*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
ติสยี่สิบห้า
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
บนนกเหล็ก.....
พู่กันเหม่อมองออกนอกหน้าต่างเห็นปีกเหล็กนกยักษ์ทะยานอยู่กลางท้องฟ้า เมฆบางเบาแหวกว่ายบางกลุ่มก้อนดูหนาตา ดูไปแล้วช่างเหมือนตัวเธอเสียเหลือเกิน สามอาทิตย์ก่อนหน้านี้เหมือนอยู่ในวังวนความคิดว่าจะออกไปจากที่บ้านหลังนั้นได้อย่างไรกัน แม้ไม่ถูกทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ ข่มเหงจิตใจแต่อย่างไร เหมือนกำลังพักร้อนมากกว่าเพราะมีอะไรมาให้ได้ทำตลอดเวลา ได้เห็นยิ้มบริสุทธิ์ ได้ยินเสียงหัวเราะสดใส เป็นสิ่งที่เธอเคยอยากมีมาตลอด มีน้องสาว มีพี่ชาย และการได้อยู่ท่ามกลางรายล้อมไปด้วยเด็ก ๆเป็นช่วงเวลาที่เธอชื่นชอบนักหนา สร้างความผูกพันโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงตรงนี้ดวงหน้าหวานเผลอยิ้มให้กับตัวเอง เพียงไม่นานลมหายใจถูกพ่นออกมาช้า ๆ เพื่อมิให้คนข้างตัวรู้สึก เหรียญมีสองด้านเมื่อเธอพบกับความสุขย่อมมีอีกด้านที่ต้องค้นหา และเช่นกันเธอพยายามหาคำตอบ... ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการลักพาตัวเธอในครั้งนี้ เบรโต..เนลโล...และใครคือคนบงการ ทำแบบนั้นไปทำไมเพื่ออะไรกันในเมื่อเธอเพิ่งรู้จักสองคนในประเทศนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นอย่างแน่นอน พู่กันขมวดคิ้วรู้สึกปวดหัวจิ๊ดขึ้นมาขณะที่คิดเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา มีบางอย่างรบกวนจิตใจเธอแม้จะพยายามสลัดมิให้คิด แต่มันก็วนกลับมาอีกจนได้ เธอถูกลักพาตัวไปเก็บไว้เกือบเดือนแล้วก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่มีอะไรเสียหาย..เป็นไปได้อย่างไรกันที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเธอเลย นอกจากไม่ลำบากแล้วยังได้รับความสะดวกสบายเกินจะเรียกว่าเป็นผู้เคราะห์ร้าย......
เก็จพรหมลืมตาตื่นหลังจากเผลอหลับไปไม่รู้ตัว ครั้นรู้สึกตัวพบว่าศีรษะของเขาพิงอยู่กับไหล่บาง เจ้าพ่อหนุ่มผงกหัวขึ้นมองดวงหน้าหวานที่มองเหม่อมองออกไปนอกนกเหล็ก แผงขนตายาวแทบไม่ขยับเหมือนเจ้าของกำลังใช้ความคิด เจ้าพ่อรีสอร์ทอยากรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไร ต้นแขนเรียวเล็กถูกแตะเบา ๆ จากอุ้งมือใหญ่อันอบอุ่น สีหน้าครุ่นคิดเลือนหายไปเมื่อหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มบางละมุนเผยให้ลักยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก แววตาหวานแลสบดวงตาเข้ม พู่กันคว้ามืออุ่นหนานั้นนำมาแนบแก้มนวล ตากลมโตสานตาคมซึ้งมุมปากโค้งลักยิ้มทำงานอีกรอบ เก็จพรหมมองตามตาปรอยนึกอยากเป็นจมูกแทนมือของตัวเอง
“ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ เลยทำให้พู่เมื่อยตัวแย่เลย”
เสียงทุ้มเอ่ยมองหน้าใสไม่วางตา พู่กันยิ้มตาหยีรู้สึกเขินเพราะรู้ความหมายในแววตานั้น
“ไม่เลยคะ พู่ยินดีถ้าทำให้คุณพรหมหายเหนื่อย”
เสียงหวานพริ้มตอบทำเอาคนฟังกำลังใช้นิ้วเขี่ยแก้มเนียนเล่นชะงักไปเล็กน้อย
“ผมรู้สึกเหมือนหลับไปนานทีเดียว”
“ไม่นานหรอก แค่ช่วงเคี้ยวหมากแหลก”
เก็จพรหมกระพริบตาถี่งงกับคำตอบของหญิงสาว สุดท้ายต้องปล่อยขำก๊ากเพราะมุขของพู่กันที่เอ่ยได้อย่างหน้าตาเฉยแต่แววตากลับพราวระยับส่งมาให้ เก็จพรหมถอนหายใจอย่างเป็นสุข จ้องหน้าคนรักนิ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอาทร
“พู่คิดอะไรอยู่หรือครับ”
“คิดเรื่อยเปื่อยคะ”
ปีกผีเสื้อขยับขณะเหลือบตามองใบหน้าเข้ม มุมปากโค้งบุ๋มขำคนช่างสังเกต
“เรื่อยเปื่อย? แล้วอะไรล่ะฮะ พอจะบอกผมได้ไหม”
นายหัวหนุ่มไม่ยอมแพ้จับมือข้างตัวขึ้นมากุมไว้บีบเบาๆ ติสสาวผินหน้าออกนอกหน้าต่างตามด้วยถอนหายใจยาวก่อนที่จะหันกลับเปิดเผยสิ่งนั้น
“อืมม ก็แค่กำลังคิดว่าเหมือนฝันน่ะคะ สิบกว่าชั่วโมงก่อนหน้านี้พู่อยู่ในสถานะเชลย แล้วยังไงยังนึกไม่ออกว่าตัวเองมานั่งอยู่บนเครื่องบินกำลังพาพู่กลับเมืองไทย มันเป็นอะไรที่ไม่เข้าใจ เรื่องทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่ ใครจะพออธิบายหรือบอกพู่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง”
เก็จพรหมรั้งบ่าบางเข้ามาใกล้ตัว มือหนาลูบเบาๆ ที่ศีรษะหญิงสาวของหญิงสาวที่อิงซบตรงบ่า....... อย่าว่าแต่พู่กันเลยเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ แม้จะทราบคร่าวๆจากเบรโตแล้วก็ตาม สายตาอาทรของนายหัวหนุ่มมองที่ดวงหน้าหวานอย่างเหลือล้น ไม่ว่าระหว่างที่หญิงสาวหายไปมีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่คิดจะถามไถ่และยินดีรับผิดชอบเพราะการที่หญิงสาวถูกลักพาตัวไปครั้งนี้เท่ากับว่าเขามีส่วนเป็นตัวต้นเหตุแม้จะไม่สมควรเกิดขึ้นก็ตาม รอยยิ้มอบอุ่นมอบให้ติสสาว เสียงทุ้มนุ่มปลอบโยนในขณะที่มือใหญ่ยังคงลูบไล้เส้นผมสลวยไปมา...
“ถือว่าหมดเคราะห์หมดทุกข์ไปแล้วกัน”
ร่างบางดึงตัวออกห่างจ้องตาเข้มอย่างจริงจังแล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบติดเครียด
“คุณพรหมไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทั้งหมดนี้มันแค่เรื่องบังเอิญหรือจงใจ ทำไมพู่ถึงถูกลักพาตัวเอาไปเก็บไว้ถึงสามอาทิตย์ จู่ๆก็ปล่อยซะง่ายๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นการเข้าใจผิด แบบว่าลักพาผิดตัว พอรู้ว่าพู่ไม่ใช่ก็เลยปล่อยซะเฉยๆ เหมือนในละครไงคะ”
“โธ่พู่!”
