คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
space

อาลาสกา แหล่งท่องเที่ยวของคนรัก...ท้องฟ้า...สายลม ...ภูเขาและท้องทะเล ตอนที่ 2
อาลาสกา แหล่งท่องเที่ยวของคนรัก...ท้องฟ้า ...สายลม ....ภูเขาและท้องทะเล ตอนที่ 2

วันที่ 24 มิ.ย. 54
วันนี้ฉันตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม เราขึ้นลีฟไปชั้น 8 ร้านแต่ละร้านยังเตรียมอาหารไม่เสร็จเลย มีแต่ร้านชา กาแฟ ที่พร้อมแล้ว เราเอามาม่ามาชงกับน้ำร้อน ๆ 1 ถ้วย แบ่งกันกิน เพราะเอียนกับอาหารฝรั่งมาหลายวันแล้วนั่นเอง เรารองท้องด้วย มาม่าไปก่อนที่จะไปต่ออาหารฝรั่ง ทานไปมองทะเลอันเวิ้งว้างไป วันนี้ทะเลคลื่นลมสงบดี ทะเลมีคลื่นเป็นละลอก น้อย ๆ พลิ้วไปตามสายลมที่พัดผ่าน มีฝนตกพรำ ๆ วันนี้ฉันคิดว่า เรือคงใกล้ฝั่งแล้ว เพราะสังเกตจากน้ำทะเลไม่เป็นสีดำเข้มจนดำเหมือนเมื่ออยู่กลางทะเลที่ผ่าน ๆ มา สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่ฉันยังไม่เคยเห็นมาในชีวิต ก็คือ ก้อนน้ำแข็ง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เป็นรูปร่างต่าง ๆ ลอยมาตามน้ำทะเลที่เรือแล่นผ่านไป ท้องทะเลที่เมื่อวานนี้เห็นแต่ พื้นน้ำจรดฟากฟ้า ไม่มีสิ่งอื่นใดให้เห็นเลย นอกจาก น้ำกับฟ้า และความเวิ้งว้าง อ้างว้างของท้องทะเลและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เท่านั้น แต่วันนี้ ฉันเห็นทิวเขายาวเป็นแนวตลอดทางที่เรือแล่นผ่านไป ท้องทะเลมีก้อนน้ำแข็งไหลไปตามน้ำมากมาย ลอยละล่องไปตามการไหลของน้ำ ยอดเขาของทิวเขาที่เป็นเทือกนั้น แต่ละยอดปกคลุมด้วย หมอกควันหนา ไม่เห็นแสงแห่งดวงสุริยาในยามนี้เลย เขาบางลูกจะเห็นธารน้ำไหลลงสู่ทะเล คิดว่าคงจะเป็นหิมะบนภูเขาละลายลงมานั่นเอง เราก็ไปยืนถ่ายรูปที่ดาดฟ้าเรือ อากาศหนาวมาก ฉันนำรูปสวย ๆ มาฝากด้วยค่ะ

ก้อนน้ำแข็งอันเกิดจากการละลายของหิมะไหลมาตามน้ำ



ทิวทัศน์อันสวยงาม (3)



วันนี้เขามีบรรยายที่ห้องชั้น 5 เกี่ยวกับการเที่ยวเกาะ อาลาสกา เหมือนเป็นการแนะนำเมือง ๆ นี้นั่นเอง มีแผนที่ฉายเป็นสไลด์ให้ดูด้วย นอกจากนี้ มีแหล่งท่องเที่ยวในอาลาสกาที่สวยสดงดงามของธรรมชาติ ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ฉันก็ฟังคำบรรยายเขาไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก อาศัยดูภาพสไลด์ที่เขาฉายประกอบให้ดู มีการพูดถึงแผ่นดินไหวในอาลาสกา ฟังบรรยายแล้วก็ไปชมบ่อน คาร์สิโนในเรือ มีคนเล่นประปราย เก๊าเรียกไปช้อปปิง ได้กำไลใส่เล่นมาคนละสองอัน ดูเหมือนจะ 10 กว่าเหรียญ คิดเป็นเงินไทย ก็ตกอันละเกือบสองร้อยมากนะ ทุกอย่างที่นี่ไม่จ่ายเป็นเงินสด ให้จ่ายด้วยเครดิตการ์ดทั้งสิ้น เฮ้อ! ตอนรูดการ์ดไม่รู้สึกหรอก ตอนเขามาเก็บเงินตอนสิ้นเดือนซิ เหอ เหอ จนกันละคราวนี้น่ะ แม้แต่น้ำในห้องพักที่เป็นขวด ๆ ก็คิดเงินหมด วันหนึ่งมีเซอร์วิชต์ชาร์ทอีก 11 เหรียญต่อคนนะ ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด มิน่าเล่า ห้องนอนเราจัดอย่างสวยงามทุกวัน มีการเอาผ้าเช็ดหน้ามาพับเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อย่างสวยงามให้ทุกวัน มีช็อคโกแลตที่เป็นรูปเหรียญให้ทุกวันอีก คนดูแลล็อคที่เราพัก ชื่อ อาลี เป็นชาวอินโดนีเซีย เป็นคนอัธยาศัยดี แต่ก็คุยกับเขาได้งู ๆ ปลา ๆ

อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ก็เหมือนเดิม แต่ก็ต้องทานเข้าไปให้ได้ มากน้อยว่ากันไป พวกเราชอบไปให้เขาตักไอศกรีมให้ รสชาติอร่อยใช้ได้ ฉันใส่ลูกเกดเยอะ ๆ อร่อยมากทีเดียว

ประมาณบ่ายสองโมง เรือสำราญของเราจอดเทียบฝั่งให้พวกเราขึ้นฝั่งไปเที่ยวเมือง จูโน่ (Juneau) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอาลาสกา ก่อนลงจากเรือ ก็มีการตรวจและต้องให้เขาสแกนบัตรห้อง ซึ่งทุกคนจะต้องมีคนละ 1 การ์ด การ์ดนี้สำคัญมาก เวลาซื้อของ จ่ายค่าทัวร์ในขณะที่อยู่อาลาสกาก็ต้องใช้บัตรใบนี้ มีการตรวจพาสปอร์ตทั้งขาออกและขาเข้า ผ่านเครื่องตรวจเอซเรย์ด้วย ทุกอย่างดูเข้มงวดรัดกุมหมด เหมือนการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและออกจากเมืองทุกอย่างเลยทีเดียว
ลงจากเรือแล้ว ตัวใครตัวมันไปเดินกันเองตามใจชอบ เพียงแต่เราต้องดูกำหนดการว่า เขาจะให้เราขึ้นเรือกี่โมง ต้องระวังในเรื่องนี้ ไม่งั้นจะตกเรือ ฮิฮิ คราวนี้จะกลายเป็นคน เมือง จูโน (Juneau) ไป ไม่มีไกด์มาคอยเช็คนะว่า ลูกทัวร์ครบไหม แต่ฉันว่า เขาคงต้องมีวิธีตรวจสอบได้ว่า คนขึ้นเรือครบไหม เพราะเขาน่าจะเช็คจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สแกนพวกเราขาออก เขาตรวจหน่อยก็รู้แล้วว่า ใครออกไปแล้วยังไม่ได้เข้ามาขึ้นเรือนั่นเอง

ฉันกับเก๊าลงจากเรือแล้ว ก็เดินเที่ยวอยู่บริเวณนั้น ๆ ถ่ายรูปบ้าง เดินช้อปปิงร้านแถว ๆ นั้นบ้าง ไม่กล้าเดินไปไหนไกล ๆ เพราะกลัวหลงทาง นั่นเอง ภาษาก็เก่งเหลือเกิน ร้านแถวนี้มีร้านพวกขายเครื่องประดับเพชรพลอยมากที่สุด มีร้านเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก พวกเมทเน็ท (แผ่นแม่เหล็ก) ติดตู้เย็น ราคาแต่ละอันก็เป็นร้อยบาทขึ้นไปทั้งนั้น ถ้าจะซื้ออย่าเอาไปเทียบกับเงินบาท เพราะจะซื้อไม่ลง นั่นเอง นอกจากแพงแล้ว ยังต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มอีก ร้อยละ 12 เฮ้อ! แต่ฉันก็อดซื้อไม่ได้ ส่วนใหญ่ซื้อของที่ระลึก เช่น
ที่ติดตู้เย็น ของพวกนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละเมืองนั่นเอง แต่ละร้านราคาขายก็ไม่เท่ากัน ฉันซื้อไปแล้ว 2 อัน มาเจออีกร้านหนึ่งราคาต่างกันตั้งครึ่งหนึ่งทีเดียว เจ็บใจจัง เสียค่าโง่ไปชะแล้ว จากนั้นไปอีกร้านหนึ่ง มีเสื้อยึดขาย มีรูปสัญลักษณ์และเขียนคำว่า อาลาสกา ฉันก็ซื้อเสื้อไปอีก 3 ตัว ตกตัวละเกือบ 200 บาท ก็ไม่แพงเกินไปเท่าไรนัก ไว้ใส่เล่น ๆ ได้ดี เราสองคนเดินจนขาเมื่อยไปหมด หาห้องน้ำเข้าและเดินเที่ยวและถ่ายรูปบริเวณเมืองจูโน(Juneau) ไว้เป็นที่ระลึก

