All Blog
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสยี่สิบเจ็ด






ติสยี่สิบเจ็ด



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“พรหมนี่ยังไม่เสร็จงานอีกเหรอ พี่เห็นไฟในห้องเปิดทิ้งไว้จนเช้าทุกวัน นี่อย่าบอกนะว่าทำงานจนไม่หลับไม่นอนนะเรา”

เก็จแก้วเดินเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟกำลังส่งกลิ่นหอมฉุย เธอทักเมื่อเห็นน้องชายยังคงนั่งง่วนอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แฟ้มงานมากกว่าสามทบซ้อนกันอยู่ เก็จพรหมขยับแว่นขณะเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว อดส่งยิ้มเพลียๆให้ตามนิสัยที่ไม่อยากให้ใครห่วงใยในตัวเขา ตาเข้มตกอยู่ที่แก้วกาแฟในมือพี่สาว

“พี่แก้วเหมือนรู้ใจผมเลย”
“ย่ะพ่อคนเก่ง ดูสิเอกสารสูงท่วมหัว จะขยันไปไหนกันนะเรา พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ เป็นวันหยุดมิใช่เหรอ”
“ก็ผมอยากเคลียร์ทั้งหมดนี่เร็วๆฮะ”
“พี่จำได้ว่าเราเคลียร์จนหมดก่อนไปฟลอเรนซ์นะ หรือว่ายายพิมพรรณแอบดองงาน ต้องใช่แน่ๆ ไม่งั้นพรหมจะจมอยู่กับกองเอกสาร แฟนเฟินไม่ต้องโทรหากันหล่ะ”
เก็จแก้วพูดถึงเลขาที่มักจะซุกงานหรือลัดคิวงานให้กับเจ้านายเสมอ ๆ
“โธ่พี่แก้วพูดอะไรฮะ”
เก็จพรหมหัวเราะเสียงกร่อยที่พี่สาวพูดถูกเขาไม่ได้ติดต่อกลับไปพู่กันอีกเลยนับจากวันนั้น

“แล้วมันจริงไหมล่ะ สามสี่วันมานี่พรหมไม่โทรหาน้องเลย”
พูดจบเก็จแก้วรีบเอามืออุดปากตัวเองเมื่อเจอตาเข้มจ้องเขม็ง

“พี่แก้วไปรู้ข่าวแบบนี้มาจากไหนล่ะฮะ ”
“เออ...เออ..ก็..ไปดีกว่า อะนี่...กาแฟดื่มเสร็จแล้วก็วางไว้หน้าห้องนั่นแหละเดี๋ยวเด็กๆ ก็มาเก็บเองตอนเช้า”

เก็จแก้วอึกอักก่อนพูดปัดไปเรื่องกาแฟแทน แต่ดูเหมือนเก็จพรหมจะไม่ยอมให้พี่สาวได้หลบฉากออกไปได้ง่าย ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินถือแก้วกาแฟไปที่โต๊ะรับแขกสำหรับสองคน โดยสายตาเชื้อเชิญแกมบังคับให้เก็จแก้วเดินตามเขาไป

“พี่แก้วทราบได้ไงฮะว่าผมกับพู่ไม่ได้ติดต่อกัน”
“พรหมไม่ต้องรู้หรอกว่าพี่รู้ได้ไง แต่พี่อยากรู้ว่าทำไมพรหมถึงทำแบบนั้น ทะเลาะเรื่องอะไรกัน”
“เออ..อ่า..ไม่มีอะไร อีกอย่างงานผมยุ่งด้วยสิช่วงนี้ ดูสิฮะเอกสารแทบจะล้นโต๊ะแบบนี้จะเอาเวลาไหนไปติดต่อใคร ยังไงก็ต้องเอางานไว้ก่อน”

เก็จพรหมเอ่ยขึ้นเมื่อเป็นฝ่ายถูกรุกเสียเอง เก็จแก้วส่ายหน้าระอา เธอรู้ว่างานที่ทำอยู่ไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างลงตัวเพราะเก็จพรหมบริหารงานด้วยความรอบคอบ แววตาคล้ายคลึงกันเหลือบค้อนน้องชายนึกหมั่นไส้ ที่ชายหนุ่มเกิดจะงอนแฟนตัวเองในเวลาแบบนี้ไม่ได้

“พรหมจ๊ะ งานน่ะทำเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเป็นกิจการของเรา แต่เรื่องของหัวใจก็สำคัญไม่น้อย พู่กันยังเด็กอาจจะคิดและพูดอะไรแบบเด็ก ๆ พรหมก็เคยผ่านมาแล้ว ต้องให้เวลาน้องในเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ”
“พี่แก้วหมายความว่ายังไงฮะ”
เก็จพรหมขมวดคิ้วสงสัยกับคำบอกเล่าของพี่สาว เก็จแก้วไม่เปิดโอกาสให้น้องชายซักถามจึงตัดบทขอตัวกลับห้อง

“พี่ก็หมายความตามนั้นแหละ เอ๊ารีบทำงานให้เสร็จเผื่อพรุ่งนี้จะได้หาเวลาโทรศัพท์หาแฟน เรื่องบางเรื่องทิ้งไว้นาน ๆ มันจะเป็นสนิมกัดกร่อนใจยากที่จะรักษา พี่ไปดีกว่านี่ก็ดึกแล้ว”
“ครับพี่”

เก็จพรหมมองตามหลังเก็จแก้วเดินออกจากห้อง นึกแปลกใจในคำพูดทิ้งท้ายเอาไม่น้อย อันที่จริงเขาคิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะโทรหาพู่กัน และคิดว่าถึงตอนนี้อารมณ์ของหญิงสาวคงเย็นลงบ้างแล้ว เหตุการณ์คืนวันนั้นย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง....

“คุณพรหมพอจะบอกพู่ได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพู่”

ร่างบางขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าบ่งบอกอยากรู้เป็นกำลัง ตลอดบ่ายที่พู่กันเทียวไล้เทียวขื่อถามเขา แบบต้องรู้ให้ได้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร

“จะให้ผมตอบยังไงดีล่ะพู่ในเมื่อผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

เก็จพรหมจำเป็นต้องเลี่ยงคำตอบเพราะไม่อยากรื้อฟื้น เขาไม่อยากให้ติสสาวหมกมุ่นกับเรื่องที่ผ่านมา เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกและมันผูกโยงไปหาอีกหลายคน อะไรที่ยังไม่เคลียร์เขาก็ไม่อยากพูดออกไปจนกว่าทุกเรื่องจะได้ข้อสรุปค่อยว่ากันอีกที และในเมื่อตอนนี้พู่กันกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็ไม่ต้องคิดกังวลอะไรอีกต่อไป

“ไม่ทราบ! จะเป็นไปได้ยังไงกันคะ ในเมื่อคุณพรหมไปที่บ้านหลังนั้นถูกและพาพู่ออกมาโดยไม่ต้องใช้กำลังกับนายยักษ์นั่นสักหมัดเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพรหมกับนายนั่นรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว”
ติสสาวโพล่งถามอย่างเหลืออด เธอไม่เข้าใจว่าเก็จพรหมจะบ่ายเบี่ยงตอบคำถามเธอไว้ทำไม

“ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นมาก่อน แล้วจะรู้จักได้ยังไงล่ะพู่”
เก็จพรหมพูดความจริง

“งั้นบอกพู่หน่อยสิคะว่า คุณรู้ได้ไงว่าพู่อยู่ที่นั่น”
ติสสาวคาดคั้น

“เราพูดกันพอแล้วนะพู่ ยังไงผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้ไม่สงค์ออกนาม ”
นายหัวหนุ่มผ่อนลมหายใจตอบอย่างใจเย็นและระมัดระวัง พู่กันไม่ใช่คนโง่เขารู้


“แล้วใครละคะผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เค้าทำแบบนั้นทำไมกัน? เพื่ออะไร? นึกตลกอะไร? พู่ถูกจับตัวไปเกือบสามอาทิตย์แล้วจู่ ๆ ก็ถูกปล่อยตัวซะง่าย ๆ แถมได้รับด้วยความร่วมมือจากนายนั่นเป็นธุระจัดหาเสื้อผ้า วิกผม ให้พู่ปลอมตัวออกจากสนามบินเนี่ยนะ”

พู่กันสาธยายคำถามอย่างประชดประชัน ความเครียดทำให้ปวดริ้วที่หัวคิ้วจนต้องยกมือคลึง

“ครับ เป็นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงและต้องขอบใจ ทำให้ผมหาพู่เจอและกลับเมืองไทยมาด้วยกัน”

เจ้าพ่อรีสอร์ทลอบถอนหายใจ แข็งใจสรุปให้สั้นลง เบนสายตาออกไปในตำแหน่งที่ไม่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยของพู่กัน ความเงียบเข้ามาครอบคลุมรอบๆตัวเหมือนติสสาวจะยอมรามือ แต่เขาเข้าใจผิดเมื่อหันกลับมาสายตาวิบวับจ้องอยู่ก่อนแล้วเสียงฟ่อแฟ๊ดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจนเขาเองต้องกระพริบตาคาดไม่ถึง

“พู่ถามจริงๆ เถอะคะคุณพรหม มันมีอะไรที่พู่ไม่รู้ใช่ไหมคะ กรุณาเถอะคะ บอกให้พู่หายโง่ซะทีได้ไหมคะ อมพะนำเอาไว้เปล่าประโยชน์คะ อย่าคิดว่าพู่สมองหนาปัญญาตื้นจนมองทะลุเกมส์พวกนี้ไม่ออก คิดเหรอคะว่าพู่จะไม่สงสัย พู่หายไปเกือบสามอาทิตย์ ตลอดเวลาที่พู่จมอยู่กับความทุกข์มันทรมานแค่ไหน กลัวมากแค่ไหนที่จะไม่ได้กลับบ้าน... คุณรู้ไหมว่าพู่เจออะไรมาบ้าง...มัน..เฮอะ..”
“พอเถอะพู่ อย่าพูดต่ออีกเลยนะ ผมเข้าใจ”
เก็จพรหมรีบพูดแทรกเสียงขรึมอย่างเข้าใจเขาไม่ต้องการรื้อฟื้นเรื่องที่ผ่านมา โดยหารู้ไม่ว่าสร้างความเคลือบแคลงในใจติสสาวมากขึ้น

“เข้าใจ? คุณจะไปเข้าใจอะไร คุณไม่ใช่พู่นี่ หรือคุณรู้มาตลอดว่าพู่ไปเจออะไรมาบ้าง?”

พู่กันเริ่มตีรวนแปลเจตนาชายหนุ่มไปอีกทาง สายตาตัดพ้อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องปิดบังเธอ

“พู่..พู่ครับ ไปกันใหญ่แล้ว ผมเองก็ทุกข์ไม่แพ้พู่ ผมควานหาตัวพู่แทบพลิกแผ่นดิน ลองคิดดูสิ พู่หายไปในคืนที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราตามหาพู่อย่างไร้ทิศทาง ด้วยหวังสักวันว่าจะเจอพู่ไม่ว่า..เออ..จะอยู่ในสภาพไหน...พู่รู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไง..เหมือนเดินหลงทางในที่มืดไม่มีแสงสว่าง ต้องคลำหาทางออกให้เจอ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องบนบานแต่ครั้งนี้ทุกอย่างที่ทำได้ผมทำทั้งนั้น สามอาทิตย์เหมือนสามเดือนหรือสามปีผมเหมือนคนตาบอด แต่มีวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาถึงผมบอกให้ไปรับตัวพู่ที่บ้านหลังนั้น ผมดีใจมาก..”
“เดี๋ยวคะ คุณไม่เจอใครเลยเหรอก่อนที่คุณจะเจอพู่”

หากเป็นเวลาอื่นพู่กันคงปลื้มกับคำบอกเล่าของเจ้าพ่อหนุ่ม แต่ในเวลานี้ไม่ใช่เธออยากได้คำตอบ

“เจอ? พู่หมายถึงใครฮะ”
“เบรโตไง”
“เปล่า ผมไม่เห็นนายคนนั้นอีกเลย”
เสียงขรึมตอบโดยไม่สบตากลมโตยิ่งสร้างความสงสัยเพิ่มขึ้น

“คุณพรหมโกหก ทำไมต้องโกหกกันด้วย”
เสียงโพล่งอย่างขัดใจ ทำเอาเจ้าพ่อหนุ่มรู้สึกฉุนขึ้นมาเพราะไม่เคยมีใครพูดทำนองนี้กับเขามาก่อนในชีวิต

“พู่ ทำไมคิดแบบนั้น”
“ลางสังหรณ์พู่มักจะแม่นเสมอ”

เก็จพรหมกระพริบตาเมื่อเจอข้อหาที่หญิงสาวยกเมฆมากกว่ารู้จริง ชายหนุ่มตั้งท่าค้าน หากทำได้แค่อึ้งฟังข้อสรุปที่ติสสาวที่ปลดปล่อยออกมายืดยาว

“เราห่างกันซักระยะเถอะ พู่อยากอยู่คนเดียวพอจะความจริงว่ามันคืออะไรกันแน่ จุดที่เลวร้ายที่ว่าแย่ที่สุดพู่ผ่านมาแล้ว พู่อยากจะมีเวลาทบทวนคะ และพู่ก็คิดว่าคุณพรหมเองก็ต้องการเหมือนกัน เผื่อคิดอะไรได้ขึ้นมาบ้าง เราค่อยมาคุยกัน คุณพรหมรู้ไหมผู้หญิงคนหนึ่งถูกลักพาตัวนานเกือบเดือนเธอเจออะไรมาบ้าง อย่าคัดค้านพู่เลยนะคะ”
“พู่ผม..”

เหมือนน้ำท่วมปากที่เขาไม่อาจจะพูดได้ในเวลานี้ มือสองข้างที่ยกขึ้นมาคล้ายทัดทานตกลงไหล่ลู่ข้างตัว คล้ายกับว่ายอมรับการตัดสินใจของหญิงสาว พู่กันคอแข็งอย่างไม่มีเหตุผล ความเข้าใจผิดทำให้หญิงสาวด่วนสรุปง่ายดายโดยไม่คิดไต่ถามหรือขอความสมัครใจจากชายหนุ่มแม้แต้น้อย

“เริ่มพรุ่งนี้เลยนะคะ”
“นี่พู่จะเอาจริงเหรอ ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะ”

เก็จพรหมเงยหน้าทันควันทักท้วงเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของหญิงสาว และออกจะตกใจเสียด้วยซ้ำกับการตัดสินใจแววตาเด็ดเดี่ยวทำให้รู้สึกขนลุก

“พู่ตลกตอแหลไม่เป็นคะ”

คำพูดขวานผ่าซากที่มักใช้กับก้องภพนำออกมาใช้กับชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยติสเตลิดไปไกล เก็จพรหมรีบยกมือห้ามหญิงสาวก่อนที่จะเข้าใจผิดลุกลามไปใหญ่โต

“เดี๋ยว ๆ ครับพู่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเราครับเนี่ย จู่ๆพู่มาบอกผมว่าขอห่างซักระยะ โดยที่ผมยังไม่รู้ว่าผมผิดอะไรเสียด้วยซ้ำ เราสองคนรักกันมิใช่เหรอครับ พู่อย่าให้คิดฝ่ายเดียวมาตัดสินผมสิ เราควรจะช่วยกันหาความจริงร่วมกันสิครับ ไม่ใช่บอกว่าอยากจะมีเวลาคิดและทำคนเดียวแบบนี้ พู่ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะครับ”
“งั้นคุณพรหมก็บอกความจริงกับพู่สิคะ อย่าให้พู่คิดเอาเอง ถ้าคุณพรหมไม่บอก มันก็ออกมาเป็นแบบที่คุณเห็นนี่แหละคะ อ้อและที่คุณบอกว่าอย่าคิดข้างเดียว คุณพรหมก็เหมือนกันอย่าคิดแทนพู่”
“พู่กัน! สรุปว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ฮะตอนนี้?”
“คุณพรหมรู้แก่ใจดีคะ”
“พู่กัน!”