เจ้าพ่อหนุ่มครางอยู่ในอก ไม่รู้จะเครียดหรือขำกับคำพูดของหญิงสาวดี คิดในแง่ดีคือพู่กันมองเรื่องของเธอเหมือนละครฉากหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะซึ่งมันก็น่าจะเป็นประการหลังมากกว่าเพราะพู่กันไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าหญิงสาวอาจจะระแคะระคายอะไรบางอย่างแล้วก็ได้
“จะอะไรก็แล้วแต่ สำหรับผมตอนนี้ขอเพียงพู่ปลอดภัยกลับมาอยู่ใกล้ๆผมแค่นั้นเป็นพอแล้ว ผมสัญญานะพู่ว่าจะไม่ให้ใครมาเอาตัวพู่ไปได้อีก ถ้าหากจะมีอีกก็คงต้องผ่านผมไปก่อน”
“ถ้าเรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็ดีสิคุณพรหม”
“พู่กัน”
เก็จพรหมอึ้งกับคำตอบของหญิงสาว สายตาเข้มสานตากลมโตอย่างค้นหาคำตอบว่าสิ่งที่พู่กันเอ่ยออกมานั้นคืออะไรระหว่างแดกดันหรือเตือนสติเขากันแน่ แต่ไม่เจออะไรนอกจากตากลมแป๋วล้อเลียนกลับมาทำเอาคนถูกมองกระพริบตาถี่งงกับท่าทีของติสสาว
“ดูคุณพรหมเครียดจังเลย คิดขำๆสิคะ”
“จะขำได้ไงกันพู่ สามอาทิตย์ที่ผ่านมาเหมือนผมตายทั้งเป็นเลยนะ ไม่มีคืนไหนที่ผมจะนอนหลับได้สนิท ผมต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วคิดว่าตารางนิ้วของแผ่นดินฟลอเร้นซ์ไหนบ้างที่ยังไม่ได้ค้นหา”
สีหน้าสาวติสม่อยลงเมื่อได้ยินเสียงเข้มจัดจากคนข้าง ๆ ดวงตาดำขลับเหลือบขึ้นมองดูใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มซึ่งได้มองเธออยู่ก่อนแล้ว ติสสาวฉีกยิ้มหวานเอาใจชายหนุ่มอย่างเต็มที่ สลัดความขุ่นมัวในใจออกไป อย่างน้อยในเวลานี้เธอได้อยู่ใกล้คนที่คิดถึงตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วจะตั้งแง่อะไรอีก หญิงสาวคิดดังนั้นจึงคว้าหมับที่ท่อนแขนชายหนุ่มแล้วซุกหน้าตามพูดเสียงพร่าสดใสอย่างประจบประแจง
“คิดถึงคุณพรหมจังคะ”
รอยยิ้มหวานกับการกดปากอิ่มบนกรามเขียวครึ้ม ทำให้ใจเจ้าพ่อรีสอร์ทอ่อนหยวบความรู้สึกเต็มตื้น ความรัก ความห่วงใย ความวิตกกังวล และคิดถึงที่ผ่านมาดูมลายหายไปกับความหวานที่พู่กันแสดงให้เขาอย่างบริสุทธิ์ มือหนาจับไหล่บางหมุนกลับมาเผชิญหน้า ความรักที่ฉายออกมาจากตากลมโตวาวเร่งเร้าให้หน้าคมสันคมเข้มเคลื่อนใกล้ชนชิดหน้าผากนูนสวย ลมหายใจอุ่นรินรดกันและกัน นิ้วเรียวยาวไล้แก้มเนียนลากช้าๆลงมาที่ปลายคางนิ้วโป้งคลึงเบา ๆ แล้ววนกลับขึ้นสัมผัสปากเอิบอิ่มของติสสาว ไม่ทันจะได้เชยชมความหวานริมฝีปากอิ่ม เพราะติสสาวก้มหน้าซุกลงบนอกกว้างอย่างขัดเขิน เรียกเสียงหัวเราะในลำคอทั้งขำและเอ็นดูคนรัก สายตาเจ้าพ่อรีสอร์ทมองฝ่าความมืดออกนอกหน้าต่างนกเหล็กกลับกังวลบางอย่างที่ยังมาไม่ถึง เขาเรียกมันว่าลางสังหร ความหนาวแผ่เข้ามาในอกจนต้องรวบร่างบางกอดกระชับ ซุกจมูกลงบนกลุ่มผมสลวยเรียกกำลังใจกลับมา เสียงกระซิบพร่า....