ลงจากเรือครั้งที่ 1 เที่ยวเมือง จูโน(Juneau) เมืองหลวงของรัฐอาลาสกา



เขาให้เราเดินเที่ยวหลายชั่วโมงมากเหมือนกัน เพราะเรือจะออกประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง แต่ฉันกับเก๊า ไม่อยู่หรอก เพราะไม่รู้จะไปเดินที่ไหนแล้ว ประกอบกับอากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้น พวกเราก็เลยขึ้นเรือตั้งแต่ 5 โมงเย็น นอนพักสักชั่วโมงได้มั้ง ก็ขึ้นไปชั้น 8 ทานอาหารมื้อเย็นต่อไป

วันที่ 25 มิถุนายน 54

วันนี้ทานข้าวมื้อเช้าแล้ว เขาก็ให้ขึ้นบกอีก มาเที่ยวที่
เมือง Skygway ลงจากเรือแล้ว ฉันเห็นมีรถทัวร์ มีสถานีขายตั๋วทัวร์ มีรถไฟที่มีคนยืนรอที่จะขึ้น ฉันก็งง ๆ แล้วฉันกับเก๊าจะไปรถไฟ ขบวนไหนล่ะ ก็พอดีหันไปเจอ ลินดา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเรือ คอยแนะนำเรื่องไปเที่ยว ฉันเลยไปถามเขาว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไปรถไฟขบวนไหน ลินดาตอบว่า ต้องมีตั๋วให้เขาดู จึงจะรู้ ฉันก็งง ตั๋วอะไร ก็เราซื้อทัวร์มาอาลาสกาแล้วนี่นา แล้วก็ให้เอกสารให้ลินดาดู ลินดา บอกว่า เอกสารที่เรามีอยู่ไม่มีตั๋วซื้อไปเที่ยวเลย ต้องซื้อตั๋วก่อน ฉันเลยถามว่า "เอ้า ! แล้วจะไปซื้อทีไหนล่ะ พาพวกเราไปซื้อได้ไหม" ฉันก็พูดภาษาอังกฤษกับลินดา ตะกุกตะกักแต่ลินดาก็เข้าใจ พาฉันและเก๊าขึ้นเรือใหม่ ชั้นที่เขาขายทัวร์คือชั้น 4 ลินดาน่ารักมาก ช่วยดูทัวร์ที่ต่าง ๆ ในเมืองนี้ให้ แนะนำสถานที่ที่น่าไป ซึ่งมีการนั่งรถทัวร์ต่อด้วยรถไฟเที่ยวชมทิวทัศน์ มีอาหารมื้อเที่ยงให้ 1 มื้อ โดยไปดูสภาพชีวิตของชนพื้นเมือง เก๊า ไม่อยากไป เพราะเขาว่า ภาษาก็ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ไปหลงหรอก แต่ฉันอยากไป เพราะอุตส่าห์มาแล้ว และวันนี้จะต้องอยู่บนพื้นดินตั้งแต่เช้าถึงมืดเลย ถ้าไม่ซื้อทัวร์ไปเที่ยวไหนเลย แล้วเราจะทำกิจกรรมอะไร เดินอยู่บริเวณที่เรือจอดอยู่หรือ เฮ้อ! เซ็ง ตายเลย เขารู้สึกจะไม่พอใจที่ฉันอยากไป หน้าตาก็บอกบุญไม่รับอีก เขาเป็นคนชอบช้อปปิง ไม่ชอบความงามของธรรมชาติ เขาบอกว่า ภูเขาที่ไหน ๆ ก็ เหมือน ๆ กัน จะไปดูทำไม แต่ฉันพูดกับลินดาว่า เอาสถานที่ที่เขาแนะนำนั่นแหละ ใช้เวลา 6 ชั่วโมงครึ่ง รถจะออกประมาณ 3 โมงเช้า จากนั้น เราก็จ่ายเงินโดยรูดบัตร เสียเงินค่าทัวร์ 229 เหรียญ