เจ้าพ่อรีสอร์ทถอนหายใจกับเหตุการณ์ที่ผุดขึ้นมา เขารู้ว่าพู่กันทำฤทธิ์ใส่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย บทจะดื้อแล้วพู่กันไม่คิดจะฟังอะไรเลย กิริยาท่าทางลอยหน้าลอยตาต่อล้อต่อเถียงนั้นนึกอยากจะลงโทษปากบางเสียให้หายเข็ดหลาบ บางเรื่องที่รู้ไม่หมดก็ไม่อยากจะพูดไป มีบางอย่างที่เขายังแคลงใจ  คำบอกเล่าของเบรโต ดูช่างขัดกับสิ่งที่เขาเห็นในวันที่ไปรับพู่กันที่บ้านหลังนั้นโดยสิ้นเชิง หากเนลโลเลวร้ายจริงๆ เขาเชื่อสายตาว่าพู่กันจะไม่มีท่าทีต่อหนุ่มร่างยักษ์แบบนั้นอย่างแน่นอน


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



“เออ ๆ ตามใจ สบายใจเมื่อไหร่ค่อยมาก็ได้”

ก้องภพวางสายแล้วยืนนิ่งเหมือนใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหมุนร่างสันทัดทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้แก้มบุ๋มที่นั่งทำบัญชีของร้านอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วสงสัย
“ใครโทรมาหรือคะคุณก้อง”
“ไอ้พู่ครับ”
“วันนี้พู่กันไม่เข้าร้านอีกแล้วหรือคะ?”
แก้มบุ๋มนิ่งไปนิดก่อนเลียบเคียงถามใคร่รู้ตามประสา

“ฮะ”
ก้องภพพยักหน้าตอบมือยังง่วนกับภาพต่อ

“ไม่รู้เรื่องอะไรนักหนานะคะ ตั้งแต่กลับมาพู่กันเปลี่ยนไปเยอะ หรือว่าทะเลาะกับแฟน?”
แก้มบุ๋มปรายตามองคนรัก ทำทีก้มหน้าสนใจตัวเลข แต่ปากนั้นกลับชวนคุยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

“อืมมม ครับ”
ก้องภพทำเสียงครางในลำคอ แก้มบุ๋มยิ้มที่มุมปากฉกคำถามที่อยากรู้ทันที

“แล้วเรื่องอะไรหรือคะ?”
“อืมมม ฮะ”
ระดับเสียงยังคงทีมือยังปาดพู่กันไปมาบนแผ่นเฟรม

“คุณก้องคะ!”
แก้มบุ๋มเงยขึ้นมองดูคนรักแล้วส่ายหน้าขำที่ชายหนุ่มปล่อยให้เธอพูดอยู่คนเดียว

“ฮะ?”

คราวนี้ก้องภพละสายตาหันกลับมาจ้องหน้าแก้มบุ๋ม สายตากรุ่มกริ่มทำเอาหญิงสาวหน้าร้อนผ่าวเพราะเข้าใจความหมายนั้นดี จึงใช้ฝ่ามือฟาดเข้าที่ต้นแขนชายหนุ่มอย่างลืมตัว พู่กันและจานสีกระเด็นออกจากมือจิตรกรหนุ่มลงบนพื้น สร้างความตกใจให้แก่นักบัญชีสาว แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มระรื่นคว้าหมับที่เอวคอดร่างอวบเอาไว้ไม่ได้ดิ้นหลุดมือไปไหน พร้อมกับซุกหน้าลงบนซอกคอขาวซุกไซร์อย่างคึกคะนอง จากที่ใคร่แค่หยอกเย้ากลับสร้างอารมณ์หวามขึ้นมาทีละน้อยในขณะอีกฝ่ายเนื้อตัวอ่อนเพราะอ่อนประสบการณ์ น้ำมันกับไฟเมื่อใกล้กันแล้วยากที่จะดับได้ ทั้งคู่ยังคงอยู่ในวังวนพิศวาสจนไม่ได้ยินเสียงประตูหน้าร้านเปิดเข้ามา หรือแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดที่ทั้งสองกำลังพลอดรักกันอย่างดูดดื่ม

“ฝากร้านด้วยนะไอ้ก้อง”
“เออ...อะ..เฮ้ย!”
“ว้าย!”

เหมือนแรงประจุขั่วบวกกับบวกวิ่งเข้าหากันทำเอาสองร่างกำลังตกในอารมณ์ห้วงสวาทนั้นเด้งออกจากกันแทบไม่รู้ตัว ก้องภพปรับสีหน้าได้แทบจะทันที ตีสีหน้าเก้อใส่เพื่อนรักที่มองด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนแก้มบุ๋มนั่นไม่ต้องพูดถึงทั้งดึงเสื้อผ้าและผมเผ้าให้คืนสภาพเดิมอย่างเร็วรี่ ทั้งไม่กล้าสบตาติสสาวเพราะขัดเขินนั่นเอง ก้องภพลากแขนเพื่อนรักออกไปอยู่อีกมุมแต่ไม่วายหันไปมองคนรักด้วยความเป็นห่วง เสียงรอดไรฟันออกมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไอ้บ้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง”
“ฉันเนี่ยนะไม่ให้สุ่มให้เสียง เสียงระฆังประตูร้านดังออกซะอย่างนั้น แกอย่ามาแก้เกี้ยวดีกว่า ทำอะไรไม่อายผีบ้านผีเรือนผีร้านมั่งเลย”
“พอ ๆ ๆ ไหนแกว่าจะปลีกวิเวกสักสองสามวัน แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่วะ”
ก้องภพยกมือห้ามติสสาวกำลังจะสาธยายให้ได้เปิ่นไปมากกว่านี้

“ก็กำลังจะไป แต่นึกขึ้นได้ว่าต้องมาเอาของที่ร้านก็เลยแวะมา ใครจะรู้ว่าจะมีฉากอีโรติกให้ดูเสียด้วย คิก คิก”
“ไอ้พู่เดี๋ยวโดนถีบ”
โดนลูกล้อแบบนี้ทำเอาก้องภพทำตัวไม่ถูก ไปไม่เป็นเช่นกัน

“เออๆ ล้อเล่น เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอางานก่อนนะ อีกเรื่องถ้าใครมาถามหาฉันในช่วงสองสามวันนี้นายก็บอกไปว่าไม่รู้ไม่เห็นด้วยเข้าใจไหม”
“ไม่มีปัญหา”

พู่กันเดินตัวปลิวขึ้นไปชั้นสองอีกพักใหญ่ติสสาวเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าย่ามคู่ใจ ก้องภพรู้ว่าข้างในบรรจุไปด้วยเครื่องเขียนอย่างแน่นอน ติสสาวเอ่ยลาเพื่อนรักด้วยสีหน้าเรียบเหมือนกำลังหมกมุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“อย่าลืมเรื่องที่ฉันบอกล่ะ”
“เออ ก็รับปากไปแล้วแกเห็นฉันเป็นคนยังไงวะไอ้นี่”
“อย่าลืมปิดปากแฟนนายด้วยนะ ฉันว่าใช้ไอ้นี่น่าจะได้ผลชะงัด”

พยางค์สุดท้ายติสสาวชี้ไปที่ริมฝีปากก้องภพก่อนจะรีบแจ้นออกจากร้านแทบไม่ทันทิ้งเสียงหัวเราะพลิ้วให้จิตรกรหนุ่มฟังอย่างบาดใจเป็นที่สุด ทันทีที่เดินกลับไปหาแก้มบุ๋มกำลังนั่งหน้าตาแดง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปกุมมือหญิงสาวอย่างปลอบใจ

“ไอ้พู่มันแวะมาเอาของ”
“น่าอายจังเลย แล้วทีนี้พู่กันเค้าจะคิดยังไงคะ”
“ไม่คิดยังไงหรอก พู่กันมันรู้เรื่องของเราแล้ว”
“หมายความว่า...พู่กันเห็นเออ..รูปนั้นแล้วหรือคะ”
“เปล่าครับ ผมบอกมันว่าเรารักกัน มันดีใจใหญ่เลย แถมยังอวยพรให้เรารักกันนาน ๆ เลย”
ก้องภพใส่ไข่เต็มที่ เพื่อความปรองดองของหัวใจและภาพพจน์ของเพื่อนรัก
“พู่กันเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ๆ เหมือนกันนะคะ”
แก้มบุ๋มเอ่ยชมคู่อริของตนด้วยใจปลอดโปร่งและพอจะเริ่มเห็นความดีของติสสาวขึ้นมาบ้างแล้ว ก้องภพยิ้มอยู่ในหน้าก่อนจะยิงให้ตรงประเด็น
“ครับไอ้พู่มันไม่ใช่คนเรื่องมาก แก้มบุ๋มครับถ้าใครถามว่าพู่กันไปไหนก็ตอบแค่ว่าไม่ทราบนะครับ คือเพื่อนผมมันติสแตกอยากปลีกวิเวกสองสามวันฮะ”
“ไม่มีปัญหาคะ ว่าแต่คุณก้องรู้เหรอคะว่าพู่กันเค้าไปไหน”
แก้มบุ๋มทำเนียนหลอกถามเผื่อก้องภพจะหลุดปากบอก
“เออ! นั่นสิ แล้วมันไปไหน”
ตี๋หนุ่มทำหน้าเหวอออกมาหลุดปากถามออกมาอย่างนึกขึ้นได้ตามด้วยเสียงอุทานอย่างไม่เชื่อถือของแก้มบุ๋ม
“อ้าว!”

สองหนุ่มสาวมองหน้ากันสุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าพู่กันไปไหน ทั้งคู่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างขบขันมากกว่าจะมองเป็นเรื่องซีเรียส

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“ทำไมไม่รับสายอีกนะพู่ งานยุ่งหรือยังไงกันแน่?”


นายหัวหนุ่มบ่นน้ำเสียงหงุดหงิด หลังจากที่พยายามโทรหาจนนับครั้งไม่ถ้วนมาสองวัน แต่หญิงสาวไม่เคยรับสาย เธอปล่อยเสียงเพลงรอสายดังจนสายตัดไปทุกครั้งที่เขาโทรหา


“ลองอีกเบอร์แล้วกัน”


เก็จพรหมกดโทรศัพท์ไปอีกเลขหมาย ภาวนาขอให้ติดและมีคนรับสายระหว่างที่รอ ปลายสายดังอยู่นานจนมีเสียงยกหูโทรศัพท์


“สวัสดีคะ ร้านขนมหวานคะ”
“สวัสดีครับคุณป้า ผมเก็จพรหมครับ”
“อ้อคุณพรหม สวัสดีจ๊ะ มีธุระอะไรกับป้าเหรอคะ”
“คือผมติดต่อพู่ที่มือถือไม่ได้ฮะ เผื่อว่าพู่อยู่ตรงนี้ครับคุณป้า”
“ไอ้พู่มันไม่อยู่หรอกคุณ มันไปต่างจังหวัดอีกสองสามวันถึงจะกลับ”
“ไปต่างจังหวัด เออจังหวัดอะไรครับคุณป้า?”
“เอ..ที่ไหนป้าก็ลืมไปแล้วล่ะ เห็นมันพูดอยู่เหมือนกัน ยังไงลองโทรไปหาก้องภพดูสิ ขานั้นเขารู้หมดแน่นอนจ๊ะ”
“ขอบคุณครับคุณป้า เออ... คุณป้าสบายดีนะครับ ตั้งแต่กลับมาภูเก็ตผมยังไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเลย”
“ป้าสบายดี ขอบใจมาก เดี๋ยวป้าขอตัวก่อนนะอบขนมทิ้งไว้จ๊ะ”
“ครับ”
พู่กันไปต่างจังหวัด ไปกับใคร? เก็จพรหมคิดก่อนจะกดเบอร์โทรของก้องภพ เพียงไม่นานปลายสายส่งเสียงขานรับมา

“สวัสดีครับคุณพรหม มีอะไรหรือเปล่าฮะ”
“สวัสดีครับคุณก้อง พอจะรู้ไหมว่าพู่กันเขาไปที่ไหน?”
“อ้าวคุณพรหมก็รู้เหรอฮะว่ามันไปปลีกวิเวก”
“ปลีกวิเวก?”
“อะอ๋อเป็นรหัสเวลาที่ติส ๆ อย่างเราต้องการความเป็นส่วนตัวน่ะฮะ”
“แล้วเค้าไปที่ไหนครับ”
“ไม่ทราบครับ”
“คุณก้องไม่ทราบหรือว่า...”
“เป็นสัตย์จริงครับ มันไม่ได้บอกผมไว้ แล้วทำไมคุณพรหมไม่โทรหามันล่ะฮะ”
“ผมโทรแล้ว พู่กันไม่รับสาย”
“เป็นไปไม่ได้ฮะ งั้นผมขอลองโทรหามันแล้วกัน ยังไงแล้วจะโทรรายงานนะฮะ”
“ขอบคุณครับ”

เก็จพรหมรอสายก้องภพประมาณห้านาที เมื่อชายหนุ่มโทรกลับมายืนยันคำพูดของเขาได้ถูกต้องคือไม่สามารถติดต่อเพื่อนรักได้ และดูเหมือนว่าครั้งสุดท้ายที่โทรพู่กันได้ปิดเครื่องหนีไปแล้ว ก้องภพพูดปลอบใจเจ้าพ่อรีสอร์ท

“คุณพรหมไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพอมันเปิดเครื่องและเห็นหมายเลขที่ไม่ได้รับสายมันก็จะโทรกลับมาเองล่ะครับ ถ้ามันโทรมาหาผมก่อนยังไงผมจะรีบแจ้งให้คุณพรหมทราบและโทรหามันทันที ไอ้นี่เหลียวไหลจริงให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงอยู่ได้”
“งั้นผมฝากคุณก้องด้วยนะครับ”

เก็จพรหมวางสายไปแล้ว แต่ยังไม่ทันไรณารินได้โทรเข้ามาเช่นกัน
“หวัดดีครับพี่หนูนา อย่าบอกนะฮะว่าโทรหาไอ้พู่มันเหมือนกัน”
ก้องภพทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ก็ใช่นะสิยะ พี่โทรหามันจนนิ้วแทบล็อก แต่มันไม่รับสายพี่เลย ก้องรู้เปล่าว่ามันไปไหน”
เสียงแว๊ดๆของพี่หนูนาแผดเข้ามาจนต้องเอามือถือออกห่างหู

“ไม่รู้ครับพี่ มันบอกว่าจะปลีกวิเวก”
รหัสลับที่ไม่ต้องอธิบายต่อ ทำเอาณารินอึ้งก่อนจะถามกลับ
“แล้วมันจะกลับเมื่อไหร่”
“มันบอกว่าสองสามวันฮะ”
“นายนี่ไม่ได้ความจริงๆ เพื่อนไปไหนก็ไม่ถามไถ่เกิดมันไปเป็นอะไรขึ้นมาพวกเราจะรู้กันไหมนี่”

เสียงบ่นมาตามสายทำให้ก้องภพรู้สึกผิดขึ้นมาที่เขาลืมใส่ใจเพื่อนรัก ถ้าหากวันนั้นเขาสนใจพู่กันสักนิดก็คงถามอย่างแน่นอนว่าจุดหมายปลายทางของหญิงสาวคือแห่งหนใด ยิ่งได้ยินเสียงห่วงใจจากรุ่นพี่ยิ่งทำให้ก้องภพจ๋อย

“แต่ไอ้พู่มันน่าจะบอกที่บ้านไว้นะ”
“ถ้าเค้ารู้ฉันจะโทรมาหาแกหรือยะไอ้ก้อง”
หนูนาส่งเสียงแหวเข้าไปในสายอย่างเดือดดาล ด้วยความเป็นห่วงสาวรุ่นน้อง

“คร๊าบ..คร๊าบ เป็นอันว่าไม่มีใครรู้หรือฮะว่าไอ้พู่ไปไหน”
ก้องภพพูดกับตัวเองและดังพอที่จะให้ปลายสายโต้ตอบเช่นกัน

“มันมีความทุกข์แล้วมันไม่เล่าให้ใครฟังแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน เก็บเอาไว้คนเดียวแล้วปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ต้องจับตัวมาเทศนาเสียให้เข็ด”
“ครับผม”
ก้องภพคอย่นไปทันควันเมื่อเจอมุขนี้ของหนูนา เรื่องความเฮี้ยบดุเด็ดเผ็ดมันกับรุ่นน้องโดยเฉพาะรุ่นน้องรหัสสุดรักสุดโปรดอย่างพู่กันแล้วต้องยกให้ณาริน

“ไหนที่แกบอกว่าพู่มันลืมของ แกไปดูซิว่ามันเอาอะไรไปบ้าง”
“คงเป็นพวกอุปกรณ์วาดรูปนั่นแหละครับ ผมเห็นมันเอาย่ามสุดโปรดไปด้วยแต่แปลกแฮะคราวนี้มันไม่ยักเอาเฟรมวาดรูปติดตัวไป เดี๋ยวผมขอไปตรวจข้างบนก่อน”
“เออ ๆ รีบขึ้นไปแล้วโทรมาบอกพี่ด้วย”

