Group Blog
 
All Blogs
 

จัดพอร์ตลงทุนแบบกึ่งสำเร็จรูปด้วยกองทุนรวม





สวัสดีค่ะ

ถ้าพูดถึงการจัดพอร์ต หรือการแบ่งสัดส่วนเงินลงทุน นับว่าเป็นขั้นตอนสำคัญในการลงทุนเลยนะคะ เพราะการจัดพอร์ตที่ดีจะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายในการลงทุนได้ไม่ยาก แต่ปัญหาที่มักพบคือ หลายต่อหลายคนเมื่อจัดพอร์ตไปแล้วสักพัก สัดส่วนการลงทุนจะผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่ตั้งใจไว้ เพราะราคาของสินทรัพย์ที่ลงทุนอย่างหุ้น หรือทองคำ เปลี่ยนแปลงไป แล้วเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีล่ะ K-Expert มีคำตอบมาฝากค่ะ

ในการจัดพอร์ตการลงทุน ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญคือ การปรับสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ (Rebalancing) ยกตัวอย่างเช่น หากเริ่มแรก เราแบ่งเงินลงทุนหุ้น 30% และตราสารหนี้ 70% จากนั้นอีก 6 เดือนต่อมา ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 40% และตราสารหนี้ลดลงเหลือ 60% ดังนั้นจะต้องมีการขายทำกำไรหุ้นออกมา แล้วนำไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหุ้นลดลงเหลือ 30% และตราสารหนี้กลับมาอยู่ที่ 70% ตามเดิม การปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนแบบนี้ แนะนำให้ทำทุก 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่า พอร์ตการลงทุนของเราจะสร้างผลตอบแทนและเติบโตไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ค่ะ

แต่ถ้าใครรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีเวลาที่จะดูแลพอร์ตการลงทุนมากนัก แต่ใจก็ยังอยากจัดพอร์ต ขอแนะนำอีกหนึ่งตัวเลือกในการจัดพอร์ตแบบกึ่งสำเร็จรูปคือ การลงทุนในกองทุนผสม เพราะกองทุนผสมมีการกระจายเงินลงทุนไปในหลายสินทรัพย์ และนโยบายการลงทุนก็มักกำหนดสัดส่วนการลงทุนของกองทุนไว้ว่า ลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่นมากน้อยแค่ไหน โดยจุดเด่นของกองทุนผสมคือ ผู้จัดการกองทุนจะคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ อย่างถ้าดูจากตัวอย่างข้างต้นที่เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนจะขายทำกำไรหุ้นแทนตัวเรา เพื่อให้สัดส่วนเป็นไปตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ 

สำหรับวิธีในการเลือกลงทุนกองทุนผสมก็ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เลือกกองทุนที่มีการแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างที่เรากำหนดไว้ โดยถ้ามีหลายกองทุน ก็ลองเปรียบเทียบจากผลการดำเนินงานย้อนหลัง แล้วเลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดี อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานย้อนหลังไม่ได้การันตีว่า กองทุนจะทำผลงานได้ดีเหมือนกับในอดีต ดังนั้นเมื่อเราลงทุนกองทุนผสมไปแล้ว ก็อย่าลืมคอยติดตามผลงานของกองทุนที่เราลงทุนว่า ทำได้ดีหรือแย่กว่ากองทุนประเภทเดียวกัน เพราะหากกองทุนทำผลงานได้ไม่ดีนัก จะได้ปรับเปลี่ยนเลือกกองทุนที่สามารถทำผลงานได้ดี เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของเราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ค่ะ

หวังว่า กองทุนผสมที่ได้แนะนำไปจะเป็นตัวช่วยในการจัดพอร์ตสำหรับเพื่อนๆ ได้นะคะ สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนกองทุนรวม ขอแนะนำ Workshop “เลือกกองทุนอย่างเซียน” ที่จะมาแนะนำวิธีศึกษาและเปรียบเทียบกองทุน หากสนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่  www.askkbank.com/K-ExpertWorkshop

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี

เว็บไซต์ K-Expert  ปรึกษา K-Expert สัมมนา K-Expert




 

Create Date : 19 เมษายน 2559    
Last Update : 19 เมษายน 2559 11:45:43 น.
Counter : 985 Pageviews.  