หลังจากซื้อตั๋วทัวร์แล้ว ลินดาก็พาพวกเราออกจากเรืออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ต้องมีการตรวจเหมือนเดิมอย่างที่เคยเล่าแล้ว ลินดาพาเรามาที่รอรถทัวร์ตามเวลาที่นัดหมาย คือ 9.00 น. มีนักท่องเที่ยวที่ไปกับทัวร์นี้มากพอควร มีรถทัวร์จอดอยู่แถวนี้มากมาย เมื่อถึงเวลาแล้ว รถทัวร์ที่จะรับพวกเราไปเที่ยวนั้น ก็มาจอดตรงป้ายที่พวกเรารออยู่ คนขับรถของเรา ชื่อ แจ๊ส มายืนตรงประตูด้วยใบหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส มีการตรวจตั๋วและตรวจพาสปอร์ตก่อนขึ้นรถด้วย ซึ่งแจ๊สมีรายชื่อลูกทัวร์อยู่ในมือเพื่อเช็คจำนวนลูกทัวร์อยู่แล้ว

เมื่อลูกทัวร์ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว แจ้สนับจำนวนลูกทัวร์อีกครั้งหนึ่งแล้วก็ออกรถไป เขาเริ่มอธิบายไปเรื่อย ๆ ตามทางที่รถผ่านไป ฉันฟังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก และไม่อยากตั้งใจฟัง มองหาความงามของทิวทัศน์สองข้างทาง เก็บความสวยงามเหล่านั้นไว้ในอารมณ์ดีกว่า ตัวเมืองของ Skygway ก็เหมือน ๆ กับ เมือง Juneau มีร้านค้าขายของต่าง ๆ พอรถแล่นออกสู่นอกเมือง สองข้างทางที่รถผ่านนั้นเป็นเทือกเขาสูงบ้าง เตี้ยบ้าง มองลงไปข้างล่าง บางแห่งเป็นหุบเหวลึก แจ๊สขับรถช้า ๆ เหมือนประหนึ่งว่าจะให้ลูกทัวร์ได้ชื่นชมกับความงามของทิวทัศน์สองข้างทาง เทือกเขาสูงเหล่านั้น ยังปกคลุมด้วยหมอกหนาบ้าง บางบ้าง เป็นควันสีเทา ๆ สายแดดยังไม่ค่อยมีสักเท่าไร ดูบรรยายกาศอึมครึมอยู่ ลักษณะของหินภูเขาที่ฉันเห็นระหว่างทางที่รถผ่าน จะเป็นก้อนใหญ่ ๆ บ้าง บางช่วงเป็นชั้น ๆ เหมือนขั้นบันได ฉันคิดว่า มันคงเกิดจากการกัดเซาะของน้ำจากหิมะละลายหรือเกิดจากฝนที่กัดเซาะมาเป็นเวลานานมาก จึงได้เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ที่มีความสวยงาม มีลวดลายต่าง ๆ ให้มนุษย์ได้มาชื่นชมเช่นนี้ ฉันไม่ได้เรียนวิชาเอกภูมิศาสตร์มา จึงไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ดีนัก ได้แต่คาดคะเนเอาเท่านั้น

รถค่อย ๆ แล่นไต่ขึ้นเขาสูงไปเรื่อย ๆ ฉันรู้สึกหูอื้อนิด ๆ จึงต้องกลืนน้ำลายลงคอไป ก็รู้สึกหูหายอื้อไปได้บ้าง บางช่วงของทางที่รถแล่นผ่าน มีหมอกลงจัดมาก น่าจะนั่งรถมาได้ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ก็มาถึงที่ที่เราจะมานั่งรถไฟต่อเพื่อชมทิวทัศน์อีกรูปแบบหนึ่งที่เจาะลึกได้ดีกว่านั่งรถบัส

การนั่งรถไฟ ก็ต้องดูตั๋วว่าเราต้องไปนั่งที่ตู้รถที่เท่าไร ในตู้รถไฟถึงจะไม่หรูหราอะไรมากนัก แต่ก็มีประตูกระจกกันลมหนาว มีห้องน้ำในแต่ละตู้รถ มีน้ำดื่มให้ด้วย มีการขายของที่ระลึกในรถไฟด้วยนะ เมื่อเราขึ้นมานั่งในตู้รถไฟที่พนักงานสาวของเขาบอกแล้ว ดูเหมือนจะเป็นตู้ที่ 11 หรือ 12 ฉันก็จำไม่ค่อยได้ น่าจะเป็นตู้สุดท้ายของขบวนรถไฟขบวนนี้ด้วย

