแกงบ้านสวนแถวที่ทำงานที่ผมแวะกินข้าวบ่อยๆเขาก็มีของเก่าๆวางโชว์เยอะนะครับ กินข้าวเสร็จก็เดินชมของเก่าฟรี ^^
นานๆทีอาจารย์จะลงรูปเยอะขนาดนี้ ปกติเน้นบรรยาย แสดงว่าชอบของเก่าจริงๆนะครับ ได้คิดถึงวัยเด็ก อิอิ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อาจารย์สุวิมล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น