“ใจผมไม่ต่างจากคุณเลยพู่”
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
ร่างบอบบางของจุมพิตานอนราบอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องสุดหรู ดวงหน้าซีดเซียววางบนหมอนสีขาวสะอาดตายิ่งทำให้ดูกลมกลืนจนอีกสองชายในห้องต่างมองด้วยความกังวลราวกับว่าหญิงสาวเจ็บหนัก โดยชายคนแรกนั้นกำลังนั่งอยู่บนเตียงข้างคนป่วย เป็นใครไปไม่ได้ถ้ามิใช่คนเป็นสามี นั่งกุมมือนุ่มอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เขายกมือขาวซีดนั้นจรดขึ้นริมฝีปาก
“ตื่นขึ้นมาได้แล้วที่รัก”
อังวาห์เสียงพร่าสายตาเข้มขุ่นมองไปยังวงหน้าสวยไม่ห่าง นับจากวันวานที่เบรโตอุ้มร่างบางของพี่สะใภ้เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ในเวลานั้นร่างของหญิงสาวอ่อนยวบลมหายใจแผ่วเบาสีหน้าซีดเผือดดูน่ากลัวกว่าตอนนี้มาก
“ผมผิดเองที่ไม่ดูแลจูนให้ดีกว่านี้”
เบรโตเอ่ยเสียงขรึมเบา ๆ ขณะที่ขยับเข้าใกล้เตียง
“นายไม่ผิดหรอกเบรโต ถ้านายไม่เจอจูนฉันยังนึกไม่ออกว่าเค้าจะเป็นอย่างไร”
อังวาห์โต้เสียงอ่อนกลับ สายตายังคงจับจ้องเมียรักที่ยังคงหลับตาหายใจสม่ำเสมอ แม้หมอประจำตระกูลได้มาตรวจร่างกายหญิงสาวอย่างละเอียดและแจ้งเขาแล้วว่านายสาวไม่ได้เป็นอะไรนอกจากร่างกายอ่อนเพลียมาจากการแพ้ท้องเท่านั้นเอง
“อาหมอบอกผลตรวจว่าไงบ้าง”
เบรโตเอ่ยอย่างเป็นห่วงอาการพี่สะใภ้ชาวไทย สายตามองร่างบอบบางบนเตียงนิ่ง แววตาคมเข้มดูเคร่งขรึมผิวเผินแล้วคล้ายกับเป็นห่วงใยต่อสุขภาพไม่แพ้พี่ชาย อังวาห์หันมาทางน้องชายก่อนจะตบบ่ากว้างเบา ๆ เพื่อให้คลายกังวลและหยุดกล่าวโทษตัวเองเสียที
“แค่อ่อนเพลียจากการแพ้ท้อง หมอฉีดยาให้เธอพักผ่อนให้มากๆ อาหมอแซวพี่อยู่ว่าสงสัยเด็กในท้องอาจจะไม่ใช่คนเดียวก็ได้นะ”
ปลายเสียงสดใสเมื่อพูดถึงทายาทในท้องเมียสาว เบรโตเงยหน้าทันทีกล่าวตอบอย่างยินดี
“ถ้าเป็นจริงแบบนั้นก็ดีสิครับพี่”
“ขอแค่แม่ของลูกพี่ปลอดภัย จะกี่คนก็ได้”
เบรโตจ้องหน้าหล่อที่คล้ายคลึงกับเขายามนี้แดงเรื่อแววตาส่องเป็นประกายจับจ้องใบหน้าพี่สะใภ้ของเขา เบรโตไหวไหล่กว้างหัวเราะเบา ๆ พูดสัพยอกพี่ชาย
“ฟังๆแล้วเข้าใจว่าพี่กำลังคิดจะหยุดแล้วสิฮะ ผมจำได้ว่าพี่เคยพูดว่า..การมีลูกคือบ่วงพันธนาการระหว่างพี่กับจูน... แบบนี้ผมเข้าใจว่าพี่จะเลิกมีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือรวมไปถึงผู้หญิงในฮาเร็มพวกนั้นไปด้วยใช่ไหมฮะ”
“ใช่!...ฉันคิดว่ามันถึงเวลาที่พี่ควรจะทำเพื่อแม่ของลูกพี่เสียที”
“ก็ดีผมยินดีด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“ฉันคิดถูกใช่ไหม”
อังวาห์ถามย้ำอีกทีกับความคิดของตน
“แน่นอนครับ ครอบครัวพี่ก็จะมีความสงบสุขและต่อไปก็จะสมบูรณ์มีอังวาห์จูเนียร์ ลูกพี่หลานของผมต่อไปคงออกมาวิ่งเล่นให้ได้ชื่นใจ จูนเองก็จะได้พ้นทุกข์เสียทีฮะ”
“งั้นการปล่อยตัวสาวไทยคนนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วล่ะ”
เสียงห้าวทุ่มของอังวาห์เรียบเรื่อยอย่างสบายใจ แต่กลับดังกึกก้องในโสตของเบรโต หน้าหล่อเหลาหันขวับไปทางพี่ชายแววตาเบิกกว้างมันมากกว่าแปลกใจนั่นคือตกตะลึง เสียงที่เปล่งถามพี่ออกมาอย่างเร็วรี่นั้นมิได้ดังกึกก้องเหมือนเจ้าตัวคิด มันเพียงกระซิบแผ่วแว่วเข้าหูผู้เป็นพี่...
“พี่ตกลงใจปล่อยพู่กันแล้ว? เมื่อไหร่กัน?”