ฉันเลือกที่นั่งได้แล้ว ก็ชวนเก๊าไปถ่ายรูปกัน เขาหน้าหงิก ๆ ไม่อยากถ่ายรูป ฉันก็เลยไม่ค่อยมีรูปในรถไฟเลย ฉันปล่อยให้เขานั่งไปตามสบาย อารมณ์อย่างนั้น ถ้าเราไม่สนใจนักเขาก็คงจะสบายใจกว่าไปเซ้าซี้เขา ฉันออกจากประตูขบวนไปยืนตรงรอยต่อกับอีกตู้หนึ่ง เพื่อชื่นชมธรรมชาติที่รถไฟแล่นผ่านไป มีฝรั่งหลายคนก็มายืนชมเช่นเดียวกับฉัน ลมแรงมากทีเดียว แต่ก็สดชื่นทีได้โต้ลมหนาว ๆ ข้าง ๆ ทางที่รถไฟแล่นผ่านไปนั้น บางแห่งก็มีธารน้ำไหลเป็นทางยาวบ้าง สั้นบ้าง แรงของน้ำในลำธารบางสายก็แรงน่าดู บางสายก็เอื่อย ๆ บางแห่งเป็นแอ่งน้ำใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตามเทือกเขาสูงที่ผ่าน ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวโพลน ดูสวยงามมากทีเดียว
ฉันถ่ายภาพตามมุมต่าง ๆ ที่ฉันคิดว่าสวยและแปลกดี เมื่อคนที่มากับฉันไม่ออกมาชมความงามเลย นั่งหน้าหงิกอยู่ในตู้รถไฟ ไม่มีใครถ่ายรูปให้ฉัน ฉันก็ไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก หันไปสปีคกับฝรั่งที่ออกมาชื่นชมความงามของธรรมชาติและถ่ายทิวทัศน์ ขอให้เขาช่วยถ่ายรูปให้ฉัน พวกเขาน่ารักมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเต็มใจถ่ายให้ฉัน ฉันก็ขอบคุณเขาอย่างยิ้มแย้มมีไมตรีจิตให้กับพวกเขา ถึงเราจะต่างเชื้อชาติ ต่างชาติพันธุ์ เราก็มีไมตรีจิตต่อกันด้วยภาษาง่าย ๆ ตลอดจนใช้ภาษาหน้า ภาษาตาในการผูกมิตรกันได้เป็นอย่างดี ค่ะ ลองชมรูปที่ฉันนำมาฝากท่านซิคะ

รูปในรถไฟและทิวทัศน์ที่สวยงาม skygway 1



ทิวทัศน์ที่ skygway 2



ทิวทัศน์ที่ skygway 3



รถไฟแล่นผ่านทิวเขาไปเรื่อย ๆ มีการลอดถ้ำไป 2 ครั้งด้วย ระหว่างทางมีการจอดรับผู้โดยสารด้วย ต้นเฟิร์นตามรายทางมีลักษณะแปลกกว่าต้นเฟิร์นที่ฉันเคยเห็น เพราะใบของมันมีสีออกเป็นสีเงิน ดูสวยงามเป็นประกายเหมือนแสงเงิน ผ่านน้ำตกในหุบเขา ซึ่งคงจะเป็นไปตามธรรมชาติ บริเวณที่ผ่านไม่เห็นบ้านผู้คนอาศัยอยู่
ฉันเห็นธารน้ำไหลใสแจ๋ว บางสายยาว บางสายสั้น ๆ

นั่งรถไฟประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งได้ ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้มาชื่นชม ป่าเขาลำเนาไพร เทือกเขาที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูร้อนแล้วก็ตาม เขาแต่ละลูก ถูกน้ำ ถูกหิมะกัดเซาะผ่านมาเป็นพัน ๆ ปี นั้นกลายเป็นลวดลายต่าง ๆ สวยงามตามธรรมชาติ แล้วยังมีธารน้ำใหญ่น้อย ที่ไหลแรงบ้าง เอื่อย ๆ บ้าง ฉันมีความรู้สึกสดชื่น และคิดว่าทิวทัศน์เหล่านี้ช่างน่าอภิรมย์เสียเหลือเกินจะกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำใด ๆ แต่ก็อย่างที่ว่า "นานาจิตตัง" ความชอบ ความชื่นชมของคนเรามันไม่เหมือนกัน มันจึงพูดยากเหลือเกิน ความแตกต่างของบุคคลก็เป็นสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญในการเลือกเพื่อนเวลาจะไปเที่ยวด้วยกัน เป็นแง่คิดอย่างหนึ่งเหมือนกันที่ฉันจะต้องคำนึงถึง ฉันจะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกดี ๆ ไป