มาอัพเดตสิทธิที่เพิ่มขึ้นจาก พ.ร.บ.รถยนต์กันเถอะ





สวัสดีค่ะ

มีข่าวดีสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนมาฝากค่ะ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับบริษัทประกันภัย ได้มอบของขวัญชิ้นพิเศษให้กับประชาชนในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ด้วยการปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “ประกันภัย พ.ร.บ.” ซึ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ โดยที่ไม่เพิ่มเบี้ยประกัน ซึ่งการปรับในครั้งนี้จะปรับเพิ่มความคุ้มครองในด้านใดบ้าง และเพิ่มวงเงินเป็นจำนวนเท่าไร K-Expert ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากเพื่อนๆ กันแล้วล่ะค่ะ

ในการปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัย พ.ร.บ.นั้น ทาง คปภ.ได้ประกาศปรับเพิ่มความคุ้มครองให้ทุกด้าน ทั้งในด้านค่ารักษาพยาบาล ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพ และกรณีสูญเสียอวัยวะ โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างนี้ค่ะ

ความคุ้มครอง

เดิม

ปัจจุบัน

ค่ารักษาพยาบาล กรณีได้รับบาดเจ็บ

50,000 บาทต่อคน

80,000 บาทต่อคน

ค่าสินไหมทดแทน กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร

200,000 บาทต่อคน

300,000 บาทต่อคน

ค่าสินไหมทดแทน กรณีสูญเสียอวัยวะ

200,000 บาทต่อคน

ระหว่าง 200,000-300,000 บาทต่อคน

ทั้งนี้ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลครอบคลุมไปถึงรถยนต์ทุกประเภท สำหรับใครที่ทำประกันภัย พ.ร.บ. ไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ เพราะมีผลย้อนหลังให้กับกรมธรรม์ประกันภัยเดิมที่ยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาประกันภัย ทำให้ได้รับสิทธิปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองตามไปด้วย เรียกได้ว่าทุกคนได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างเต็มที่และเท่าเทียมกันเลยค่ะ

สำหรับใครที่ต้องการความคุ้มครองที่มากขึ้น หรือต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สินด้วยล่ะก็ แนะนำให้ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจควบคู่กันไปค่ะ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายแบบ โดยจะให้ความคุ้มครองและมีค่าเบี้ยประกันที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ควรเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจให้เหมาะกับความคุ้มครองที่ต้องการและความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันในแต่ละปีของเราค่ะ

การใช้รถใช้ถนนในชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้ต้องยอมรับว่ามีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ มีสติก่อนสตาร์ท และขับรถด้วยความไม่ประมาท เพื่อช่วยกันป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองและคนอื่นๆ ทั้งนี้ การทำประกันภัยรถยนต์จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น และที่สำคัญคือ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วยล่ะค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! บทความที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Article: ซื้อรถยนต์ ได้รถ (พ่วง??) <<< โหลดฟรี 

เว็บไซต์ K-Expert  ปรึกษา K-Expert สัมมนา K-Expert




 

Create Date : 12 เมษายน 2559    
Last Update : 12 เมษายน 2559 11:50:17 น.
Counter : 1076 Pageviews.  

เทคนิคจัดพอร์ตง่ายๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่





สวัสดีค่ะ

เมื่อพูดถึงคำว่า “พอร์ตการลงทุน” หลายๆ คนคงจะนึกถึงกราฟรูปวงกลมที่แบ่งเงินเป็นส่วนๆ เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แต่รู้มั้ยว่า เราควรจัดพอร์ตยังไงที่ทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเรามากที่สุด โดย K-Expert ก็มีเทคนิคจัดพอร์ตมาฝาก ซึ่งมี 4 ขั้นตอนด้วยกัน มีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ

Step 1 จัดพอร์ตให้ดี อย่าลืมกันเงินเผื่อฉุกเฉิน

ก่อนจะนำเงินลงทุนไปจัดพอร์ต ควรกัน “เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน” ไว้สักก้อนหนึ่ง ทำไมถึงต้องมีเงินสำรองเก็บไว้ ก็เพราะว่าถ้าเราจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น เจ็บป่วย ซ่อมรถ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ แต่เราเอาเงินทั้งหมดไปลงทุน เราอาจต้องขายสินทรัพย์ที่เราลงทุนไว้เพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย เช่น ขายหุ้น ถ้าเป็นช่วงหุ้นขาลง เราอาจต้องขายแบบขาดทุน ทำให้กระทบกับแผนลงทุนที่เราตั้งใจไว้ก็ได้

โดยเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินนี้ ควรมีสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน สามารถเก็บในเงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนรวมตลาดเงิน เมื่อต้องใช้เงินจะได้เอามาใช้จ่ายได้ทันทีค่ะ

