ข้อเสียของการไม่ลงทุน
สำหรับใครที่กลัวความเสี่ยงจนไม่กล้านำเงินบางส่วนที่มีไปลงทุนโดยปล่อยให้เงินเก็บทั้งหมดที่หามาได้นอนแน่นิ่งอยู่ในบัญชีเงินฝากเพียงอย่างเดียวสิ่งที่เราจะต้องเจออย่างแน่นอนเลยคือ
1. มูลค่าเงินลดลง สิ่งที่เราต้องเจออย่างแรกและไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้เลยก็คือ มูลค่าเงินของเราจะลดลงเนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป เงินเฟ้อก็เพิ่มสูงขึ้นทุกปีๆปีละประมาณ 3% ทำให้ข้าวของเครื่องใช้มีราคาสูงขึ้นแต่เงินเก็บที่มีกลับนอนแน่นิ่งอยู่ในบัญชี ได้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เพียงแค่ 0.5%ต่อปีเท่านั้น ไม่งอกเงยเท่าทันเงินเฟ้อ ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่มูลค่าเงินของเราจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆและเมื่อถอนเงินออกมาใช้จ่ายจึงนำไปจับจ่ายซื้อของได้น้อยลง หรือเรียกง่ายๆว่าทำให้เราจนลงๆ นั่นเอง
2. คุณภาพชีวิตแย่ลง เมื่อมูลค่าเงินลดลงไปเรื่อยๆหากเราไม่ได้มีรายได้มากขึ้น หรือไม่ได้ขยันหารายได้เสริมเพิ่มเติมเข้ามาก็ย่อมส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเราแย่ลงไปด้วยจริงไหมคะเพราะจากเดิมที่เคยจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินที่มีกลับนำไปซื้อของที่ต้องการได้น้อยลงจึงต้องหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายกันมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อไลฟ์สไตล์การชีวิต รวมถึงคุณภาพชีวิตของเราได้ในที่สุดหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่ในอนาคต เราอาจโชคร้ายถึงขั้นต้องหันไปพึ่งพาสถานสงเคราะห์คนชราเพราะไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณก็เป็นได้ค่ะ
3. มีเงินไม่พอทำตามฝัน ในเมื่อเงินเก็บที่มีทั้งหมดได้ลดมูลค่าลงไปเรื่อยๆโอกาสที่เราจะเก็บเงินได้ครบตามที่ตั้งใจไว้เพื่อเอาไปทำตามฝันก็คงเป็นไปได้ยากมากหรือต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทำสำเร็จได้ โดยเฉพาะความฝันที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง อย่างการซื้อบ้านซื้อรถ หรือการส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ เรียกว่าขยันทำงานเก็บเงินเท่าไรก็ยังไม่ครบสักทีความฝันที่มีก็ยังเป็นเพียงแค่ความฝันต่อไป ไม่มีทางจะสำเร็จลงได้อย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ
มาเริ่มต้นลงทุนกันเถอะ
เมื่อเห็นถึงความเสี่ยงและความน่ากลัวของการไม่ลงทุนแล้วเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เรามาเริ่มต้นลงทุนกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่าค่ะโดยเริ่มจากการนำเงินที่เหลือจากการเก็บออมเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรารับได้และเหมาะสมกับระยะเวลาที่ต้องการใช้เงินสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน ขอแนะนำให้เริ่มจากการลงทุนในกองทุนรวมก่อนค่ะเนื่องจากกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยบริหารเงินลงทุนให้เราจึงเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน หรือคนที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุนแถมยังมีกองทุนมากมาย ระดับความเสี่ยงหลากหลายให้ได้เลือกลงทุน ที่สำคัญคือ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไปและกำไรที่ได้รับยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วยค่ะ และเพื่อให้เห็นภาพเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่างค่าอาหารที่เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี การฝากเงินและการนำเงินไปลงทุนในกองทุนผสมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ลองดูจากตารางนี้ค่ะ
มูลค่าเงินปัจจุบัน | ระยะเวลา |
1 ปี | 3 ปี | 5 ปี | 10 ปี | 15 ปี | 20 ปี |
ค่าอาหาร 100 บาท (อัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี) | 103 | 109 | 115 | 134 | 155 | 180 |
ฝากเงิน 100 บาท (อัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี) | 100.50 | 101.50 | 102.52 | 105.11 | 107.76 | 110.48 |
ลงทุนกองทุนผสม 100 บาท (อัตราผลตอบแทน 5% ต่อปี) | 105 | 115.76 | 127.62 | 162.88 | 207.89 | 265.32 |
รู้อย่างนี้แล้วอยากให้ลองเปิดใจรับความเสี่ยงกันดูสักนิด ในเมื่อไม่ลงทุนแล้วเสี่ยงกว่า ก็อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นลงทุนกันตั้งแต่วันนี้โดยศึกษารายละเอียดเงื่อนไขของกองทุนรวมที่เราสนใจก่อนตัดสินใจลงทุนและจัดสรรเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่ออนาคตที่สดใส และสุขภาพการเงินที่แข็งแรง เพิ่มพูน มั่งคั่งต่อไปในอนาคตนั่นเองค่ะ
เขียนโดย... K-Expert หน่อย