ก้องภพเดินสำรวจห้องเก็บอุปกรณ์วาดภาพชั้นสอง ไม่มีอุปกรณ์ไหนพร่องนอกจากกล้องถ่ายรูปที่เคยวางบนชั้นหายไป ที่สำคัญเขาหาคำตอบให้กับทุกคนได้แล้วว่าทำไมพู่กันไม่รับสาย เพราะตรงหน้าเขาเห็นมือถือพู่กันถูกวางไว้แทนที่กล้องถ่ายรูปนั่นเอง ก้องภพตีโจทก์ไว้สองข้อคือหนึ่งพู่กันตั้งใจทิ้งไว้และสองคือลืมจริงๆ ด้วยความที่พู่กันมีนิสัยขี้ลืมเป็นที่หนึ่งนั่นเอง ตี๋หนุ่มหยิบมือถือเพื่อนสาวขึ้นมาดูพบว่าแบตหมดไปเรียบร้อย คนแรกที่ก้องภพโทรแจ้งคือ พี่หนูนา ฝ่ายโน้นโวยวายจนต้องรีบขอตัววางสาย แต่ยังไม่ทันได้โทรหาเก็จพรหมเพื่อรายงานก็มีสายโทรเข้ามาเสียก่อน

“สวัสดีครับ ร้านพู่กันงานศิลป์ครับ”
“ฉันเองก้องภพ”
เสียงใสแจ๋วดังเข้ามาตามสาย เป็นเสียงสวรรค์สำหรับก้องภพทีเดียว ตี๋หนุ่มตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ด้วยความดีใจ

“ไอ้พู่ แกไปอยู่ไหนมา แกรู้หรือเปล่าทุกคนโทรตามแกให้ควัก เมื่อไหร่แกจะกลับวะ”
“แกเพิ่งบอกนี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
เสียงพู่กันหัวเราะพลิ้วอย่างสบายใจ และเลือกตอบคำถามสุดท้าย

“ตอนนี้แกอยู่ไหนวะ สุ่มเสียงดูสดใสมีความสุขจริงแก”
“ลางานมาหาความสุขก็ต้องได้สุขกลับไปสิแก ไม่ต้องเป็นห่วงนะบอกทุกคนเหอะว่าฉันสบายดี แบตเต็มแล้วจะรีบกลับไปลุยงานเต็มที่”
“งั้นค่อยเจอกันนะ พรุ่งนี้ใช่ไหม”
“ฮื่อพรุ่งนี้ แค่นี้นะแกเหรียญฉันหมดแล้ว”
“เดี๋ยวขอถามอีกข้อสิ”
ก้องภพรีบท้วงก่อนพู่กันวางสาย
“อะไร?”
“มือถือแกไปไหน ทำไมไม่ใช้มือถือโทรมา”


คำถามคาใจจุดรอยยิ้มคนถูกถาม พู่กันส่งยิ้มไปรอบๆ ตัว ข่มใจไม่ให้ปล่อยเสียงหัวเราะก่อนจะตอบเสียงเรียบๆกลับไปเสมือนของหายเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ

“ฉันคงทำหล่นหายไปที่ไหนสักแห่งแล้วล่ะ แต่ก็ดีแล้วมันทำให้ฉันมีความสุขที่ได้พักอย่างเต็มที่”
“เออ ๆ รีบกลับมานะโว้ยแก ไอ้พู่ ฉันคิดถึงแกจริงๆ ว่ะ”

ก้องภพไม่รู้ว่าประโยคสุดท้ายพู่กันจะได้ยินหรือไม่เพราะเสียงโทรศัพท์ตู้ตัดสัญญาณไปแล้ว นึกเสียดายที่เบอร์โทรเข้ามาไม่โชว์เบอร์ไม่งั้นเขาก็ได้รู้แล้วว่าจังหวัดไหนที่พู่กันไปชาร์จแบตกันแน่ สายตัดไปแล้วพู่กันยังยิ้มอยู่กับคำพูดประโยคสุดท้ายของเพื่อนรักไม่ได้

“ฉันก็คิดถึงแกโว้ยไอ้ก้อง ขอโทษละกันที่ปดว่ามือถือหาย ฉันแค่ตั้งใจลืม”
“เสร็จแล้วหรือครับพี่พู่”

เสียงเล็ก ๆ อยู่ข้างตู้โทรศัพท์ ทักขึ้นเมื่อเห็นพี่คนสวยวางสายไปเรียบร้อยแล้ว พู่กันก้มดูเด็กชายเจ้าของเสียงก่อนจะยกมือลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู

“เสร็จแล้ว เรากลับรีสอร์ทกันเถอะ”
“พี่พู่ถ่ายรูปไปทำไมเยอะแยะครับ”

พู่กันมองดูเด็กน้อยที่เสมือนเป็นยาขนานเอกในการหลบมาชาร์จแบตในครั้งนี้ น้องเดี่ยว เด็กชายในภาพวาดที่เธอนึกเอ็นดูมาตลอด เป็นเด็กชาวบ้านธรรมดาแต่เป็นเพื่อนคนเดียวในเวลาที่เธอกำลังเบื่อทุกอย่าง

“พี่ก็อยากเก็บภาพวันเวลาดี ๆ พวกนี้เอาไว้นะสิ”
“มาคนเดียวแล้วจะดีได้ยังไงกันฮะ ไม่มีคนคุยด้วย”
“อ้าวก็จะได้รู้สึกสงบ และคิดอะไรได้เยอะ ๆ ไงจ๊ะ”
“คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายไม่ใช่เหรอครับพี่พู่”
“พี่ก็มาหาเอาข้างหน้า อย่างเดี่ยวไง พูดมากจริงเรา ตามมาเร็ว ๆ”

เพื่อนสองวัยคนหนึ่งสาวร่างบางวัยยี่สิบห้ากับเด็กชายอายุสิบเอ็ดปี กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปขึ้นรถบัสที่ส่งเสียงเรียกลูกค้าอยู่ไม่ไกล พู่กันมาที่นี่พกพาความรู้สึกเบื่อโลกใบนี้ และที่นี่ทำให้เธอได้เจอน้องเดี่ยวอีกครั้งเพราะแม่ของน้องเดี่ยวเป็นพนักงานในรีสอร์ทที่เธอเข้าพักนั่นเอง

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


แอบเอาตอนยี่สิบแปดมาเรียกน้ำย่อย.....
เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ..

ตอนที่ยี่สิบแปด....


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


ปริ๊นนนน.....
เสียงแตรรถจากหน้าบ้านบ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้ขับขี่เป็นอย่างดี เก็จมณีสบตาเก็จแก้วที่นั่งดื่มชาอยู่กับมารดา สองสามวันมานี้อารมณ์ของนายผู้ชายของบ้านอารมณ์บ่จอยทำเอาทุกคนในบ้านอึดอัดไปด้วย คงจะมีประมุขของบ้านเท่านั้นที่มองปัญหานี้จิ๊บ ๆ ๆ ........




Create Date : 01 กรกฎาคม 2555
Last Update : 2 กรกฎาคม 2555 10:31:47 น.
Counter : 1609 Pageviews.

8 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสยี่สิบหก

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


สาวติสมาแล้วหลังจากหายยยไปเดือนเต็ม ๆ ๆ
เอามาให้อ่านให้อิ่มอีกครั้ง




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
ติสที่ยี่สิบหก


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚



“พู่จ๋า....พู่กลับมาแล้ว.....คิดถึงจังเลย”

เสียงหวานมาพร้อมกับเจ้าของร่างที่โถมเข้ากอดจนรับแทบไม่ทัน สาวร่างเล็กกอดรัดติสสาวเอาไว้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก แก้มใสนั่นเอง

“สวัสดีแก้มใสมายังไงกันเนี่ย”
พู่กันถามและพยายามดึงตัวออกจากแขนเล็กที่เกาะเหนียวเป็นตังเม

“ความคิดถึงพามา”
เสียงหวานพลิ้วบอกอย่างรื่นรมย์

“เวอร์เซี๊ยะ”

เสียงแหลมจากด้านหลังสอดขึ้นหลังคำตอบเสี่ยวๆของแก้มใส พู่กันหันตามเสียงเจอแก้มบุ๋มยืนกอดอกมองดูอยู่ ติสสาวพยายามแกะเรียวแขนเล็กของอีกฝ่ายเปรียบความเหนียวเหมือนตีนตุ๊กแกไม่มีผิด ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆให้เพื่อนสาวที่ไม่ค่อยกินเส้นกันมากนัก คิ้วเรียวเลิกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องแปลกที่แก้มบุ๋มมาที่ร้านของเธอ ตากลมโตสอดส่ายหาก้องภพ

“วันนี้สาวๆมีธุระแถวนี้หรือไงกัน”

พู่กันทักแก้เก้อเมื่อไม่ประสบผลสำเร็จเรื่องทำตัวให้อิสระได้ แถมยังเป็นเป้าสายตาให้แม่พี่สาวของแก้มใสมองไม่วางตาอีก

“เปล่าหรอกจ๊ะ แก้มใสโทรไปที่บ้าน จึงรู้ว่าพู่อยู่ที่ร้านพวกเราเลยรีบมาหา”
แก้มใสตอบหลังจากที่ยอมคลายวงแขนแต่เปลี่ยนไปจับมือเอามากุมไว้แทน

“มาหาฉัน? มีธุระอะไรกับพู่เหรอ? เธอด้วยเหรอแก้มบุ๋ม”
“ฮื่อ”
คำตอบแก้มบุ๋มอยู่ในลำคอ มีสีหน้าเรื่อ

“ฮื่อ?”
พู่กันทวนเสียงสูง เลิกคิ้วมองท่าทางเขินๆของแก้มบุ๋ม

“สงสัยก้องภพปากยื่นปากยาวอีกตามเคย ทำให้พวกเธอต้องเสียเวลามาถึงที่นี่”

พู่กันเอ่ยไปถึงความเจ๋อของเพื่อนรัก เที่ยวตะเวนโพนทะนาบอกคนไปทั่วว่าเธอกลับมาแล้ว แค่วันนี้เธอต้องต้อนรับทั้งทางโทรศัพท์และมาที่ร้านไม่ขาดสาย

“แหมไม่เจอพู่เป็นเดือน พวกเราก็คิดถึงสิ พอรู้ว่ามาถึงเมืองไทยแล้วก็ต้องรีบมาหาสิคะ ว่าแต่แก้มใสชักน้อยใจแล้ว มาก็ไม่บอกกันถ้าไม่ทราบจากคุณก้องพวกเราก็ไม่รู้เลยสิเนี่ย”

แก้มใสสะบัดเสียงน้อยอกน้อยใจตัดพ้อติสสาวเล็กๆ ดุจคู่รักมีแง่งอน พู่กันเห็นอาการเหล่านั้นแล้วอดขำไม่ได้ แม้จะตะขิดตะขวางใจบ้าง รอยยิ้มบางกระตุ้นให้ลักยิ้มทำงานที่มุมปาก

“พู่เกรงใจ ไม่ได้สำคัญอะไร แทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นต้องมาถึงร้าน ความจริงถ้าพู่ว่าง แล้วค่อยไปเยี่ยมที่บ้านก็ได้”
“เชอะทำเป็นพูดดี ทำตามที่พูดให้ได้เหอะ”
แก้มบุ๋มเอ่ยแทรกตามเคยเพราะรู้ว่าติสสาวไม่มีทางไปหาพวกเธอที่บ้าน

“แล้วกัน อย่าแขวะกันสิ เอ.. ว่าแต่ไอ้ก้องมันไปไหนหว่า ทำไมไม่มาช่วยรับแขก”

สาวติสขำกับท่าค้อนประหลับประเหลือกของแก้มบุ๋มไม่ได้ ก่อนจะเสพูดไปเรื่องอื่นแทน

“แขกที่ไหนกันจ๊ะพู่ พวกเรามาที่นี่บ่อยจะตาย”

แก้มใสแย้งคล้ายอวดความสัมพันธ์ระหว่างที่ติสสาวไม่อยู่ ทุ้งแขนใส่พี่สาวของตนที่ยืนตีหน้าไม่ถูกข้างตัว พู่กันกระพริบตาเมื่อรู้การพัฒนาการของแก้มใสกับก้องภพตามที่เธอคาดหวัง

“เหรอ งั้นช่วงที่ฉันไม่อยู่ ไอ้ก้องมันก็ไม่เหงาล่ะสิ”
“ชัวร์วะ นี่ๆคำว่าเหงาสะกดยังไง ฉันนึกไม่ออกเลยไอ้พู่”

สามสาวหันตามเสียงห้าวของก้องภพ หนุ่มตี๋หน้าหยกหยักคิ้วให้พู่กันส่งยิ้มให้สองสาวแขกประจำร้าน

“ถึงว่าสิ หน้าตามันแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน”

พู่กันบ่นงึมงำแบบขำๆ ไม่ทันสังเกตว่าแก้มบุ๋มหน้าแดงออกอาการเขินยามสายตาคมปลาบของก้องภพจ้องมา

“พู่จ๋า สงสัยกับข้าวที่โน่นคงอร่อยแน่ๆเลย”

แก้มใสหันมาใส่ใจกับร่างบางที่ดูมีเนื้อขึ้นมาบ้างด้วยการหมุนร่างบางไปมาอย่างสำรวจโดยสองหนุ่มสาวต่างรอฟังคำตอบของพู่กัน ติสสาวก้มมองตัวเองกลั้วหัวเราะตอบขำๆ

“สงสัยจะหนักนมเนยไปหน่อย”
“แหมคงจะแฮ๊ปปี้ตลอดทริปสิคะ อิจฉานะเนี่ย รู้งี้ขอติดสอยห้อยตามไปด้วยก็ดี”

เสียงพูดเรื่อยๆของแก้มใสอย่างไม่คิดอะไร ติสสาวชะงักเล็กน้อย มีเพียงก้องภพเท่านั้นที่ทันเห็นรอยหมองในดวงตากลมโต มุมปากโค้งเยาะยิ้มหยันตัวเอง ตี๋หนุ่มมองท่าทางเพื่อนรักอย่างเป็นห่วงจึงรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วลากแขนติดมือไปทางหลังฉาก ปล่อยให้อีกสองสาวหันมองตามอย่างไม่เข้าใจ

“เออ ๆ พู่ๆ ฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันต้องการความเห็นของแกพอดี ว่าสีที่ฉันลงมันหนาหรืออ่อนเกินไปวะ”
“อะไรกันแก ค่อยๆก็ได้ อะไอ้นี่..ดูดิ ลากถูลู่ถูกังไปได้”
ติสสาวโวยวายเมื่อตัวเซหลุนๆ ไปกับแรงลากของเพื่อนรัก

“เออๆ ขอโทษวะ แต่ฉันกลัวลืมนี่หว่า”
พู่กันลอบมองหน้าเพื่อนหนุ่มอย่างซาบซึ้งที่อาทรความรู้สึกของเธอ ปากก็ถามถึงงานที่เพื่อนหนุ่มพูดขึ้น

“ไหนภาพไหนของแกวะ”
“เฟรมซ้ายมือไง”
เฟรมรูปสองเฟรมวางคู่กัน โดยที่เจ้าของภาพมันมองหาจานสีและพู่กัน

“รูปนี้ใช่ไหม ฉันเปิดเลยนะ”
พู่กันชี้ไปเฟรมด้านซ้ายมือของตัวเอง ก้องภพพยักหน้าส่วนตัวกำลังก้มดูอุปกรณ์สี

“อะ!”
เสียงอุทานหยุดกึกไว้ในลำคอ ตากลมโตเบิกกว้างอ้าปากค้างกับรูปที่เห็น ก้องภพเงยหน้ามองเพื่อนสาวเมื่อเสียงเงียบไม่วิจารย์ภาพเหมือนเคย

“เฮ้ย”
ก้องภพอุทานรีบตะครุบคลุมผ้าปิดเฟรมไว้เช่นเดิม อาร์ทตัวแม่หายจากตะลึงหันขวับมองหน้าเพื่อนรักเขม็งสลับกับเฟรมที่เพิ่งปิดไปหมาดๆ แววตาขลาดของก้องภพตอบโต้บนใบหน้าที่แดงก่ำ

