All Blog
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสิบเก้า


เอาน้ำจิ้มรสนัวมาให้อ่านก่อน พรุ่งนี้จะตามมาให้ชิมอีกรสคะ
มีใครทายถูกมั่งว่าจะเป็นยังไงต่อไป พู่กันของเราจะเจออะไรอีกบ้าง


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *





ไม่มีกลอนหวานมามอบให้
มีแต่หัวใจบนคีย์บอร์ด
มิตรภาพบนไซเบอร์มีตลอด
คลิกแล้วจอดกดเมนท์ให้ด้วยใจจริง

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


เบรโตจ้องจอภาพด้วยแววตาไหวระริก อริยบทต่างๆ ของพู่กันที่เขาแอบบันทึกเอาไว้ในขณะที่ติสสาวไม่รู้ตัว กิริยาท่าทางที่มิได้ปรุงแต่ง รอยยิ้มสดใส โดยเฉพาะตากลมโตสวยนั้นมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลาเพราะมีตัวประกอบคล้ายปีกผีเสื้อกระพือปีกไหวไปมา นิ้วเรียวยาวสัมผัสหน้าจออย่างถนุถนอมไล้ใบหน้าและหยุดที่ริมฝีปากอิ่มมีลักยิ้มแย่งซีนอยู่บ่อยๆ ดวงหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนลงมุมปากบางหยักยิ้มอย่างพึงใจ ตาสีฟ้าแกมเขียวลุ่มลึกทอทอดเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่ยอมให้เขาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษจ่ายค่าอาหาร

“ก๊อก ๆ”

เสียงเคาะประตูรัวดังอยู่หน้าห้องปลุกคนจ้องภาพในมอนิเตอร์หลุดจากภวังค์ คิ้วเข้มขมวดสงสัย ลักษณะเคาะแบบนี้นอกจากพี่ชายคงจะมีแต่เนลโลเท่านั้นใช้เวลาฉุกเฉิน

“จะมีอะไรด่วนถึงต้องเคาะแบบนี้วะ”
ร่างสูงเดินไปแนบหน้าส่องดูภายนอกห้องที่ตาแมว เห็นสีหน้าเครียดของเนลโล

“เฮอะหน้ายังกะท้องผูกมาสิบวัน”
เบรโตคิดขำ ประตูเปิดกว้างคำพูดที่ตั้งใจใช้กับแขกที่ไม่รับเชิญหยุดที่ริมฝีปากบางเฉียบเมื่อเห็นร่างเล็กไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของเนลโล

“พู่กัน!”
เบรโตอุทานชื่อคนหลับตาพริ้มในวงแขนแข็งแรง สายตาตวัดขึ้นดูหน้าคนอุ้มอย่างกินเลือดกินเนื้อขึ้นมาทันควัน

“หลีก”
เนลโลพูดเสียงเข้ม ถือวิสาสะแทรกตัวเดินเข้าห้องตรงดิ่งไปที่เตียงกว้าง มัจจุราชหนุ่มวางสาวเอเชียที่เจ็บตัวแทนเขาให้รอดพ้นจากกระถางใบเขื่องอย่างอ่อนโยน

“แกทำอะไรเค้าเนลโล”

เสียงโกรธกริ้วมาพร้อมกับกำปั้นไม่มีรูเข้าที่โหนกแก้มจนหน้าคมคายนั้นสะบัดตามแรงหมัด เนลโนสะบัดหน้า หมัดที่สองตามมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ถากเข้าที่มุมปากเพราะทันไหวตัวแต่ยังสามารถเรียกความเค็มของเลือดได้อยู่ดี

“เดี๋ยวโว้ย”
เนลโลยกมือขึ้นก่อนที่หมัดที่สามจะตามมา พลางเช็ดเลือดที่มุมปากหนา สายตาที่มองเพื่อนหนุ่มไม่เข้าใจมากกว่าโกรธเคือง

“แกทำอะไรพู่กัน”
เบรโตคำรามออกมา แววตาแดงก่ำและหน้าบึ้งตึงขณะที่จ้องผู้ต้องหา

“พู่กัน?”
มัจจุราชหนุ่มทวนเสียงสูงหันไปมองร่างเล็กที่ยังนอนไม่ได้สติ

“ผู้หญิงคนนี้ชื่อพู่กัน”
เสียงเข้มกร้าวเล็ดลอดออกมาจากปากบางที่เม้มเป็นเส้นตรงจากอารมณ์เดือดดาลสุดขีด

“นายรู้จักแม่สาวเอเชียคนนี้เหรอ”

แทนการตอบกลับถามหยักสมองประมวลผลอย่างเร็ว ตามคมกริบหันไปดูหน้าสาวเอเชียที่เพิ่งช่วยพญามัจจุราชอย่างเขาโดยไม่ห่วงตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้แววตาเหี้ยมที่ซุกซ่อนอยู่นั้นไหววาบขึ้นมาอย่างเร็วก่อนที่จะเลือนหายไปทันที

“ใช่”
“ก่อนอื่นช่วยหยุดเลือดให้เธอก่อนที่มันจะไหลหมดตัว”
เสียงขรึมบอกน้องชายเจ้านายในขณะสายตามองหน้าสลับกับหัวไหล่ที่ชุ่มด้วยเลือด

“นายทำอะไรเธอ”

สีหน้าของเบรโตซีดเมื่อเห็นโลหิตที่ไหล่บางและอุ้งมือ เขาเพิ่งสังเกตุเห็นสีหน้าพู่กันซีดเซียวเข้ากับปลอกหมอนที่หนุนนอน แววตาที่เหวี่ยงแหมาที่เนลโลราวจะปลิดวิญญาณ กรามนูนเด่นเหมือนสะกดอารมณ์โกรธอย่างสุดความสามารถ

“มันเป็นอุบัติเหตุ”

เนลโลถอนหายใจดังพรืดที่ยังเห็นท่าทางขู่ฟ่อ ๆ เหมือนจงอางหวงไข่ไม่ปานจากยมทูตหนุ่ม มือใหญ่ยกขึ้นห้ามเมื่อเห็นปากบางขยับตั้งกระทู้ถาม พูดเสียงเรียบเหมือนอารมณ์เริ่มคุกรุ่นจากคำพิพากษาของเบรโต

“นายช่วยเธอก่อนดีกว่า เรื่องของเราไว้ก๊อกสอง”

เบรโตได้สติตวัดสายตาอาฆาตหันกลับไปมองพู่กันด้วยแววตาห่วงใย ร่างสูงถลาเข้าไปนั่งริมเตียงข้างร่างบางที่ยังนอนหลับตาพริ้ม ดวงตาสีฟ้าแกมเขียวนั้นมองที่เลือดซึมจากไหล่ เสื้อกันหนาวที่พู่กันใส่นั้นสีขาวจึงเห็นได้ชัด ตาเข้มวาบเมื่อหยุดที่อุ้งมือน้อยที่เป็นจุดสุดท้ายของโลหิตไหลมารวมกัน

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? นายไปเจอพู่กันได้ยังไงกัน และ ที่ไหน?”

คำถามพรวดออกมาจากเบรโตทำเอาเนลโลโคลงศีรษะขัน เหมือนเป็นคำถามจากคนที่เป้นห่วงอย่างมากมาย “ไอ้นี่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแบไต๋หัวใจออกมาแบบไม่มีกั๊กเอาไว้เลย” เสียงหัวเราะหึหึหึ อยู่ในลำคอของพญามัจจุราช ตาคมกริบนั้นตวัดไปที่หน้าเนียนของพู่กัน พูดเสียงห้าวชักชวนเบรโตช่วยกันทำแผลให้หญิงสาว

“ฉันว่าเรามาช่วยกันถอดผ้าเธอก่อนดีกว่า”
“ไอ้บ้า”
เบรโตตะเบ็งเสียงหันกลับไปหาเนลโนด้วยหน้าตาแดงก่ำเมื่อได้ยินคำชวน

“อ้าวไอ้นี่ ถ้าไม่ถอดเสื้อแล้วจะเห็นบาดแผลและช่วยเธอได้ไงกันวะ”
เนลโลเสียงดังสวนกลับไป แววตาที่มองหน้าเบรโตเริ่มสงสัยมากขึ้น

“ไม่ได้ เธอเป็นผู้หญิง”
เสียงกร้าวเข้มข้นยืนยันไม่ทำตามคำชวน

“ทำอย่างแกไม่เคยแก้ผ้าผู้หญิงมาก่อน”
มัจจุราชหนุ่มเลิกคิ้วถามติดมึนที่เห็นอาการแปลกๆของเพื่อน

“พู่กันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
น้ำเสียงอ่อนลงดวงตาที่มองดูร่างไม่ได้สติ

“แล้วอีสาวคนนี้มันเลิศเลอมาจากไหนวะ”
เนลโลซักถี่ขึ้น

“แกไม่มีสิทธิ์พูดถึงเธอแบบนี้ เนลโล”
เบรโตเงยหน้าตวัดเสียงไม่พอใจใส่มือขวาของพี่ชาย

“โอเค ฉันเตือนนายแล้วนะเบรโตว่าให้รักษาเธอก่อนที่เลือดจะไหลหมดตัวเธอ นายไม่เห็นเหรอว่าเลือดมันซึมมากแล้ว”

ร่างบึกบึนเดินไปมาที่ปลายเตียงสายตามองที่ติสสาว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วย้ำเตือนสติคนขี้หวงช่วยคนเจ็บก่อน เบรโตมองหน้าสลับกับไหล่ของพู่กันนิ่งไปอึดใจก่อนตัดสินใจทำตามเนลโล

“โอเค ถอดก็ถอด”
“มาฉันช่วย”
เนลโลนั่งลงอีกด้านของเตียงยื่นมือหมายปลดกระดุมเสื้อโค้ทของติสสาว มือหนาถูกผลักพร้อมกับเสียงแผดลั่นของเบรโต

“ไม่ต้อง แกไปยืนห่าง ๆ หันหน้าไปทางอื่นด้วย”
“ก๊าก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นี่อย่าบอกว่าแกหวงแม่นี่นะโว้ย เบรโต ฮะ ๆ ๆ ๆ”
หน้าเหรอหราเปลี่ยนเป็นหัวเราะเต็มสตรีมขำขันมากกว่าถือสาน้องชายเจ้านาย

“พู่กันไม่ควรเสียหาย”
“นี่เบรโต แกลืมไปแล้วเหรอว่าฉันอุ้มแม่นี่มานะ ความจริงเจ้าหล่อนก็นุ่มนิ่มไปทั้งตัว แถมตัวเบายังกะนุ่นวะ เสียอย่างเดียวใจปลาซิวไปหน่อยเจ็บตัวนิดเดียวถึงกับสลบดูสิ จนป่านนี้ยังไม่ตื่นเลยวะ”

เนลโลหัวเราะขำเพื่อนชายชาติเดียวกัน ไม่วายวิจารณ์คนเจ็บไปด้วย ตาคมกริบมองดูท่าทางเก้ๆกังๆขณะที่ถอดผ้าของเบรโตแล้วส่ายหน้าอย่างรำคาญ นึกในใจว่าแล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะเห็นบาดแผลว่ามันขนาดไหนทำไมสาวเอเชียถึงไม่ได้สตินานถึงขนาดนี้

“เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลก่อนแล้วกัน แกจัดการเสื้อผ้าผู้หญิงคนนี้ให้เสร็จ”
“เออ”
“ว่าแต่แกอย่าฉวยโอกาสคนเจ็บนะโว้ย ฮะ ๆ ๆ ๆ”

เนลโลพูดทิ้งท้ายก่อนจะรีบถอยฉากห่างรัศมีเท้าของยมฑูตหนุ่ม หลังจากคนปากเสียออกไปแล้วเบรโตจึงค่อยๆ ดึงเสื้อกันหนาวออกจากพู่กันที่ยังนอนไม่ได้สติ ทันทีที่เสื้อตัวหนาหลุดออกจากตัวติสสาวไปแล้ว ตาคมเข้มวาบสันกรามนูนขึ้นเมื่อเห็นวงกว้างของเลือดที่เปียกบริเวณนั้น ใจของยมฑูตหนุ่มเต้นแรงเมื่อด่านสุดท้ายคือเสื้อคอเต่าแขนยาวตัวบาง มือใหญ่ชะงักขณะที่เลิกชายเสื้อขึ้นเห็นเอวบางคอดกิ่วเผยให้เห็นเนื้อนวลเนียนละเอียด เบรโตรู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แรงเต้นของหัวใจเหมือนครั้งสมัยที่เป็นหนุ่มน้อยริมีสัมพันธ์สวาทครั้งแรกไม่ได้ หัวใจเต้นดังตึกตักจนกลัวว่าคนนอนอยู่จะได้ยิน มือไม้สั่นจนเจ้าตัวด่าตัวเองอย่างหงุดหงิดในเวลาฉุกเฉินแล้วคิดแบบนี้ได้ยังไง ขณะที่เบรโตกำลังระงับความรู้สึกแปลกๆอยู่นั้น เปลือกตาของติสสาวขยุกขยิกแล้วค่อยๆ เผยอลืมขึ้นมอง ตากลมโตเห็นชายต่างชาติกำลังจ้องฝ่ามือใหญ่อยู่ ติสสาวกวาดตามองรอบๆ ตัว มันไม่ใช่ห้องพักของเธอ ตาคมหวานวนกลับมาที่เบรโตแล้วก้มดูตัวเองที่เหลือแต่เสื้อยืดตัวบางเท่านั้น พู่กันผลุดลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ ด้วยความตกใจหยิบหมอนใบโตทุ่มใส่เบรโตทันที

“เบรโต นายทำอะไรฉัน”
เสียงหวานแผดเสียงลั่นใส่จนร่างหนาที่นั่งสงบสติอารมณ์ไหวอยู่นั้นตกใจหันกลับมาเจอหมอนที่ปาเข้าที่หน้าอย่างจัง ชายหนุ่มดีดตัวออกห่างเตียงทันที

“เดี๋ยวๆ พู่กัน คุณกำลังเข้าใจผิด”
“ไอ้บ้า ไอ้ฝรั่งบ้า เฮงซวย ลามก บ้ากาม”
พู่กันพ่นคำด่าเป็นภาษาไทยออกมา เพราะนึกภาษาอังกฤษไม่ออก แต่เบรโตรู้ว่ามันต้องเป็นคำด่ามากกว่าคำชมแน่นอน

“คุณบาดเจ็บ”

เบรโตยกมือห้ามพูดอย่างรัวเร็วแล้วชี้ไปที่หัวไหล่ของติสสาวเพื่อยืนยันว่าเขาพูดจริง พู่กันชะงักหันดูหัวไหล่ของตัวเอง รู้สึกเจ็บปวดริ้วขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเลือด ตาคมโตไต่ลงมือที่ฝ่ามือเห็นเลือดเกรอะกรัง ติสสาวตาพร่าเบลอ เงยหน้าขึ้นมองเบรโตเป็นคำถามแต่ดูหน้าหล่อนั้นพร่าเลือนทุกที จากขาวโพลนและมืดสนิท อาร์ทสาวเป็นลมล้มตัวนอนที่เดิมอีกครั้ง เบรโตกระพริบตานึกรู้ทันทีว่าพู่กันเป็นโรคแพ้เลือด เห็นเลือดทีไรเป็นลมทุกที คราวนี้ชายหนุ่มไม่รีรอที่จัดการกับเสื้อยืดตัวบางของหญิงสาวทันทีก่อนที่จะถูกขัดขวางจากหญิงสาวอีกครั้ง ร่างสูงยืนดูร่างเล็กที่หมดสติด้วยความหนักใจ บาดแผลที่เห็นคือแผลฉีกขาดเป็นทางยาว สาเหตุที่หญิงสาวเสียเลือดเยอะขนาดนี้ ชายหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำและกลับออกมาพร้อมอ่างน้ำ น้ำอุ่นจากก๊อกน้ำ อุณหภูมิพอเหมาะ ยมทูตหนุ่มบรรจงเช็ดอย่างแผ่วเบา เว้นระยะห่างจากปากแผลเกรงว่าหญิงสาวอาจจะแสบผิวได้

เนลโลกลับเข้ามาพร้อมซองยา แววตามัจจุราชหนุ่มนั้นขบขันสิ่งที่เขาเห็นคือ แขนเสื้อข้างที่เจ็บถูกตัดตั้งแต่หัวไหล่ ส่วนอื่นยังอยู่ครบ ตาคมกริบมองบาดแผลฉีกขาดและลึกพอควร ผิวเนื้อเนียนละเอียดยังมีเลือดไหลซึมออกมาอยู่ไม่ขาดคงต้องหยุดเลือดก่อน มัจจุราชหนุ่มคิด

“เอ้านี่ นายรีบล้างแผลให้แม่นี่ะ จะได้ห้ามเลือดต่อไป”
“คงแสบแย่” เบรโตงึมงัมอยู่ในลำคอ
“ไอ้บ้าเบรโต ทำเป็นใจปลาซิวไปได้ มานี่ถ้าไม่ทำฉันทำเอง”
“ไม่ได้ แกมือหนัก”
ปากตวาดไม่พอมือไม้ยังโบกไปมาห้ามให้คนเสนอตัวแตะต้องติสสาว

“ฮะ ๆ ๆ โอเค ๆ นายก็รีบทำซะ”

เบรโตรับซองยาแล้วตัดสินใจล้างแผลให้พู่กันก่อนที่หญิงสาวจะฟื้นขึ้นมาอีก ระหว่างที่ทำความสะอาดเช็ดบาดแผลแขนเรียวกระตุกไหวจนคนเช็ดสงสาร เสียงปลอบเบา ๆ ระหว่างที่ทำความสะอาดแผลอยู่ในสายตาพญามัจจุราชตลอด

“อะไรวะ สำออยจังจนป่านนี้ยังไม่ตื่นอีกเหรอ”
“พู่กันเธอสลบไปอีกครั้งต่างหากล่ะ”
“ตื่นมาเจอแกกำลังแก้ผ้าหล่อนอยู่งั้นสิ ไร้เดียงสาดัดจริตจังแม่นี่”
เนลโลเดาและแดกดันคนเจ็บ สายตาที่มองหน้าพู่กันเริ่มพิจารณาอย่างละเอียด

“เนลโลถ้าแกพูดไม่ดีอีกที แกกับฉันต้องมีเรื่องกันแน่”
ยมทูตหนุ่มหันมาชี้หน้าเพื่อนต่างชาติเดียวกัน ไม่พอใจที่พูดจาไม่ให้เกียริต์พู่กัน

“อ้าวไอ้บ้านี่ แกชกฉันสองหมัดฉันยังไม่ได้เอาคืนนะ”
“พู่กันเค้าแพ้เลือด”
เบรโตอธิบายน้ำเสียงอาทร