“เนลโลจัดการไปแล้วล่ะ”
อังวาห์หันมายิ้มก่อนตอบผู้เป็นน้องด้วยคิดว่าเบรโตคงดีใจกับอิสระภาพที่สาวไทยได้รับ
“เมื่อไหร่? “
“สองวันที่แล้ว ทำไมล่ะ นายดีใจมากเพียงนี้เชียวเหรอ ผู้หญิงคนนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างที่นายกลัวหรอกเบรโต เนลโลมันดูแลเป็นอย่างดี ป่านนี้คงกลับถึงเมืองไทยแล้วมั้ง”
“กลับเมืองไทย?”
ร่างสูงของเบรโตผงะถอยห่างพี่ชาย สีหน้าซีดเผือด มือชุ่มเหงื่อจนต้องซุกเข้ากระเป๋ากางเกง แววตาเปล่งประกายกล้าสันกรามขบนูนหันไปทิศอื่นเพื่อปิดบังบางอย่าง อังวาห์มองท่าทางกระสับกระส่ายของน้องชาย เข้าใจว่าเบรโตกำลังกังวลเรื่องของหญิงสาวชาวไทยจึงส่งยิ้มและบอกการเดินทางกลับของสมุนมือขวา
“เนลโลจะมาถึงเย็นนี้ อยากรู้อะไรก็ลองถามดูแล้วกัน”
“ครับพี่ งั้นผมขอตัวก่อนครับ นึกขึ้นได้ว่าต้องไปทำธุระกับแม่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้ยิน แล้วยิ้มเฝื่อนก่อนจะเอ่ยปากขอตัว
“ไปเถอะ บอกแม่ด้วยว่าพี่กับจูนฝากความระลึกถึงให้ท่านด้วย ถ้าจูนสบายดีเมื่อไหร่จะพาไปเยี่ยม”
“ได้ครับ งั้นผมลา”
ร่างสูงโปร่งก้าวออกจากห้องไปทันทีที่กล่าวจบทำเอาอังวาห์ส่ายหน้าขำเมื่อมองตามหลังผู้เป็นน้อง เจ้าพ่อเมืองเพชรกำลังคิดว่าน้องชายเขาดีใจจนระงับไว้ไม่อยู่ ดูจากท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดว่าแววตาตื่นเต้นฉายออกมานั่นเอง
“คุณกำลังคิดผิดอย่างมหันต์รู้ไหมอังวาห์”
จุมพิตาเอ่ยเสียงครือจัดหลังจากที่เบรโตออกจากห้องไปแล้ว
“เมียจ๋าตื่นแล้ว โอยผมดีใจจังที่รัก”
อังวาห์อุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงและเห็นว่าภรรยาคนสวยของเขาลืมตามองดูเขาอยู่ก่อนแล้ว ร่างหนาผวาเข้าประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้นพิงหมอนเมื่อเห็นเธอขยับตัวทำท่าลุกนั่ง
“ขอบคุณคะ”
จุมพิตาขอบคุณสามีแผ่วเบาความจริงแล้วเธอรู้สึกตัวก่อนหน้านานแล้วแต่อยากได้ยินการสนทนาระหว่างพี่กับน้องที่พูดเกี่ยวกับเชลยสาวไทย อย่างน้อยเธอก็ได้ทราบว่าอังวาห์มิได้เป็นคนโหดร้ายอย่างที่เธอคิด สามีของเธอสั่งให้ปล่อยตัวพู่กันแล้ว และเขากำลังจะหยุดทุกอย่างเพื่อเธอ
“ค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหมที่รัก อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม ผมจะทำให้ทาน”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นชวนให้คนฟังอบอุ่นยิ่งถ้อยคำที่หวานและเอาใจนั่นอีก ทำให้ตาคมหวานนั้นทอแสงอ่อนหวานแม้สีหน้ายังดูคงซีดเซียวมิได้ทำให้ความงามนั้นจืดจางไปแม้แต่น้อย นึกอยากอ้อนสามีขึ้นมา จุมพิตาทำตัวอ่อนเหมือนไร้เรี่ยวแรงซบบนอกสามีซ่อนรอยยิ้มบนอกกว้างสอดสองแขนกอดเอวเต็มไปด้วยมัดกล้ามนานเหลือเกินที่มิได้อยู่ในห้วงความรู้สึกแบบนี้...หากแต่เพียงชั่วครู่จุมพิตารีบขืนตัวออกห่างผลักไสสามีออกไกลตัวและโก่งคอเพื่ออาเจียร อังวาห์รีบคว้ากระโถนข้างเตียงรองรับไว้ทัน มีเพียงน้ำขมปริ๊ดเพียงน้อยนิดที่ไหลออกมา ...เมื่อเห็นภรรยาอ่อนล้ากับอาการแพ้จนตัวอ่อนปวกเปียก รู้สึกสงสารแทบขาดใจ
“เมียจ๋า ท้องคงว่างนอนรอผมแป๊บเดียวนะ จะไปหาอะไรมาให้ทานนะจ๊ะ”
“อย่านานนะคะที่รัก”
เสียงกระซิบแผ่วหวาน แต่ดังกึกก้องในหูของราชาเหมืองเพชรถึงกับเบิกตาโพลงอย่างประหลาดใจและดีใจกับคำพูดของภรรยาสาว ร่างสูงผวาหมายก้มลงกอดร่างงามให้สมรักแต่ต้องหยุดกึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นการทำร้ายเมียรักให้ออกอาการแพ้ขึ้นมาอีก ร่างสูงยืนหน้าม่อยสุดเสียดายจึงส่งยิ้มกร่อยๆดูแล้วช่างน่าเอ็นดูสำหรับจุมพิตาเสียเหลือเกิน จนลืมเรื่องที่จะพูดกับสามีเรื่องที่ได้ฟังมา...