Step 2 เข้าใจตัวเองก่อนว่าจัดพอร์ตเพื่ออะไร

จริงๆ แล้วการลงทุนไม่จำเป็นต้องจัดพอร์ตเสมอไป ถ้าเราไม่อยากรับความเสี่ยง คิดว่าฝากเงินอย่างเดียวก็บรรลุเป้าหมายได้ หรือต้องการผลตอบแทนไม่สูงมากประมาณ 1.5%-3% ต่อปี ก็สามารถออมในเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 หรือ 36 เดือน หรือเลือกเป็นกองทุนรวมตลาดเงินก็ได้ค่ะ เช่น เก็บเงินไปเที่ยวในอีก 1 ปี ใช้เงิน 24,000 บาท ก็สามารถเก็บออมในบัญชีเงินฝากหรือกองทุนรวมตลาดเงินเดือนละ 2,000 บาท โดยไม่ต้องแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นค่ะ 
แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็ต้องมาจัดพอร์ตกัน โดยพอร์ตของเราหน้าตาจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับ “ความสำคัญ” และ “ระยะเวลา” ของเป้าหมาย เช่น เก็บเงินเป็นค่าเรียนของลูกในอีก 10 ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่มีระยะเวลาออมนาน ก็พอจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น สัก 30-50% ของเงินลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ที่เหลือก็ลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก แต่ถ้าเป็นเป้าหมายระยะยาว อย่างแผนเกษียณ มีเวลาเก็บออมเป็นสิบๆ ปี แบบนี้มีสัดส่วนของหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นมากหน่อยเกินครึ่งหนึ่งของพอร์ตก็สามารถทำได้ค่ะ

Step 3 จัดพอร์ตทั้งที ต้องแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนให้เหมาะ

สำหรับเป้าหมายลงทุนทั่วไปที่ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องความสำคัญของเป้าหมายหรือระยะเวลาแล้วล่ะก็ การจัดพอร์ตให้ดีควรพิจารณา “ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” โดย K-Expert ก็มีพอร์ตลงทุนมาแนะนำ 3 แบบให้เลือกลงทุน เรียกว่า K-Expert Standard Portfolio (การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนแบบพื้นฐาน) ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ 4 ประเภท ได้แก่ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทย และตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยพอร์ตที่ K-Expert แนะนำมีการลงทุนต่างประเทศด้วย เพราะเราไม่ควรลงทุนกระจุกอยู่แต่ในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยในประเทศ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง

ระดับความเสี่ยง

หุ้นไทย

หุ้นต่างประเทศ

ตราสารหนี้ไทย 

ตราสารหนี้ต่างประเทศ

ต่ำ

-

-

80%

20%

ปานกลาง

20%

10%

50%

20%

สูง

40%

15%

30%

15%

Step 4 ติดตามข่าวสาร ปรับพอร์ตลงทุนให้ทันสถานการณ์

เมื่อเลือกได้แล้วว่าเราควรจัดสรรเงินลงทุนของตัวเองยังไงดี สิ่งที่เราควรทำเพิ่มเติมก็คือ กำหนดกรอบการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น รับความเสี่ยงได้สูง มีสัดส่วนหุ้นไทย 40% และกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยให้อยู่ในช่วง ±10% ดังนั้น ถ้าหุ้นขึ้นจนทำให้หุ้นไทยในพอร์ตมีสัดส่วนสูงเกิน 50% (40% + 10%) ก็ควรขายหุ้นส่วนเกินออกไปให้สัดส่วนหุ้นไทยกลับมาอยู่ที่ 40% แล้วนำเงินที่ได้ไปลงทุนในตราสารหนี้แทน หรือในทางกลับกัน ถ้าหุ้นตกจนทำให้หุ้นไทยในพอร์ตมีสัดส่วนต่ำกว่า 30% (40% - 10%) ก็ต้องนำเงินไปซื้อหุ้นเพิ่ม อาจเป็นเงินทุนก้อนใหม่หรือขายตราสารหนี้ในพอร์ตมาซื้อก็ได้

นอกจากนี้ หมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ทั้งข่าวเศรษฐกิจ การเมือง ในและต่างประเทศ เพื่อปรับพอร์ตลงทุนของเราให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุน เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ตลาดหุ้นสหรัฐก็มีแนวโน้มสดใส เราก็สามารถนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นต้น

เมื่อการติดตามพอร์ตลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ K-Expert จึงได้คิดค้น K-Expert MyPort (ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์) ที่เราสามารถรวมสินทรัพย์ทุกประเภทจากทุกสถาบันการเงินไว้ในที่เดียว ช่วยทำให้การติดตามพอร์ตลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 07 เมษายน 2559    
Last Update : 7 เมษายน 2559 14:35:56 น.
Counter : 1198 Pageviews.  