“แกไอ้ก้อง..ไอ้...”
พู่กันเสียงสั่นสะกดอารมณ์พุ่งปริ๊ด มองอย่างผิดหวังและคาดไม่ถึง ก้องภพยกมือห้ามและปฏิเสธเสียงหลง

“ไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิดนะเว้ย ไอ้พู่”
“แล้วแกรู้เหรอว่าฉันคิดอะไรห๋า”
“ก็..อย่างที่แกคิดนั่นแหละ”
ก้องภพเอาสีข้างเข้าถูหลบตาเพื่อนสาวที่จ้องเขม็ง

“แกอย่าบอกนะเว้ย...ว่า..แก..กะ..”
“โน ๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้น ฉันเอาหัวเป็นประกัน”
“เรื่องของแกไม่เกี่ยวกับฉัน ทำอะไรก็รับผิดชอบเอาเอง”

พู่กันค้อนขวับแล้วเมินหน้าหนี เพื่อหลบหน้าที่ร้อนเธอรู้ว่ามันต้องแดงแจ๋ไม่น้อย แม้เธอจะเคยดรออิ้งค์หุ่นคนจริงมาก็เยอะแล้ว แต่สำหรับภาพที่ถ่ายทอดความรักของคนใกล้ตัวแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย

“มันก็เหมือนเราเสี่ยงทายนั่นแหละแก”
ก้องภพพูดให้กำลังใจตัวเองและเพื่อนรักให้มองทะลุเห็นความจริง

“เสี่ยงถูกตบก่อนนะสิ ”

พู่กันส่ายหน้า เธอเริ่มปลงเมื่อเจอกับเรื่องที่คาดไม่ถึงในระยะหลัง เธอหวังจะให้ก้องภพจีบแก้มใสกลับเป็นแก้มบุ๋มไปซะนี่ที่พิชิตใจเพื่อนสุดเลิฟของเธอ พู่กันถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเธอต้องถูกแก้มใสตอแยไปอีกนาน ก้องภพตบบ่าบางพอรู้ความคิดของเพื่อนสาว ไม่วายขอคำมั่นเรื่องภาพที่เห็น

“แหงล่ะ ว่าแต่แกอย่าปากยื่นไปนะเว้ยฉันสัญญากับเค้าไว้แล้วว่าจะไม่บอกใคร”
“มันเรื่องของพวกแก โตๆกันแล้ว ว่าแต่เสร็จแล้วใช่ไหมรูปนี้ แกเอาไปเก็บไกลๆ เลยไป ของแบบนี้ใครเขาเอาวางเรี่ยราด ให้เกียรติ์ฝ่ายหญิงบ้าง”

ติสสาวดึงผ้าคลุมอีกเฟรมออกดูเห็นภาพสีน้ำมันท้องทะเลในยามที่อาทิตย์กำลังจะตกขอบน้ำ เป็นภาพที่เจนตาในข่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เรียวนิ้วไล้บนสายน้ำกระพริบระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์อัศดง สองสาวเดินมาหยุดยืนด้านหลังพู่กัน

“อาทิตย์หน้าพู่คงหายเหนื่อยแล้วเนอะ”
แก้มใสเปรยขึ้นมา แววตาสดใสมองติสสาวอย่างเปิดเผยความรู้สึก

“ฮื่อ”

พู่กันพยักหน้าแทนคำตอบ ตากลมโตเบนไปหาแก้มบุ๋มแววตาใสสว่างมากขึ้น แก้มใสขยับเข้าชิดยื่นหน้าแทบชิดแก้มเนียนประจบติสสาวด้วยกิริยาน่ารัก

“อาทิตย์หน้าเป็นวันทะเลโลก พี่ตรีจัดทริปไปเกาะหินแพกัน พู่ไปด้วยกันนะ”
“ยังไม่แน่ใจ พู่มีงานค้างอยู่หลายชิ้น ..”

พู่กันตอบน้ำเสียงเอื่อยกำลังคิดถึงจำนวนงาน ตาโตหลุบต่ำซ่อนบางอย่างไว้ใต้ปีกผีเสื้อ แก้มบุ๋มลอบสังเกตอาการหงอยๆของติสสาวแล้วส่ายหน้าเห็นอาการเงียบๆแบบนี้เหมือนไม่ใช่ท่าทีของพู่กัน ปกติแล้วแค่ได้ยินว่าออกทะเลแววตาใสจะเต้นระริกและโต้ตอบร่าเริงให้รู้ว่าไม่มีพลาดอย่างแน่นอน

“แก้มใสอย่ากวนพู่กันเค้าสิ ไปซะนานแบบนี้งานคงเยอะอาจจะต้องเคลียร์งานหัวฟูเลยก็ได้นะ”

แก้มบุ๋มท้วงน้องสาว จนพู่กันต้องหันตามเสียงอาทรจากคนที่ไม่ค่อยกินเส้นกัน มุมปากหยักโค้งคิดในใจว่า เออหนอความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้

“เปล่าหรอก เออ..อ่า.. พู่กำลังคำนวณเวลาว่าจะเสร็จทันไปไหมก็เท่านั้นเอง”
“แก้มใสอยากให้พู่ไปนี่นา เราไม่ได้ทำกิจกรรมด้วยกันนานแล้ว ถ้าไม่มีพู่ไปจะสนุกอะไร”
แก้มใสก้มหน้าพูด น้ำเสียงเว้าวอนจนพู่กันยกมือตบไหล่บางเบา ๆ

“เอาเป็นอันว่าพู่จะรีบเคลียร์งานก็แล้วกัน แต่ไม่รับปากถ้าหากมันไม่เสร็จจริง ๆ “
“ถ้าเป็นแบบนี้เราควรปล่อยให้พู่กันทำงานเต็มที่ มัวแต่ชวนคุยอาจจะไม่ได้ไปนะ”
แก้มบุ๋มชิงพูดขู่น้องสาวและเห็นสีหน้าอึดอัดของพู่กัน

“ก็ได้ ๆ ถ้างั้นพวกเรามาเอาใจช่วยพู่กันให้ทำงานเสร็จไว ๆ”

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚

ร่างบางเหม่อมองดูเรือนเพาะชำกล้วยไม้ของพ่ออย่างไร้จุดหมาย หลายวันมานี้นับจากที่กลับเมืองไทย มีบางสิ่งที่รบกวนสมาธิการทำงานของเธอแกว่งไปแกว่งมา ในหัวมีแต่คำถามเดิมๆวนเวียนอยู่เต็มไปหมด คำตอบที่เธอพยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ คนรอบข้างทำตัวเป็นปกติแต่เธอรู้ว่ามันไม่ปกติ ยิ่งทุกคนทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอหงุดหงิด สมาธิทำงานไม่มีสุดท้ายคืออารมณ์ฉุนเฉียว ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจพาลอารมณ์เสียใส่ก้องภพเสียก็หลายหน และวันนี้ก็เช่นกันงานที่รับมาไม่สามารถทำได้ในที่สุดต้องถูกเพื่อนรักจับใส่รถแล้วขับมาส่งที่บ้าน

“นี่ไอ้พู่ แกต้องพัก และเลิกคิดเรื่องบ้าๆ นั่นเสียทีชีวิตมันต้องดำเนินโว้ยแก”
“เออ ฉันรู้น่า ขอบใจว่ะที่เข้าใจและก็ขอโทษด้วยที่ทำให้แกเสียเวลา แกกลับไปทำงานต่อได้แล้ว”
“แกอยู่คนเดียวได้นะ”
“บ้านฉันนะแก ไปได้แล้ว”
“มีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน อ้อ ทำไมแกไม่คุยกับคุณพรหมให้รู้เรื่องไปเลยวะ เผื่อว่า..”
ก้องภพได้โอกาสชี้แนะ กลับกลายเป็นเติมเชื้อติสให้เพื่อนสาว

“นี่แกยังไม่เห็นหน้าฉันอีกเหรอ ดูนี่ หน้าฉันบอกว่าฉันไม่เคลียร ทั้งสเตตัสและหน้าฉันบอกว่า มันไม่เคลียร”

พู่กันแว๊ดใส่ก้องภพเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เธออารมณ์ปริ๊ดขึ้นได้อีก

“เออ ติสเตลิดแล้วแกงั้นฉันไปก่อนนะ งานยังไม่เสร็จเดี๋ยวลูกค้ามาจะมารับตามนัดแล้ว”

ก้องภพเดินส่ายหน้าจากไป เขาอยากจะปลอบใจเพื่อนสาวอยู่หรอกแต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์พู่กันต้องการยาขนานเดียวคือการที่ได้รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดซึ่งเขาไม่สามารถบอกเล่าอะไรได้เพราะไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด

“ฉันแค่อยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ”
พู่กันพึมพำตามหลังเจ้าเต่าแก่ที่ก้องภพขับออกไป...

พู่กันถอนหายใจเพื่อล้างความสับสน ตากลมโตจ้องดูเอกสารที่เธอนำกลับมาด้วย น่าแปลกใจที่เธอรู้สึกผูกพันกับคนบ้านนั้น ทั้งๆที่สื่อสารกันแทบจะไม่เข้าใจนอกจาก เนลโลกะเลญ่าแล้วเธอแทบไม่ได้เสวนากับใคร นอกจากส่งสายตาปริบๆและยิ้มแห้งแล้งตามประสาของคนที่สื่อสารกันไม่เข้าใจกัน พู่กันหยิบภาพวาดแต่ละชิ้นขึ้นมาพิจารณา คลี่ยิ้มบางที่มุมปาก ฝีมือของลูกศิษย์ตัวโข่งของเธอนั่นเอง ติสสาวหยิบกระดาษสีแปลกตาพลิกดูหน้าหลังคิ้วบางย่น เธอไม่เคยใช้กระดาษลักษณะนี้มาก่อน นิ้วเรียวเล็กคลี่เปิด ตัวอักษรเรียงเป็นระเบียบความยาวราวเกือบหน้ากระดาษ สายตาไต่รวดเดียว ลงท้ายชื่อเอาไว้ “ เนลโล” พู่กันกระพริบตาในขณะที่สมองทำงานว่า นายตัวยักษ์นั่นยัดมันไว้ในซองเอกสารของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สายตาไต่ไปกับตัวอักษร เสียงหัวเราะกร่อยในลำคอ มันเป็นภาษาที่เธอไม่ค่อยจะเข้าใจถ่องแท้ ตัวช่วยใช่เธอต้องหาตัวช่วย คนแรกทีเธอนึกถึง “เก็จพรหม” แค่นั้นพู่กันต้องทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เธอเพิ่งทำติสแตกใส่น้องชายเพื่อนของพี่หนูนาเมื่อวานนี้เองแล้วเธอจะมีหน้าให้เค้ามาช่วยได้ไง รอยยิ้มหมิ่นบนปากบางเมื่อนึกถึงสาเหตุของการงอนของตัวเอง

。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚

“ทำไมผมจะไปเมืองไทยไม่ได้ เพราะอะไร”

เบรโตพรวดพราดลุกขึ้นจากเก้าอี้หันมาเผชิญหน้าอังวาห์ที่นั่งไขว่ห้างทอดตามองด้วยสายตาปกติผิดกับน้องชายอย่างลิบลับ หน้าอันหล่อเหลาเครียดพอๆกับคิ้วเข้มที่เคยอารมณ์ดีเป็นนิจนั้นขมวดเข้าหากัน ประมุขของบ้านถอนหายใจเบา ๆ ไม่บ่อยครั้งที่อาการหงุดหงิดจะปรากฏให้เห็น เพราะเบรโตเป็นคนสุขุมคิดก่อนทำเสมอ นี่คงเป็นเพราะอารมณ์ที่หลุดจากการควบคุม

“เพราะพี่ไม่อยากให้นายไปรบกวนเธอผู้นั้นอีกนะสิ”
“ห๊ะ! อะไรนะพี่คิดว่าผมจะไปหาใครเหรอ”
เบรโตหลบตาพี่ชายถามกลับไปด้วยเสียงแข็ง

“แล้วใครล่ะที่นายอยากไปหา ปล่อยให้เค้าใช้ชีวิตปกติเหอะน้องพี่”
“เฮอะ...พี่พูดเหมือนกับว่าผมจะกำหนดชะตาชีวิตของใครต่อใครได้อย่างนั้นแหละ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงป่านนี้ผมคงเป็นผู้วิเศษ ชี้นิ้วสั่งให้ใครต่อใครเป็นนั่นเป็นนี่ได้หมดแล้วสิฮะ แต่ตัวผมเองก็คงไม่มาอยู่ในสภาพนี้อย่างแน่นอน”

เบรโตเอ่ยประชดด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อังวาห์มองน้องชายคนเดียวของเขานิ่งเกือบนาทีเพราะเจ็บจุกกับคำพูดที่หลุดจากความรู้สึกแท้จริงนั่นเอง

“ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่รอให้นายรักนะ ผู้หญิงคนนั้นเขามีเจ้าของแล้ว”
“ยังฮะ เค้ายังไม่ได้แต่งงานกัน ผมยังมีสิทธิ์”

“แต่เค้าไม่ได้รักนาย”

เสียงเรียบเอ่ยติงผู้เป็นน้อง พร้อมทั้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเบรโต โดยลืมไปว่าครั้งหนึ่งตัวเขาก็ทำตัวเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ยัง แต่ถ้าได้ทดลองอยู่ด้วยกัน ผมเชื่อว่าผมจะชนะใจเธอ”

เบรโตพูดอย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ใส่ใจหน้าตึงของพี่ชาย เวลาที่จะดื้อก็ฉุดไม่อยู่เหมือนกัน

“ไม่ได้! พี่ให้นายไปไม่ได้ หยุดเสียทีเบรโต หยุดทำร้ายผู้หญิงแบบนี้เสียทีได้ไหม?”

เสียงดังกึกก้องอย่างหมดความอดทน เบรโตหันกลับมามองหน้าอังวาห์สายตาที่เปล่งประกายแววเยาะหยันเมื่อได้ยินคำสั่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากพี่ชาย มุมปากเหยียดตรงราวกับถากถางสายตาที่มองเหมือนจะเข้าใจตัวเขาเสียเต็มประดา

“พี่คิดแบบนั้นหรือฮะ”
“ก็ใช่สิ นายจะบังคับให้คนอื่นเค้ารักนายไม่ได้”
“งั้นหรือฮะ”

เบรโตก้มลงซ่อนแววตากร้าวระหว่างถามกลับ เนื้อตัวชายหนุ่มสั่นไหวกระเพื่อมแรงขึ้นเรื่อยๆจนเสียงหัวเราะระเบิดออกมาอย่างสุดกลั้น อังวาห์ถึงกับอึ้งได้อีกครั้งที่เห็นสภาพหัวเราะบ้าคลั่ง และเสียงหัวเราะกลับหยุดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยตาคมซึ้งที่เคยหว่านให้สาวใหญ่สาวน้อยได้ลุ่มหลงนั้นแข็งกร้าวราวกับคั่งแค้นจนทนไม่ไหว

“ฮะ ๆ ๆ ๆ มหาเศรษฐีผู้ต้องการอะไรก็ต้องได้ ครั้งหนึ่งบัญชาให้ใครต่อใคร เสาะหา กระชาก ช่วงชิง อิสตรีงามทั่วทุกระแหงเพียงแค่เพราะอยากได้และสนองความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด บนท่ามกลางเสียงสาปแช่งก่นด่า เสียงร้องไห้ของผู้หญิงและคนรักเหล่านั้น แต่ตอนนี้กลับบอกผมว่า นายจะบังคับให้คนอื่นรักนายไม่ได้ ฮะ ๆ ๆ ๆ ทำไมผมเป็นน้องพี่ ทำไมผมจะทำไม่ได้ พี่เคยทำได้ ผมก็ต้องทำได้บ้างสิ น้องชายของราชาเหมืองเพชรใครจะขัดขวางได้ล่ะฮะ”

“เบรโต นี่หมายความว่ายังไง”
อังวาห์ครางอยู่ในลำคอประหนึ่งปวดแสบปวดร้อน

“ผมก็หมายความตามนั้น พี่กลัวว่าผมจะไปยุ่งกับพู่กันครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ต้องการของพี่ ทำไมฮะ ถ้าผมบอกว่าผมไปเพราะผมรักเธอ”

เบรโตโต้กลับด้วยน้ำเสียงกร้าวไม่เข้ากับประโยคหลังที่พูดออกมา และมิได้สร้างความแปลกใจให้แก่อังวาห์แม้แต่น้อย และได้ยืนยันเจตนาเดิม

“พี่ไม่ให้นายไป”