หลังจากลงจากรถไฟแล้ว เราก็ต้องไปหารถคันที่พาเรามาเที่ยวและมาส่งเราขึ้นรถไฟ ฉันก็ต้องเก็บความรู้สึกที่ไม่ชอบใจไว้ภายใน เพราะเขาโวยวายว่า ไม่รู้รถอยู่ที่ไหน (รถก็เยอะ คนที่มาเที่ยวก็เยอะ) ภาษาก็พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วจะไปขึ้นรถคันไหนล่ะ เขาเดินพล่านไปอย่างไม่มีความสุขเสียเลย เฮ้อ! กลัวอะไรมากหนอ ถึงอย่างไร คนขับรถก็ต้องรอลูกทัวร์ของเขาจนครบแหละ เขาจึงจะออกรถได้ ฉันไม่พูดอะไร ฉันจำได้ว่า เบอร์รถบัสของเราที่มานั้น คือ 151 ฉันจึงมองหารถเบอร์นี้และมองหาคนขับรถที่ชื่อแจ๊สด้วย ในที่สุด ฉันก็เจอคนขับรถยืนอยู่ เขาก็คงจำฉันกับเก๊าได้ เพราะว่า เราเป็นชาวเอเซียเพียงสองคนที่มาเที่ยวที่นี่ หน้าตาจึงแปลกแตกต่างจากพวกฝรั่งเขานั่นเอง แจ๊สยิ้มร่าทักทายฉันทันทีที่เห็น เฮ้อ ! โล่งอกไปที ไม่งั้นฉันคงต้องทนเสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งไปอีกยาวนาน ฉันก็ไม่เข้าใจว่า จะกลัวอะไรมากมายนักหนา ถ้าคนไม่ครบ เขาก็ออกรถไม่ได้ เพราะก่อนออกรถ แจ๊สจะต้องนับลูกทัวร์ทุกครั้งอยู่แล้ว

ขึ้นรถกันเรียบร้อยแล้ว แจ๊สก็พาพวกเราไปยังหมู่บ้านของชนพื้นเมือง ซึ่งเราจะได้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ กินอาหารชาวพื้นเมืองของเขา ที่นี่คือ Liarsville อาหารที่เขาจัดเป็นมื้อกลางวันให้เรามื้อนี้ เป็นบุฟเฟ่ เป็นถาดหลุมเหมือนเด็กนักเรียนเลย มีคนตักอาหารให้เราด้วย มีข้าวเปล่า ปลาแซลมอลย่าง สลัดผัก แจ๊สมาช่วยราดซอสพริกใส่ปลาแซลมอลด้วย มีขนมไข่ อีกด้วยเป็นของหวาน สภาพของที่อยู่อาศัยเป็นบ้านไม้ปลูกแบบง่าย ๆ น่ารัก มีดอกไม้ปลูกอยู่รอบ ๆ บ้าน ผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว เสื้อแขนยาว เหมือนที่เราดูหนังฝรั่งที่ฉายให้เห็นถึงสภาพชีวิตในชนบท ผู้หญิงบางคนใส่หมวดด้วย เสื้อผ้าเขาน่ารักมาก เหมือนชุดโบราณ มีการก่อกองไฟผิงคลายหนาวด้วย