Update มาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวและสงกรานต์



สวัสดีค่ะ

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษี เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งการท่องเที่ยวในไทย เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังงงๆ และสงสัยกันว่า มาตรการดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นอย่างไร จะต้องกินเที่ยวอย่างไรถึงจะได้ลดหย่อนภาษี วันนี้ K-Expert จะมาไขข้อสงสัยให้กับเพื่อนๆ ค่ะ

มาตรการลดหย่อนภาษีที่เพิ่งออกมา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยส่วนแรกคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเราสามารถนำค่าอาหารและเครื่องดื่มที่จ่ายให้กับร้านอาหาร ค่าแพ็คเกจทัวร์ และค่าโรงแรมในไทย ที่จ่ายให้กับผู้ประกอบการที่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 9-17 เมษายน 2559 นำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท 

ส่วนที่สองเป็น การต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในไทย ที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อสิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา หากเรามีการซื้อแพ็คเกจทัวร์ หรือพักโรงแรมในไทยซึ่งจะต้องเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2559 ก็จะสามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาทค่ะ 

ถ้าอ่านแล้วยังงงๆ จะขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นนะคะ หากในช่วงสงกรานต์ปีนี้ เราไปเที่ยวพัทยากับครอบครัว พักโรงแรมเป็นเงินรวม 10,000 บาท และทานอาหารในร้านอาหารอีกเป็นเงินรวม 5,000 บาท นอกจากนี้ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ก็ไปพักโรงแรมที่เชียงใหม่เป็นเงิน 6,000 บาท ดังนั้น สำหรับมาตรการแรกจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มๆ 15,000 บาท เพราะทานอาหารในช่วงสงกรานต์ไป 5,000 บาท และพักโรงแรมในช่วงสงกรานต์ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ส่วนมาตรการที่สองสามารถใช้สิทธิได้อีก 6,000 บาท จากการพักโรงแรมที่เชียงใหม่ค่ะ

สำหรับการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีกินและเที่ยวที่ออกมาในครั้งนี้ ก็ต้องขอเน้นย้ำกันว่า ไม่ใช่เป็นการลดภาษีโดยตรงนะคะ เราจะลดภาษีได้เท่าไร ก็ขึ้นอยู่กันฐานภาษีสูงสุดของเราค่ะ เช่น หากใช้สิทธิลดหย่อนเป็นเงิน 15,000 บาท แล้วฐานภาษีสูงสุดของเราอยู่ที่ 10% ก็จะช่วยประหยัดภาษีไปได้ 1,500 บาทค่ะ นอกจากนี้ ใครที่ตั้งใจจะใช้สิทธิมาตรการลดหย่อนภาษีนี้ ก็อย่าลืมให้โรงแรม บริษัททัวร์ หรือร้านอาหารที่เราไปใช้บริการ ออกใบเสร็จที่ระบุชื่อของเราเอาไว้ด้วยนะคะ จะได้มั่นใจว่า สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อย่างที่ตั้งใจไว้ได้ค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: โปรแกรมคำนวณภาษีอย่างง่าย <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 05 เมษายน 2559    
Last Update : 5 เมษายน 2559 13:44:35 น.
Counter : 1448 Pageviews.  

5 กฎเหล็กสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่

สวัสดีค่ะ

ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคนี้ทำให้มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็มีธุรกิจไม่น้อยเลยล่ะค่ะที่ไม่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่องและสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความฝัน ยุติลงกลางคัน ซึ่งสาเหตุหลักๆ นอกจากจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการที่ไม่สร้างความโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งที่มีอยู่มากมายในตลาด รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้ว สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เจ้าของธุรกิจมือใหม่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจัดการหรือการวางแผนการเงินที่ดีพอ ทำให้มีปัญหาเงินสดไม่พอใช้ดำเนินธุรกิจหรือไม่สามารถบริหารต้นทุนได้ จึงทำให้ขาดทุนจนต้องเลิกกิจการไปในที่สุด K-Expert จึงมีคำแนะนำในการบริหารเงินสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำธุรกิจ 5 กฎเหล็กมาฝาก จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันค่ะ