“อ๋อพอเห็นเลือดตัวเองเลยเป็นลมไปอีก”
เนลโลพยักหน้าหงึก ๆเข้าใจอาการโรคนี้

“ทีนี้นายจะบอกฉันได้หรือยังว่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
เบรโตเงยหน้าถามมัจจุราชหนุ่มสายตาคาดคั้นบ่งบอกว่าถ้าพูดไม่จริงนายแย่แน่ เนลโลหยักไหล่มิได้เกรงกลัวสายตาที่จ้องมา บอกเรื่องจริงให้ฟัง

“ไม่มีอะไร เธอถูกกระถางดอกไม้หล่นใส่”
“นี่เป็นครั้งแรกที่แกช่วยผู้หญิง”
เบรโตแสยะยิ้มเหลือเชื่อ

“ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นฉันก็คงไม่ช่วย ถ้าเจ้าหล่อนไม่รับกระถางนั้นแทนฉัน”
เนลโลขยายความอีกครั้งน้ำเสียงเรียบยากจับความรู้สึก

“ยังไง”
แววตาวาวคิ้วเข้มเลิกขึ้นข้องใจขณะถาม

“ฉันกำลังเดินอยู่ดี ๆ แม่นี่วิ่งพรวดพลาดจากไหนไม่ทันเห็นผลักฉันกระเด็นแต่ตัวเองกลับไม่พ้นเลยเจ็บแทน”
เนลโลตอบเรื่อย ๆ ยกมือแบกลางอากาศเสมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองหน้าเนียนนั้นอ่อนโยนลง

“จิตใจเธอดีมากจริงๆ”
เบรโตพูดขึ้นขณะที่มองดูหน้าหวานที่ยังไม่ได้สติ

“นี่ยาแก้ปวดและชะลอเลือดไหล ฉีดให้เธอซะ”

เนลโลยื่นอุปกรณ์ฉีดยาและตัวยาให้เบรโต แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นกดน้ำแข็งก้อนเล็กออกมา เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเทน้ำแข็งใส่แล้วใช้สันฝ่ามือทุบลงบนผ้าขนหนูสองสามหนจนแน่ใจว่าน้ำแข็งแตกละเอียด ห่อผ้ายื่นตรงหน้าเบรโต ยมฑูตหนุ่มรับโดยไม่พูดอะไรก่อนจะกดเบาๆตรงปากแผลที่มีเลือดไหลซึมออกมา ร่างบางเคลื่อนไหวอีกครั้งคราวนี้ ตากลมโตลืมขึ้นมองดูเบรโตด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ตากลมโตมองเลยไปที่ชายแปลกหน้าที่มองเธอด้วยตาคมกริบนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปปั้นมากกว่า

“เจ็บหรือเปล่า”
เสียงทุ้มดึงสายตาพู่กันกลับมาที่หน้าหล่อเหลาก่อนจะพยักหน้าขณะที่ยกแขนซ้ายขึ้นลง สีหน้างงงัน เธอกำลังลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

“กี่โมงแล้ว ฉัน..ฉันต้องกลับที่พักแล้วล่ะเบรโต”

พู่กันพูดเสียงแหบ เธอเหลือบขึ้นมองเนลโลที่ยังยืนนิ่งตามองเธอเช่นเดิม เบรโตหันตามสีหน้าที่เขาเห็นแทบจะขำก๊ากให้ได้ เขาเห็นมัจจุราชปั้นหน้าดีที่สุดต่อหน้าผู้หญิงที่เคยเห็นมา

“พักก่อนนะคุณ เดี๋ยวผมจะพาไปส่งที่พักเอง”
“ไม่ได้หรอก ฉันหายออกมานานแบบนี้ พวกเค้าจะเป็นห่วง”
พู่กันขยับตัวลุกนั่งเบรโตจัดหมอนให้หญิงสาวพิงได้สะดวก

“กลับตอนนี้ไม่ได้หรอก แท็กซี่ไม่มีเดินกลับคงไม่ไหว”
เสียงห้าวแทรกขึ้นมาหวังดี ติสสาวเหลือบตาสบตาเข้มคมกริบนั้นตอบเสียงห้วน

“ขาฉันไม่ได้เจ็บนะ ฉันเจ็บที่แขน”
“เออ..”
เนลโลขานรับในลำคอยืนนิ่ง มีเพียงนิ้วชี้ที่ขยับไปมาตรงสันจมูกโด่ง

“ผมเพิ่งฉีดยาแก้ปวดให้คุณไป” เบรโตอธิบาย
“พอยาออกฤทธิ์ แข้งขาไม่มีแรงเดินหรอก”
เสียงห้าวขรึมแทรกขึ้นมาอีกครั้งเพราะไม่ทันใจกับคำตอบของเบรโต

“ฉันอนุญาตให้อุ้มไปส่ง ถ้าถึงตอนนั้นแรงฉันไม่มี”
เอาแล้วสิใครจะรู้บ้างว่าติสตัวแม่แตกแล้ว พู่กันตอบอย่างแข็งขันยืนยันเจตนาเดิมให้ได้

“เออ..”
เนลโลจ้องหน้าแม่ติสสาวนิ่ง ทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ประเมินผู้หญิงคนเดียวในห้อง สีหน้าท่าทางมิใช่สาวไฟแรงสูงหรือยั่วสวาท น่าจะพูดตามความรู้สึกจริงๆ มิได้มีเรื่องอย่างว่าแอบแผง

“ก็ได้ครับ ผมขอเก็บของพวกนี้ประเดี๋ยวแล้วจะไปส่งคุณก็แล้วกัน”
เบรโตกลั้นขำที่เนลโลเจอตอติสแตกของพู่กันจังเบ่อเร่อ ลอบสังเกตหน้าเรียบสนิทนั้นป่านนี้ควันคงโขมงแล้ว

“คะ”
ติสสาวพยักหน้าและกวาดตามองหาเสื้อโค้ทของตัวเอง เบรโตหันไปสั่งสมุนมือขวาของพี่ชายที่ยืนเป็นส่วนเกินของห้อง เขาไม่ไว้ใจเนลโลที่มองพู่กันแปลกๆพิกล

“เนลโลนายมาช่วยฉันเก็บของพวกนี้หน่อยสิ”
“แค่นี้เก็บเองได้ แต่ฉันข้องใจทำไมนายเชื่อฟังเจ้าหล่อนง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ”
เนลโลหรี่ตามองหน้าหล่อของเบรโตสื่อสารด้วยภาษารัสเซียแทน

“นั่นสิ แล้วทำไมแกไม่เถียงเค้าล่ะ”
เบรโตไม่ยอมแพ้ย้อนถามสบตาร้ายลึกของเนลโลตรงๆ

“ก็เจ้าหล่อนพูดมีเหตุผลนี่”
มัจจุราชหนุ่มตอบเสียงห้าวไหวไหล่เช่นเคย หางตามองดูติสสาวที่กำลังหาวติดๆกัน

“สำนึกบุญคุณเหรอ”
เบรโตพูดเสียงหมิ่นไม่เชื่อถือ เนลโลหัวเราะหึหึหึ แทนคำตอบยากต่อการเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เบรโตหันไปพูดกับคนเจ็บ

“พู่กัน..อ้าวหลับซะแล้ว”
“ฮะ ๆ ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะถูกใจของเนลโลดังขึ้น

“นายเอายาอะไรให้ฉันฉีด”
เบรโตขมวดคิ้วถามเพื่อนชายขณะกำลังสำรวจและตบแก้มติสสาวเบา สองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่าหญิงสาวหลับลึกไปจริงๆ

“ยาแก้ปวด”
“ทำไมเธอไม่ยอมตื่น”
เบรโตเริ่มสงสัยบางอย่างขณะที่เปิดเปลือกตาคู่สวย

“สงสัยยาออกฤทธิ์ได้ผลดี”
น้ำเสียงจับได้ว่ารื่นรมย์มากกว่าตกใจ

“แก....ผล๊วะ”
เบรโตหันไปตะคอกเนลโลแต่ไม่ทันได้พูดต่อเพราะสันมือของเนลโลสับลงที่ก้านคอน้องชายเจ้านายอย่างแม่นยำทำให้ร่างสูงถึงกับหลับกลางอากาศทันที

“โทษที มันจำเป็นจริงๆ”

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2555 10:18:31 น.
Counter : 1124 Pageviews.

9 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสิบแปด

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *

ขอนอกเรื่องก่อนนะคะ
แม่หนูยิมขอฝาก ผลงานที่มีโอกาสได้ตีพิมพ์กะเค้า
ท่านที่เคยติดตามและจำได้ นิยายเรื่อง "รักนี้เหมือนฝัน" นิยายแนวหวาน ๆ ตามสไตล์แม่หนูยิม
"หม่อมเจ้าอติเทพ อิศรา กับ เขมิกา แฝดคนน้อง"
ชื่อเรื่องเปลี่ยนจาก "รักนี้เหมือนฝัน" เพื่อให้เข้ากับเนื้อหา เป็น"แสนรัก"แทน

แม่หนูยิมมีนามปากกากะเค้าด้วย "ณอิงค์" หนูยิมลูกสาวตั้งให้ ผันมาจากนิคเนมของข้าพเจ้าเอง
ขอฝากผลงานเรื่องแรกไว้ด้วยนะคะ




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



ติสสิบแปด

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



“อะไรกันนักหนานะ”

เสียงมือถือดังติดต่อกันนานหลายนาที สีหน้าหงุดหงิดบนใบหน้าหล่อเหลาทำให้คิ้วเข้มชนกันเป็นเส้นตรง ร่างสูงเดินเปลือยอกมีเพียงผ้าขนหนูพันส่วนล่างเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ นิ้วเรียวยาวกดรับโดยไม่ได้ดูเบอร์โทรเข้า กรอกเสียงกร้าวทันที

“อะไร?”
“ฉันควรจะถามนายมากกว่าเบรโต แกมัวทำอะไรอยู่ห๋า ถึงไม่ทำอะไรเสียที”
เสียงกร้าวตะคอกตอบมาไม่แพ้กันจนเบรโตอึ้งไปแล้วผ่อนเสียงตอบอ่อนลง

“ผมก็ทำอยู่นี่ฮะ”
“ทำ? โดยการปล่อยให้เจ้าหล่อนตะรอนทัวร์แถวเวนิสอยู่นั่นนะเหรอ”
“พี่ส่งคนติดตามเธอเหรอฮะ”
คิ้วเข้มขมวดอีกครั้ง กระชากเสียงกลับไปให้รู้ว่าเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง

“ก็..ก็ฉันอยากรู้”
ถึงคราที่อังวาห์ พี่ชายคนเดียวของเบรโตทำเสียงอ่อยตอบกลับมาบ้างเพราะไปละเมิดกฎที่เคยสัญญาว่าถ้างานใดที่เบรโตรับต้องไม่มีคนอื่นทำซ้อนอีก

“พี่ไม่ไว้ใจผมถึงขนาดส่งคนตรวจสอบการทำงานของผม”
“ก็ถ้านายรู้ว่า เมียรักตามอดีตคู่รักมานายจะนั่งอยู่กับที่ได้อีกหรือเบรโต?”
เสียงเครียดแทรกขึ้นเหมือนกับใจที่ร้อนรุ่มเหมือนไฟสุม

“อะไรนะ พี่สะใภ้มาอยู่ที่ฟลอเร้นซ์หรือฮะ?”
“ถ้านายรู้อย่างนี้แล้วนายก็ควรรีบจัดการก่อนที่ เนลโล จะลงมือก่อนนาย”
เสียงอุทานแว่วเข้าไปในสายดังอย่างประหลาดใจทำให้เสียงที่สั่งออกไปมีอำนาจพอที่จะให้คนฟังนั่นละล่ำละลักถามขึ้นทันควัน

“อะไรนะฮะ”
“นายฟังไม่ผิดหรอก เนลโลรับงานไปแล้ววันนี้”
“ไม่ได้นะครับพี่ พี่อังวาห์”

เบรโตไม่แน่ใจว่า พี่ชายเขาจะได้ยินไหมเพราะสัญญาณตัดไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทำได้แค่เหวี่ยงมือถือลงเตียงอย่างโมโห

“โธ่โว้ย”

ร่างสูงทรุดนั่งบนเตียงยกมือกุมขมับ สมองใช้ความคิดอย่างเร็วรี่ เขาไม่อยากให้เนลโลพบและทำอะไรก่อนเขา ตาสีเขียวแกมฟ้าสว่างวาบเมื่อนึกอะไรบางอย่างแวบขึ้นมาได้ มือเรียวยาวกดปุ่มโทรออกทันที ปลายสายรับหลังจากให้รอสัญญานไม่นาน

“สวัสดีจูน”
“เบรโต”
เสียงหวานโต้ตอบมาอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของชายหนุ่ม

“สบายใจขึ้นบ้างหรือยังฮะ”
น้ำเสียงห่วงใยเจือมาในสายพอจะนึกถึงสีหน้าและแววตาคนถามออกว่าอยู่เป็นเช่นไร ชายหนุ่มเป็นเสมือนเพื่อน คอยปลอบโยนและรับฟังเธอระบายเรื่องราวต่างๆยามที่เธอมีปัญหา ทำให้เสียงหวานตอบอย่างนุ่มนวล

“ก็โอเค ขอบใจมาก ว่าแต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ”
“ผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล”
“อีกแล้วหรือเบรโต”
เสียงหงุดหงิดแว่วเข้ามา เบรโตหาได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย มุมปากหยักยิ้ม แววตาเจิดจ้าตัดกับเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ

“เที่ยงนี้เจอกันที่ Davanzati ได้ไหม”

“อืมมม ฉัน...”
“ถือว่าผมขอร้อง”
เบรโตทอดเสียงนุ่มยืนยันตามคำพูด
“โอเค งั้นเจอกัน”

เบรโตวางสายไปแล้ว แต่คนรับนี่สิท่าทีสบายใจกับบรรยากาศนอกหน้าต่างก่อนหน้านี้ ได้ระเหยไปพร้อมๆ กับเสียงของคนที่โทรมา ร่างระหงถอยห่างจากหน้าต่างเดินมาทรุดนั่งหน้ากระจกในห้องพัก ความยุ่งยากใจฉายเต็มหน้างามรอยยิ้มที่ตามมาพลอยเครียดไปด้วย ไหล่บางไหวคางเรียวเชิดขึ้นอย่างถือดี คงมีแววตาเท่านั้นที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง


..........

“เธอมาทำอะไรที่นี่ เบรโต”
คำถามพ่นพร้อมกับรอยยิ้มอย่างดีใจที่ได้เจอหนุ่มหน้าสวยอีกครั้ง

“ผมมาทำงาน”
รอยยิ้มน้อยๆส่งให้ แววตาพราวเสมอเสมือนคนที่ไม่เคยมีความทุกข์ใดๆ

“เธอตามฉันมา?”
จุมพิตาตวัดเสียงใส่ทันทีที่รู้จุดหมายของชายหนุ่ม
“โนๆ ผมเพิ่งรู้ไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง”
“พี่ชายเธอมันพ่อมดชัด ๆ”

จุมพิตาหัวเสีย เสียงหงุดหงิดเปล่งรอดไรฟัน ตัดกับดวงหน้าบึ้งตึงมองน้องสามีกำลังเอนตัวสบายๆพิงกับพนักเก้าอี้ โต้ตอบเสียงปกติดวงตาสีฟ้าแกมเขียวที่มองนั้นคล้ายประเมินพฤติกรรมหญิงสาวควบคู่ไปด้วย

“พี่มีสายสืบพอๆกับการ์ดแค่ไหนคุณก็รู้”
“เธอก็อีกคนเบรโต ทำตามคำสั่งเขา”
น้ำเสียงผ่อนลงตามด้วยถอนหายใจมองหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม
“อังวาห์เป็นพี่ชาย”
“เธอก็เลยทำหน้าที่น้องชายที่ดี ทำตามใบสั่งหาและส่งเหยื่อลงนรกใช่ไหมล่ะ”
“แบบนี้ก็เท่ากับผมเป็นยมฑูตในสายตาคุณนะสิ”

เบรโตหัวเราะเสียงกร่อย เมื่อสบตาค้อนของพี่สะใภ้คนสวย ยังไงเขาก็รู้สึกเกรงใจเธอทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้ แต่เขามิอาจปฏิเสธคำสั่งพี่ชายได้สักครั้งเช่นกัน

“แต่ก็นั่นแหละนะ สุดท้ายก็ไม่เคยเห็นใครเดือดร้อนหรือหนีออกจากนรกขุมนี้สักคน”

น้ำเสียงหม่นเมื่อพูดเรื่องนี้ทีไรทำให้จุมพิตานึกย้อนกลับมาหาตัวเองทุกครั้ง เธอจึงไม่อาจไปโกรธหรือโทษพวกเหยื่อเหล่านั้นได้สักคนเพราะเธอก็มีชะตากรรมเหมือนๆหญิงสาวเหล่านั้น จะมีภาษีดีกว่าก็ตรงที่ได้เชิดหน้าชูตาในสังคมหรูขึ้นชื่อว่าได้เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย

“ไม่เอาน่าจูน ที่นัดคุณมาก็อยากจะดูกับตาว่าคุณสุขสบายดีไหม”
“ร่างกายก็อย่างที่เธอเห็น แต่ในนี้สิเบรโตเธอคิดว่าฉันมีความสุขหรือเปล่า”
จุมพิตาหัวเราะหยันชี้นิ้วตำแหน่งการเต้นของหัวใจถามเขากลับ

“ทำไมคุณไม่คุยกับพี่ให้รู้เรื่อง”
“เธอคิดว่าฉันไม่เคยทำหรือไง เธอก็รู้ว่าครั้งสุดท้ายอังวาห์เค้าทำกับฉันยังไงบ้าง”
สีหน้าสะเทือนใจตาแดงก่ำเมื่อพูดถึงเหตุการณ์เลวร้ายครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความบอบช้ำทั้งกายและใจ

“พี่รักคุณมาก”
เบรโตถอนหายใจมองหน้าสวยของพี่สะใภ้อย่างเห็นใจ เพราะเขารู้จักพี่ชายดีจึงเข้าใจความรู้สึกหญิงเอเชียผู้นี้เป็นอย่างดีว่าตกที่นั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“รักเหรอ ทำไมฉันไม่คิดว่ามันเป็นความรักนะเบรโต”

น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนที่ตกแต่งไว้อย่างดี หลังจากพยายามสะกดเอาไว้ไม่ไหว จุมพิตาก้มหน้ามองมือตัวเองที่วางบนตักนึกกระดากชายตรงหน้าไม่ได้ รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่คิดว่าหายไปนั้นกลับมานั่งอยู่กลางใจเธอเหมือนมันไม่เคยไปไหน สิ่งที่เธอพยายามลืมซึ่งความจริงแล้วมันไม่เคยหลุดไปจากความทรงจำของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ความผิดผลาด

“ผมรู้มาว่า เนลโล มาที่นี่”
เสียงเครียดเมื่อเอ่ยชื่อนี้แบบไม่มีปีมีขลุ่ย และเป็นไปตามที่คาดเอาไว้สีหน้าซีดแววตาตระหนกของหญิงสาวเงยขึ้นเห็นได้ชัด

“เมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้น่าจะมาถึงที่นี่”
“ฮึอำนาจเงินของพี่เธอนี่แน่มาก”
“ผมว่าคุณควรจะกลับบ้านเรานะจูน”
“บ้านเรา? นรกล่ะไม่ว่า”
น้ำเสียงหมิ่นหน้าหมองเชิดขึ้นและสะบัดไปอีกทาง
“โธ่จูน ผมพูดจริงๆ ขอร้องล่ะ พี่เป็นห่วงคุณมาก”
แขนยาวเอื้อมไปกุมมือบางบีบเบาๆ
“เค้าสะกดคำว่าห่วงเป็นด้วยเหรอ? เค้าก็ไม่เคยคิดจะไปตามฉันกลับเสียด้วยซ้ำ”

แววตาเศร้าซ้อนขึ้นมองหน้าหล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพี่ ค่อยปล่อยเสียงครือจัดออกมา ชายหนุ่มรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ารู้สึกยังไง เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพูดเหมือนทุกครั้งที่เห็นเธออยู่ในอาการแบบนี้

“คุณก็รู้นี่ว่าเวลาพี่มีที่ไหน”
“แต่มีเวลาให้หญิงอื่นมากกว่าที่ให้เมียตัวเอง”
จุมพิตาระเบิดเสียงอย่างระเบิดอารมณ์ ร่างสวยผลุดลุกขึ้นยืนมองดูน้องสามีอีกครั้งเหมือนชั่งใจแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปพร้อมกับพกพาความคับแค้นที่กำลังถั่งโถมเข้าสู่หัวใจบอบช้ำ

เบรโตนั่งอยู่กับที่มองร่างระหงสมส่วนของพี่สะใภ้ที่เดินห่างออกไป เขามั่นใจว่าหญิงสาวเชื่อและทำตามคำแนะนำของเขาแน่นอน เพราะชื่อ เนลโล นั่นเอง ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นวางค่าเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะ เดินออกจากร้านและมุ่งหน้าไปทิศเดียวกันกับพี่สะใภ้


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“ค้างที่นี่สักคืนดีไหมพู่”

เสียงทุ้มอยู่ข้างหู ปีกผีเสื้อบนเปลือกตากระพริบเป็นจังหวะเดียวกันกับใจที่กระตุกไหว ทุกช่วงเวลาบนเกาะ Burano รอบตัวโอบอุ้มไปด้วยความสุข หลังจากที่เปิดใจของกันและกัน ติสสาวแทบจะสำลักความหวานที่ได้ผ่านจากสายตาและรอยสัมผัสของเก็จพรหม มือบางมิเคยว่างให้เหงาและอบอุ่นถูกเกาะกุม มือหนาส่งผ่านความอาทรและอ่อนโยนยามสัมผัสทุกส่วนบนร่างกายหรือแม้แต่ผิวแก้ม ตาเข้มทอดซึ้งหวานอบอุ่นบางคราวิบวับเวอร์ทำเอาตัวและหัวใจสะบัดร้อนสะบัดหนาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความรักจะมีผลต่ออุณภูมิความรู้สึกได้ขนาดนี้

“อย่าเลยคะ งานชิ้นสุดท้ายรอพู่กลับไปทำต่อให้เสร็จ”

เสียงเล็กๆกระซิบโต้ตอบเมื่อเอวบางถูกกอดด้วยสองแขนอบอุ่น แผ่นหลังชิดถูกรั้งให้ชิดกับอกกว้างขณะที่นั่งบนเรือกอนโดล่า ไกด์หวานใจของเธอบอกว่าเป็นทริปสุดท้ายในเวนิส ก่อนกลับฟลอเร็นซ์ แต่ดูแล้วน้องชายพี่เก็จแก้วเริ่มงอแงอยากอยู่ต่อซะอย่างนั้นแหละ

“ผมอยากอยู่กับพู่แบบนี้ ไม่อยากกลับเลยจริงๆนะ”

เสียงทุ้มทอดนุ่มตามด้วยจมูกเย็นชืดชิดชนแก้มเนียนแผ่วเบา พู่กันหัวเราะเบาๆกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเอง แข็งใจพูดยืนกรานทั้งๆที่ใจเริ่มไหวเอนไปกับคำเว้าวอนของเจ้าพ่ออาคาเดียกรุ๊ป

“กลับคะไม่กลับไม่ได้”
“โธ่พู่”
“อุ๊ยคุณพรหม เห็นสะพานตรงหน้าไหมคะ เค้าเปิดไฟสวยมากเลยคะ”

พู่กันอุทานอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นแสงหลากสีกระพริบพราวขึ้นพร้อมกันเต็มราวสะพานสูงเบื้องหน้า เสียงคนแจวเรือตะโกนเป็นภาษาที่พู่กันไม่เข้าใจอีกแล้ว เรือกำลังผ่านลอดใต้สะพาน ไม่มีเสียงบอกเล่าจากคนตัวโต ติสสาวหันและแหงนขึ้นมองเพื่อทวงถาม กลับต้องแปลกใจเมื่อเห็นแววตาประกายหวานระยิบมองอยู่ก่อนแล้ว เมื่อมองลึกเข้าในตาเข้มนั้นทำเอาคนต่อตาด้วยร้อนไปทั่วหน้า ปีกผีเสื้อกระพริบถี่เมื่อนิ้วเรียวยาวจับคางมนเอาไว้ ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงมาเรื่อย ๆ ติสสาวเอนตัวหนีจนหลังบางพิงกับท่อนขาแข็งแรงของชายหนุ่ม พู่กันคิดว่าหน้าคงแดงก่ำเพราะมันร้อนมากมาย เหมือนเก็จพรหมจะรู้ความคิดของพู่กันมือข้างที่เหลือรวบท่อนแขนเรียวเอาไว้ มองติสสาวด้วยแววตาเจ้าชู้ทำให้พู่กันรู้ตัวว่าพลาด ตากลมโตเบิกกว้างเสมองเลยไปที่ท้ายเรือเห็นคนแจวเรือยิ้มโชว์ฟันหลอให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ตาคมหวานวกกลับมาที่น้องชายเพื่อนรักพี่หนูนาอีกครั้งเมื่อลมหายใจอุ่นรินรดผิวแก้ม และริมฝีปากหนาทาบบนเรียวปากที่เผยอขึ้นเพื่อทัดทานกลับกลายเป็นเต็มใจรับความหวานที่ชายหนุ่มมอบให้ รสสัมผัสที่วาบหวามจูบรัญจวนใจ จนอ่อนระทวยหลับตาพริ้มพิงร่างอยู่กับอกกว้าง ปล่อยให้เก็จพรหมเคล้าคลึงควานหาความหวานจากกลีบกุหลาบอย่างไม่รู้เบื่อ เสียงพร่าทุ้มกระซิบเมื่อปากบางอิ่มได้รับอิสระ

“เราจะมีกันและกันตลอดไปนะที่รัก”
“คะ?...คะ”

พู่กันขานรับอย่างงงงวย เธอไม่เข้าใจท่าทีของเก็จพรหมมากนัก เพียงรู้สึกดีกับรอยสัมผัสลึกซึ้งที่ถ่ายทอดให้เธอนั้นเหมือนจะให้มั่นใจว่า เขารักและมีเธอตลอดไป ร่างบางเอนซุกฝากตัวในอ้อมกอดอุ่น ซุกหน้าหลับตาพริ้มตรงซอกคออุ่น ติสสาวคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข “วันข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ตามแต่ขอเก็บความรู้สึกในวันนี้ไว้ก่อนแล้วกัน” อาร์ทสาวบอกตัวเองอยู่ในอ้อมอกกว้าง อ้อมแขนกว้างกระชับร่างบางเข้าไปอีกเมื่อคนตัวเล็กยุกยิกอยู่ในอ้อมกอด

“หนาวหรือพู่”

ไม่มีคำตอบจากคนรักแต่เก็จพรหมก็พอรู้ว่าหญิงสาวคงอายที่ถูกเขาจูบต่อหน้าผู้อื่น รู้สึกเห็นใจอาร์ทตัวแม่ของเขาไม่น้อย เอาไว้ขึ้นฝั่งก่อนแล้วกันค่อยเฉลยความลับนี้ให้เจ้าหล่อนรู้ สองหนุ่มสาวต่างงียบปล่อยความคิดและอารมณ์ขณะที่เรือกอนโดลาพาเลียบไปตามคลองที่มีตึกตั้งอยู่ริมสองฝั่งคลอง เรียกเสียงอุทานจากร่างบางได้ทุกครั้งที่ผ่านตึกหลากสีสันตัดกับแสงไฟส่องเห็นร่องรอยประวัติศาสตร์ตัวตึกเก่ากับแสงไฟที่สาดส่องไว้อย่างลงตัว ร่างบางผละออกจากอกกว้างทันทีเมื่อเรือจอดเทียบท่า และลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงเมื่อตัวเรือหยุดนิ่งแขนเรียวเอื้อมมือไปจับราวไม้ที่ทำไว้บริการผู้โดยสาร

“เฮ้อ ถ้าขามันพูดได้คงจะบอกว่า เกือบตกงานแล้วเรา”

ร่างเล็กสลัดแข้งขาไปมาหลังจากที่ขึ้นบกเรียบร้อย เก็จพรหมที่ตามขึ้นมาติด ๆ ทันได้ยินถึงกับหัวเราะขำกับคำพูดของติสสาว ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะหันไปกล่าวขอบคุณคนแจวเรือพร้อมกับส่งค่าจ้างรวมทิปที่คนรับยิ้มแก้มปริหลังจากนับจำนวนเงินเรียบร้อยแล้ว

“กลับฟลอเร็นซ์กันนะพู่”
“เจ้าคะ”

พู่กันวางมือในอุ้งมือใหญ่ที่แบรอด้วยความเต็มใจ รถเช่าจอดรออยู่แล้วไม่ไกลจากท่าเรือ ทั้งคู่เดินไปด้วยความสบายใจ ไม่มีคำพูดนอกจากสายตาที่สื่อสารกันเป็นระยะ พู่กันเพิ่งสังเกตว่าเก็จพรหมหิ้วถุงกลับมาด้วย “ของฝากพี่แก้วแหงๆเลย” ติสสาวคิด ความจริงเธอก็มีเหมือนกันแต่เป็นของฝากชิ้นเล็กๆตามกำลังเงินที่เธอพกพา ก็เธอไม่ใช่เศรษฐีนี่ถือเป็นน้ำใจคนรับเขาคงไม่ตีค่าจากราคาของหรอก พู่กันคิดต่อ


“พู่ทราบประวัติของสะพานทอดถอนใจไหมครับ”

จู่ๆ เจ้าพ่อรีสอร์ทโพล่งถามขณะที่สายตายังจับจ้องถนนเบื้องหน้า พู่กันละสายตาจากข้างทางกลับไปที่หน้าเข้ม เลิกคิ้วแทนคำถาม เพราะกำลังคิดว่าสะพานนี้เธอเห็นแล้วหรือยังนะ

“สะพานสะอื้นไงฮะ”
“พอรู้มาบ้างคะว่าสะพานที่ระหว่างเชื่อมวังดูเคลกับคุกชื่อว่าสะพานสะอื้น (Bridge of Sighs) ตอนหลังเรียกให้เพราะหน่อยคือสะพานทอดถอนใจ ใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ”
“จริงสิคะ ทำไมพู่ลืมสะพานนี้ไปได้ล่ะเนี่ย ว๊าเสียดายจัง”

ติสสาวเสียงอ่อยนึกเสียดายอดชมสะพานประวัติศาสตร์ในยุคศตวรรษที่9 เผลอถอนใจออกมาดังๆเหมือนชื่อสะพานไม่มีผิด เรียกรอยยิ้มกว้างจากหน้าคมสันของเจ้าพ่อรีสอร์ท สายตาพราวระยับขณะที่มองฝ่าความมืดบนถนน

“แล้วรู้ไหมฮะว่า ชื่อสะพานทำไมถึงถูกตั้งว่าสะพานทอดถอนใจและที่สำคัญนะมีนักโทษคนเดียวที่หนีรอดผ่านสะพานนี้ได้ นักโทษคนนั้นชื่อ คาสโนว่า เทพบุตรนักรัก ที่ถูกต้องโทษจองจำจากการต้มตุ๋นและอิสตรี”
“แล้วทำไมถึงตั้งว่า สะพานสะอื้นหรือทอดถอนใจล่ะคะ”
“ก็เพราะว่า สะพานแห่งนี้เป็นสัญญลักษณ์ของจุดลมหายใจเฮือกสุดท้ายแห่งอิสรภาพของเหล่านักโทษที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันเมื่อไหร่นะสิฮะ”
“อ๋อแบบนี้นี่เอง”
“แล้วพู่ทราบไหมว่าสะพานนี้มีความพิเศษอะไรยังไงอีก?”
“ยังมีอีกหรือคะ”
“มีการพูดกันต่อๆ มาว่าถ้าคู่รักได้จุมพิตกันขณะที่ลอดใต้สะพาน รักของพวกเขาก็จะเป็นรักนิรันดร์”
“ฟังแบบนี้แล้ว คงจะสวยกว่าสะพานที่เราผ่านตะกี้ แต่เอ๊ะ....”

พู่กันเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ตากลมโตวาวขึ้นมากระทันหัน ความร้อนฉาบทั่วหน้าทันควัน ขณะที่จ้องมองซีกหน้าของเก็จพรหม ใจของเธอเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล.....

“เอ๊ะอะไรฮะ..”

เก็จพรหมถามเสียงนุ่ม คล้ายกับรอฟังพู่กันจะกล่าวออกมา ชายหนุ่มหันหน้าไปพบแววตาเก้อเขินทอดมองเขาอยู่ เจ้าพ่อหนุ่มยิ้มอบอุ่นให้ติสสาวและดึงมือบางมากุมไว้ ไม่ต้องมีคำถามและคำอธิบายแต่สองใจต่างรู้ความหมายนั้นเป็นอย่างดี พู่กันถามขึ้นอย่างเหนียมอาย

“งั้นเออ สะพานที่เราผ่านมาก็คือ..เออสะพานทอดถอนใจนะสิคะ”
“ทำไมพู่คิดว่าเป็น Bridge of Sighs ล่ะครับ”
เก็จพรหมหันมองติสสาวด้วยสายตาเจ้าชู้ ขณะที่ยกมือบางขึ้นจุมพิต

“ก็..ก็..อื้อพู่ก็แค่ถาม อย่าใส่ใจดีกว่าคะ”

ติสสาวสะบัดหน้าที่แดงซ่านออกนอกรถ “ใครจะไปพูดได้ล่ะว่าเราจูบกันที่ใต้สะพานนั่น ถ้าเกิดไม่ใช่ล่ะขายหน้าตายล่ะ” เธอโต้เถียงอยู่ข้างใน แล้วใจของพู่กันเต้นโครมครามอีกครั้งเมื่อหูได้ยินคำพูดจากน้องชายพี่เก็จแก้วอย่างช้าๆและหนักแน่น

“ผมเชื่อว่ารักของเราจะมั่นคงและนิรันดร์นะพู่”
“คุณพรหม!”
“ก็เราจูบกันขณะที่ลอด Bridge of Sighs แล้วนี่เนอะพู่เนอะ”
“คุณพรหมนี่เซี้ยวใหญ่แล้วนะคะ”

เจ้าพ่อรีสอร์ทพูดกลั้วหัวเราะ ขณะที่ติสสาวทำหน้าเหรอหราทั้งอายทั้งหมั่นไส้ มือข้างที่ว่างอยู่ทุบระรัวใส่ไหล่เก็จพรหม เรียกเสียงหัวเราะก้องในรถ มือหนาเปลี่ยนจากกุมมือบางเป็นดึงไหล่บางให้ติสสาวซบลงบนไหล่หนา พลางลูบไล้ผมนุ่มอย่างแสนรัก ภายในห้องโดยสารนั้นเงียบลง มีเพียงเสียงเพลงซึ้ง ๆ แว่วมาเป็นระยะเหมือนจะหยอกเย้าสองหนุ่มสาวที่มีหัวใจสีชมพูทั้งสองดวง


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“หวัดดีเบรโต”

เสียงห้าวที่คุ้นเคยทักมาจากด้านหลังทำเอาเจ้าของชื่อหันขวับไปตามเสียงทันที แม้รู้การเดินทางมาจากปากพี่ชาย แต่เขาไม่วายที่จะถาม

“นายมาทำไมที่ฟลอเร็นซ์ เนลโล”
“ฮะ ๆ ๆ นี่อังวาห์ยังไม่โทรบอกนายอีกหรือไงกัน”
“ถ้าฉันรู้ ฉันจะถามนายเพื่ออะไร”
“ฉันมาตามหาผู้หญิงในรูปนี้”

เนลโลร่อนรูปผู้หญิงที่เขารู้จักปลิวตกลงพื้น คิ้วเข้มขมวดไม่พอใจแต่ไม่ได้ว่ากระไร ร่างสูงก้มลงเก็บรูปขึ้นมาดูแล้วต้องกระพริบตา เพราะรูปที่เห็นหาใช่รูปพู่กันกลับเป็นรูปของจุมพิตา พี่สะใภ้เขาเพิ่งส่งขึ้นเครื่องแบบไม่เป็นทางการ ชั่วโมงที่ผ่านมา

“พี่สะใภ้”
“ใช่ แล้วนายคิดว่าใครล่ะ”
“นายอย่ามากวนประสาทฉันนะเนลโล”
“ฮะ ๆ ๆ ๆ วันนี้ฉันเป็นอะไรไปนะ รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”
“ไอ้บ้า งั้นแกก็กลับไปได้แล้ว ภารกิจนายเสร็จสิ้นไปเมื่อชั่วโมงก่อน”
“แกรู้ได้ไงวะ”
“นี่ไง”
เบรโตกดโทรศัพท์เปิดแกลเลอรี่รูปที่เค้าแอบถ่ายไว้ตอนที่จุมพิตาเดินเข้าห้องผู้โดยสารขึ้นเครื่องกลับรัสเชีย

“อืมม ถ้างั้นฉันต้องโทรไปรายงานอังวาห์ก่อน”