อังวาห์มิได้พูดเปล่าหากแต่โชว์พาสปอร์ต เบรโตตาลุกกำมือจนเส้นเอ็นปูดโปน แค้นใจที่รู้ว่าเป็นเบี้ยล่างพี่ชายจนได้ ตะโกนใส่หน้าพี่ชายสีหน้าแดงก่ำนั้นน่ากลัวว่าถ้าอารมณ์ขาดผึงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

“พี่ค้นห้องผม?”
“ฉันไม่อยากให้นายเดินทางไปไหนในระหว่างนี้”
อังวาห์ไหวไหล่มิได้เกรงกลัวอารมณ์โกรธของผู้เป็นน้องแต่อย่างใด

“ทำไม แค่ผมจะไปหาคนที่ผมรัก ผมคิดถึงเธอ ทำไมผมจะไปหาพู่กันไม่ได้”
เบรโตให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงดุดัน ยืนยันเจตนารมณ์เดิมของตน

“ก็เพราะว่านายไม่ได้รักเธอจริงๆ นะสิ นายแค่คิดว่ารักเธอ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ นายไม่ได้รักสาวไทยคนนั้นแม้แต่น้อย ”

อังวาห์ตอบเสียงเข้มขรึม ตามองน้องชายคนเดียวด้วยความเวทนามากกว่าโกรธเคืองที่กิริยาที่ไม่เคารพเขาแต่อย่างใด ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นหย่อนพาสปอร์ตทั้งหมดลงกระเป๋าเสื้อ เบรโตก้าวเข้าขวางเพราะเขาต้องการพาสปอร์ต อ้อนวอนอังวาห์ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“คืนพาสปอร์ตให้ผม ผมต้องใช้มันจริงๆครับพี่”
เบรโตข่มใจพูดน้ำเสียงลึกลงลำคอ พยามสะกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้อย่างสุดกลั้น

“นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นเบรโต นายต้องอยู่ที่นี่”
อังวาห์ชี้หน้าน้องชายยืนยันด้วยเสียงแข็ง สีหน้าเริ่มเครียดจริงจัง แน่นอนเขาต้องปรามน้องชายสุดหล่อให้อยู่หมัดก่อนจะมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น

“โธ่โว้ย ผมโตแล้วนะ พี่อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ เป็นนักโทษไปได้”
“นายเป็นมากกว่านั้นเบรโต เนลโลออกมาได้แล้ว”

สิ้นเสียงประกาศิต เบรโตหันไปตามสายตาผู้เป็นพี่ เจอกับร่างยักษ์ของเนลโลเดินหิ้วคอสมุนสองสามคนของตัวเองออกมาด้วย แรกสายตาอาฆาตที่เห็นหน้าหล่อเหลาของมัจจุราชหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นตกใจและคาดไม่ถึงว่าจะมีคนอีกหลายคนซ่อนอยู่หลังฉากระหว่างที่ตัวเขาคุยอยู่กับอังวาห์

“นี่มันอะไรกันฮะ พี่เอาไอ้พวกนี้เข้ามาทำไม เนลโล...แกปล่อยคนของฉันเดี๋ยวนี้นะ”

เบรโตแผดเสียงใส่คู่ปรับ ตั้งท่าพร้อมจะทะยานเข้าหาได้ทุกเมื่อติดที่ยังเกรงใจพี่ชายที่ยืนขวางทางเขาไว้อยู่ ส่วนเนลโลยักคิ้วใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน รอยยิ้มกวนๆช่างบาดตาของมัจจุราชหนุ่มทำเอาเลือดในตัวของเบรโตเดือดปุดๆ ยิ่งเมื่อนึกถึงคราวที่ทำร้ายไม่รู้ตัวแถมช่วงชิงเอาพู่กันตัดหน้าเขาไป มิเช่นนั้นป่านนี้พู่กันก็คงอยู่กับเขาที่นี่แล้ว

“ฉันบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินเหรอ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ให้ไอ้นี่ไปจับคนของผมแถมยังเข้าไปค้นห้องผม และยึดพาสปอร์ตไม่ให้ผมไปไหน ไอ้บ้าเนลโลมันฟ้องอะไรพี่ พี่เชื่อมันมากกว่าน้องพี่งั้นเหรอ”

เบรโตเหมือนจะคุมสติไม่อยู่ เริ่มออกอาการพาลฟาดหัวฟาดหางใส่อังวาห์ สายตาที่มองเนลโลบอกถึงความโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด อังวาห์มองผู้เป็นน้องด้วยความสงสารนี่ถ้าจุมพิตาไม่พูดอะไรให้เขาเริ่มระแคะระคายและหาความจริงด้วยตัวของเขาเองก็จะไม่รู้เลยว่าน้องชายของเขาจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚




Create Date : 24 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 มิถุนายน 2555 23:27:28 น.
Counter : 1741 Pageviews.

3 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส ติสยี่สิบห้า




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚
ติสยี่สิบห้า


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚

บนนกเหล็ก.....
พู่กันเหม่อมองออกนอกหน้าต่างเห็นปีกเหล็กนกยักษ์ทะยานอยู่กลางท้องฟ้า เมฆบางเบาแหวกว่ายบางกลุ่มก้อนดูหนาตา ดูไปแล้วช่างเหมือนตัวเธอเสียเหลือเกิน สามอาทิตย์ก่อนหน้านี้เหมือนอยู่ในวังวนความคิดว่าจะออกไปจากที่บ้านหลังนั้นได้อย่างไรกัน แม้ไม่ถูกทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ ข่มเหงจิตใจแต่อย่างไร เหมือนกำลังพักร้อนมากกว่าเพราะมีอะไรมาให้ได้ทำตลอดเวลา ได้เห็นยิ้มบริสุทธิ์ ได้ยินเสียงหัวเราะสดใส เป็นสิ่งที่เธอเคยอยากมีมาตลอด มีน้องสาว มีพี่ชาย และการได้อยู่ท่ามกลางรายล้อมไปด้วยเด็ก ๆเป็นช่วงเวลาที่เธอชื่นชอบนักหนา สร้างความผูกพันโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงตรงนี้ดวงหน้าหวานเผลอยิ้มให้กับตัวเอง เพียงไม่นานลมหายใจถูกพ่นออกมาช้า ๆ เพื่อมิให้คนข้างตัวรู้สึก เหรียญมีสองด้านเมื่อเธอพบกับความสุขย่อมมีอีกด้านที่ต้องค้นหา และเช่นกันเธอพยายามหาคำตอบ... ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังในการลักพาตัวเธอในครั้งนี้ เบรโต..เนลโล...และใครคือคนบงการ ทำแบบนั้นไปทำไมเพื่ออะไรกันในเมื่อเธอเพิ่งรู้จักสองคนในประเทศนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นอย่างแน่นอน พู่กันขมวดคิ้วรู้สึกปวดหัวจิ๊ดขึ้นมาขณะที่คิดเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา มีบางอย่างรบกวนจิตใจเธอแม้จะพยายามสลัดมิให้คิด แต่มันก็วนกลับมาอีกจนได้ เธอถูกลักพาตัวไปเก็บไว้เกือบเดือนแล้วก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่มีอะไรเสียหาย..เป็นไปได้อย่างไรกันที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเธอเลย นอกจากไม่ลำบากแล้วยังได้รับความสะดวกสบายเกินจะเรียกว่าเป็นผู้เคราะห์ร้าย......


เก็จพรหมลืมตาตื่นหลังจากเผลอหลับไปไม่รู้ตัว ครั้นรู้สึกตัวพบว่าศีรษะของเขาพิงอยู่กับไหล่บาง เจ้าพ่อหนุ่มผงกหัวขึ้นมองดวงหน้าหวานที่มองเหม่อมองออกไปนอกนกเหล็ก แผงขนตายาวแทบไม่ขยับเหมือนเจ้าของกำลังใช้ความคิด เจ้าพ่อรีสอร์ทอยากรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไร ต้นแขนเรียวเล็กถูกแตะเบา ๆ จากอุ้งมือใหญ่อันอบอุ่น สีหน้าครุ่นคิดเลือนหายไปเมื่อหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มบางละมุนเผยให้ลักยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก แววตาหวานแลสบดวงตาเข้ม พู่กันคว้ามืออุ่นหนานั้นนำมาแนบแก้มนวล ตากลมโตสานตาคมซึ้งมุมปากโค้งลักยิ้มทำงานอีกรอบ เก็จพรหมมองตามตาปรอยนึกอยากเป็นจมูกแทนมือของตัวเอง

“ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ เลยทำให้พู่เมื่อยตัวแย่เลย”
เสียงทุ้มเอ่ยมองหน้าใสไม่วางตา พู่กันยิ้มตาหยีรู้สึกเขินเพราะรู้ความหมายในแววตานั้น

“ไม่เลยคะ พู่ยินดีถ้าทำให้คุณพรหมหายเหนื่อย”
เสียงหวานพริ้มตอบทำเอาคนฟังกำลังใช้นิ้วเขี่ยแก้มเนียนเล่นชะงักไปเล็กน้อย

“ผมรู้สึกเหมือนหลับไปนานทีเดียว”
“ไม่นานหรอก แค่ช่วงเคี้ยวหมากแหลก”

เก็จพรหมกระพริบตาถี่งงกับคำตอบของหญิงสาว สุดท้ายต้องปล่อยขำก๊ากเพราะมุขของพู่กันที่เอ่ยได้อย่างหน้าตาเฉยแต่แววตากลับพราวระยับส่งมาให้ เก็จพรหมถอนหายใจอย่างเป็นสุข จ้องหน้าคนรักนิ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอาทร

“พู่คิดอะไรอยู่หรือครับ”
“คิดเรื่อยเปื่อยคะ”
ปีกผีเสื้อขยับขณะเหลือบตามองใบหน้าเข้ม มุมปากโค้งบุ๋มขำคนช่างสังเกต

“เรื่อยเปื่อย? แล้วอะไรล่ะฮะ พอจะบอกผมได้ไหม”
นายหัวหนุ่มไม่ยอมแพ้จับมือข้างตัวขึ้นมากุมไว้บีบเบาๆ ติสสาวผินหน้าออกนอกหน้าต่างตามด้วยถอนหายใจยาวก่อนที่จะหันกลับเปิดเผยสิ่งนั้น

“อืมม ก็แค่กำลังคิดว่าเหมือนฝันน่ะคะ สิบกว่าชั่วโมงก่อนหน้านี้พู่อยู่ในสถานะเชลย แล้วยังไงยังนึกไม่ออกว่าตัวเองมานั่งอยู่บนเครื่องบินกำลังพาพู่กลับเมืองไทย มันเป็นอะไรที่ไม่เข้าใจ เรื่องทั้งหมดมันคืออะไรกันแน่ ใครจะพออธิบายหรือบอกพู่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง”

เก็จพรหมรั้งบ่าบางเข้ามาใกล้ตัว มือหนาลูบเบาๆ ที่ศีรษะหญิงสาวของหญิงสาวที่อิงซบตรงบ่า....... อย่าว่าแต่พู่กันเลยเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ แม้จะทราบคร่าวๆจากเบรโตแล้วก็ตาม สายตาอาทรของนายหัวหนุ่มมองที่ดวงหน้าหวานอย่างเหลือล้น ไม่ว่าระหว่างที่หญิงสาวหายไปมีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่คิดจะถามไถ่และยินดีรับผิดชอบเพราะการที่หญิงสาวถูกลักพาตัวไปครั้งนี้เท่ากับว่าเขามีส่วนเป็นตัวต้นเหตุแม้จะไม่สมควรเกิดขึ้นก็ตาม รอยยิ้มอบอุ่นมอบให้ติสสาว เสียงทุ้มนุ่มปลอบโยนในขณะที่มือใหญ่ยังคงลูบไล้เส้นผมสลวยไปมา...

“ถือว่าหมดเคราะห์หมดทุกข์ไปแล้วกัน”
ร่างบางดึงตัวออกห่างจ้องตาเข้มอย่างจริงจังแล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบติดเครียด

“คุณพรหมไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทั้งหมดนี้มันแค่เรื่องบังเอิญหรือจงใจ ทำไมพู่ถึงถูกลักพาตัวเอาไปเก็บไว้ถึงสามอาทิตย์ จู่ๆก็ปล่อยซะง่ายๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นการเข้าใจผิด แบบว่าลักพาผิดตัว พอรู้ว่าพู่ไม่ใช่ก็เลยปล่อยซะเฉยๆ เหมือนในละครไงคะ”
“โธ่พู่!”
เจ้าพ่อหนุ่มครางอยู่ในอก ไม่รู้จะเครียดหรือขำกับคำพูดของหญิงสาวดี คิดในแง่ดีคือพู่กันมองเรื่องของเธอเหมือนละครฉากหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะซึ่งมันก็น่าจะเป็นประการหลังมากกว่าเพราะพู่กันไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าหญิงสาวอาจจะระแคะระคายอะไรบางอย่างแล้วก็ได้
“จะอะไรก็แล้วแต่ สำหรับผมตอนนี้ขอเพียงพู่ปลอดภัยกลับมาอยู่ใกล้ๆผมแค่นั้นเป็นพอแล้ว ผมสัญญานะพู่ว่าจะไม่ให้ใครมาเอาตัวพู่ไปได้อีก ถ้าหากจะมีอีกก็คงต้องผ่านผมไปก่อน”
“ถ้าเรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็ดีสิคุณพรหม”
“พู่กัน”


เก็จพรหมอึ้งกับคำตอบของหญิงสาว สายตาเข้มสานตากลมโตอย่างค้นหาคำตอบว่าสิ่งที่พู่กันเอ่ยออกมานั้นคืออะไรระหว่างแดกดันหรือเตือนสติเขากันแน่ แต่ไม่เจออะไรนอกจากตากลมแป๋วล้อเลียนกลับมาทำเอาคนถูกมองกระพริบตาถี่งงกับท่าทีของติสสาว

“ดูคุณพรหมเครียดจังเลย คิดขำๆสิคะ”
“จะขำได้ไงกันพู่ สามอาทิตย์ที่ผ่านมาเหมือนผมตายทั้งเป็นเลยนะ ไม่มีคืนไหนที่ผมจะนอนหลับได้สนิท ผมต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วคิดว่าตารางนิ้วของแผ่นดินฟลอเร้นซ์ไหนบ้างที่ยังไม่ได้ค้นหา”

สีหน้าสาวติสม่อยลงเมื่อได้ยินเสียงเข้มจัดจากคนข้าง ๆ ดวงตาดำขลับเหลือบขึ้นมองดูใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มซึ่งได้มองเธออยู่ก่อนแล้ว ติสสาวฉีกยิ้มหวานเอาใจชายหนุ่มอย่างเต็มที่ สลัดความขุ่นมัวในใจออกไป อย่างน้อยในเวลานี้เธอได้อยู่ใกล้คนที่คิดถึงตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วจะตั้งแง่อะไรอีก หญิงสาวคิดดังนั้นจึงคว้าหมับที่ท่อนแขนชายหนุ่มแล้วซุกหน้าตามพูดเสียงพร่าสดใสอย่างประจบประแจง

“คิดถึงคุณพรหมจังคะ”

รอยยิ้มหวานกับการกดปากอิ่มบนกรามเขียวครึ้ม ทำให้ใจเจ้าพ่อรีสอร์ทอ่อนหยวบความรู้สึกเต็มตื้น ความรัก ความห่วงใย ความวิตกกังวล และคิดถึงที่ผ่านมาดูมลายหายไปกับความหวานที่พู่กันแสดงให้เขาอย่างบริสุทธิ์ มือหนาจับไหล่บางหมุนกลับมาเผชิญหน้า ความรักที่ฉายออกมาจากตากลมโตวาวเร่งเร้าให้หน้าคมสันคมเข้มเคลื่อนใกล้ชนชิดหน้าผากนูนสวย ลมหายใจอุ่นรินรดกันและกัน นิ้วเรียวยาวไล้แก้มเนียนลากช้าๆลงมาที่ปลายคางนิ้วโป้งคลึงเบา ๆ แล้ววนกลับขึ้นสัมผัสปากเอิบอิ่มของติสสาว ไม่ทันจะได้เชยชมความหวานริมฝีปากอิ่ม เพราะติสสาวก้มหน้าซุกลงบนอกกว้างอย่างขัดเขิน เรียกเสียงหัวเราะในลำคอทั้งขำและเอ็นดูคนรัก สายตาเจ้าพ่อรีสอร์ทมองฝ่าความมืดออกนอกหน้าต่างนกเหล็กกลับกังวลบางอย่างที่ยังมาไม่ถึง เขาเรียกมันว่าลางสังหร ความหนาวแผ่เข้ามาในอกจนต้องรวบร่างบางกอดกระชับ ซุกจมูกลงบนกลุ่มผมสลวยเรียกกำลังใจกลับมา เสียงกระซิบพร่า....