1. มีเป้าหมายการเงินที่เน้นสภาพคล่อง

เนื่องจากธุรกิจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นซึ่งเป็นช่วงที่ต้องบริหารค่าใช้จ่ายและรายได้เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ค่าสินค้าหรือวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน รวมถึงการเก็บเงินจากลูกค้าให้มีประสิทธิภาพ เพราะเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจในช่วงนี้อาจจะยังมีไม่เยอะ ดังนั้น ควรเริ่มต้นด้วยการบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก โดยในช่วงเริ่มต้นอย่างน้อยๆ เจ้าของธุรกิจก็ควรมีเงินหมุนเวียนในกิจการให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายคงที่ อย่างพวกค่าเช่าหรือค่าแรงพนักงาน เป็นต้นค่ะ

2. จัดทำงบกำไรขาดทุนและกระแสเงินสด

เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของเรามีกำไรและคุ้มค่ากับการลงทุนจริง การทำงบกำไรขาดทุนจะช่วยให้เราเข้าใจสถานะของธุรกิจที่แท้จริง เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจหลงดีใจ คิดว่าตัวเองมีกำไรจากการทำธุรกิจ แต่ที่ไหนได้ ลืมเอาค่าใช้จ่ายบางอย่างมารวม เช่น ค่าขนส่ง ค่าเดินทาง รวมถึงค่าแรงของตัวเอง ดังนั้น อย่าลืมนำค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้มารวมเป็นต้นทุนด้วย นอกจากนี้ ควรมีการทำงบกระแสเงินสดเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของเรามีเงินสดเพียงพอ จะได้ไม่สะดุดจากการขาดเงินหมุนเวียนนั่นเองค่ะ

3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยตรง

เพราะธุรกิจเริ่มใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือ ทำยังไงให้ธุรกิจอยู่รอดได้และมีกำไรเพียงพอ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจควรจะนำเงินไปใช้กับกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น ซื้อสินค้า จ่ายค่าจ้างพนักงานขาย หรือจ่ายเป็นค่าโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ยังไม่จำเป็นก็ให้งดเว้นไปก่อนค่ะ เช่น ค่าตกแต่งออฟฟิศให้สวยงาม ค่าอาหารว่าง หรือค่าอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง 

4. เตรียมแผนสำรองในการหาแหล่งเงินทุน

เพื่อความอุ่นใจ แนะนำให้เตรียมแผนสำรองในการหาแหล่งเงินทุนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) กับธนาคาร การหารายชื่อคนที่เราสามารถจะกู้ยืมเงินได้ หรือรวบรวมรายการทรัพย์สินที่คาดว่าจะขายได้ ราคา รวมถึงแหล่งที่จะขายทรัพย์สินเหล่านั้นเอาไว้ล่วงหน้า เพราะในกรณีจำเป็นเราอาจต้องนำทรัพย์สินที่มีไปขายเพื่อเอาเงินมาใช้ในธุรกิจก็เป็นได้ค่ะ 

5. ตรวจสอบสถานะการเงินของธุรกิจอยู่เสมอ

เจ้าของธุรกิจควรตรวจสอบสถานะการเงินของธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อให้สถานะการเงินของธุรกิจเป็นไปตามแผนที่เราตั้งไว้ และหากมีอะไรผิดแปลกไปจากแผนจะได้หาวิธีแก้ปัญหาได้ทันท่วงที โดยอาจจะกำหนดระยะเวลาในการตรวจสอบเอาไว้เป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสเป็นอย่างน้อยค่ะ

เชื่อว่า 5 กฎเหล็กในการบริหารเงินที่บอกไปจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจมือใหม่สามารถบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แผนการเงินสำหรับธุรกิจในแต่ละช่วงอาจมีความแตกต่างกัน เพราะในแต่ละช่วงธุรกิจก็จะมีเป้าหมายและสถานะการเงินที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปรับแผนการเงินของเราตามสถานะของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจของเรามีกำไรและอยู่รอดได้ในระยะยาวนั่นเองค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: เครื่องมือช่วยบริหารจัดการเงินเริ่มต้นธุรกิจอย่างง่าย <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 31 มีนาคม 2559    
Last Update : 31 มีนาคม 2559 11:59:43 น.
Counter : 828 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

K-Expert
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




ข้อมูลดี ฟรี มีประโยชน์ เพื่อชีวิตดีๆ ที่มีได้ทุกคน
Friends' blogs
[Add K-Expert's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.