เนลโล กดโทรศัพท์หาอังวาห์ เสียงหัวเราะดังกึกก้องแว่วออกมาจากมือถือของหนุ่มร่างสูงบึกบึนใบหน้าตาคมคายหากแต่แววตาเท่านั้นที่ดูลึกลับภายใต้ความคมกริบน้นซ่อนแววอำมหิตเอาไว้อย่างมิดชิด เนลโลเป็นคนที่อังวาห์ไว้ใจมากพอๆกับเบรโตผู้เป็นน้องชาย เพียงแต่วิธีการล่าเหยื่อแตกต่างกันสิ้นเชิง สำหรับเบรโตแล้วเขาใช้ความนุ่มนวลให้เหยื่อหลงเชื่อและค่อยๆเชือดแบบนิ่มนวล ทำให้เหยื่อทั้งหลายของอังวาห์ไม่เคยคิดโกรธเกลียดแถมยังเป็นมิตรจนถึงปัจจุบัน ตรงกันข้ามกับเนลโล เครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบเป็นเพียงเปลือกนอก ความเลวร้ายทุกอย่างรวมกันอยู่ที่ตัวเขา เหยื่อของอังวาห์บาดเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนสาหัส และมีมากกกว่าหนึ่งที่เสียชีวิตเพราะพลั้งมือรุนแรง ระยะหลังมาเนลโลจึงถูกให้เป็นผู้ติดตามเสมือนการ์ดที่ใกล้ชิดคอยคุ้มครองอังวาห์แทน

“ผมคิดว่าพรุ่งนี้คุณผู้หญิงคงถึงบ้าน ส่วนผมขอกลับมะรืนนี้ครับนาย”

เนลโลหยักคิ้วให้เบรโตหลังจากที่อังวาห์อนุญาต สายตาที่มองกึ่งหยอกกึ่งสะใจที่ได้เห็นสีหน้ากังวลของน้องชายเจ้านาย ตาดำคมกริบเหมือนเหยี่ยวจ้องนิ่งมิได้แสดงอะไรออกมา คนที่หลุดอาการร้อนรุ่มกลับเป็นเบรโตแทน

“นายอยู่ได้ไม่มีปัญหา แต่อย่าทำอะไรที่ทับไลน์ฉันเป็นพอ”
“เออฉันมีเกียริต์พอน่า ไหนๆ ก็มาแล้วขอเที่ยวสักวันเท่านั้นแหละ”
“ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดฉันก็เบาใจ”

เบรโตผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เขาเชื่อว่าถึงโลกจะกลมแต่เปอร์เซนต์น้อยมากที่คนสองคนจะโคจรมาพบกันได้ และค่อนข้างมั่นใจว่าพู่กันคงไม่ไปสะดุดตามัจจุราชหน้าเทพบุตรอย่างเนลโลได้ง่ายๆหรอก เพราะรายนี้ไม่เคยมองผู้หญิงที่แต่งตัวติสจ๋าง่ายๆและสบายๆแน่นอน

“เออ เบรโตฉันได้ข่าวมาว่าเธอคนนี้พิเศษ”
คนถูกถามอึ้งจู่ๆเนลโลพูดขึ้นมา คิ้วดกเข้มขมวดสายตาวกกลับมาที่มัจจุราชหน้าหล่อ กดเสียงต่ำถามกลับ

“พิเศษยังไง”
“ก็แบบว่าโรคจิตนิด ๆ”
ไหล่หน้าบึกบึนไหว เบ้ปากไม่ยีหระต่อคำพูดของตัวเอง

“หมายความว่าไง”
เบรโตปล่อยเสียงที่พยายามเป็นปกติมากที่สุดทั้งๆที่ใจเขาเริ่มคุกรุ่น

“นายก็รู้นี่ว่าอังวาห์ยอมใครที่ไหนกัน”
คิ้วดกหนาไม่แพ้กับแพขนตายาวงอนที่สตรีหลายๆคนยอมแพ้อย่างราบคาบ แววตาพราวขำกับสีหน้าของเบรโตที่เริ่มบึ้ง

“นี่ถ้าพี่รู้ว่านายเอาเค้ามานินทา กลับไปนายคง”
“ถูกเตะ ฮะ ๆ ๆ ๆ นายก็อย่าคาบไปบอกสิ”
เนลโลเปิดปากกว้างหัวเราะอย่างไม่แคร์และมั่นใจ

“ฉันคิดว่าถ้าพี่สะภ้ำลับไปคราวนี้ทุกอย่างอาจจะดีขึ้น อย่างน้อยพี่ก็น่าจะยอมลงและฟ้งบ้าง ฉันเชื่อว่าบทเรียนจะทำให้พี่รู้ใจตัวเอง ความรักจะทำให้พี่เปลี่ยน”

เบรโตพูดตามสายตาที่เห็น หลังจากที่จุมพิตาหายตัวไปเกือบเดือนเต็ม ๆ ท่าทีพี่ชายเปลี่ยนไป กิริยาเจ้าสำราญดูลดน้อยลงขรึมกว่าเก่า และไม่เรียกหาบรรดาสาวๆเหยื่อที่แปรสภาพเป็นผู้หญิงต้องห้ามในฮาเร็มหรูหรา เนลโลเห็นอะไรบางอย่างในดวงตาสีฟ้าแกมเขียวนั้น ด้วยความที่สนิทสนมเป็นทุนอยู่แล้วจึงอยากยั่วอารมณ์ยมฑูตหนุ่มดูบ้าง

“โหยยย นายพูดเหมือนกำลังรักใครจนอยากเปลี่ยนตัวเองอย่างงั้นแหละ”
“เอาไว้ให้นายรู้สึกว่าแบบที่ฉันพูด แล้วนายจะรู้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้”
“พูดแบบนี้ฉันชักอยากเห็นเธอคนนั้นเสียแล้วสิ ฮะ ๆ ๆ ๆ ฉันขอไปพักก่อนดีกว่าแล้วเจอกัน”

เบรโตเอ่ยด้วยความคึกคะนองว่าไม่มีอะไรมาเปลี่ยนตัวเขาเองได้ แม้แต่นางฟ้าที่มีเวทมนต์ เพราะเขาคือพญามัจจุราช ไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้แม้กระทั่งความตาย มัจจุราชหนุ่มนึกลำพอง....


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“เป็นไงพู่ เวนิสสวยไหม”

เก็จแก้วเอ่ยถามพู่กันที่นำของฝากมาให้ถึงห้อง หลังจากที่พิศดวงหน้าเนียนเธอพบว่าแววตาของพู่กันหวานระริกสดใสกว่าเดิมพอๆ กับเจ้าน้องชายตัวดีของเธอก็เหมือนกันที่ไม่แบกหน้าบึ้งบ้างอมทุกข์บ้างก่อนไป เธอกำลังคิดว่าน่าจะเป็นข่าวดีของทั้งคู่

“คะพี่แก้ว ทั้งสวย ประทับใจและอยากกลับไปอีกคะ”
พู่กันตอบอาย ๆ ในตอนท้าย ๆ

“ไม่งั้นเค้าจะเรียกว่าดินแดนโรแมนติกหรือจ๊ะ มันมีมนต์ขลังนะว่า ถ้าได้มาสักครั้งโอกาสที่สองก็จะมีอีก โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน พวกเขาจะกลับมาเพื่อรำลึกความหลังในช่วงฮันนีมูน”
“จริงเหรอคะ เคยได้ยินแต่ว่าเวนิสเป็นที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และร่องรอยศิลปะที่ดูไม่รู้จักเบื่อเสียอีก”

พู่กันตอบแต่สีหน้ากลับแดงเรื่อ สายตาลดต่ำดูของฝากในมือไม่ยอมสบตาเก็จแก้ว ทำไมเธอจะไม่รู้ความหมายที่สื่อจากเพื่อนรักพี่หนูนา

“จริงสิจ๊ะ พี่จะปดพู่ทำไมกัน ไม่เชื่อก็คอยดูนะ อีกไม่นานหรอก”

เก็จแก้วเป็นเจ้าแม่พยากรณ์ไปเสียแล้ว เธอดีใจมากมายที่ลุ้นให้คู่นี้ได้สมดั่งใจ แน่นอนเย็นนี้เธอจะโทรไปรายงานให้หนูนาฟังข่าวดี สายตาผู้เกิดก่อนมองดูกิริยากระดากอายนั้นอย่างเอ็นดู

“พรุ่งนี้เช้าพู่จะไปที่งาน เอารูปไปให้นางแบบของพู่ได้ยลโฉมรูปของตัวเอง”
ติสสาวรีบพูดไปอีกทาง กลบเกลื่อนความเขินที่ประทุในใจ

“แล้วนี่พู่จะออกไปไหนหรือจ๊ะ”
เก็จแก้วมองดูชุดที่ติสสาวสวมใส่

“พู่อยากไปดูของฝากตรงสะพานเวคโกคะ วันก่อนแอบเห็นรูปปั้นจำลองเดวิด คิดอยากจะสอยไว้สำหรับตัวเองก่อนกลับคะ”
“เดี๋ยวพี่โทรไปบอกพี่พรหมให้ไปเป็นเพื่อนเอาไหม”
“อย่าดีกว่าคะ สะพานอยู่ใกล้แค่นี้เองพู่จะรีบไปรีบกลับคะ”

พู่กันรีบปฏิเสธเพราะสงสารชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นทั้งไกด์และคนขับรถแทบไม่ได้พักผ่อน เธอเสียอีกที่เผลองีบไปหลายหน พู่กันออกจากที่พักเดินเรื่อยเปื่อย ติสสาวเดินลัดเลาะไปตามตึกเพราะเริ่มคุ้นเคยบ้างแล้ว สองข้างถนนเต็มไปด้วยศิลปะยุคเก่าๆให้ได้ยลและหยุดมองเก็บภาพเป็นระยะ อาร์ทตัวแม่ไม่ได้เป็นคนหวานแหว๋วแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบดอกไม้ ตามระเบียงของบ้านเรือนมีกระถางดอกไม้ที่ประดับไว้อย่างมีศิลปะตลอดทางที่เดินมีแต่รอยยิ้ม หัวใจก็อมยิ้ม ทำนองเพลงถูกฮัมในลำคอเบา ๆ

ขณะที่ติสสาวกำลังเงยดูพันธ์ไม้ดอกต่างๆ ตามระเบียงสังเกตเห็นกระถางขนาดเขื่องกำลังร่วงมาจากอากาศ ในบริเวณนี้นอกจากเธอเห็นจะมีหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังเดินดุ่มสวนมาพอดี ตามรูปการณ์แล้วเขาคือผู้เคราะห์ร้าย ในระยะประชิดแบบนี้ติสสาวรู้ว่าถ้าตะโกนบอกไม่รู้จะทันหรือจะเข้าใจภาษาที่สื่อหรือเปล่า ร่างบางตัดสินใจวิ่งแล้วผลักร่างใหญ่โตให้พ้นรัศมีของกระถางดอกไม้ แต่เหมือนว่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงร่างเล็กปะทะร่างยักษ์ แรงผลักทำให้ร่างใหญ่ที่เดินไม่ระวังนั้นเซไปด้านหลังส่วนคนผลักเด้งกระดอนกลับจึงเป็นฝ่ายรับกระถางที่ร่วงลงมาถากเข้าที่หัวไหล่ซ้ายพอดิบพอดี

“เฮ้ยอะไรวะ”
“โอ้ย”

แรกนั้นร่างสูงใหญ่หัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ปรี่เข้าหาหมายเอาคืนครั้นเห็นกระถางหล่นกระแทกพื้นแตกกระจายจึงทราบเจตนาของอีกฝ่ายทันที พู่กันซวนเซพิงซอกตึก ดวงหน้าซีดเผือดนั้นทั้งตกใจและเจ็บปวดอย่างเห็นชัด เสียงห้าวกระชากคำถามเป็นภาษาอังกฤษกับสาวเอเชียทันที

“เป็นบ้าอะไรห๋า”




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2555 21:42:43 น.
Counter : 779 Pageviews.

9 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสิบเจ็ด


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *







*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *

*.:。✿*゚¨゚✎ *✿ ติสสิบเจ็ด * D *.:。✿*゚¨゚✎ *


ยังไปไม่ถึงไหนเลย ยังเที่ยวในเวนิส เที่ยวเกาะกันก่อนนะคะ ตอนนี้มีสองอารมณ์นะคะ งอนๆหวานๆคะ อิอิ


หลังจากตื่นเต้นกับความงามของเมืองเวนิสพอควรแล้ว ร่างบางระหงยืนดูสายน้ำในคลองที่สร้างล้อมรอบเมือง รอยยิ้มแต้มหน้าคมหวานแววตาสดใสเต้นระริกตลอดเวลาบ่งบอกให้ทราบว่าเจ้าของกำลังมีความสุข แต่คนที่รู้ว่าความสุขจริงๆ นั้นเกิดจากอะไรบ้างมีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด พิซซ่าชิ้นย่อมถูกส่งเข้าปากเคี้ยวหยับๆ ขณะที่มืออีกข้างยังวุ่นวายอยู่กับกดชัตเตอร์ตลอดเวลา ดูแล้วหญิงสาวเป็นเหมือนลูกลิงซนๆไม่อยู่นิ่ง

เก็จพรหมนั่งจิบกาแฟทอดมองร่างบางที่ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของเขายิ่งทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปอีก รูปปากคล้ายสตรียิ้มน้อย ๆ เขารู้สึกดีเมื่อคนตัวเล็กมีความสุขดูได้จากสีหน้าแววตาและเสียงใสๆตะโกนคุยกับเขาเป็นระยะ ฟันแหลมมุมปากขยันทักทายยามที่เจ้าของหัวเราะถูกใจ พู่กันทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องหลังจากสารภาพความรู้สึกให้ติสสาวได้ทราบ ความเงียบทำให้เขารู้สึกใจแป้วเหมือนรอคำพิพากษา เจ้าหล่อนอึ้งไปชั่วขณะมีเพียงแววตาวาววับคู่นั้นที่ทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวมิได้รังเกียจ พู่กันมิได้ตอบโต้ความรู้สึกใดๆกลับมา นอกจากพยักหน้าและหลบตาเขาอย่างเก้อเขิน แค่นี้เขาก็พอใจแล้วว่าหญิงสาวมิได้ปฏิเสธความรู้สึกที่เขาพูด


“เราจะไปที่ไหนกันต่อคะ”
“พู่อยากไปที่ดูอะไรล่ะ”
“เอกลักษณ์เมืองเวนิส” พู่กันตอบอย่างไม่ต้องนึก
“โอเค งั้นเราไปกันเลย”

ร่างสูงฉวยมือบางจับจูงเรือโดยสารที่ยืนเรียกลูกค้าไม่ไกลนัก เสียงสอบถามราคาเป็นภาษาท้องถิ่นสองสามนาที หลังจากที่ติสสาวกับเจ้าพ่อรีสอร์ทเข้าไปนั่งประจำที่เรียบร้อย เรือโดยสารแล่นออกไปโดยไม่รอรับผู้โดยสารเพิ่ม พู่กันเกิดความสงสัยจึงหันไปพูดเสียงดังแข่งกับเครื่องยนต์ของเรือ

“แบบนี้ค่าโดยสารต้องแพงแน่ ๆ”
“แต่มันก็คุ้มนะพู่”
เสียงทุ้มพูดริมหูจนพู่กันต้องเบนหน้าออกห่างสายตาไหววูบ
“คุ้มยังไง จ่ายตั้งแพง สู้ไปนั่งเรือมีคนเยอะ ๆ แต่จ่ายน้อยไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ผมยอมจ่าย ถ้าบนเรือนี้มีแค่พู่กับผม”
ตาคมเข้มผสานกับตาคู่โตกำลังไหวระริก มุมปากอิ่มกระตุกกลั้นขำโวหารเสี่ยวๆของเจ้าพ่อรีสอร์ท
“ฟังแล้วดูดีนะคะ ความจริงก็คือสิ้นเปลือง”

พู่กันแย้งเสียงแข็ง ลดตาต่ำดูแค่กระแสน้ำตรงขอบเรือ น้ำกระเซ็นเข้ามาจนต้องขยับตัวห่างกราบเรือเข้าเบียดร่างสูง พู่กันหันดูหนุ่มหน้าเข้มที่ยังคงนั่งเฉย อดรนทนไม่ได้จึงพูดกระแทกเบา ๆ ๆ

“ขยับไปนิดก็ได้นะคะ”
“คงจะไม่ได้”
เก็จพรหมตอบเสียงเรียบ ภายใต้แว่นดำนั้นขบขันกับกิริยาไว้ตัวสาวติส

“อ้าว ก็ที่ออกจะเยอะแยะ”
ไม่พูดเปล่าพู่กันชะโงกหน้าไปดูข้างตัวเก็จพรหมยังพอมีที่ว่างได้ถึงสองคนตาโตเหลือบขึ้นมองหน้าชายหนุ่ม

“ผมหนาว”
เก็จพรหมตอบเสียงนุ่มมุมปากหยักยิ้มให้ติสสาว เรียกค้อนหวานจากตากลมโตทันควัน ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วชายหนุ่มสัมผัสได้ เป็นผลพวงจากคำพูดของเขาหรือเปล่านะ..เก็จพรหมแจกอมยิ้มอยู่ในใจ คิ้วเรียวโก่งมองดูหน้าเข้มมีแว่นสีดำปกปิดดวงตาคู่คมเอาไว้ ตากลมโตมองดูชุดที่เขาสวมใส่..จริงสินะเขาบริจาคเสื้อกันหนาวให้เธอไปแล้วนี่ ติสสาวนึกขึ้นได้ว่าเธอใส่เสื้อโค๊ตของเขาอยู่ อาจจะหนาวจริงๆ

“ตายจริง งั้นพู่ถอดเสื้อให้นะคะ”

เสียงพาซื่อร่างบางขยับตัวทำท่าถอดเสื้อโค๊ดตามที่พูด อ้อมแขนแข็งแรงตวัดรวบร่างเล็กเอาไว้ สายตาอาทรคู่นั้น เก็จพรหมรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวยิ่งขึ้น กระชับวงแขนโอบร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดอย่างเป็นสุข พู่กันตัวแข็งเพราะจู่ๆถูกรวบตัวเข้าไปอยู่ในอกกว้างต่อหน้าผู้อื่น ติสสาวเงยหน้าหมายต่อว่าแต่พอสบตาเข้มผ่านแว่นดำมองเธอด้วยสายตาอ่อนหวานและลึกซึ้งแล้วพูดไม่ออก เพราะใจเธอแกว่งไกวไหวยวบ พู่กันแข็งใจผลักอกชายหนุ่มออกห่าง เสียงอุบอิบแผ่วออกมาจากปากสวย

“ปล่อยพู่เถอะคะ พู่จะได้ถอดเสื้อให้คะ”
“ไม่ต้องถอดหรอกพู่ ผมแค่ล้อพู่เท่านั้น”
“งั้นคุณพรหมปล่อยพู่ก่อนสิคะ คนเค้ามองใหญ่แล้ว”
พู่กันหันไปด้านหลังมองคนขับเรือ กำลังนั่งขับเรือทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ส่งยิ้มให้ ติสสาวรีบหันกลับมาเพราะรู้สึกกระดาก

“ปล่อยทำไม แบบนี้อุ่นดีออก”

เจ้าพ่อรีสอร์ทนึกครึ้มใจที่ได้ยั่วเย้าคนหวงตัว ยิ่งเห็นผิวหน้าแดงเรื่อนึกอยากกดจมูกบนแก้มเนียน จึงแกล้งก้มหน้าชิดเข้าไปอีก ขณะเดียวกันแรงเหวียงของเรือตามกระแสคลื่นแรงทำความคิดของเก็จพรหมเป็นจริงจมูกโด่งชนแก้มเนียนอย่างจัง พู่กันตาโตผงะห่าง ความร้อนวิ่งวุ่นบนผิวหน้าและผิวกายแต่มันไม่มากเท่ากับความรู้สึกไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นมากะทันหัน เพราะมีบางอย่างคาใจเธออยู่ ร่างเล็กออกแรงสะบัดตัวพยายามเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรงโดยไม่ได้พูดจาอะไร ปากบางเม้มอย่างขัดใจสะบัดหน้าหน้าออกไปนอกเรือ เธอมิได้รังเกียจอ้อมอกอุ่นนั้นแต่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงทำเช่นนี้ เก็จพรหมเข้าใจว่าพู่กันอาย มือหนาเอื้อมหวังกุมมือบางที่วางบนตักเพื่อให้กำลังใจ แต่เจ้าพ่อรีสอร์ทหนุ่มต้องแปลกใจและเริ่มเห็นความผิดปกติของติสสาว มือน้อยสะบัดหนีอุ้งมือเขาและขยับตัวออกห่างโดยเบี่ยงตัวนั่งหันหลังให้แทน

“พู่โกรธผม?” เสียงขรึมถามอย่างร้อนใจ
“....”
“ผมขอโทษ คือผมแค่อยากแกล้งเท่านั้นเอง”
เก็จพรหมเอื้อมมือหมายแตะไหล่บางแต่ต้องลดมือลง นึกขึ้นได้ว่าพู่กันอาจโกรธมากกว่าเดิม
“.....”
“พู่โกรธผมจริงๆเหรอครับ”

เก็จพรหมถามย้ำหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ชายหนุ่มชะโงกตัวเข้าใกล้เพื่อมองหน้าติสสาว พู่กันเบือนหน้าหนี กิริยานี้เคยเกิดขึ้นหลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ในห้องเธอในคืนนั้น เก็จพรหมถามตัวเองว่า เขาทำเกินไปอีกแล้วใช่ไหม ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงถอนหายใจของเจ้าพ่อรีสอร์ทเท่านั้น สายตาเข้มมองด้านหลังบางอย่างว้าวุ่นใจกับอาการแง่งอนแบบฉุกเฉินของติสสาว เสียงขรึมเอ่ยขึ้นหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบพักใหญ่..

“ผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ห้ามฉวยโอกาสด้วย”
เสียงเล็กแทรกทันควัน ขณะที่ยังคงผินหน้าในทิศเดิม

“ครับ..อะไรนะฮะ?”
เก็จพรหมถามซ้ำแบบไม่เชื่อหูตัวเอง

“คุณพรหมได้ยินชัดแล้ว”
พู่กันหันมาเชิดหน้าตาโตคมวาว พูดเสียงงอนๆ

“คือ..อ่า..ครับ”

เก็จพรหมครางอยู่ในลำคอ แรกนั้นค่อนข้างเหวอกับประโยคที่พู่กันโพล่งออกมาตามด้วยกลั้นขำ เขาเพิ่งจะเข้าใจถึงอาการแข็งขืนของพู่กันเมื่อครู่นี้ จริงสินะว่าลืมไปว่าเขากำลังจีบผู้หญิงที่อ่อนกว่าเขาเกือบรอบทีเดียว ทำไมเขาไม่คิดถึงข้อนี้ไปนะว่าพู่กันอายุเพียง 25 ปี หญิงสาวอาจจะไม่รู้ว่าการที่มีความรู้สึกพิเศษและมีใจปฏิพัทธ์ต่อใครสักคน ย่อมมีความรู้สึกอยากสนิทสนมอยากใกล้ชิดและอยากสัมผัสกันและกันบ้าง เจ้าพ่อรีสอร์ทหัวหมุนติ้วออกจะกระดากใจอยู่บ้างที่ทำตัวให้หญิงสาวรู้สึกไม่ปลอดภัย ชายหนุ่มออกอาการไปไม่เป็นได้แต่นั่งมองหลังติสสาวเงียบ ๆ เสียงกล้องตัวเล็กเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ธรรมชาติละลายความขุ่นข้องหมองใจของหญิงสาว เสียงเล็กๆเริ่มต้นเจรจาอีกครั้ง ในขณะที่เจ้าพ่อรีสอร์ทใช้ความสุขุมนิ่งโต้ตอบอย่างถนอมคำพูดหยั่งเชิงถึงความรู้สึกที่หญิงสาวมีต่อเขาอย่างไร

“นิสัยยังเด็กอยู่มาก”

เจ้าพ่อรีสอร์ทโคลงศีรษะ เขาค้นพบว่าผู้หญิงที่นั่งข้างๆเขามีนิสัยไม่ต่างจากเด็กซนๆ นิสัยใจร้อนแต่ไม่ถึงกับเอาแต่ใจ มีเหตุผล สามารถทำให้อึ้งด้วยคำพูดตรงๆ มองออกว่าพู่กันเป็นคนไม่ผูกใจเจ็บอาฆาต เคลียร์แล้วก็ถือว่าจบ เก็จพรหมมองพู่กันได้ทะลุปรุโปร่ง สายตาเข้มใต้กรอบแว่นลอบมองติสสาวทำกิจกรรมในโลกส่วนตัวเงียบๆเต็มตื้นด้วยด้วยความรักและเอ็นดูอย่างไม่รู้ตัว

เสียงคนขับเรือตะโกนถามเก็จพรหม เป็นภาษาที่พู่กันไม่คุ้นอีกเช่นเคย ทว่าในไม่ช้าเสียงทุ้มบอกหญิงสาวทราบถึงจุดหมายปลายทางนั่นคือเกาะ Murano


“เกาะนี้พิเศษยังไงคะ?”
พู่กันถามและพยายามนึกถึงเอกลักษณ์ของเกาะจากข้อมูลทางอินเตอร์เนต อีกอย่างเธอไม่ได้สนใจเวนิสมากนักเพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเยือนนั่นเอง

“พู่รู้จักงานศิลปะการเป่าแก้วหรือเปล่า?”
เก็จพรหมไม่ตอบแต่ถามกลับ

“รู้จักสิคะ พู่สนใจเหมือนกันแต่ว่าใจกับมือไม่นิ่ง สู้วาดรูปไม่ได้คะ”
พู่กันตอบพร้อมกับพูดถึงความสามารถไม่ถึงของตัวเองได้อย่างน่ารัก แววตาสดใสยามที่ได้พูดถึงงานศิลปะ

“ครับที่เกาะนี้ งานศิลปะที่โดดเด่นก็คือ งานเป่าแก้วและหน้ากากเซรามิก”
“อีกนานไหมคะ”

เสียงใสระริกระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ มือบางเผลอเขย่าแขนน้องชายพี่เก็จแก้วเบา ๆ ครั้งพอรู้สึกตัวติสสาวตีสีหน้าเก้อปากบางอิ่มขมุบขมิบขอโทษ เก็จพรหมทำเมินมองไม่เห็นกิริยาน่ารักนั้นแล้วตอบน้ำเสียงเรื่อยๆ เกรงว่าเผลอสนิทสนมตามหัวใจปรารถนา

“อีกสิบนาทีก็ถึง”
“อืมมม คะ”

พู่กันเหลือบดูซีกหน้าคมสันที่เบือนหน้าไปอีกทางความรู้สึกแปลกๆแทรกเข้ามา “ผมชอบพู่นะครับ” มันวิ่งวุ่นอยู่ในหัวพู่กันนับแต่ที่ได้ยิน บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ระหว่างอิ่มเอมกับค้างคา เธอไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนที่ได้ยินหัวใจมันเต้นแรงแค่ไหนแต่มันกลับไม่แรงและฟองฟู่อย่างที่ควรจะเป็น ปากบางเม้มเรียบเป็นเส้นตรง ถามตัวเองว่าต้องการแค่ไหน รอยหม่นอยู่ในแววตากลมโต เพราะใจเธอล้ำเส้นเกินกว่าคำว่าชอบไปแล้วนะสิ ร่างบางสะกดอาการถอนหายใจอย่างช้าๆแต่ข้างในมันคือการถอนสะอื้นนั่นเอง

ตรงตามเวลาที่ชายหนุ่มบอก เรือเทียบท่าคนขับรถพูดกับเก็จพรหมหลังจากที่ทั้งคู่ขึ้นอยู่แผ่นดินของเกาะ Murano พู่กันมองหน้าคมสันกำลังก้มหน้าดูเวลา พยักหน้าแล้วเดินนำไปก่อน ไร้เสียงทุ้มชักชวนหรือมือหนาเกาะเกี่ยวดั่งเคย ปากบางเม้มนิด ๆ เริ่มถามตัวเองว่า นี่เธอเป็นอะไรพู่กัน เธอรู้สึกอะไรอยู่ตอนนี้ ตากลมโตมองตามหลังร่างสูงเดินไปแล้ว ร่างบางหันไปมองคนขับเรือพบว่ากำลังนอนเอกเขนกเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เอาหมวกปีกกว้างปิดหน้าใช้เวลาว่างให้คุ้มค่าระหว่างที่รอลูกค้าขึ้นบก ติสสาวถอนหายใจรดอกง รู้สึกลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ รำพึงกับตัวเองเบาๆ “ไอ้พู่แกเป็นอะไรไป อย่าอ่อนแอสิ” พู่กันก้มหน้ามองเชือกรองเท้าขอบตาร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“มัวทำอะไรอยู่พู่ คนขับเรือให้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น รีบไปเถอะ”
เสียงเรียบคล้ายดุของเก็จพรหมดังขึ้นอยู่ตรงหน้า มันไม่ช่วยให้จิตใจพู่กันดีขึ้นแม้แต่น้อยดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิม ติสสาวยังคงก้มหน้าหงุดกล่าวขอโทษชายหนุ่มเบา ๆ

“ขอโทษคะ พู่มัวแต่มองดูอะไรเพลินไปหน่อย”
“งั้นเราไปกันเถอะ”

สิ้นเสียงร่างสูงผละเดินจากไป ไม่จับจูงมือเธอเหมือนดั่งเคย มือน้อยชะงักกำแน่น ก้อนแข็งวิ่งริ้วจุกที่ลำคอ เธอรู้แล้วว่าอาการที่กำลังเกิดกับตัวเองเรียกว่าอะไร มันคือความน้อยใจที่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจและอาทรเธอเช่นเคย โดยลืมคิดไปว่าทั้งหมดเกิดจากเจตจำนงของเธอทั้งนั้น

“แบบนี้เรอะ คนที่บอกว่าชอบปฏิบัติต่อกันแบบนี้เองเหรอ”

ติสสาวคิดพาลพลางปาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตาอย่างรวดเร็วแล้วรีบสาวเท้าตามร่างสูงให้ทัน เมื่อหลุดเข้าไปในแหล่งชุมชน ติสสาวตื่นตาไปกับศิลปะการเป่าแก้ว ที่หลากหลายทั้งขนาด สีสัน และ แนวความคิดแปลกๆ แก้วเพ้นท์ด้วยสีสวยจากความร้อนหาใช่จากปลายพู่กันเหมือนที่เธอทำไม่ เปลวไฟสีน้ำเงิน รูปสัตว์ต่างๆนาๆ เดินมาถึงร้านสุดท้ายสายตาติสสาวเจอะเข้ากับงานศิลปะที่โดนใจอยู่ชิ้นหนึ่ง ขวดโหลกลมธรรมดาแต่บรรจุฟองน้ำทำด้วยแก้วมีกุ้งหอยปูปลาร้อยกับเส้นเอ็นติดเป็ด ยามที่เคลื่อนไหวเสียงแก้วกระทบกันเสียงกังวานใสจนต้องหยุดยืนเงี่ยหูฟัง พู่กันยืนจ้องดูรู้สึกชอบขึ้นมา ดูเหมือนจะมีชิ้นเดียวในร้านเสียด้วย ตากลมโตกวาดมองไปทั่วไม่พบสินค้าประเภทนี้ในร้าน เป็นเวลาเดียวกันกับเจ้าของร้านตรงดิ่งมาหาลูกค้าสาวด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง

“ราคาไม่แพง น่าจะนำไปเป็นของที่ระลึกนะมิส”
ชายวัยกลางคนเชิญชวนลูกค้าสาวทันที

“สวยและแปลกดี เออขอโทษนะคะ ราคาเท่าไหร่คะ?”
พู่กันเอ่ยถามสายตาจ้องเขม็งดูเจ้าตัวมาสคอสสัตว์น้ำอย่างอ่อนโยน อดไม่ได้ที่จะแหย่นิ้วเล็กๆแตะเจ้ามาสคอตม้าน้ำอย่างถนอม

“30ยูโรจ๊ะ”
“อะไรนะคะ 30 ยูโร.....อ๋อยไมแพงจังวะ”

ติสสาวพูดกับตัวเองในตอนท้ายเป็นภาษาไทย ในใจคำนวณจำนวนเงินที่อยู่ใน Money Pocket แม้จะมีมากกว่าราคาสินค้าชิ้นนี้แต่เธออาจจะได้ของแค่ชิ้นเดียว “อย่าเลยไอ้พู่” พู่กันตัดใจทันที

“จะให้ฉันห่อให้เลยไหม”
คนขายคาดหวังว่าได้ขายงานชิ้นนี้แน่นอน

“เออ ไม่ล่ะคะ ขอบคุณนะคะ”

พู่กันกลืนน้ำลายตอบปฏิเสธแล้วเดินเลี่ยงจากไป ตาคมกวาดสายตาหาร่างสูงซึ่งไม่รู้อันตรธานไปไหนแล้ว “ไม่รอเลย” คิดพลางถอนหายใจแรง อารมณ์เริ่มขุ่นมัว “เดินคนเดียวก็ได้ไม่เห็นจะง้อเลย” ติสสาวดูเวลาที่ข้อมือยังพอมีเวลา “ไหนๆ ก็มาแล้วยังไม่เห็นหน้ากากเซรามิกเลย” พู่กันเดินต่อไปตามถนนที่มีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย เพียงอึดใจเธอได้เห็นงานศิลปะงดงามหรูหราแขวนอยู่เต็มราวข้างถนนราวกับไม่มีราคาค่างวดแต่อย่างใด มีทั้งแบบครึ่งหน้าและเต็มหน้าเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งไว้มากมายหลากสีสัน ชิ้นงานโดดเด่นวางไว้ตำแหน่งที่สะดุดตาต่อผู้พบเห็นดึงดูดให้ติสสาวเดินละเมอเข้าหาด้วยความสนใจ หน้ากากชิ้นสวยแบบเต็มตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ครึ่งหน้าและขนนกประดับไว้แทนเส้นผม ตาคมหวานไหวระริกจับจ้องอย่างเสียดายเพราะเห็นราคาติดหราสูงกว่าแก้วเป่านั่นถึงสามเท่า แขนเรียวเล็กเอื้อมสัมผัสอย่างแผ่วเบาลูบไล้ลูกไม้สวยจรดขนนกสีดำ กล้องตัวน้อยทำหน้าที่เก็บภาพไว้ให้เจ้านายของมัน

“เห็นของจริงก็บุญแล้วแก”



ของที่พู่กันอยากได้ อิอิ
ขอบคุณรูปภาพทางอินเตอร์เนต และ Google Search มิตรแท้ของพวกเราคะ

พู่กันถอนหายใจพูดกับตัวเองเบา ๆ เหลือบดูข้อมือบางอีกครั้ง คราวนี้เธอต้องตกใจเพราะว่ามัวแต่ทัศนาโน่นนั่นนี่จนลืมดูเวลา ติสสาวเหลียวดูรอบๆตัว ไม่เห็นร่างสูงอีกเช่นเคย เริ่มนึกสังเวทตัวเองที่ถูกปล่อยเกาะ หญิงสาวมองหาทางออกแล้วใจย่ำแย่เพราะจุดที่เธอยืนอยู่เป็นลานกว้างมีทางเดินออกไปถึงสามช่องทาง แล้วมันเป็นทางไหนล่ะที่เธอเดินเข้ามา อย่าบอกนะว่าเธอหลง ร่างบางยืนเคว้งกำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนดี เสียงทุ้มมาจากด้านหลังดุจเสียงสวรรค์ทีเดียว รีบหันไปตามเสียงทักด้วยสีหน้าโล่งใจ เก็จพรหมอุ่นวาบเข้าไปในอก นึกสงสารและเอ็นดูเจ้าของแววตากลมโตว้าวุ่นนั้นเสียจริงๆ

“กลับหรือยังพู่”
“คุณพรหม”
“อะไรกันฮะ พู่มองผมยังกะว่าเราจากกันไปนานมาก”
ร่างสูงพูดเบาๆ มองลึกเข้าไปในตากลมโตคู่สวย ขณะที่สองมือไพล่หลังเหมือนผู้ใหญ่ยืนคุยด้วย

“คิดแบบนั้นจริงๆคะ”

พู่กันเงยขึ้นมองหน้าเข้มสารภาพน้ำเสียงพร่าสั่น ทำไมเธออยากให้น้องชายเพื่อนพี่หนูนาปลอบขวัญเธอนะตอนนี้ “ลูบหัวสักนิดก็ยังดี” พู่กันคิด ตาเข้มผสานตาตอบก่อนกวาดสายตาไปรอบๆพูดโดยไม่หันมามองหน้าเธออีกแล้ว

“จวนครบชั่วโมงแล้วพู่ ออกจากที่นี่กันเถอะครับ”
น้ำเสียงสุภาพแต่ติสสาวกลับคิดว่าช่างห่างเหินเสียเหลือเกิน อยากจะกระทืบเท้าแรงๆเหมือนที่เคยทำกับก้องภพแต่ยั้งไว้ทัน ร่างบางเดินตามชายหนุ่มอย่างเหงา ๆ

หลังจากกลับขึ้นเรือแล้วเสียงคนขับเรือทักทายอย่างสนิทสนมกว่าเดิม ตลอดทางที่ออกจากเกาะ Murano สองชายผูกขาดการสนทนาอย่างออกรสชาด ปล่อยให้หญิงสาวคนเดียวในทริปนี้นั่งเงียบๆมองดูเวิ้งน้ำไปรอบๆราวกับอยู่เพียงคนเดียว แม้ว่าร่างสูงยังคงนั่งเคียงข้างแต่รู้สึกราวอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน “คนชอบกันเค้าห่างเหินกันแบบนี้เหรอ” ขอบตาร้อนผ่าวอีกแล้วหากแต่คราวนี้มันไม่หยุดเจ้าน้ำตาที่เอ่อปริ่มอยู่ที่ขอบตาให้เชื่อฟังแล้วไหลกลับไปที่เดิม ดูเอาเถอะกระทั่งน้ำตามันยังทรยศรินไหลลงแก้มจนได้ พู่กันเบือนหน้าสู่ท้องทะเลกว้าง ปาดน้ำตาทิ้งโดยเร็ว อาศัยแรงลมที่พัดปลิวปะทะหน้าช่วยให้แห้งเร็วขึ้น แพขนตากระพริบถี่กักน้ำตามิให้ไหลลงมาอีก ร่างบางลอบถอนหายใจก้มดูสายน้ำเกลียวคลื่น ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่า

“แกเป็นอะไรไปวะไอ้พู่ เซนส์เวอร์แล้วแก”

แววตาเข้มหลังแว่นดำลอบมองอาการหงอยของพู่กัน ตลอดเวลาที่เขาพยายามนิ่งเพื่อพิสูจน์บางอย่าง เขาได้เห็นสีหน้าแววตาและกิริยาที่แตกต่างออกไป ช่วงเวลาที่เงียบงันทั้งๆที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทำไมเขาจะไม่รู้สึกมันโหวงเหวงและตื้อตันภายใน ปวดหนึบที่อกเพราะไม่สามารถทำตามหัวใจสั่งได้ บอกตัวเองว่าทำตัวไม่ถูกเอาเสียเลยระหว่างความปรารถนาใกล้ชิดสนิทสนมและสัมผัสเหมือนที่เคยทำ กลับต้องมาทำตัวเหินห่าง เก็บกิริยาให้เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ เพราะเพียงแค่เขาอยากให้คนที่นั่งข้างๆรู้สึกดีกับสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอว่ามาจากความรักและความจริงใจ.......ความรักเหรอ เก็จพรหมสะดุ้งไหวอยู่ในใจ นายไม่เคยบอกรักพู่กันเลยนี่ แต่นายปฏิบัติต่อเธออย่างคู่รักที่พึงกระทำ โอ้ยตายล่ะ..นายกำลังข้ามขั้นตอนอีกแล้วสิเนี่ย...นายเพิ่งบอกชอบหล่อนไปเมื่อตอนรุ่งสางนี่เอง... เก็จพรหมก้มหน้าขำความเปิ่นของตัวเขาเอง ริจีบผู้หญิงอายุอ่อนกว่าเขาเกือบรอบ คิดแต่ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอน แต่เหมือนว่าเขาทำผิดรูปผิดแผนไปหมดตั้งแต่เริ่มจีบโดยที่เจ้าหล่อนไม่รู้ตัวมาจนถึงตอนนี้... ร่างสูงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สายตาทอดมองเวิ้งน้ำเบื้องหน้าขณะที่หัวเรือกระแทกฝ่าคลื่นไปหาเกาะที่เห็นอยู่ไม่ไกล...เกาะBurano และนึกก่นด่าตัวเองที่ทำเป็นต้นเหตุให้สาวติสของเขาสับสน....