บริเวณนี้เหมือนป่าละเมาะ หรือเป็นหมู่บ้านเชิงเขา เป็นภาพธรรมชาติที่ร่มรื่น น่าอยู่จริง ๆ ดูชีวิตนั้นเรียบง่าย พื้นดินนั้นเป็นดินขรุขระบ้าง นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาจากภูเขาแถวนั้น ดูเป็นบรรยากาศที่สวยงาม น่าอยู่ สันโดษ เหลือเกิน ขณะที่เรากำลังทานข้าวกันอยู่ ก็มีคนมาเล่นดนตรีให้พงกเราฟังด้วย เป็นดนตรีพื้นเมืองของเขานั่นเอง แถวนี้ก็มีร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ร้านหนึ่ง มีของที่ระลึก ของพื้นเมือง ขายด้วย นอกจากนี้ ยังมีเต๊นท์กางอยู่ น่าจะมีสถานที่ให้คนมาพักแรมได้ด้วยมั้ง ทานข้าวมื้อเที่ยงแล้ว ก็มีการเล่นดนตรี มีการเล่นตลกให้ชมด้วย คิดว่าคงเป็นการแสดงเรื่องราวของชนพื้นเมืองที่นี่ แสดงตลกของ หญิง ชาย คู่หนึ่ง ให้พวกเราหัวเราะอย่างขบขันในท่าทางของเขา เพลงของพวกเขาฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก เป็นทำนองเพลงค่อนข้างเร็ว น่าจะเป็นเพลงประเภทที่เรียกว่า คันทรี่ นั่นแหละ เป็นเพลงท้องถิ่นมั้ง แล้วก็ให้พวกเราไปร่อนทอง ถือจานกันคนละใบ ร่อนกันอย่างสนุกสนาน เขาสาธิตให้ดูก่อน ได้เศษทองมาคนละเท่าเม็ดข้าวมั้ง เขามีถุงพลาสติคเล็ก ๆ ให้พวกเราใส่ทองกลับไปเป็นที่ระลึกด้วยนะ ท่านลองชมภาพที่ฉันนำมาฝากซิคะ ว่ามันสวยหรือสนุกสนานอย่างไรบ้าง

ภาพมาทานข้าวเที่ยงที่ Liarsville



ภาพการแสดงของชนชาวพื้นเมือง Liarsville



เราร่อนหาทองกันอย่างสนุกสนานค่ะ



จุดสุดท้ายของการเที่ยวก็คือ ไปเที่ยวที่ Historic Red
onion Salon Brothel Museum ที่นี่เป็นบ้านตึกแถวสองชั้น ข้างในมีคนดื่มเหล้า ดื่มไวน์ กัน เป็นลักษณะของการเอาของต่าง ๆ ที่ฉันคิดว่า คงเป็นของสำคัญของชนชาวเผ่าใดเผ่าหนึ่งในสมัยโบราณ มาจัดเป็นลักษณะพิพิธภัณฑ์ ข้างในมีของโชว์เป็นเสื้อผ้าก็มี ของใช้ต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นของเก่าโบราณ มีผู้หญิงแต่งกายสวยงาม ทาปากแดงมาก พูดเก่งและเร็วเหมือนรถไฟ มาพาเราเข้าร้านไป ให้พวกเราดื่มน้ำคนละแก้ว โดยให้เราเลือกเอง มีไวน์ เหล้า และน้ำซาสี่ แล้วก็ฟังเขาบรรยายเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ ฟังไม่รู้เรื่องอะไรมาก แต่ก็พอจะรู้ว่า เขาบรรยายถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่มีอยู่ในห้องแต่ละห้องที่เขาพาเราเข้าไปชม นั่นแหละ มีการทำท่าหยอกล้อ มีจริตจะก้านดี คล่องแคล่วประเปรียวมาก ๆ สมกับเป็นผู้หญิงสมัยใหม่จริง ๆ ภาพในห้องเหมือนลายวอลเปเปอร์เก่ามาก ๆ เสื้อผ้าก็เป็นชุดเก่า ๆ ไม่รู้ว่าของใคร เพราะฟังคำอธิบายเขาไม่รู้เรื่องนั่นเอง

ทิวทัศน์ที่รถจอดให้เราถ่ายรูปตามจุดชมวิวตอนขากลับ



ไปเที่ยวร้านHistoric Red onion Salon Brothel Museum และบริเวณร้านแถวนั้น



หลังจากนั้นรถก็พาพวกเราไปส่งที่ท่าเรือที่เรือสำราญของพวกเราจอดอยู่ อีกชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงอาหารมื้อเย็นอีกแล้ว อาหารก็เหมือน ๆ เดิม ฉันกินปลาแซลมอลไป 1 ชิ้น เท่านั้น อยู่เมืองไทย ปลาชนิดนี้ค่อนข้างแพง มาถึงที่นี่ เขาให้กินเป็นว่าเล่น ใครจะกินเท่าไร ไม่อั้นเลย แต่ฉันกลับกินไม่ลง มันคงเอียนนั่นเอง เหมือนกับสลัดผัก ก็มีให้กินทุกมื้อ ปรกติฉันก็ชอบกินนะ อยู่ที่นี่ ฉันก็กินทุกมื้อ กินจนเอียนเหมือนกัน ตามด้วยผลไม้และไอศกรีมต่อท้ายอีกคนละ 2 ลูก อิ่มท้องจริง ๆ เลย

โปรดติดตามอ่าน ตอน ที่ 3 ต่อไปนะคะ



Create Date : 19 ธันวาคม 2554
Last Update : 21 ธันวาคม 2554 19:22:12 น. 8 comments
Counter : 2014 Pageviews.