“ใจผมไม่ต่างจากคุณเลยพู่”

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


ร่างบอบบางของจุมพิตานอนราบอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องสุดหรู ดวงหน้าซีดเซียววางบนหมอนสีขาวสะอาดตายิ่งทำให้ดูกลมกลืนจนอีกสองชายในห้องต่างมองด้วยความกังวลราวกับว่าหญิงสาวเจ็บหนัก โดยชายคนแรกนั้นกำลังนั่งอยู่บนเตียงข้างคนป่วย เป็นใครไปไม่ได้ถ้ามิใช่คนเป็นสามี นั่งกุมมือนุ่มอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เขายกมือขาวซีดนั้นจรดขึ้นริมฝีปาก

“ตื่นขึ้นมาได้แล้วที่รัก”

อังวาห์เสียงพร่าสายตาเข้มขุ่นมองไปยังวงหน้าสวยไม่ห่าง นับจากวันวานที่เบรโตอุ้มร่างบางของพี่สะใภ้เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ในเวลานั้นร่างของหญิงสาวอ่อนยวบลมหายใจแผ่วเบาสีหน้าซีดเผือดดูน่ากลัวกว่าตอนนี้มาก


“ผมผิดเองที่ไม่ดูแลจูนให้ดีกว่านี้”
เบรโตเอ่ยเสียงขรึมเบา ๆ ขณะที่ขยับเข้าใกล้เตียง

“นายไม่ผิดหรอกเบรโต ถ้านายไม่เจอจูนฉันยังนึกไม่ออกว่าเค้าจะเป็นอย่างไร”
อังวาห์โต้เสียงอ่อนกลับ สายตายังคงจับจ้องเมียรักที่ยังคงหลับตาหายใจสม่ำเสมอ แม้หมอประจำตระกูลได้มาตรวจร่างกายหญิงสาวอย่างละเอียดและแจ้งเขาแล้วว่านายสาวไม่ได้เป็นอะไรนอกจากร่างกายอ่อนเพลียมาจากการแพ้ท้องเท่านั้นเอง

“อาหมอบอกผลตรวจว่าไงบ้าง”


เบรโตเอ่ยอย่างเป็นห่วงอาการพี่สะใภ้ชาวไทย สายตามองร่างบอบบางบนเตียงนิ่ง แววตาคมเข้มดูเคร่งขรึมผิวเผินแล้วคล้ายกับเป็นห่วงใยต่อสุขภาพไม่แพ้พี่ชาย อังวาห์หันมาทางน้องชายก่อนจะตบบ่ากว้างเบา ๆ เพื่อให้คลายกังวลและหยุดกล่าวโทษตัวเองเสียที

“แค่อ่อนเพลียจากการแพ้ท้อง หมอฉีดยาให้เธอพักผ่อนให้มากๆ อาหมอแซวพี่อยู่ว่าสงสัยเด็กในท้องอาจจะไม่ใช่คนเดียวก็ได้นะ”
ปลายเสียงสดใสเมื่อพูดถึงทายาทในท้องเมียสาว เบรโตเงยหน้าทันทีกล่าวตอบอย่างยินดี


“ถ้าเป็นจริงแบบนั้นก็ดีสิครับพี่”

“ขอแค่แม่ของลูกพี่ปลอดภัย จะกี่คนก็ได้”


เบรโตจ้องหน้าหล่อที่คล้ายคลึงกับเขายามนี้แดงเรื่อแววตาส่องเป็นประกายจับจ้องใบหน้าพี่สะใภ้ของเขา เบรโตไหวไหล่กว้างหัวเราะเบา ๆ พูดสัพยอกพี่ชาย


“ฟังๆแล้วเข้าใจว่าพี่กำลังคิดจะหยุดแล้วสิฮะ ผมจำได้ว่าพี่เคยพูดว่า..การมีลูกคือบ่วงพันธนาการระหว่างพี่กับจูน... แบบนี้ผมเข้าใจว่าพี่จะเลิกมีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือรวมไปถึงผู้หญิงในฮาเร็มพวกนั้นไปด้วยใช่ไหมฮะ”
“ใช่!...ฉันคิดว่ามันถึงเวลาที่พี่ควรจะทำเพื่อแม่ของลูกพี่เสียที”
“ก็ดีผมยินดีด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“ฉันคิดถูกใช่ไหม”
อังวาห์ถามย้ำอีกทีกับความคิดของตน


“แน่นอนครับ ครอบครัวพี่ก็จะมีความสงบสุขและต่อไปก็จะสมบูรณ์มีอังวาห์จูเนียร์ ลูกพี่หลานของผมต่อไปคงออกมาวิ่งเล่นให้ได้ชื่นใจ จูนเองก็จะได้พ้นทุกข์เสียทีฮะ”
“งั้นการปล่อยตัวสาวไทยคนนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วล่ะ”


เสียงห้าวทุ่มของอังวาห์เรียบเรื่อยอย่างสบายใจ แต่กลับดังกึกก้องในโสตของเบรโต หน้าหล่อเหลาหันขวับไปทางพี่ชายแววตาเบิกกว้างมันมากกว่าแปลกใจนั่นคือตกตะลึง เสียงที่เปล่งถามพี่ออกมาอย่างเร็วรี่นั้นมิได้ดังกึกก้องเหมือนเจ้าตัวคิด มันเพียงกระซิบแผ่วแว่วเข้าหูผู้เป็นพี่...


“พี่ตกลงใจปล่อยพู่กันแล้ว? เมื่อไหร่กัน?”
“เนลโลจัดการไปแล้วล่ะ”
อังวาห์หันมายิ้มก่อนตอบผู้เป็นน้องด้วยคิดว่าเบรโตคงดีใจกับอิสระภาพที่สาวไทยได้รับ

“เมื่อไหร่? “
“สองวันที่แล้ว ทำไมล่ะ นายดีใจมากเพียงนี้เชียวเหรอ ผู้หญิงคนนั้นไม่เป็นอันตรายอย่างที่นายกลัวหรอกเบรโต เนลโลมันดูแลเป็นอย่างดี ป่านนี้คงกลับถึงเมืองไทยแล้วมั้ง”
“กลับเมืองไทย?”

ร่างสูงของเบรโตผงะถอยห่างพี่ชาย สีหน้าซีดเผือด มือชุ่มเหงื่อจนต้องซุกเข้ากระเป๋ากางเกง แววตาเปล่งประกายกล้าสันกรามขบนูนหันไปทิศอื่นเพื่อปิดบังบางอย่าง อังวาห์มองท่าทางกระสับกระส่ายของน้องชาย เข้าใจว่าเบรโตกำลังกังวลเรื่องของหญิงสาวชาวไทยจึงส่งยิ้มและบอกการเดินทางกลับของสมุนมือขวา

“เนลโลจะมาถึงเย็นนี้ อยากรู้อะไรก็ลองถามดูแล้วกัน”
“ครับพี่ งั้นผมขอตัวก่อนครับ นึกขึ้นได้ว่าต้องไปทำธุระกับแม่”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อได้ยิน แล้วยิ้มเฝื่อนก่อนจะเอ่ยปากขอตัว

“ไปเถอะ บอกแม่ด้วยว่าพี่กับจูนฝากความระลึกถึงให้ท่านด้วย ถ้าจูนสบายดีเมื่อไหร่จะพาไปเยี่ยม”
“ได้ครับ งั้นผมลา”


ร่างสูงโปร่งก้าวออกจากห้องไปทันทีที่กล่าวจบทำเอาอังวาห์ส่ายหน้าขำเมื่อมองตามหลังผู้เป็นน้อง เจ้าพ่อเมืองเพชรกำลังคิดว่าน้องชายเขาดีใจจนระงับไว้ไม่อยู่ ดูจากท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดว่าแววตาตื่นเต้นฉายออกมานั่นเอง

“คุณกำลังคิดผิดอย่างมหันต์รู้ไหมอังวาห์”
จุมพิตาเอ่ยเสียงครือจัดหลังจากที่เบรโตออกจากห้องไปแล้ว

“เมียจ๋าตื่นแล้ว โอยผมดีใจจังที่รัก”
อังวาห์อุทานด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงและเห็นว่าภรรยาคนสวยของเขาลืมตามองดูเขาอยู่ก่อนแล้ว ร่างหนาผวาเข้าประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้นพิงหมอนเมื่อเห็นเธอขยับตัวทำท่าลุกนั่ง

“ขอบคุณคะ”


จุมพิตาขอบคุณสามีแผ่วเบาความจริงแล้วเธอรู้สึกตัวก่อนหน้านานแล้วแต่อยากได้ยินการสนทนาระหว่างพี่กับน้องที่พูดเกี่ยวกับเชลยสาวไทย อย่างน้อยเธอก็ได้ทราบว่าอังวาห์มิได้เป็นคนโหดร้ายอย่างที่เธอคิด สามีของเธอสั่งให้ปล่อยตัวพู่กันแล้ว และเขากำลังจะหยุดทุกอย่างเพื่อเธอ

“ค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหมที่รัก อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม ผมจะทำให้ทาน”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นชวนให้คนฟังอบอุ่นยิ่งถ้อยคำที่หวานและเอาใจนั่นอีก ทำให้ตาคมหวานนั้นทอแสงอ่อนหวานแม้สีหน้ายังดูคงซีดเซียวมิได้ทำให้ความงามนั้นจืดจางไปแม้แต่น้อย นึกอยากอ้อนสามีขึ้นมา จุมพิตาทำตัวอ่อนเหมือนไร้เรี่ยวแรงซบบนอกสามีซ่อนรอยยิ้มบนอกกว้างสอดสองแขนกอดเอวเต็มไปด้วยมัดกล้ามนานเหลือเกินที่มิได้อยู่ในห้วงความรู้สึกแบบนี้...หากแต่เพียงชั่วครู่จุมพิตารีบขืนตัวออกห่างผลักไสสามีออกไกลตัวและโก่งคอเพื่ออาเจียร อังวาห์รีบคว้ากระโถนข้างเตียงรองรับไว้ทัน มีเพียงน้ำขมปริ๊ดเพียงน้อยนิดที่ไหลออกมา ...เมื่อเห็นภรรยาอ่อนล้ากับอาการแพ้จนตัวอ่อนปวกเปียก รู้สึกสงสารแทบขาดใจ

“เมียจ๋า ท้องคงว่างนอนรอผมแป๊บเดียวนะ จะไปหาอะไรมาให้ทานนะจ๊ะ”
“อย่านานนะคะที่รัก”

เสียงกระซิบแผ่วหวาน แต่ดังกึกก้องในหูของราชาเหมืองเพชรถึงกับเบิกตาโพลงอย่างประหลาดใจและดีใจกับคำพูดของภรรยาสาว ร่างสูงผวาหมายก้มลงกอดร่างงามให้สมรักแต่ต้องหยุดกึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นการทำร้ายเมียรักให้ออกอาการแพ้ขึ้นมาอีก ร่างสูงยืนหน้าม่อยสุดเสียดายจึงส่งยิ้มกร่อยๆดูแล้วช่างน่าเอ็นดูสำหรับจุมพิตาเสียเหลือเกิน จนลืมเรื่องที่จะพูดกับสามีเรื่องที่ได้ฟังมา...

“ผมจะรีบกลับมาโดยเร็วเลยจ๊ะ”
“งั้นรีบไปเถอะคะ เมียหิวจะแย่แล้ว”
“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับผม”

จุมพิตาส่ายหน้ายิ้มเพลีย ๆ ตามหลังสามี ความรู้สึกอบอุ่นวาบไหวกลับมาอีกครั้ง มันหล่นหายไปหลายปีเธอหวังว่าต่อแต่นี้ไปความสุขจะเข้ามาหาเธออีกครั้งและเธอจะไม่มีวันให้มันหนีจากเธอไปอีกต่อไปเช่นกัน


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


“ระยำ”


เสียงสบถอย่างเดือดดาลจากเจ้าของร่างสูงโปร่งใบหน้าคมสันบูดเบี้ยวแดงก่ำตามอารมณ์ที่ร้อนแรงขีดสุด สายตาเกรี้ยวกราดกวาดมองดูลูกน้องเต็มไปด้วยโทสะโดยสมุนทั้งคู่ไม่กล้าสบตาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น 


“แค่ผู้หญิงคนเดียว แกสองคนยังให้หลุดมือไปได้ สงสัยต้องให้หญ้าแทนข้าวซะแล้วมั้งห๋า”
“ขอโทษครับนาย”
“ขอโทษ..ฉันไม่ต้องการคำขอโทษแต่ต้องการให้ไปจัดการพาผู้หญิงไทยคนนั้นมาที่นี่”
“แน่นอนครับนายเราจะนำเธอมาให้นายได้แน่นอน”
“ผลัวะ! ผลัวะ!”

เสียงวัตถุกระทบเนื้อดังสนั่น ตามด้วยสองสมุนลงไปนอนบนพื้นกุมศีรษะซึ่งมีเลือดไหลเป็นทางยาว แน่ล่ะพวกมันรู้ดีว่านั่นคือเสียงจากร้องเท้าราคาแพงกระทบเข้าที่หน้าอย่างจังนั่นเอง

“งั้นหรือ เมื่อไหร่ล่ะ”
ริมฝีปากบางคล้ายสตรีเยียดหยัน ตาขุ่นขลักและเขม็งมองชายทั้งสองคุกรุ่นด้วยโทษะ

“ภาระกิจพวกนายเสร็จสิ้น ต่อไปฉันออกโรงเอง ไร้ฝีมือจริงๆพวกแกเลี้ยงเสียข้าวสุก ออกไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว ไป๊!”

ไม่มีการรีรอแม้แต้วินาทีเดียวคนทั้งสองรีบผลุนผลันออกไปจากไกลสายตานายหนุ่มในอาการร้อนรน เบรโตล้วงกระเป๋าเดินออกไปที่หน้าต่างเงยหน้ามองอากาศอย่างไร้จุดหมาย ภาพของสาวติสยังไม่เลือนไปจากความทรงจำ รอยยิ้มเก๋ไก๋ยังตราตรึงใจไม่หาย

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณกับผมจะไม่ได้เจอกันอีกพู่กัน สักวันผมเชื่อว่าสักวันเราจะได้พบกันและวันนั้นคุณจะเป็นของผมคนเดียว”



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚



“พ่อคะ....แม่คะ”
“ไอ้พู่!”