“เดี๋ยวเราจะทานอาหารเที่ยงที่เกาะ Burano แล้วค่อยกลับเวนิสนะพู่”
เสียงทุ้มอาทรกลับมาอีกครั้ง
“คะ”
เสียงเล็กตอบแผ่ว หางตาเฉี่ยวผ่านไป เพราะเจ้าของไม่อยากโชว์รอยช้ำจากตาคู่โตนั่นเอง

เก็จพรหมหันไปคุยกับคนขับเรืออยู่ชั่วครู่ ร่างสูงหยุดยืนเคียงข้างพู่กันที่ยืนก้มหน้ารอ เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มส่งมือให้หญิงสาวจับแทนการถือวิสาสะเหมือนทุกครั้ง เขาให้พู่กันตัดสินใจ..... ติสสาวอึ้งเมื่อเห็นมือใหญ่ส่งมาตรงหน้า..ความน้อยใจแล่นริ้ว เบ้าตาติสสาวร้อนผ่าวสะกดเสียงตอบมิให้สั่นครือ

“ตามสบายคะ”
“เดินไปด้วยกันนะครับพู่ ”
เสียงทุ้มเอ่ยขณะที่มือยังค้างรอ
“พู่เดินไปเองได้”
น้ำเสียงสั่นครือบีบมือตัวเองไว้แน่น ก้มหน้าต่ำเก็บกักเสียงสะอื้น จริตสาวสอนให้สาวติสรู้จักการแง่งอน
“คนเป็นแฟนกันต้องเดินไปด้วยกันสิพู่”

เสียงกระเซ้าที่ฟังแล้วอุ่นใจเสมอกลับมาให้ใจไหวอีกครั้ง เรือนหน้าหวานเงยขึ้นมองตากลมโตมีน้ำใสรื้นกลบตาคู่สวยปากบางเม้มสะกดอารมณ์อ่อนไหวข้างในอย่างสุดกลั้นแต่เพียงไม่นานหยาดน้ำใสหล่นรินอาบแก้มเนียน ก้อนแข็งจุกที่ลำคอกลืนอย่างยากลำบาก ริมฝีปากสั่นระริกฝืนเม้มมิให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา สองสายตาประสานกันนิ่งและนาน ร่างสูงกางแขนกว้าง เพียงแค่นี้ หัวใจของติสสาวไร้แง่งอนโผซุกหน้าอยู่ตรงอกกว้างอย่างโหยหาความอบอุ่นที่เคยได้รับมาตลอด เสียงสะอื้นเบาๆ ปลดปล่อยความน้อยใจออกมา ร่างสูงกระชับวงแขนแน่นกลั้วเสียงหัวเราะอย่างโล่งอก เขารู้แล้วว่าความรู้สึกของพู่กันไม่ต่างไปจากเขาแน่นอน นักท่องเที่ยวหลายคนหยุดมองดูสองหนุ่มสาว บางคนถึงกับกดชัตเตอร์ถ่ายคู่รักที่กำลังอยู่ในห้วงโรแมนติก ชายหนุ่มบางคนถึงกับผิวปากเป็นกำลังใจให้หนุ่มเอเชียหน้าเข้มเหมือนรู้ใจผู้ชายด้วยกันเป็นอย่างดี....

“พู่จ๋า” เสียงเรียกขานอ่อนหวาน
“ดูสิคนเขามองเรากันใหญ่แล้ว แบบนี้พวกเขาต้องคิดว่าผมรังแกพู่แน่ๆเลย”

เสียงทุ้มนุ่มเย้าหยอกกลับมาอยู่ชิดริมหูติสสาว ยิ่งทำให้ทำนบน้ำตาพังมากกว่าเดิม บัดนี้เจ้าพ่อรีสอร์ทนั้นทั้งดีใจและโล่งเหมือนภูเขาออกจากอก เขาไม่อายกับสายตาสอดรู้สอดเห็นของกลุ่มชนนั่นหรอก เรื่องนี้จำเป็นต้องจูนความเข้าใจระหว่างเขากับพู่กันให้ตรงกัน เห็นทีจะต้องคุยกันรู้เรื่อง ชายหนุ่มคิด เก็จพรหมประคองร่างบางไปที่ม้านั่งริมท่าน้ำ ชายหนุ่มทรุดนั่งแนบชิดพู่กันด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ รอบตัวเหมือนอยู่ในห้วงฝันมีเพียงคนสองคนปราศจากเสียงจอแจของนักท่องเทียว หรือเครื่องยนต์ของเรือวิ่งผ่านไปมา ร่างสูงนั่งเป็นหลักให้พู่กันแอบอิงเสียงสะอื้นค่อยๆหาย อ้อมแขนแข็งแรงสอดวางไว้ที่เอวคอดอย่างชิดเชื้อ มันใกล้จนต่างฝ่ายแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของกันและกัน มือหนาเสยผมนุ่มที่ตกปรกคิ้วเรียวและตากลมโต ไล้นิ้วปัดแผ่วตรงขนตากระจุกชื้น ลงมาที่แก้มเนียนอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล

“ไม่ร้องนะครับคนดี”

เสียงทุ้มนุ่มปลอบโยน หน้าหวานถูกเชยคางให้เงยขึ้นผสานตาคมเข้ม ตาคมหวานแดงเรื่อเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ เก็จพรหมกวาดสายตาทั่วดวงหน้าหวาน แววตาอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักอาทร นิ้วเรียวยาวไล้แก้มเนียนเบาๆมาหยุดตรงริมฝีปากบางอิ่มสวย ใคร่อยากก้มลงควานหาความหวานแต่ต้องยั้งใจเพราะรู้ถึงความไม่เหมาะสม ติสสาวยังคงเงียบ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ทำให้เจ้าพ่อรีสอร์ทรู้ว่าเธอกำลังตัดพ้อน้อยใจตัวเขาอยู่ เก็จพรหมทอดมองดวงหน้าหวานนิ่งนานไต่ตาเข้มจ้องลึกเข้าในตาคู่สวยอย่างอ่อนหวานและลึกซึ้ง ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆเขาพร้อมแล้วสำหรับการสารภาพความในใจให้เธอผู้นี้ได้ฟังก่อนที่ทุกอย่างมันจะแย่ไปกว่านี้...

“พู่ครับมันอาจจะเร็ว คือ..ผมเพิ่งบอกว่าชอบพู่ไปไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง..เออ.. ความจริงแล้ว เออ..คือผมอยากบอกพู่ว่าผมจริงใจ ผม...ผม..รักพู่ ได้ยินไหมครับว่าผมรักพู่ รัก..รักจริงๆนะ ไม่รู้ว่ารักตอนไหน และเมื่อไหร่ ผม..ผม.”

ผู้บริหารบริษัทอาคาเดียกรุ๊ปติดอ่างไปชั่วขณะ ความไม่มั่นใจในตัวเองกระจัดกระจาย แม้เวลานี้ค่อนข้างจะเชื่อสายตาและซิกเซ้นส์ว่า เขากับพู่กันใจตรงกัน แต่ก็ยังหวั่นนิดๆว่าอาจคิดผิดก็ได้ ถึงแม้พู่กันมิได้แสดงท่าทีรังเกียจแต่ไม่ได้หมายความว่าจะหญิงสาวคิดเหมือนที่เขารู้สึก อาจจะเพียงฝ่ายเดียว... เก็จพรหมคิดด้วยใจโรยแรง

“พู่ก็รักคุณพรหมคะ”

เสียงเล็กกระซิบตอบเบา ๆ และรีบซุกหน้าแดงก่ำซบตรงอกแข็งแรงปิดบังอาการเขินอายและหลบสบตาประกายคมกล้าส่อแวววาววับหวานจนร้อนไปทั้งตัว ติสสาวรู้สึกประหลาดใจ อาการอึดอัดข้างในมันหายไปไหนเหลือแต่ดวงไฟเล็กๆวิ่งวุ่นอยู่ในอก ติสสาวหลับตาพิงร่างกับอกกว้าง เรียวแขนสอดรอบตัวคนตัวโตประหนึ่งออดอ้อนฝากตัวอยู่นที

เก็จพรหมนั่งตะลึงนิ่งขึงไม่คิดจะได้ยินคำว่ารักจากปากพู่กันเร็วแบบนี้ หัวใจหนุ่มพองโตจนคับอก มันเต้นแรงแข่งกับความดีใจ อยากจะลุกวิ่ง ๆๆ ๆ และตะโกนให้คนแถวนี้ได้ยินว่า “มีความสุขจังโว้ย” เก็จพรหมหัวเราะกลั้วยิ้มสดใสที่สุดที่เคยมีมาให้กับสายลมสายน้ำและท้องทะเลที่เป็นพยานว่าเขาและพู่กันรักกัน เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงชายหนุ่มรวบร่างบางกอดไว้แน่นอย่างเป็นเจ้าของเป็นครั้งแรก วินาทีนี้เจ้าพ่อรีสอร์ทได้ให้สัญญากับตัวเองว่า พู่กันคือคนสำคัญที่สุด เป็นเจ้าของหัวใจและวิญญาณเขาอย่างแท้จริง เขาจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาพรากคนรักของเขาไปได้

“ถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ผมจะให้ผู้ใหญ่จัดการเรื่องของเรานะครับพู่”

เก็จพรหมลัดขึ้นตอนอีกจนได้ ....




Create Date : 24 มกราคม 2555
Last Update : 24 มกราคม 2555 22:47:59 น.
Counter : 2499 Pageviews.

13 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสิบหกจุดสอง
เวนิสหวาน

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。

ถ้อยคำนุ่มรื่นหู พู่กันไม่ต้องส่องกระจกก็พอรู้ว่าหน้าของเธอคงแดงก่ำเพราะความร้อนมันวิ่งวนไปทั่วหน้าจนอยากใช้น้ำเย็นประพรมใบหน้าของตน ใจสั่งว่าอย่าสบตาน้องชายพี่เก็จแก้วเด็ดขาดแต่ร่างกายมันทรยศให้เงยขึ้นมองลึกเข้าไปในตาเข้มอย่างค้นหาความจริงใจในเรื่องที่ได้ยิน

“ไม่เอาล่ะคะ นี่ก็เกือบห้าทุ่มแล้วเรากลับกันดีไหมคะ”

พู่กันตัดบทเพราะเวลานี้ใจเธอกำลังปั่นป่วน น้องชายเพื่อนรักพี่หนูนากำลังเล่นสงครามอะไรกับเธออยู่หรือนี่ คำพูดแต่ละคำกลั่นบีบออกมาจากรวงผึ้งหรือไงกัน ไมมันหวานไม่รู้จบ พู่กันคิด

“พรุ่งนี้พู่มีแพลนไปไหนหรือเปล่า”
“พู่กะจะเข้าไปที่งาน มีอะไรให้พู่ทำหรือคะ”

ก้มหน้าตอบหลังจากเหลือบตามองดูหน้าเข้มแวบเดียว ตาเข้มทำให้หัวใจเต้นแรงอีกแล้ว

“ไม่เกี่ยวกับงาน คือผมอยากจะชวนพู่เกงานหนีเที่ยวสักวัน”
“แบบนี้พี่แก้วก็บ่นแย่เลย พู่เกคนเดียวไม่พอพาคุณพรหมชิ่งอีกไม่เอาดีกว่าคะ พรุ่งนี้พู่จะเอารูปไปให้มาดามเค้าทัศนาด้วย”

พู่กันปฏิเสธทั้งที่ใจเริ่มแกว่งเพราะนึกเสียดายโอกาสเหมือนกัน

“ไปเที่ยวเวนิสนะ”
“เวนิส?”
“อื้มม ไม่ไปชัวร์?”

ชายหนุ่มถามเสียงสูงปลายนุ่ม เลิกคิ้วเข้มดูคนตากลมโตไหวจ้า ความเกรงใจกะความอยากเที่ยวกำลังต่อสู้กันอยู่ในอกติสสาว

“พี่แก้วจะว่าเอาได้นะคะ”

เสียงเล็กเริ่มลังเล กัดริมฝีปากล่างอย่างคิดหนัก ก้มมองสองมือที่ประสานบนโต๊ะ

“สนับสนุนล่ะไม่ว่ารายนั้นน่ะ”
เก็จพรหมแย้งขำๆอยู่ในใจปากไข่วพูดไปอีกทาง

“นิดหน่อยแต่ผมก็เคลียร์งานหมดแล้วนะพู่”

เสียงขรึมเข้มขัดกับแววตาใสซื่อเหมือนลูกแมวขี้อ้อนไม่มีผิดพู่กันรู้สึกแบบนั้นยามที่เงยขึ้นสานสายตา ลักยิ้มได้เวลาทำงานเมื่อสาวติสฉีกยิ้มเธอขำคนร้อนตัว ก่อนจะปั้นหน้านิ่งขัดกับสายตาแพรวพราว

“อื้มมมพู่ขอคิดดูก่อนแล้วกันคะ พรุ่งนี้ต้องไปที่งานจริงๆ”
“แบบนี้ผมต้องไปคนเดียวนะสิ”

เก็จพรหมตีหน้ามึนพูดเสียงเศร้า ขณะที่ยกมือถูท้ายทอยเซ็ง พลันเสียงโทรศัพท์หวีดดังขึ้น คิ้วเข้มชนกันเมื่อเห็นเลขหมายที่โทรเข้ามา ร่างสูงลุกขึ้นพยักหน้ากับติสสาวเดินเลี่ยงเพื่อคุยกับคนที่โทรเข้ามา

“ว่าไงจูน”
“หนีจูนมาซะไกลเลยนะพรหม”
เสียงหวานแว่วตามสาย

“ผมมาทำงาน ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ”
เสียงเรียบยากที่จับความรู้สึกได้

“ทำงานแล้วทำไมไม่อยู่ที่งานล่ะคะ”
เสียงเย็นๆแข็งจนรู้สึกได้ว่าคนพูดมีอารมณ์แบบไหน

“เดี๋ยวนะ! จูนพูดเหมือนกับว่าอยู่ที่นี่”
เก็จพรหมถามเสียงหนักคิ้วเข้มขมวดฉับพลัน

“ก็ใช่นะสิคะ”
“หมายความว่า?”
น้ำเสียงหยั่งเชิงมากกว่าเดือดเนื้อร้อนใจ

“แหมมม อย่าทำเสียงเข้มสิคะ ทำหน้าดุแบบนั้นเดี๋ยวผู้หญิงที่มาด้วยตกใจแย่”

น้ำเสียงดัดให้หวานพริ้วและรื่นเริง เก็จพรหมกวาดมองไปรอบ ๆ ไม่เจอคนเอเชีย เสียงหัวเราะกิ๊กแผ่วๆ เข้ามาในสาย

“แค่นี้ก่อนนะจูน ผมมากับเพื่อน”
“แล้วเจอกันนะพรหม”

สัญญาตัดไปทิ้งคนปลายสายถือสายค้างกับคำพูดสั่งลา ส่ายหน้าเลิกใส่ใจเดินกลับไปหาพู่กันกำลังนั่งสบายคล้ายปลดปล่อยอารมณ์ติสไปกับบรรยากาศรอบข้าง

“เราไปกันตอนนี้ดีไหมพู่”
ร่างสูงก้มบอกพู่กันข้างๆหู
“คะ?...อุ๊ย”

พู่กันขานรับคำชวนชิดริมหู แล้วต้องกระพริบตาโต ใจกระตุกและเต้นแรงเมื่อปลายจมูกเย็นสัมผัสตรงแก้มเนียนอย่างจัง

“อะไรจะดีไปกว่านี้ ถ้าเราได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เวนิส”

คำชวนชัดแจ้งแต่คนฟังนั่งหน้าแดงสมองขาวโพลนไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแล้วในขณะนี้ รอยสัมผัสยังไม่จางพอๆกับใจที่เต้นโครมครามได้แต่นิ่งงัน ยังไงก็ไม่คุ้นชินกับความบังเอิญบ่อยครั้งแบบนี้ ตากลมโตใสซื่อเหลือบขึ้นสบตาเข้มทำให้เก็จพรหมเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังรุกแม่ติสสาวของเขามากไป แต่ไม่คิดถอนสายตาเพราะอยากจ้องอย่างไม่รู้เบื่อ

“คุณพรหมทำแบบนี้เพื่ออะไรกันนะ” พู่กันครุ่นคิด เป็นฝ่ายหลบสายตาเสียเอง
“ไปด้วยกันเถอะพู่” เจ้าพ่อรีสอร์ทชวนอีกครั้ง
“แต่ว่า...” พู่กันลังเล
“รถก็เช่ามาแล้ว” เก็จพรหมพูดเสริม
“น้ำไม่ได้อาบ” พู่กันพูดหน้ามึน
“ผมไม่เหม็น” เก็จพรหมทำมึนตอบ
“ฟันไม่ได้แปรง” พู่กันไม่ยอมลดล่ะ
“ผมไม่รังเกียจ”

ไม่พูดเปล่าตาเข้มไต่ขึ้นลงสลับริมปากอิ่มกับตากลมโต ติสสาวรู้ตัวว่าพลาดจึงหันหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีสายตาคมเข้ม พยายามคิดหาทางหนีทีไล่บอกกับตัวเองว่าชักไม่อยากอยู่ใกล้น้องชายเพื่อนที่หนูนาเสียแล้ว ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่เธอกลัวความรู้สึกแปลก ๆ ที่กระแซะเข้ามาเรื่อย ๆ และเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นทุกที แต่มันคืออะไรกันนะ.....