“ผมจะรีบกลับมาโดยเร็วเลยจ๊ะ”
“งั้นรีบไปเถอะคะ เมียหิวจะแย่แล้ว”
“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับผม”
จุมพิตาส่ายหน้ายิ้มเพลีย ๆ ตามหลังสามี ความรู้สึกอบอุ่นวาบไหวกลับมาอีกครั้ง มันหล่นหายไปหลายปีเธอหวังว่าต่อแต่นี้ไปความสุขจะเข้ามาหาเธออีกครั้งและเธอจะไม่มีวันให้มันหนีจากเธอไปอีกต่อไปเช่นกัน
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
“ระยำ”
เสียงสบถอย่างเดือดดาลจากเจ้าของร่างสูงโปร่งใบหน้าคมสันบูดเบี้ยวแดงก่ำตามอารมณ์ที่ร้อนแรงขีดสุด สายตาเกรี้ยวกราดกวาดมองดูลูกน้องเต็มไปด้วยโทสะโดยสมุนทั้งคู่ไม่กล้าสบตาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น
“แค่ผู้หญิงคนเดียว แกสองคนยังให้หลุดมือไปได้ สงสัยต้องให้หญ้าแทนข้าวซะแล้วมั้งห๋า”
“ขอโทษครับนาย”
“ขอโทษ..ฉันไม่ต้องการคำขอโทษแต่ต้องการให้ไปจัดการพาผู้หญิงไทยคนนั้นมาที่นี่”
“แน่นอนครับนายเราจะนำเธอมาให้นายได้แน่นอน”
“ผลัวะ! ผลัวะ!”
เสียงวัตถุกระทบเนื้อดังสนั่น ตามด้วยสองสมุนลงไปนอนบนพื้นกุมศีรษะซึ่งมีเลือดไหลเป็นทางยาว แน่ล่ะพวกมันรู้ดีว่านั่นคือเสียงจากร้องเท้าราคาแพงกระทบเข้าที่หน้าอย่างจังนั่นเอง
“งั้นหรือ เมื่อไหร่ล่ะ”
ริมฝีปากบางคล้ายสตรีเยียดหยัน ตาขุ่นขลักและเขม็งมองชายทั้งสองคุกรุ่นด้วยโทษะ
“ภาระกิจพวกนายเสร็จสิ้น ต่อไปฉันออกโรงเอง ไร้ฝีมือจริงๆพวกแกเลี้ยงเสียข้าวสุก ออกไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว ไป๊!”
ไม่มีการรีรอแม้แต้วินาทีเดียวคนทั้งสองรีบผลุนผลันออกไปจากไกลสายตานายหนุ่มในอาการร้อนรน เบรโตล้วงกระเป๋าเดินออกไปที่หน้าต่างเงยหน้ามองอากาศอย่างไร้จุดหมาย ภาพของสาวติสยังไม่เลือนไปจากความทรงจำ รอยยิ้มเก๋ไก๋ยังตราตรึงใจไม่หาย
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณกับผมจะไม่ได้เจอกันอีกพู่กัน สักวันผมเชื่อว่าสักวันเราจะได้พบกันและวันนั้นคุณจะเป็นของผมคนเดียว”
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
“พ่อคะ....แม่คะ”
“ไอ้พู่!”