ร่างระหงของพู่กันถลาเข้าหาพ่อกับแม่ ทั้งคู่รอหญิงสาวที่ห้องรับแขก ตามคำขอร้องของเก็จพรหมว่าอยากให้รอรับขวัญบุตรสาวที่บ้าน เพื่อจะได้พูดคุยกันได้อย่างเต็มที่ ความจริงแล้วนายหัวหนุ่มไม่อยากให้พู่กันตกเป็นเป้าสายตาสาธารณะชนมากนัก อาจจะไม่ปลอดภัยเพราะไม่รู้ใครเป็นใคร เกรงจะมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกก็อาจเป็นได้ แรกทีเดียวพ่อของติสสาวไม่รู้จุดประสงค์ของชายหนุ่มเกือบทำให้ท่านโกรธหาว่ากีดกันให้เจอลูกสาวแต่เมื่ออธิบายแล้วพ่อจึงเข้าใจและขอบอกขอบใจที่รอบคอบ

“พ่อจ๋าแม่จ๋า คิดถึงเหลือเกิน”
“พ่อกับแม่ก็คิดถึงลูกยายหนู เกือบแล้วสิ เกือบจะไม่ได้เจอกันแล้วสิ”

แม่โผเข้ากอดบุตรสาวน้ำหูน้ำตาไหล เหมือนได้ของมีค่ากลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง ส่วนพ่อนั้นยืนดูสองสาวของบ้านกอดกันกลม รอยยิ้มและแววตาที่มองดูคนที่สองแสดงความรักและคิดถึงกันและกัน พู่กันมองหาบิดาเธอส่งยิ้มและยื่นมืออีกข้างให้บิดาทั้งสามจึงอยู่ในอ้อมแขนกันและกัน เสียงร้องของฟังแล้วซาบซึ้งเพราะเป็นเสียงแห่งความดีใจนั่นเอง

“แม่พอได้แล้ว ลูกเราปลอดภัยและกลับมาบ้านแล้วไม่ต้องร้องเวอร์ก็ได้จ๊ะ”
“พ่อก็เป็นอย่างนี้ทุกที”


พ่อหยอกเย้าแม่อย่างเคยชิน ส่งให้แม่ถอยห่างพู่กันค้อนพ่อประหลับประเหลือบ ไม่วายเช็ดน้ำตาและดึงร่างลูกสาวเข้ามากอดอีกครั้งก่อนคืนอิสระภาพให้แก่บุตรสาว
“เอาล่ะทีพ่อมั่งนะ”

สิ้นเสียงพ่อร่างบางของพู่กันเข้าสู่อ้อมกอดบิดาบ้าง เสียงหัวเราะของแม่ระเบิดขึ้นไม่กี่วินาทีเสียงหัวเราะทั้งสามพ่อแม่ลูกประสานเสียงกัน เป็นภาพที่เก็จพรหมเห็นแล้วรู้สึกเต็มตื้นกับภาพความอบอุ่นที่ได้เห็น เรือนหน้าหวานในสายตาเขาเวลานี้งดงามและแจ่มใสเป็นที่สุด พ่อเป็นคนแรกที่หันมองแขกของบ้าน สายตาท่านที่มองดูเจ้าพ่อหนุ่มคือความขอบคุณที่นำสิ่งมีค่าที่สุดคืนสู่อ้อมอกท่านตามที่สัญญาเอาไว้

“ต้องขอโทษด้วยนะ ที่เสียมารยาทไปหน่อยเลยยังไม่ได้เชื้อเชิญให้นั่ง”
“มิเป็นไรครับ ผมเข้าใจครับ”
เก็จพรหมก้มศีรษะให้พ่อแล้วนั่งบนเก้าอี้ถัดไปตามคำเชื้อเชิญ

“อุ๊ยฉันก็ต้องขอโทษด้วยอีกคนที่มัวแต่รับขวัญเจ้าพู่มัน คุณคือคุณเก็จพรหม น้องชายหนูเก็จแก้วเพื่อนของพี่หนูนาใช่ไหมจ๊ะ”

แม่หันมาสนใจหนุ่มหน้าเข้มที่มาส่งบุตรสาวถึงบ้าน สายตาแม่เหมือนแม่ทั่วๆไปที่เห็นลูกสาวพาคู่รักเข้าบ้านเป็นครั้งแรกไม่มีผิด แทนที่จะอึดอัดเก็จพรหมกลับมองดูว่าเป็นท่าทีที่น่ารัก รอยยิ้มกว้างนั้นเปิดเผยและยินดีตอบคำถามทุกเม็ดนั้นทำเอาพู่กันที่มองดูท่าทีมารดากับคนรักแล้วเกิดอาการขนลุกขึ้นมาดื้อ ๆ

“พ่อคะแม่คะ นี่คุณพรหมคะ”
“พ่อกับแม่รู้จักชื่อแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นหน้าก็คราวนี้ ยังแล้วต้องขอบคุณคุณมากเลยนะที่ช่วยเป็นธุระตามหาไอ้พู่มัน คงลำบากแย่เลยนะ ฉันกับพ่อเจ้าพู่ไม่รู้จะตอบแทนยังไงนอกจากคำว่าขอบคุณจากใจ”
“ไม่เป็นไรครับ เออเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
เก็จพรหมขานรับอย่างสุภาพ เหล่ตามองดูพู่กันที่ยืนหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างบิดาแล้วกลั้นขำอย่างสุดแรง

“ไม่คิดจะช่วยกันเลยนะทูนหัว”
เก็จพรหมคิดในใจเมื่อสบตากับตาคมวาวของติสสาว

“ความจริงมีเรื่องมากมายที่อยากคุยแต่คิดว่าในคืนนี้อาจจะรบกวนคุณมากไปเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง เอาไว้วันหน้าก็แล้วกันนะ”


พ่อตัดบทก่อนที่แม่จะทันได้ซักไซร์มากไปกว่านี้ เก็จพรหมก้มคำนับรับคำเชิญกลายๆของบิดาติสสาวด้วยความอิ่มเอิบใจ ยิ่งเห็นหน้าแดงเรื่อของคนรักแล้วเผลอส่งยิ้มให้ไม่ได้ก่อนทำหน้าเหรอหราเมื่อได้ลูกค้อนที่หญิงสาวแจกคืนมา


“ครับคุณลุง แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ครับ”
เก็จพรหมคำนับเคารพพ่ออีกครั้ง

“ได้สิคุณ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”
แม่พูดแทรกขึ้นทันควัน เป็นเหตุให้พู่กันร้องเสียงหลง

“แม่ค้าน้อยๆ หน่อยคะ”
“ไปเถอะพู่ไปส่งพี่เขา จะได้รีบกลับไปพักผ่อนเสียทีเหนื่อยมามากแล้ว พ่อคุณ”

พ่อบอกติสสาวส่งแขกตามมารยาทอันพึงมี เมื่อสองหนุ่มสาวเดินพ้นห้องไปพ่อหันมองแม่ที่ชะเง้อตามหลังทั้งคู่ออกไปแล้วส่ายหน้า เอื้อมมือสะกิดแม่ใช้นิ้วลากใต้คางอวบอิ่มของแม่ไปมา

“เก็บอาการหน่อยแม่ นั่นน้ำลายไหลยืดแล้ว”
“โธ่พ่อก็ แม่ก็อยากเห็นหน้าว่าที่ลูกเขยชัดๆหน่อยไม่ได้หรือไง ทั้งพ่อทั้งลูกเลยไม่รู้จะเก็บอาการอะไรนักหนา ก็รู้ๆกันอยู่แล้วนี่ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกัน”
แม่ตีพ่อที่แขนหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

“เอาแล้วสิ เพ้อเจ้ออีกแล้วแม่ อะไรที่ไม่ได้ออกจากปากลูกสาวเราก็อย่าออกนอกหน้ามันไม่งามลูกเราเป็นผู้หญิงเดี๋ยวเขาจะดูถูกเอาได้นะแม่”

พ่อส่ายหน้าปรามแม่เสียงขรึม แม่โต้กลับค้อนใส่พ่อเพราะหมั่นไส้ที่พ่อสงวนท่าทีทั้งๆที่พูดเปิดทางให้ชายหนุ่มไปก่อนหน้านี้

“โธ่พ่อก็ ใครจะไปพูดให้ได้ยินล่ะ แม่ก็มีจรรยาบรรณเหมือนกันนะ”
“เหรอ แต่ตะกี้ที่เห็นพ่อเห็นแม่แทบจะจับตัวสัมภาษณ์เลยนะ” 


พ่อพูดยิ้ม ๆ ล้อเลียน แม่ค้อนพ่อไม่จริงจังก่อนจะหัวเราะประสานเสียงกันอย่างมีความสุขเพราะได้ลูกสาวกลับมา ส่วนเรื่องอื่นๆทั้งสองรู้ว่าบุตรสาวจะเป็นคนเล่าให้ฟังเอง




Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 9:59:45 น.
Counter : 1363 Pageviews.

5 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสยี่สิบสี่ (ต่อ)
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสยี่สิบสี่ตอนสมบูรณ์


กราบเรียนเพื่อนนักอ่านที่ติดตามถามไถ่สาวติส ตอนยี่สิบสี่แบบสมบูรณ์ ได้นำลงให้แล้วนะคะ ผู้เขียนไม่สบายนิดหน่อยไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่รพ สองสามคืน ทำให้บางท่านอารมณ์ค้างนิดหน่อยคะ ต้องขออภัยมาณ ที่นี้ด้วยนะคะ ต่อไปคงได้ลงให้อาทิตย์ละตอนจะได้จบไว ๆ เนอะ


สาวพู่กันในหมาดผมสั้น



ภาพโดย หนูยิม


ความเดิมที่แล้ว.....10/5/55

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


“อะไรกัน แค่นี้ก็ตามกลิ่นมันไม่เจอเลยหรือไง? ฉันไม่เชื่อว่าไอ้เนลโลมันขุดรูอยู่ ”

เสียง เอะอะเล็ดลอดออกมาจากห้องสปาทำเอาจุมพิตากำลังเดินผ่านมาหยุดชะงักเมื่อได้ ยินชื่อมัจจุราชหนุ่มเข้าอย่างจัง เสียงอ้อมแอ้มตอบของบรรดาสมุน พอเดาได้ว่าพวกเขาได้พยายามทุกวิธีแล้วแต่ไม่มีใครเห็นเงาของเนลโลเพียงสัก คน จุมพิตารู้สึกเห็นใจน้องเขยของตัวเองยิ่งนัก ทำไมเธอจะไม่เข้าใจล่ะว่าหากคนที่เรามีใจปฏิพัทธ์หายไป ย่อมเป็นกังวลเพราะห่วงไหนจะกลัวว่าถูกทำร้ายหรือถูกล่วงเกิน นี่เบรโตคงกลัวว่าสาวไทยอาจจะอยู่ในสภาพเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ผ่านมานั่นเอง

จุมพิตาพาร่างที่เริ่มอวบโดยเฉพาะเอวที่หนาขึ้น หมุนตัวกลับไปทางเดิมทั้งไม่วายส่ายหน้าเศร้าใจต่อโชคชะตาของตัวเองที่ต้อง มาเจอะเจอเรื่องคาวๆฉาวๆไม่จบไม่สิ้น พู่กันสาวไทย แม้ไม่เคยเห็นหน้าแต่พอจะเดาออกว่า หญิงสาวผู้นี้ต้องสวยอย่างแน่นอนอาจจะมากกว่าหญิงสาวนางอื่น ๆ ที่ผ่านมาไม่งั้นจะมีผู้ชายถึงสี่คนต่างได้ให้ความสำคัญเจ้าหล่อนหรอก เท้าที่เก้าเดินห่่างออกไปพลันชะงักค้างเพราะถ้อยคำและน้ำเสียงกร้าวดุดัน ของยมฑูตหนุ่มประหนึ่งจะประกาศิตชีวิตคนๆหนึ่งให้รุ่งเรืองหรือดับสูญในเวลา เดียวกัน

“พวกแกต้องกลับไปฟลอเร้นซ์และนี่คือรูปผู้หญิงที่อังวาห์ต้องการ พวกแกจะเอาชิงตัวหล่อนจากเนลโลให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็แล้วแต่พวกแก!”
“ครับนาย”
“อ้อ! ปิดงานเหมือนเคย”
“ครับนาย”

การ สนทนาของคนข้างในยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ระดับเสียงดูจะไต่ขึ้นลงเหมือนเมโลดี้ไม่ต่างจากระดับเสียงเต้นหัวใจของคน อยู่ข้างนอก จุมพิตาเกิดรู้สึกร้อนใจและเกิดความกังวลขึ้นมาทันควัน เพราะทุกถ้อยคำที่เธอได้ยินมันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้วนี่หมายความว่าเธออยู่ท่ามกลางความโหดร้ายมา ตลอดอย่างนั้นหรือ พี่สะใภ้ของเบรโตคิดด้วยใจสั่นไหว เบื้องหน้าดูสวยหรูและบริสุทธิ์ในขณะที่หลังฉากกลับเต็มไปด้วยความโหดร้าย เหี้ยมเกรียมผิดมนุษย์มนา ใครจะเชื่อว่าภายใต้หน้าตาดีดูใสซื่อแววตาดูขรึมเป็นนิจ กลับอำมหิตเกินรับได้ จุมพิตาพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเพื่อมิให้เป็นลม ขณะที่เท้ายังคงเดินกระสับกระส่ายอยู่นอกห้อง ในใจคิดแต่ว่าเธอจะช่วยคนชาติเดียวกับเธอได้อย่างไร ด้วยความไม่ระวังทำให้หัวร้องเท้าชนกับประตูห้องเสียงดังกึก เสียงภายในห้องสปาเงียบทันควัน เสียงมีอำนาจที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักจากน้องชายอังวาห์ดังขึ้นออกมา

“ใคร? ใครอยู่ข้างนอก ”
“ฉัน...ฉันเอง จูน”
เสียงแผ่วเบาติดตะกุกตะกักขานตอบ นึกด่าตัวเองในใจที่ซุ่มซ่าม

“จูน?”
น้ำเสียงแปลกใจและโทนเสียงที่เปลี่ยนไป


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


ที่ฟลอเร้นซ์....
เก็จพรหมกดรับโทรศัพท์ขณะกำลังก้าวออกจากเรือและยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

“ครับพี่แก้ว”
“พรหม...พรหมมีข่าวน้องไหม?”

เสียง กังวลใจของพี่สาวคนเดียวของเจ้าพ่อรีสอร์ทแว่วออกจากโทรศัพท์ หน้าเข้มเงยขึ้นสูง มิได้เกิดจากความรำคาญแต่เพราะเขาไม่อยากแจ้งข่าวคนรักในเวลานี้เพราะต้อง การไปเจอตัวก่อนตามที่ได้ข้อมูลมา และคงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก จึงตัดบทด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“พี่แก้วฮะ เดี๋ยวผมโทรกลับนะฮะ”
“ไม่ได้สิ คุยกันก่อนแป๊บนึงสิ”

เสียงพี่สาวละล่ำละลักท้วงมาจนคิ้วเข้มขมวดอย่างแปลกใจ เพราะเก็จแก้วไม่เคยยื้อเขาไว้สักครั้ง

“ฮะ?”

เจ้า พ่อรีสอร์ทเปล่งเสียงสูงกลับไป ไร้เสียงตอบกลับแต่ได้ยินเสียงเก็จแก้วคุยกับใครบางคนอยู่เพียงไม่กี่วินาที เสียงที่เขาได้ยินกลับมานั้นเป็นเสียงนุ่มเหมือนผู้ใหญ่ใจดีของชายวัยกลางคน

“คุณพรหมใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”

เก็จพรหมใจเต้นแรง ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาตอบสั้น ๆ เพื่อรอคำถามอื่น ๆ ต่อจากนี้

“ฉันเป็นพ่อของพู่กันนะ”
“ฮะ..เออ..สวัสดีครับ เออคุณ..ลุง..”
“คุณได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเจ้าพู่บ้างไหม”
“อะ..คือ..ครับ?”