หลังจากชำระค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว เก็จพรหมลอบมองซีกหน้าติสสาวที่ยังนั่งเงียบ ชายหนุ่มตัดสินใจฉวยมือบางลุกจากที่นั่งโดยไม่รั้งรอคำตอบรับ แต่ร่างบางรั้งแขนไว้ตัวไม่เขยื้อน ทำให้เจ้าพ่อรีสอร์ทหันมอง พบว่าพู่กันยังนั่งอยู่กับที่ มีเพียงดวงตากลมโตจ้องมองเขาอยู่

“ไปด้วยกันนะพู่...นะครับ”

เก็จพรหมเอ่ยด้วยสีหน้าขอร้อง น้ำเสียงเว้าวอนจนใจคนฟังอ่อนยวบ

“พู่ขออนุญาตพี่แก้วก่อนได้ไหมคะ”

พู่กันหวังเพียง50% ว่าพี่แก้วจะไม่ให้เธอไปกับเก็จพรหมเพราะไปกับผู้ชายสองต่อสองไม่ดี ว่าแต่เธอคิดมากไปหรือเปล่านะ สมองซีกไหนไม่รู้คิดออกมา

“ได้สิพู่ นี่ฮะโทรศัพท์”

ไม่รอช้าเก็จพรหมส่งมือถือให้ทันที ร้อยเปอร์เซนต์พี่สาวอยู่ข้างเขาชัวร์ เจ้าพ่อรีสอร์ทคิดเข้าข้างตัวเอง

“ขอบคุณคะ”

ติสสาวรับและนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางระหว่างกดโทรศัพท์หาเก็จแก้ว เธอได้รับคำตอบจากเพื่อนหนูนาทันที ติสสาวบอกไม่ถูกว่ามันโล่งอกหรือหนักใจกันแน่

“ทำไมพี่แก้วไม่คิดสักนิดแล้วค่อยตอบก็ได้”

พู่กันคิดแล้วเดินกลับไปหาเก็จพรหมที่ยืนมองสายน้ำในความมืด

“คืนคะ”

พู่กันคืนมือถือให้เก็จพรหม ขณะที่ชายหนุ่มยังคงยืนล้วงกระเป๋าและส่งคำถามทางสายตาแทนคำพูด พู่กันยกมือลูบผมรู้สึกกระดากเพราะพี่หนูนาอนุญาตแถมยังกำชับให้เที่ยวให้สนุกไม่ต้องรีบร้อนกลับก็ได้

“พี่หนูนาอนุญาตคะ และบอกว่าขอให้เที่ยวให้สนุก”
“งั้นเราไปกันดีกว่า จะได้มีเวลาพักระหว่างทางบ้าง”
“คะ”

สิ้นเสียงตอบรับมือบางถูกจูงเดินออกไปจากร้านอาหารอย่างวิสาสะ ทำเอาหน้าติสสาวร้อนซู่ เพราะชายหนุ่มทำตัวเนียนเสียเหลือเกิน ระหว่างทางที่เดินเคียงคู่ร่างสูงติสสาวบอกกับตัวเอง

“จะเป็นไรไปว๊าไอ้พู่ เที่ยวให้ปรุ โอกาสแบบนี้หาได้ไม่ง่ายนะแก อย่าคิดมาก คุณพรหมเขาก็แค่ทำหน้าที่ไกด์เท่านั่นแหละ คิดมากไปได้แก”

หากติสสาวชะโงกดูหน้าคนข้างหน้าสักนิดก็จะรู้ทันทีว่าคิดผิด เพราะรอยยิ้มสมใจล้นหน้าคมสันอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะแววตาคมเข้มนั้นอีกล่ะที่กำลังวาดหวังอะไรไว้บางอย่าง

ตลอดทางคนที่ทำทำอิดออดมาตั้งแต่แรก ดูจะสนุกกว่าคนชวนซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งเป็นพลขับ นอกจากส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นแล้วยังคอยซักถามโน่นถามนี่ไม่ขาดปาก บางครั้งออกปากให้คนขับหยุดเพื่อเก็บภาพที่ชายหนุ่มดูแล้วไม่เห็นจะน่าถ่ายตรงไหน แต่ถ้อยคำที่หลุดปากตอบ ทำเอาคนฟังฉีกยิ้มไปถึงหูได้ทีเดียว

“ฟิวมันมาพอดี”
“เปะเลยคะตรงนี้”
“อ๊ากกก ไม่คลิกไลท์ไม่ได้แล้ว”

กิริยานิ่งเกร็งหลุดไปจากสาวติสตอนไหนไม่ทราบ เก็จพรหมรู้แต่ว่าไม่อยากให้ถึงจุดหมายเอาเสียเลย ตลอดเวลาที่ขับรถเสียงเล็กๆจะคอยถามไถ่และซักถามมิให้รู้สึกว่าการขับรถเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย บ่อยครั้งที่เจ้าหล่อนหยิบขวดน้ำดื่มเสริฟให้เขาถึงปากโดยไม่ต้องร้องขอ แถมจับหลอดดูดให้เป็นอย่างดี ลูกอมแสนเปรี้ยวปริ๊ดเจ้าหล่อนขยันป้อนเข้าปากได้หน้าตาเฉย ตามด้วยหัวเราะกิ๊กกั๊กเมื่อเห็นอาการสยองความเปรี๊ยวออกฤทธิ์ นอกจากนั้นยังคอยเป็นดีเจจัดหาคลื่นเพลงหลากหลายสไตล์ เก็จพรหมได้รู้ว่าเจ้าหล่อนชอบฟังเพลงแนวร็อคสากลจ๋า แล้วต้องอึ้งเมื่อติสสาวเฉลยหน้าตาเฉย..

“ดนตรีมันเพราะ แต่พู่ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักท่อน”

เอากับเจ้าหล่อนสิ แต่ยังไงก็ตามกลไกของร่างกายย่อมมีเวลาพักในที่สุดภายในรถหลงเหลือแต่เพลงที่สาวติสเปิดให้เป็นเพื่อนเขากับแนวเพลงที่เธอบอกว่า...

“พู่ชอบมั๊กมากคะฟังแล้วเบื่อไม่ลง”

ป๊อบร๊อค ในยุค 60 ไม่อยากเชื่อว่าคนติสจ๋าอย่างพู่กันจะชอบแนวแบบนี้นอกเหนือจากเพลงแนวอินดี้-ร็อค ที่ได้ยินฮัมติดปากอยู่เสมอ ๆ ....

“ถึงซักที”

เก็จพรหมคิดพลางบิดตัวไปมาให้หายเมื่อยขบ บริเวณที่จอดรถเป็นเนินเขาเห็นเมืองแห่งสายน้ำอยู่เบื้องล่าง อากาศที่นี่เย็นกว่าฟลอเร้นซ์ไม่มากนักแต่เขารู้สึกห่วงคนที่กำลังหลับสบายอยู่ในรถว่าจะทนอุณภูมินี้ได้ไหมเพราะดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้เก็บกักความอุ่นในตัวได้มากมาย ร่างสูงเปิดท้ายรถหยิบเสื้อกันหนาวที่เขาหยิบติดตัวมาด้วย แล้วเดินเปิดประตูอีกฟากที่มีร่างบางนั่งหลับตาพริ้ม อดไม่ได้ที่จะมองเรือนหน้าหวานคนพูดจ้อหมดฤทธิ์เดชด้วยสายตาอ่อนโยน มุมปากหยักสวยกระตุกยิ้มนึกอยากแตะขนตาที่แผ่กระจายนั้นเหลือเกินว่าจะนุ่มสักปานไหน เขามักจะเผลอมองเสมอยามที่มันกระพริบไปมาเวลาเจ้าของกำลังหัวเราะกระจาย เส้นขนเล็กๆจะพัดกระพือเหมือนปีกผีเสือโบกไปมา จมูกเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวมักจับเวลานึกอะไรไม่ออกระหว่างพูดนั่นอีก ตาเข้มไหวเมื่อหยุดที่ริมปากอิ่มช่างเจรจาไม่หยุดชั่วโมงก่อนหน้านี้ยามนี้ได้ปิดสนิท เจ้าพ่อรีสอร์ทรู้สึกตัวว่าเสียมารยาทเมื่อตากลมโตนั้นเปิดขึ้นกระทันหันไม่มีอาการงัวเงียสักนิด ไม่วายจะรู้สึกเก้อกระดากและอึ้งไปพร้อมๆกันเมื่อติสสาวเอ่ยถาม...

“คุณพรหมเห็นลายแทงสมบัตินั่นหรือยังคะ”
“...?...”
“อ้าวก็เห็นจ้องหาอยู่ตั้งนาน”

ตาโตค้อนขวับก้มปลดเข็มขัดนิรภัย ร่างบางเลื่อนตัวเองลงจากเบาะอย่างเร็ว เธอคิดเพียงแต่ว่าชายหนุ่มจะหลีกทางให้ แต่ผิดคาดร่างสูงยังยืนที่เดิม ทำให้ศีรษะได้รูปโขกเข้าที่ปลายคางอย่างจัง

“โป๊ก!”

ร่างสูงผงะเซไปด้านหลังเล็กน้อยไม่คิดว่าติสสาวจะเคลื่อนไหวเร็วแบบนี้ ด้วยความตกใจจึงรีบคว้าขอบประตูรถแต่ไหงกลายเป็นเรียวแขนของติสสาว ท่ามกลางชุลมุนมือหนาดึงร่างบางเข้ามาอิงอ้อมกอดโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคูต่างอุทานไปคนละทาง

“อุ๊ย”
“โอ้ย”

เจ้าพ่อหนุ่มแกล้งอุทานเสียงหลง กลบเกลื่อนแรงเต้นหัวใจทันทีที่รับร่างนุ่มนิ่มแนบชิด

“ขะขอโทษคะ พู่ซุ่มซ่ามชนคุณพรหม เจ็บมากไหมคะ”

เพราะมัวแต่ห่วงเสียงอุทานของเก็จพรหม ไม่ทันได้คิดอะไร ติสสาวเงยหน้ามองหน้าเข้ม สองมือยกขึ้นแตะคางสากไล้แผ่วเบา ใบหน้าเข้มของชายหนุ่มที่ก้มต่ำสบตากลมโตในระยะใกล้ แววตาคู่สวยจับจ้องปลายคางอย่างอาทรคละห่วงใย ทำเอาคนถูกมองเต็มตื้นชุ่มชื่นหัวใจ ติสสาวไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังตกอยู่ในอ้อมแขนและยืนพิงอกกว้าง เหมือนต้องมนต์บางอย่างจนทั้งคู่ไม่อาจถอนสายตาออกจากกัน ใบหน้าคมสันเคลื่อนเข้าใกล้ทุกที ดวงตาหวานไหวระริกสบตาเข้มอย่างตั้งใจและคอยรอ..บางสิ่ง สองแขนตะคองกอดร่างบางอย่างสุภาพมือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นแทรกนิ้วเรียวเข้ากับเส้นผมยาวนุ่มกลิ่นหอมกรุ่นอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน แท้จริงแล้วมันเป็นการควบคุมร่างกายคนตัวเล็กกว่าเขาให้ยืนอยู่กับที่ เพื่อรับฟังในสิ่งที่เขาต้องการพูด เขาอยากให้หญิงสาวได้ยินความในใจจากเขาเสียที เพราะมันเต็มจนล้นออกมาจากอกไม่อาจจะเก็บกักหรือทนแบกไว้ต่อไปได้อีกแล้ว.....

“มากสิพู่ มากจนมันล้น”
เสียงทุ้มพูดพร่าชิดริมปากอิ่ม

“ล้น เป็นคำวิเศษณ์?”

พู่กันละเมอถามกรอกตาโตผสานดวงตาเข้ม
ดูเอาเถอะจะมาพูดให้หาคำขยายลักษณะนามอะไรตอนนี้หนอแม่ติสสาวของเขา เก็จพรหมคิด นัยน์ตาคมขันแวบ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นซึ้งเมื่อแนบปากหนาได้รูปประทับบนปากอิ่มสวยช่างเจรจานั้น พู่กันหลับตาเต็มใจรับจุมพิตหวานอย่างเขินอาย นิ้วเรียวเล็กเลื่อนประสานกันที่ซอกคออุ่น หัวใจไหววุ่นและหวาบหวามคละเคล้าตื่นเต้นแบเบลอไปกับความสุขเล็กๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ มันเป็นรูปร่างจนเธอรู้ว่าสัมผัสนี้คือความสุขแสนหวาน... ร่างสูงตะคองกอดร่างระหงไว้แนบอก ความอบอุ่นแผ่ซ่าน รอบตัวบางเบาฟู่ฟ่อง ไม่รู้ตัวสักนิดว่าปลายเท้าน้อยๆเขย่งขึ้นเหมือนในละครหลังข่าว ที่ตัวเองมักค่อนขอดว่า เวอร์ซะไม่มีอะ ....ประสาทหูของพู่กันตื่นตะลึงเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกระซิบชิดริมปากสวยขณะที่ยังสานสายตาและใกล้เพียงแค่หน้าผากพิงกัน

“ผมชอบพู่นะครับ!”




Create Date : 17 มกราคม 2555
Last Update : 17 มกราคม 2555 11:53:35 น.
Counter : 1473 Pageviews.

14 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส ตอนที่สิบหก
แม่หนูยิมเอาน้ำจิ้มมาให้ก่อน
ส่วนหวานเต็ม ๆ ตอนสิบหกจุดสองคะ

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



คู่เดทของพู่กัน เดวิด ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก
(ขอบคุณภาพจาก ป๋ากูลเกิ้ล google คะ)

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


เนินเขาจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งของฟลอเร็นซ์ ร่างบางระหงของอาร์ทตัวแม่ยืนหันหน้าเข้าเมือง ทิวทัศน์ของนครมหาศิลปกรรมที่แสนงดงามในความรู้สึกของพู่กัน เรือนหน้าหวานเงยขึ้นดูแสงทองทอแสงอาบทั่วท้องฟ้า กลุ่มเมฆหมอกหนาบางคละกระจายลอยต่ำปกคลุมเหนือตึกอาคาร ยามที่ต้องแสงมองจากบนเนินเขา ให้อารมณ์ติสของหญิงสาวไหวจนต้องยกกล้องตัวน้อยของเธอขึ้นส่องแล้วกดชัตเตอร์หลากหลายมุมมอง “เก็บไว้ก่อนค่อยเลือกรูปทีหลังแล้วกัน เผื่อไอ้เจ้าก้องมัน” พู่กันคิด

ลานจัตุรัสมิคารัลเจโล(Piazzale Michelangelo )คือสถานที่นัดหมายระหว่างหนุ่มหล่อที่สุดกับติสสาว พู่กันเป็นคนเลือกที่นี่เพราะความคลาสิคของเนินเขาตรงที่สามารถมองเห็นทุกทิศของเมืองฟลอเร็นซ์ หญิงสาวหมุนตัวหันกลับมาหาคู่เดทของเธอ ร่างสูงสง่าหน้าตาชวนฝัน เป็นคนหนุ่มที่มองดูตรงไหนก็สมบูรณ์แบบไปเสียหมดรอยยิ้มหวานพอๆกับแววตาทอประกายฝันส่งให้ยามที่ทอดมอง

“คุณเป็นชายหนุ่มที่ไม่รู้จักแก่จริงๆเลย หน้าตาก็โครตหล่อ ขนาดว่าหน้าจะซีเรียสไปนิดคุณก็ยังหล่อไม่เสร็จได้ถึงเพียงนี้ คิก คิก ฉันล่ะไม่อยากคิดเล้ยว่าถ้าคุณส่งยิ้มหวานอยู่ตลอดเวลา การันตีพันเปอร์เซ็นต์เลยนะว่าสาวๆจะติดคุณตรึมกันทั้งบ้านทั้งเมืองทีเดียว อ้อ..ฉันไม่เข้าใจเลยนะพ่อคุณทูลหัวของไอ้พู่ว่าทำไมคุณถึงได้รักสันติภาพและอิสระอะไรมากมายขนาดนี้เน้อ เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ยืนห่มฟ้าห่มลมได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนรู้สึกมั่นจริงๆ ไม่อายใครเล้ยพับผ่าสิ ดีนะที่ฉันเรียนอนาโตมี่ฉันเลยชินนิดหน่อย คิก คิก”

อาร์ทตัวแม่คิดและยิ้มกว้างกับตัวเองยามที่ทอดสายตาดูรูปปั้นเดวิดคู่เดทของเธอ ก็จริงนี่นาพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้เป็นความฝันของเธอว่าสักวันเธอจะสัมผัสและมาเห็นของจริงกับตาให้ได้ ตอนนี้ก็ได้มายืนต่อหน้าผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก แถมยังโป๊เปลือยให้เธอเห็นทั้งตัวอีกตะหาก พู่กันคิดทะลึ่งปนเขินยามที่เงยหน้ามองดูรูปลักษณ์สมชายชาตรีอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด รูปปั้นที่ยืนตระหง่านตรงนี้เป็นของปลอม แต่ก็เหมือนไม่ผิดเพี้ยนเลย ส่วนของจริงอยู่ที่มิวเซียม Galleria dell' Academia เธอไปที่นั่นมาแล้ว สวยงามไร้ที่ติ ท่ายืนแอ๊คท่าบนแท่นนั้นสง่างาม แกะสลักด้วยหินอ่อนสูงถึงห้าเมตร ถ้าเป็นคนจริงๆ คือยักษ์ดีๆนี่เอง ตอนนั้นสาบานได้ว่าไม่อยากเดินออกมิวเซียมเลย พูดอย่างไม่อายเลยว่าอยากจะยืนจ้องพ่อเดวิดสุดหล่อและเท่ห์อยู่อย่างนั้นไม่อยากไปไหน ติสแตกไม่เสร็จก็ปลื้มจนต่อมน้ำตาตื้นแตกให้เบรโตได้เห็นอีก

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *




รูปปั้นตัวจริงที่แกะสลักด้วยหินอ่อน
ตั้งอยู่ในมิวเซียม Galleria dell' Academia
ขอบคุณภาพจาก google

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“เฮ้อดูไม่เบื่อเลยจริงๆ คู่เดทของฉัน ทานกาแฟไหมคะคุณเดวิดเจ้าขา คิก คิก ท่าจะบ้าไอ้พู่แก”

ติสสาวหัวเราะขำตัวเอง ยังเช้าอยู่มากแต่เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจเนื่องจากพอสายๆ นักท่องเที่ยวน่าจะเยอะมันเป็นอุปสรรคสำหรับเธอเพราะไม่สามารถวาดรูปสุดหล่อด้วยอย่างสนิทใจ ยังไงเธอก็เป็นหญิงสาวแต่มานั่งสเก็ตภาพชายหนุ่มเปลือยกาย ใครไม่เขินแต่พู่กันก็เขินเป็นล่ะงานนี้ แม้จะไม่เจอคนรู้จักก็ตาม แล้วถ้ายิ่งรู้จักอารมณ์ติสของเธอคงกระเจิงเผ่นกระจายจนวาดไม่ออกทีเดียวล่ะ รูปปั้นที่ยืนตระหง่านสูงเด่นนั้นไม่เป็นอุปสรรคว่าจะเห็นชัดหรือไม่เพราะเธอเตรียมกล้องส่องทางไกลขยายให้ชัดเลย ติสสาวดื่มกาแฟไปพร้อมๆกับกัดแทะแซนวิสคำเล็กๆ เรียกว่าเล็มถึงจะถูก ยังพอมีเวลา เธออยากดื่มด่ำกับธรรมชาติยามเช้าให้เต็มอิ่มเสียก่อนแล้วค่อยลงมือวาดรูปคู่เดทที่ไม่มีปากมีเสียงไม่กระดิกตัวให้คอยปรามให้เปลืองน้ำลาย......