ร่างระหงของพู่กันถลาเข้าหาพ่อกับแม่ ทั้งคู่รอหญิงสาวที่ห้องรับแขก ตามคำขอร้องของเก็จพรหมว่าอยากให้รอรับขวัญบุตรสาวที่บ้าน เพื่อจะได้พูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ ความจริงแล้วนายหัวหนุ่มไม่อยากให้พู่กันตกเป็นเป้าสายตาสาธารณะชนมากนัก อาจจะไม่ปลอดภัยเพราะไม่รู้ใครเป็นใคร เกรงจะมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกก็อาจเป็นได้ แรกทีเดียวพ่อของติสสาวไม่รู้จุดประสงค์ของชายหนุ่มเกือบทำให้ท่านโกรธหาว่ากีดกันให้เจอลูกสาวแต่เมื่ออธิบายแล้วพ่อจึงเข้าใจและขอบอกขอบใจที่รอบคอบ
“พ่อจ๋าแม่จ๋า คิดถึงเหลือเกิน”
“พ่อกับแม่ก็คิดถึงลูกยายหนู เกือบแล้วสิ เกือบจะไม่ได้เจอกันแล้วสิ”
แม่โผเข้ากอดบุตรสาวน้ำหูน้ำตาไหล เหมือนได้ของมีค่ากลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง ส่วนพ่อนั้นยืนดูสองสาวของบ้านกอดกันกลม รอยยิ้มและแววตาที่มองดูคนที่สองแสดงความรักและคิดถึงกันและกัน พู่กันมองหาบิดาเธอส่งยิ้มและยื่นมืออีกข้างให้บิดาทั้งสามจึงอยู่ในอ้อมแขนกันและกัน เสียงร้องของฟังแล้วซาบซึ้งเพราะเป็นเสียงแห่งความดีใจนั่นเอง
“แม่พอได้แล้ว ลูกเราปลอดภัยและกลับมาบ้านแล้วไม่ต้องร้องเวอร์ก็ได้จ๊ะ”
“พ่อก็เป็นอย่างนี้ทุกที”
พ่อหยอกเย้าแม่อย่างเคยชิน ส่งให้แม่ถอยห่างพู่กันค้อนพ่อประหลับประเหลือบ ไม่วายเช็ดน้ำตาและดึงร่างลูกสาวเข้ามากอดอีกครั้งก่อนคืนอิสระภาพให้แก่บุตรสาว
“เอาล่ะทีพ่อมั่งนะ”
สิ้นเสียงพ่อร่างบางของพู่กันเข้าสู่อ้อมกอดบิดาบ้าง เสียงหัวเราะของแม่ระเบิดขึ้นไม่กี่วินาทีเสียงหัวเราะทั้งสามพ่อแม่ลูกประสานเสียงกัน เป็นภาพที่เก็จพรหมเห็นแล้วรู้สึกเต็มตื้นกับภาพความอบอุ่นที่ได้เห็น เรือนหน้าหวานในสายตาเขาเวลานี้งดงามและแจ่มใสเป็นที่สุด พ่อเป็นคนแรกที่หันมองแขกของบ้าน สายตาท่านที่มองดูเจ้าพ่อหนุ่มคือความขอบคุณที่นำสิ่งมีค่าที่สุดคืนสู่อ้อมอกท่านตามที่สัญญาเอาไว้
“ต้องขอโทษด้วยนะ ที่เสียมารยาทไปหน่อยเลยยังไม่ได้เชื้อเชิญให้นั่ง”
“มิเป็นไรครับ ผมเข้าใจครับ”
เก็จพรหมก้มศีรษะให้พ่อแล้วนั่งบนเก้าอี้ถัดไปตามคำเชื้อเชิญ
“อุ๊ยฉันก็ต้องขอโทษด้วยอีกคนที่มัวแต่รับขวัญเจ้าพู่มัน คุณคือคุณเก็จพรหม น้องชายหนูเก็จแก้วเพื่อนของพี่หนูนาใช่ไหมจ๊ะ”
แม่หันมาสนใจหนุ่มหน้าเข้มที่มาส่งบุตรสาวถึงบ้าน สายตาแม่เหมือนแม่ทั่วๆไปที่เห็นลูกสาวพาคู่รักเข้าบ้านเป็นครั้งแรกไม่มีผิด แทนที่จะอึดอัดเก็จพรหมกลับมองดูว่าเป็นท่าทีที่น่ารัก รอยยิ้มกว้างนั้นเปิดเผยและยินดีตอบคำถามทุกเม็ดนั้นทำเอาพู่กันที่มองดูท่าทีมารดากับคนรักแล้วเกิดอาการขนลุกขึ้นมาดื้อ ๆ