 
บรรยากาศมันช่างโรมานซ์ ดีจังเลยครับ


ปล.อยากไปร่อนทอง


โดย: pakma_13 วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:15:33:32 น.  

 
ตอนนั่งรถไฟ คงจะเพลิดเพลินน่าดูเลยนะครับ


โดย: เทอดศักดิ์ (pakma_13 ) วันที่: 25 ธันวาคม 2554 เวลา:15:35:29 น.  

 
ข้อความหลังไมค์ได้รับเรียบร้อยแล้วครับ

ส่วนข้อความที่ส่งไปในข้อสองผมเขียนไปแบบนี้ครับ

2 การสร้างบล็อกแบบที่ผมทำ คือสามารถพิมพ์ภาพใส่รูปได้เลย นั่นเพราะผมใช้โปรแกรมโฟโตช้อปทำครับ
ก่อนอื่นก็ต้องเรียนรู้การใช้โปรแกรมโฟโตช้อปให้เป็นก่อน อาจจะยากหน่อยในตอนแรกๆแต่พอคล่องแล้วมันง่ายครับ ทำได้สวยงาม และปกติผมก็จะพิมพ์ข้อความไว้ก่อน แล้วนำมาก็อปปี้วาง ลงรูปภาพในโปรแกรมน่ะครับ เมื่อได้ภาพที่ต้องการแล้วก็ฝากภาพไว้กับเวปแล้ว นำมาวางในบล็อก เหมือนกับเราวางภาพปกตินั่นแหล่ะครับ สำหรับการใช้โปรแกรม ผมคงไม่สามารถสอนได้โดยพิมพ์ข้อความ ยังไงคุณอาจารย์สุวิมล ลองปรึกษาลูกศิษย์ที่เก่งโปรแกรมนี้ดูนะครับ ต่อไปคงจะเก่งเอง


โดย: Zabby วันที่: 28 ธันวาคม 2554 เวลา:22:51:41 น.  

 
อ่านจบตอนนี้แล้ว เข้าใจเลยว่าถ้าเพื่อนร่วมทริปไม่เป็นใจ จะเป็นอย่างไรเพราะฉะนั้นผมจึง ชอบการเดินทางคนเดียวมากกว่า


โดย: Zabby วันที่: 28 ธันวาคม 2554 เวลา:23:48:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณครู :)
หนูเเวะมาทักทายค่ะ
หายไปรับปริญญามาค่ะ เหนื่อยมากๆ แต่ก็ภูมิใจมากๆ เหมือนกันค่ะ
ตอนที่เห็นรอยยิ้มของคุณพ่อคุณแม่ มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
หนูขอให้คุณครูมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงนะค่ะ สุขกาย สุขใจ
พบเจอแต่สิ่งดีๆ ตลอดปีและตลอดไปนะค่ะ


โดย: Nepster วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:20:57:02 น.  

 
ท่องเที่ยวของอาจารย์นี่เสริมความรู้ให้หนูจริงๆ ชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้เที่ยวเหมือนอาจารย์


โดย: ศิริพร มิ่งขวัญ IP: 171.7.32.12 วันที่: 9 พฤษภาคม 2556 เวลา:8:52:08 น.  

 
ขอบพระคุณมากค่ะ สำหรับข้อมูลนี้ กำลังเตรียมตัวไปเที่ยวอีก14วัน
โชคดีที่สามีชอบเที่ยวธรรมชาติคงจะฃื้อทัวร์ตามอาจารย์ไปดูอุตสาห์ไปทั้งทีแล้วต้องไปให้ถึงจริงๆ ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ


โดย: Wantana IP: 171.4.140.174 วันที่: 16 พฤษภาคม 2556 เวลา:7:44:42 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ อ่านเพลินและได้ความรู้ใหม่ๆค่ะ


โดย: รุ่งวดี จุฑามณี IP: 223.204.163.149 วันที่: 29 สิงหาคม 2557 เวลา:16:16:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space