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



เก็จแก้วหันมองน้องชายของเธอที่กำลังคุยอยู่กับเอเยนต์บริษัททัวร์ ด้วยสีหน้าที่เดาไม่ถูกว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากที่เธอให้ข้อมูลสำคัญไปแล้ว แต่พอรู้ว่ามันสามารถหยุดอาการกระสับกระส่ายของเก็จพรหมได้ มีเพียงแววตาที่เข้าใจว่ามันไหวระริกและสดใสเหมือนเด็กหนุ่มเพิ่งมีความรักไม่มีผิด เธอเชื่อว่าหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจเบื้องหน้าเมื่อไหร่ เธอจะได้ยินคำขออนุญาตตามหารุ่นน้องของหนูนาอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าสิ่งที่คาดคะเนไม่ได้ผิด จนนึกอยากจะซื้อล็อตโต้ประเทศนี้เผื่อจะถูกบ้างเมื่อน้องชายเดินยิ้มกริ่มหาเธอหลังจากเอเย่นต์บริษัททัวร์ ออกไปแล้ว

“นี่ครับพี่ ดร๊าฟสัญญายังไงพี่แก้วตรวจทานให้ผมอีกทีนะฮะ”
“ความจริงไม่ต้องผ่านพี่ก็ได้ พรหมก็แค่เซ็นต์แก๊กเดียวเอง”
เก็จแก้วแสร้งก้มหน้าดูเอกสารที่น้องชายยื่นให้ เมื่อไร้เสียงตอบกลับจึงเงยขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนหน้าเก้อยกมือลูบท้ายทอย “เออมันเขินก็เป็นโว้ย” เก็จแก้วคิดขำในใจ
“คือผมจะไปทำธุระ”
“ธุระ? ธุระอะไรเหรอจ๊ะ เผื่อที่พรหมไปอาจจะมีของที่พี่ต้องการ”
เก็จแก้วขยายความยิ้มอย่างรู้เท่าทันกัน
“ผมจะไปตามหาพู่ครับพี่แก้ว”
เก็จพรหมตอบไม่ปิดบัง เก็จแก้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ไม่วายถามให้หายข้องใจ
“แล้วทำไมพรหมไม่ตามหาน้องตั้งแต่ที่พี่บอก”
“พู่เค้าคงอยากอยู่ตามลำพังกับคู่เดทมั้งฮะ”
เก็จพรหมก้มหน้ายิ้มขณะตอบเก็จแก้ว
“อืมม ก็จริง.เอ้อ..แล้วพรหมจะไปตามน้องที่ไหนล่ะมีตั้งหลายแห่ง”
“ผมจะเริ่มต้นที่ตัวจริงก่อนฮะ”
“งั้นรีบไปเถอะจ๊ะเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
“ครับพี่”


ดูเหมือนว่าเก็จพรหมจะคำนวนผิดพลาดเพราะทันทีที่หลุดเข้าไปในแกลเลอรี่ Galleria dell' Academia หลังจากที่ต้องต่อแถวเข้าชมอย่างยาวนานกลับไร้ร่างของอาร์ทตัวแม่ในโดมมิวเซียม ชายหนุ่มเดินวนสองรอบให้แน่ใจก่อนจะออกมายืนเคว้งตรงลานปาลัซโซเวคคิโอ (Palazzo Vecchio)เขาพบหนุ่มหล่อคู่เดทของพู่กันตัวที่สอง เก็จพรหมอดไม่ได้ที่ยืนมองพิจารณารูปปั้น “ก็งั้นๆ” เป็นคำพิพากษาของเจ้าพ่อรีสอร์ท เหลือแห่งสุดท้ายที่เขาคิดว่าต้องพบพู่กัน นาฬิกาบนข้อมือบอกให้เขาทราบอีกสองชั่วโมงพระอาทิตย์จะตก และเขามีเวลา แค่ครึ่งชั่วโมงที่จะไปที่นั่นโดยรสบัส แต่ถ้าไม่เจอเขาจะไปหาพู่กันได้ที่ไหนอีกนะ ชายหนุ่มคิดเผื่อ สายตาสะดุดป้ายแท๊กซี่เซอร์วิส ชายหนุ่มเดินเข้าไปโดยไม่คิดทบทวนรอบสอง


“เฮ้อออออ... พ่อรูปหล่อของฉัน”

พู่กันเอียงคอดูเฟรมวาดภาพ ด้วยความปลาบปลื้มใจ นิ้วเรียวเล็กไล้เบาๆ บนแผ่นกายกำยำเธอเก็บรายละเอียดทุกเม็ด บรรจงลงปลายดินสอให้ได้รูปร่างแกร่งสมชายกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ โดยเฉพาะสัดส่วนละเอียดชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นเอ็นปูดโปนบนหลังมือตรงสะโพกเพรียวและจุดสำคัญที่เธอต้องทำสมาธิวาดให้เหมือนนั่นก็คือสัญญลักษณ์ของความเป็นชาย ร่างบางยืดตัวเอี้ยวไปมาหลังจากที่ยืนก้มๆเงยๆอยู่กับรูปปั้นและเฟรมวาดรูป จตุรัสบนเนินเขาแห่งนี้เหลือนักท่องเที่ยวบางตา อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนตั้งใจรอชมความงามช่วงเวลาอาทิตย์ตก เวลาบนข้อมือบางทำให้ตาโตคมสวยโตขึ้นอีกเมื่อเห็นเวลา

“หู๋.....นี่มันเกือบสามทุ่มแล้ว พระอาทิตย์ยังไม่ตกอีก เอาเถอะกลับก่อนแล้วกัน”

พู่กันลูบท้องไปมาความหิวเริ่มมาเยือน เสบียงที่นำมาหมดเรียบทั้งแซนวิส กาแฟและน้ำดื่ม เธอดีใจที่มีห้องน้ำอยู่บนลานจตุรัสไม่งั้นโรคกระเพาะฉี่อักเสบถามหาแน่นอน มือบางสาละวนอยู่กับการเก็บสัมภาระจึงไม่รู้ว่าร่างสูงเดินตรงมาที่เธอด้วยสีหน้าสมใจ

“จะกลับแล้วหรือพู่” เสียงทุ้มทัก
“คะ..อะ...คะ คุณพรหมมาทำอะไรที่นี่คะ”

พู่กันเหวอแตกหน้าตาตื่นส่งคำถามบื้อ ๆ ออกไปในขณะที่มือบางรีบสลับกระดาษร้อยปอนด์แผ่นล่างวางแทนที่เดวิดหนุ่มในฝันของเธอ ใครอยากจะให้เห็นกันเล่าว่าเธอวาดสุดที่รักด้วยความละเมียดละไมเหมือนจริงไปทุกอย่าง

“อ้าวทำไมปิดซะละฮะ ขอผมดูหน่อยสิ”

เก็จพรหมท้วงเมื่อเห็นพู่กันเก็บเฟรมภาพใส่กระเป๋าหนัง เรือนหน้าแดงเถือกไปถึงคอ “นี่สาวติสของเขาอายงั้นเหรอ” เจ้าพ่อรีสอร์ทคิดครึ้มอยู่ในใจ ส่วนพู่กันเหลือบตาขึ้นมองหน้าหล่อเข้มแวบเดียวแล้วทำปากขมุบขมิบ “รู้ได้ไงฟระว่าตรูอยู่นี่” แต่ปากพูดไปอีกทาง

“พู่วาดเสร็จตั้งนานแล้วกำลังจะกลับอยู่พอดี”
“พู่วาดอะไรฮะ ตะกี้ผมเห็นไม่ถนัดภาพวิวหรือรูปปั้น?”
“วิวสิคะ นั่นไงคะหลังคาสีส้มสูงต่ำลดหลั่นกันไปมันคลาสิคมากจริงๆ นะคะ”
พู่กันไม่ได้ปดเพราะเป็นหนึ่งในภาพวาดของเธอด้วยจริงๆ
“เอาไว้โอกาสหน้าผมขอดูได้ไหมพู่”
“ได้สิคะรอให้พู่ไปตกแต่งแล้วใส่กรอบให้เรียบร้อยก่อน ตอนนี้มันยังเสี่ยวอยู่เลยคะ”

เก็จพรหมนิ่วหน้าไม่เข้าใจคำว่าเสี่ยวของพู่กัน แต่ไม่คิดจะถามเดาเอาว่าเป็นศัพท์แนวตามประสาวัยรุ่นที่พูดกัน พอเห็นร่างสูงเงียบ ติสสาวพูดอะไรไม่ออกจึงเงียบตาม พู่กันเกิดความสงสัยว่าทำไมน้องชายของพี่เก็จแก้วถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ เพราะเธอไม่ได้บอกใครแม้แต่เพื่อนรักของพี่หนูนาเองก็ตาม

“เออ คุณพรหมมาทำอะไรที่นี่คะ”

สายตาคมหวานจ้องมองซีกหน้าที่กำลังยืนมองแสงสีทองฉาบไล้ท้องฟ้าพระอาทิตย์กำลังจะตก ร่างบางไม่รอฟังคำตอบเธอรีบวิ่งไปอีกฝากของจตุรัสแล้วกดชัตเตอร์ถ่ายสะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) กำลังเปิดไฟบนสะพานทำให้แต่ละช็อตของภาพเสมือนจริงๆ

“ผมตามพู่มา”

เสียงทุ้มอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พู่กันลดกล้องลงเงยหน้ามองร่างสูง สมองตื้นตันดูเหมือนว่าจะพร่าเบลอตามความร้อนเห่อบนใบหน้า สายลมหวิวๆพัดผ่านมากระทบผิวหน้าไม่ทำให้ลดอุณภูมิบริเวณนั้นให้จางลง ตาเข้มจ้องลึกลงไปในตาคู่สวย มีบางอย่างออกมาจากแววตาคู่นั้นมันแจ่มชัดจน..ไม่อยากเข้าข้างตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ยินกับหูอย่าเชื่อในสิ่งที่คิด พู่กันบอกตัวเองก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ

“แล้วทราบได้ไงว่าพู่อยู่ที่นี่ จำได้ว่าไม่ได้บอกใครเลย”
“ผมเชื่อในลางสังหรณ์”

เก็จพรหมตอบด้วยสีหน้าแววตากรุ่มกริ่ม เรียกเสียงใสพริ้วหัวเราะเบาๆจากปากอิ่ม ตาคมโตเหลือบดูหน้าคมเข้มที่ทำให้ใจไหวบ่อยๆในระยะหลัง

“จะให้เชื่อได้ไงกันคะ”

พู่กันอมยิ้มเขินเกลื่อนเต็มหน้าหวานเพราะสายตาซึ้งที่มองตลอดเวลา ปากกับใจตรงกันเพราะอยากรู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงเชื่อแบบนั้นทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เกริ่นสถานที่ให้ผู้ใดทราบแม้กระทั่งเก็จแก้วก็เช่นกัน

“เชื่อถือได้แหล่งข้อมูลตรงกันเปะ”

เก็จพรหมเฉลยละสายตาจากดวงหน้าสวยมองดูสะพานเวคคิโอที่ประดับประดาแสงไฟได้งดงามเหมือนภาพฝัน สร้างความผ่อนคลายใจพู่กันให้หายโครมครามจนเผลอผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ

“เฉลยมาเถอะคะ”
สีหน้างงๆเมือ่ได้ยินคำตอบ
“หนุ่มหล่อที่สุดในเมืองฟลอเร็นซ์มีเพียงคนเดียวพู่”

เสียงนุ่มเคล้าเสียงหัวเราะเบา ๆ แววตาทอประกายอ่อนโยนยามเมื่อหันมามองหน้าเนียน ยิ่งเห็นแววตาไหว ความรู้สึกอยากโอบร่างบางเข้ามาไว้แนบอกจนต้องจับนิ้วเรียวเล็กเข้าไว้ในอุ้งมืออุ่น ติสสาวถึงกับอึ้งโพล่งถามถึงผู้ให้ข้อมูล

“พี่เก็จแก้วบอกคุณพรหม?”
“แค่ส่วนหนึ่งฮะ พู่อย่าลืมสิว่าผมคุ้นเคยกับที่นี่ มันก็ไม่ยากที่จะเดาออกใช่ไหม”
“นั่นสิคะ แบบนี้พู่ก็เขินแย่สิคะ”

พู่กันยกมือที่เหลือป้องปากหัวเราะแก้เขินไม่ยอมมองหน้าเข้ม “เรื่องอะไรจะมองให้เขินกว่าเดิม” ติสสาวคิด ทันใดนั้นเสียงโครกครากจากร่างบางยิ่งทำให้พู่กันอายขึ้นไปอีก หญิงสาวลูบท้องยิ้มแหย ๆ ให้เก็จพรหม แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องหัวเราะขำกับคำพูดเนียนๆ ที่ชายหนุ่มพูดแก้ตัวให้เธอ

“เราไปกันเถอะพู่ ท้องผมร้องประท้วงว่าหิวแล้วล่ะฮะ”
“นั่นสิคะ พู่ก็หิวเหมือนกัน”

ร้านอาหารริมแม่น้ำอาร์โนใกล้กับสะพานเวคคิโอ เมนูอาหารเรียบง่าย พาสต้าแสนธรรมดา รสชาดสุดจะเลี่ยนจนติสสาวบ่นกับตัวเองว่า “น้ำหนักขี้นแน่แกไอ้พู่”

“ค่อยยังชั่ว เฮ้อรอดตายไปอีกมื้อ” ติสสาวลูบท้องยิ้มกว้างเขินๆ
“นั่นสิ ผมก็มัวตามหาพู่เลยไม่ทันได้หาอะไรใส่ท้องเหมือนกัน”

เก็จพรหมเผลอพูดเรื่องที่เขาตะเวณไปตามที่ต่างๆ ทำเอาพู่กันหูผึ่งร่างบางชะงักขณะที่เอนตัวพิงเก้าอี้นัยน์ตาโตมองชายหนุ่มอย่างฉงน ทำเอาคนถูกมองเกิดอาการเขินจนต้องยกมือลูบสันจมูกไปมา “น่ารักดีแฮะ” พู่กันเผลอมองแววตาที่เธอไม่รู้เลยว่าเก็จพรหมใจเต้นแรง

“อืมมม จับได้แล้ว”

ติสสาวทำท่าประกอบขำ ๆ หัวเราะออกมาเต็มเสียงแล้วชะโงกหน้าเข้าหาหน้าเข้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่มีท่าทีเขินไม่หาย

“บอกมาเลยคะว่าคุณพรหมตามหาพู่ที่ไหนบ้าง”
“โธ่พู่ เดวิดที่ตั้งเด่น อยู่ก็มีไม่กี่ที” เก็จพรหมพูดเลี่ยงๆ
“นั่นแหละคะ ที่ไหนบ้าง” ติสสาวคาดคั้น
“ผมไปมิวเซียมและก็จัตุรัสมิคารัลเจโล” เก็จพรหมหัวเราะเบาๆ ขณะตอบติสสาว
“คุณพรหมเข้าไปในมิวเซียม? โอ้พระเจ้า”

พู่กันยกมือทาบอกเพราะนั่นหมายถึงชายหนุ่มต้องยืนเข้าแถวจนขาแข็งชัวร์ แววตาพราวระยับเธอมองเห็นความน่ารักที่ไม่ต้องบอกกล่าวจากตัวชายหนุ่มในเวลานี้ หัวใจบรรจุอมยิ้มเต็มไปหมดทำให้แววตานั้นอ่อนหวานไม่รู้ตัว

“แล้วคุณพรหมก็เช่ารถแท๊กซี่มาที่จัตุรัสมิคารัลเจโล แล้วถ้าเกิดพู่ไม่อยู่ที่นั่นมิเสียเที่ยวเหรอคะ”

พู่กันซักต่ออย่างนึกสงสัยว่าถ้าเขาไม่เจอเธอจะทำอย่างไรต่อไป เก็จพรหมดึงมือบางกุมเอาไว้ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ถ้าไม่เจอ ผมก็คงขับรถไปเรื่อยๆเผื่อเจอ”
“คุณพรหมห่วงเพราะกลัวพู่หลงหรือคะ”

ติสสาวคิดเสียงดังถึงสาเหตุที่ชายหนุ่มตามหาเธอเพื่อปรับระดับอุณภูมิร่างกายในตัวเพราะมันฟูฟ่องเบาจนเกรงว่าถ้าไม่หาอะไรยึดตัวอาจจะลอยขึ้นฟ้าก็อาจเป็นไปได้ ตาคมหวานสานสบตาเข้มก่อนจะหลุบต่ำมองดูมือใหญ่บีบกระชับมือของเธอเหมือนคอยฉุดรั้งให้เธอรู้ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน

“ผมกลัวพู่หลงผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลกมากกว่า”

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *




Create Date : 08 มกราคม 2555
Last Update : 9 มกราคม 2555 9:10:20 น.
Counter : 2522 Pageviews.

8 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

gymstek
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



>