“พ่อคะแม่คะ นี่คุณพรหมคะ”
“พ่อกับแม่รู้จักชื่อแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นหน้าก็คราวนี้ ยังแล้วต้องขอบคุณคุณมากเลยนะที่ช่วยเป็นธุระตามหาไอ้พู่มัน คงลำบากแย่เลยนะ ฉันกับพ่อเจ้าพู่ไม่รู้จะตอบแทนยังไงนอกจากคำว่าขอบคุณจากใจ”
“ไม่เป็นไรครับ เออเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
เก็จพรหมขานรับอย่างสุภาพ เหล่ตามองดูพู่กันที่ยืนหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างบิดาแล้วกลั้นขำอย่างสุดแรง
“ไม่คิดจะช่วยกันเลยนะทูนหัว”
เก็จพรหมคิดในใจเมื่อสบตากับตาคมวาวของติสสาว
“ความจริงมีเรื่องมากมายที่อยากคุยแต่คิดว่าในคืนนี้อาจจะรบกวนคุณมากไปเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เอาไว้วันหน้าก็แล้วกันนะ”
พ่อตัดบทก่อนที่แม่จะทันได้ซักไซร์มากไปกว่านี้ เก็จพรหมก้มคำนับรับคำเชิญกลายๆของบิดาติสสาวด้วยความอิ่มเอิบใจ ยิ่งเห็นหน้าแดงเรื่อของคนรักแล้วเผลอส่งยิ้มให้ไม่ได้ก่อนทำหน้าเหรอหราเมื่อได้ลูกค้อนที่หญิงสาวแจกคืนมา
“ครับคุณลุง แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ครับ”
เก็จพรหมคำนับเคารพพ่ออีกครั้ง
“ได้สิคุณ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”
แม่พูดแทรกขึ้นทันควัน เป็นเหตุให้พู่กันร้องเสียงหลง
“แม่ค้าน้อยๆ หน่อยคะ”
“ไปเถอะพู่ไปส่งพี่เขา จะได้รีบกลับไปพักผ่อนเสียทีเหนื่อยมามากแล้ว พ่อคุณ”
พ่อบอกติสสาวส่งแขกตามมารยาทอันพึงมี เมื่อสองหนุ่มสาวเดินพ้นห้องไปพ่อหันมองแม่ที่ชะเง้อตามหลังทั้งคู่ออกไปแล้วส่ายหน้า เอื้อมมือสะกิดแม่ใช้นิ้วลากใต้คางอวบอิ่มของแม่ไปมา
“เก็บอาการหน่อยแม่ นั่นน้ำลายไหลยืดแล้ว”
“โธ่พ่อก็ แม่ก็อยากเห็นหน้าว่าที่ลูกเขยชัดๆหน่อยไม่ได้หรือไง ทั้งพ่อทั้งลูกเลยไม่รู้จะเก็บอาการอะไรนักหนา ก็รู้ๆกันอยู่แล้วนี่ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกัน”
แม่ตีพ่อที่แขนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
“เอาแล้วสิ เพ้อเจ้ออีกแล้วแม่ อะไรที่ไม่ได้ออกจากปากลูกสาวเราก็อย่าออกนอกหน้ามันไม่งามลูกเราเป็นผู้หญิงเดี๋ยวเขาจะดูถูกเอาได้นะแม่”
พ่อส่ายหน้าปรามแม่เสียงขรึม แม่โต้กลับค้อนใส่พ่อเพราะหมั่นไส้ที่พ่อสงวนท่าทีทั้งๆที่พูดเปิดทางให้ชายหนุ่มไปก่อนหน้านี้
“โธ่พ่อก็ ใครจะไปพูดให้ได้ยินล่ะ แม่ก็มีจรรยาบรรณเหมือนกันนะ”
“เหรอ แต่ตะกี้ที่เห็นพ่อเห็นแม่แทบจะจับตัวสัมภาษณ์เลยนะ”
พ่อพูดยิ้ม ๆ ล้อเลียน แม่ค้อนพ่อไม่จริงจังก่อนจะหัวเราะประสานเสียงกันอย่างมีความสุขเพราะได้ลูกสาวกลับมา ส่วนเรื่องอื่นๆทั้งสองรู้ว่าบุตรสาวจะเป็นคนเล่าให้ฟังเอง