ต่อ....16/5/55

ชายหนุ่มลังเลที่จะตอบเพราะไม่แน่ใจว่าบิดาของพู่กันรู้เรื่องอะไรบ้าง
“ฉันรู้เรื่องที่ลูกสาวฉันถูกลักพาตัวไปแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการรู้ว่าคุณพอจะได้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าพู่บ้างไหม”

เสียงเข้มของบิดาคนรักช่วยทำให้เก็จพรหมทราบได้ทันทีว่า เก็จแก้วคงนำเรื่องพู่กันไปเปิดเผยให้พ่อแม่ของพู่กันทราบแล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วค่อยผ่อนออกมาอย่างช้า ๆ ถึงแม้จะกระทันหันและคาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะได้สนทนากับบิดาคนรัก น้ำเสียงของท่านทำให้เขาเลือกที่ให้คำตอบเป็นกลางที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้

“พอมีเบาะแสแล้วครับ”
สั้นๆ กลับทำให้น้ำเสียงสวนกลับมานั้นทำเอาเก็จพรหมรู้สึกมีก้อนแข็งจุกในลำคอ

“ยังพอมีทางเจอพู่ใช่ไหมคุณ”
“ครับยังไม่หมดหนทางเสียทีเดียว คุณลุงไม่ต้องห่วงนะฮะ ยังไงผมต้องพาพู่กลับไปหาคุณลุงคุณป้าแน่นอนครับ”
เก็จพรหมบอกบิดาพู่กันพร้อมกับสัญญากับตัวเองไปด้วย

“ขอบใจนะคุณพรหมมากที่อุตส่าห์ตามหาเจ้าพู่มัน ถือว่าเป็นความกรุณาต่อเจ้าพู่และครอบครัวฉันอย่างมาก แต่ถ้ามันหนักหนาสาหัสเกินตัวคุณ ก็อย่าฝืนปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทางโน่น คุณเองก็ควรพักผ่อนบ้างนะเดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกคนฉันก็คงรู้สึกผิดมาก แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

บิดาพู่กันบอกเก็จพรหมด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งปนห่วงใย ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจที่ปิดปัง จนอยากเอ่ยปากบอกเล่าความจริงที่ตัวเขากำลังจะทำอะไรต่อไปแต่เกรงว่าหากไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวังนั่นหมายความว่าเขากำลังสร้างความหวังและทำให้คนแก่สองคนต้องทุกข์ใจไปด้วย

“อย่าคิดแบบนั้นสิครับคุณลุง ผมยินดีเป็นอย่างมาก แม้จะต้องลำบากและใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม อีกไม่..เออนาน ผมเชื่อว่าต้องหาพู่เจออย่างแน่นอน”

คำตอบแข็งขันทำให้หัวใจคนเป็นพ่อชื้นขึ้นมา ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากให้คนที่ยืนรอฟังอยู่หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ทุกคนต่างคิดไปแง่ดีและดีใจคอยลุ้นว่าคำตอบของเก็จพรหมเป็นเรื่องที่ดีเกี่ยวกับพู่กันแน่นอน

“ฉันก็ต้องขอบใจ และถ้าได้ข่าวเจ้าพู่เพิ่มเติม จะรบกวนแจ้งข่าวมาหาฉันด้วยจะได้ไหม”
“แน่นอนครับ”

เสียงตอบอย่างหนักแน่นนั้นทำให้ผู้สูงวัยพยักหน้ากับโทรศัพท์เหมือนมีชายหนุ่มอยู่ตรงหน้า สายตาพ่อมองดูเก็จแก้วอย่างขอบคุณแทนน้องชายของเธอ ในขณะที่ทุกสายตาพุ่งแน่วมาที่ท่านโดยเฉพาะแม่ผวามาจับมือพ่อเขย่าอย่างทนไม่ไหวที่จะรับรู้เรื่องบุตรสาว พ่อพยักหน้าให้แม่และตบไหล่อวบอย่างปลอบประโลม แม่หลุดเสียงสะอื้นออกมาทำเอาทุกคนต่างหน้าเสียหันมองหน้ากันและกันอย่างกังวล พ่อพูดปลอบแม่เบาๆ และส่งสายตามองบรรดาเพื่อนของบุตรสาว

“ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าพู่หรอกนะแม่ คุณพรหมเขาบอกว่าได้เบาะแสแล้ว ตอนนี้กำลังตามหาอยู่ คงอีกไม่นานก็หาเจอแน่นอน”
“พ่อเชื่อแบบนั้นเหรอ”

แม่เงยหน้าซับน้ำตาถามพ่อ ณารินเดินเข้ามาใกล้มารดารุ่นน้องแล้วกุมมือเอาไว้ ปลอบโยนนางคลายกังวลทั้งที่สีหน้าของตนก็ไม่ต่างจากมารดาติสสาวมากนัก

“ต้องเชื่อสิแม่ คุณพรหมเขาไม่มีวันโกหกแน่นอน ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร ใช่ไหมก้องภพ”
ณารินหาแหล่งสนับสนุน พยักหน้าส่งซิกให้ชายหนุ่มสนับสนุนคำพูดตัวเอง

“ใช่แล้วแม่เลิกห่วงได้เลย คุณพรหม เขาไม่ยอมให้ไอ้พู่ของพวกเราเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”
“โธ่พู่ลูกแม่”
สิ้นคำก้องภพแม่กลับร้องไห้โฮขึ้นอีก ทำเอาณารินค้อนขวับหนุ่มรุ่นน้องเข้าใจว่าพูดเวอร์ให้มารดาพู่กันขวัญเสียเข้าไปอีก

“แม่ผมขอโทษ”
“เปล่าหรอกลูก แม่กำลังคิดว่าแม่จะมีโอกาสได้เห็นเจ้าพู่พาแฟนมาให้พ่อกับแม่รู้จักหรือเปล่า”
“โธ่แม่เอาอีกแล้ว”
ก้องภพทำเสียงอ่อยเมื่อได้ยินมารดาเพื่อนรักพูดขำๆในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานได้อีก

“ปล่อยแม่เขาเหอะก้อง ทำยังกะไม่รู้แม่งั้นแหละ”

พ่อส่ายหน้ากับคำพูดของแม่ ทำไมท่านจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแม่ยกมันขึ้นมาพูดแค่ไม่ให้รู้สึกเศร้ามากไปกว่านี้ นิสัยเช่นนี้ที่บุตรสาวถอดแบบออกมาได้เหมือนทีเดียว

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚

ร่างบางนั่งริมหน้าต่างสายตามองไปโพ้นทะเลไกลลิบ เสียงถอนหายใจเข้าออกยามที่อยู่คนเดียวในเวลาส่วนตัว พู่กันบอกตัวเองว่าเธอไม่ชอบช่วงเวลานี้ ทำให้เธอคิดมากเพราะสมองว่าง พาลให้ความซึมเศร้าเข้ามาทักทายได้อีก ตลอดทั้งวันยังไม่เจอคนที่ลักพาตัวเธอเลย เลญ่าบอกว่าเนลโลออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้ามืด ส่วนเด็กสาวเองเพิ่งออกไปหลังจากขลุกอยู่กับเธอครึ่งค่อนวัน ติสสาวขยับตัวพิงกรอบหน้าต่างกวาดตาไปรอบๆห้องซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดมากมาย รูปของเนลโลเพิ่งลงสีเสร็จหมาด ๆ ตั้งอยู่มุมห้องรวมกับรูปอื่น ๆ นับแล้วรวมสิบกว่ารูป ทั้งที่เป็นของเธอและของเลญ่า พัฒนาการวาดรูปและใส่สีของเด็กสาวก้าวหน้าไปมากอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเกิดจากพรสวรรค์และอีกส่วนหนึ่งคือการแนะนำในหัวข้อสำคัญเรียกว่าทริกนั่นเอง เธอเชื่อว่าต่อไปเลญ่าสามารถหาเลี้ยงชีพจากการวาดรูปและยิ่งฝึกฝนไปเรื่อยๆมั่นใจว่าเด็กสาวผู้นี้จะต้องอนาคตไกลแน่นอน

ติสสาวเปลี่ยนอริยบทไปมาจนเบื่อ ร่างบางผลุดลุกขึ้นอย่างชั่งใจ หลายครั้งที่เธอคิดหนีออกไป แต่ก็เป็นไปได้แค่คิดเสมอเพราะเนลโลมักจะเข้ามาเจอทุกครั้งไป วันนี้น่าจะสบโอกาสแล้วทำไมต้องปล่อยให้หลุดมือไปล่ะ ไม่รอช้าร่างบางผลุดลุกขึ้นก้าวเท้าออกจากห้องทันที

“ทางสะดวกโว้ยไอ้พู่”

พู่กันคิดในใจยิ้มกว้างนึกดีใจที่ตัวเองคิดได้ แม้จะช้าไปนิดก็ตาม เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ อยู่เบื้องหน้า ใจติสสาวเริ่มเต้นแรงแม้จะเคยเจอเด็กพวกนี้ออกบ่อยไปในระยะหลัง เด็กๆชอบเสียงเพลงจากกีตาร์ที่เธอดีด ชอบนั่งเป็นหุ่นให้เธอวาด และชอบขนมที่เธอทำให้กิน ฉากแรกที่ยื่นหน้าสวยไปนั่นคือภาพของเด็ก ๆ กำลังอยู่บนหลังเนลโลรอยยิ้มหวานแสนกว้างนั้นค้างทันใด

“โอ๊ยมาร...มารผจญจริงๆ นะ”

อารมณ์สาวติสปริ๊ดจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ผรุสวาทเป็นภาษาตัวเองออกมาดัง ๆ ทำเอาทุกคนที่กำลังสนุกสนานอยู่หันมองอย่างแปลกใจ หนุ่มร่างยักษ์หรี่ตานิ่งมองดูพู่กัน ก่อนจะเลิกคิ้วหน้าเหรอหรางงเป็นไก่ตาแตกเมื่อหญิงสาวสะบัดหน้าพรืดใส่ก่อนกลับเข้าไปในบ้านตามเดิม พู่กันเดินกระฟัดกระเฟียดกระแทกตัวลงบนขอบเตียง นึกแค้นใจอะไรจะมันจะเหมาะเจาะและเข้าข้างผู้ร้ายได้ตลอดเวลาแบบนี้นะ เสียงผิวปากเดินอย่างสะบายอารมณ์เข้ามาในห้อง พู่กันเชิดเมินหน้าไปอีกทางที่ไม่มีหน้ายียวนของมัจจุราชหนุ่ม เนลโลโคลงศีรษะมองซีกหน้างอหงิกของติสสาวแล้วอดขำไม่ได้ โยนของในมือลงข้างตัวหญิงสาว

“เอ๊านี่ผมเอามาฝาก”
“อะไรก็ไม่เอา ฉันไม่อยากได้อะไรของนาย”
พู่กันกระชากเสียงปฏิเสธของฝากอย่างหมดความอดทน เพราะ ใจเริ่มท้อและล้าเหนื่อย แม้เนลโลไม่เคยทำร้ายหรือข่มเหง ให้มีมลทิน ทั้งพยายามทำให้เธอรู้สึกว่าที่นี่เหมือนบ้านมากกว่าคุก แต่มันไม่ใช่ที่เธอควรอยู่เพราะมันไม่ใช่บ้านนั่นเอง

“ก้มดูก่อนสิ เผื่อชอบนะ”
มัจจุราชหนุ่มแนะนำมิได้ถือสาเสียงงอแงแม้แต่น้อย สีหน้าและแววตาที่มองดวงหน้าหวานนั้นออกจะเข้าใจมากกว่า ปีกผีเสื้อกระพือปีกภายใต้แพขนตาหนานั้นคือดวงตากลมโตหลุบต่ำชำเลืองดูถุงชอปปิ้งสีสวยสองสามชิ้นอยู่ข้างตัว มือบางล้วงหยิบสิ่งของออกมาดู พอรู้ว่าของในมือเป็นอะไรติสสาวหันขวับมองหน้าเนลโลพร้อมกับคำถาม

“วิกผม? นี่นายจะให้ฉันทำบ้าอะไรอีกล่ะ ดูเหมือนจะสนุกเหลือเกินนะที่เห็นฉันทำนั่นทำนี่ได้ไม่ซ้ำกัน”
“ยังมีอีกหลายชิ้นนะ ดูให้หมดก่อนสิ”

แทนที่จะตอบมัจจุราชหนุ่มกลับบอกให้พู่กันสำรวจถุงอื่น ๆ แววตาเข้มนิ่งลึก มองท่าทางหงุดหงิดของเชลยสาว สีหน้าไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกอะไรออกมา หน้าหล่อคมหันไปสนใจข้างนอกหน้าต่างเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ร่างสูงใหญ่มองออกไปนอกถนนเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างขณะที่สีหน้าดูดูเคร่งขรึมกว่าเดิม จนได้ยินเสียงแปดหลอดของพู่กันดังขึ้นทำให้เนลโลหันกลับไปดู แววตาไหวระริกขณะที่หน้าหล่อเข้มแดงเรื่อเพราะกลั้นขำเมื่อเห็นตากลมโตพองแทบจะถลนออกจากเบ้าขณะที่มองดูชุดสีแสบสันและสั้นจุ๊ดจู๋นั้น

“นี่ชุดอะไรวะ”
พู่กันแว๊ดภาษาถนัดใส่หน้าเนลโล

“อะไร เธอกำลังขอบใจฉันเหรอ ไม่เป็นไร”
เนลโลตอบหน้าตาเฉย

“ยะขอบใจ ทุเรศ นายจะให้ฉันใส่ชุดนี้เนี่ยนะ โอ้ยฉันจะบ้าตาย ฉันอยากกลับบ้านฉันไม่อยากใส่ชุดบ้าๆนี่ โรคจิตหรือเปล่าอะเนลโล นายจับตัวฉันมา แล้วให้ข้าวให้น้ำจะขุนฉันให้อ้วนพีแล้วเชือดฉันไม่ใช่หมูหมากาไก่ ฉันเป็นคน มีพ่อมีแม่ นายไม่มีสิทธิ์ให้ฉันทำนั่นทำนี่ นายกักขังฉันนานเกินไปแล้ว จุดประสงค์ของนายคืออะไรกันแน่ จับตัวฉันมาทำไม?”

พุ่กันปาเสื้อผ้าและวิกผมใส่หน้าเนลโลอย่างเหลืออดพร้อมกับโผนตัวเข้าหาอย่างสุดกำลังหมายให้ร่างยักษ์ที่ยืนตรงหน้าล้มแต่เหมือนว่ากำลังเอาไม่ซีกงัดไม้ซุงร่างที่กระดอนกลับเป็นร่างบางเสียเอง หญิงสาวปรี่เข้าหาหมายยัดกำปั้นเล็กๆใส่หน้าแต่ก็คว้าน้ำเหลวเจอแต่อากาศทำให้เสียหลักเหมือนโผเข้าหาอ้อมอกแทน เนลโลเบี่ยงตัวอย่างจัดเจนการต่อสู้มือหนาจับคอเสื้อหิ้วร่างบางขึ้นเหนือพื้น ติสสาวจึงทำได้แค่เตะถีบอากาศเบื้องล่างส่งเอะอะโวยวาย

“นี่ๆ ๆ นายเอาฉันลงเดี๋ยวนี้เนลโล”
“งั้นเธอก็เงียบสิ”
เนลโลกลั้วหัวเราะขำยิ่งเห็นท่าทางแมวข่วนอากาศของพู่กัน

“เอาฉันลงหายใจไม่ออกแล้ว แค๊ก ๆ ๆ”
พู่กันบอกเสียงแหบเนลโลเห็นพู่กันหน้าตาแดงจึงรีบวางหญิงสาวลงพื้นทันทีทำเอาร่างบางร่วงไม่เป็นท่า ก้นกระแทกกับพื้น พู่กันงองุ้มตัวเองเหมือนจุกไร้เสียงโว้กว๊ากเช่นเคย ทำให้เนลโลก้มดูด้วยความเป็นห่วงขึ้นมา ทันใดร่างทะลึ่งตัวขึ้นศีรษะกระแทกเข้ากับปลายคางบึกบึนนั้นอย่างจัง

“โอ้ย นี่เธอเกิดบ้าอะไรขึ้นมาห๋า ยายบ้าเดี๋ยวเหอะ”

เนลโลยกมือขึ้นสูงหมายฟาดฝ่ามือบนแก้มเนียนให้หายโมโหที่ถูกหญิงสาวเอาคืน แต่กลับชะงักค้างเมื่อติสสาวเงยหน้าขึ้นรับพร้อมกับประกาศก้องยอมตายกับโทษทัณฑ์ที่เขามอบให้


“เอาสิถ้าทำร้ายฉันแล้วนายจะปล่อยตัวฉันไป ฆ่าให้ตายก็เชิญ แต่ยังไงเถ้ากระดูกฉันก็ต้องกลับบ้าน”
“เฮอะ ปากดีแบบนี้ไงเล่าถึงไม่มีใครตามหา”

เนลโลเปิดปากยั่วจี้ใจดำติสสาว พู่กันได้ฟังแล้วถึงกับสะอึกเพราะตลอดสามอาทิตย์ที่อยู่บ้านหลังนี้ไม่มีวี่แววใครจะมาช่วยเธอเลยเหมือนไม่มีคิดติดตาม ติสสาวถอยหลังเซผงะไปเล็กน้อย หน้าซีดเผือดแววตากลมโตไหวระริกหม่นแสงลง

“ใครตามหาฉันเจอก็เก่งแล้ว วันที่ฉันหายตัวโดยไม่มีใครรู้เสียด้วยซ้ำว่าฉันไปไหน”
เสียงครือพร่าสั่นยอมรับโชคชะตาของตัวเอง

“แล้วเบรโตล่ะ นายนั่นก็อยู่ด้วยมิใช่เหรอคืนนั้น”
เนลโลเอ่ยชื่อคนที่พู่กันไม่เคยคิดถึงนับแต่วันที่ถูกลักพาตัวเสียด้วยซ้ำออกมา พู่กันเหลือบตามองสะบัดเสียงตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขานี่ แล้วจะตามหาฉันทำไมล่ะ”
“เธอนี่ไร้เดียงสาจริง ๆ คิดไกลไม่เป็น นี่แหละเค้าถึงว่าคนโง่มักจะเป็นเหยื่อคนฉลาดมักจะตายตอนจบเสมอ”
เนลโลพูดเสียงหมิ่น อารมณ์ติสสาวปวดแปลบกับคำพูดเสียดสี ก่อนสวนกลับเชิดหน้าท้าทาย

“นี่ถ้านายอยากจะบอกจะพูดอะไรก็ว่ามาได้เลย อย่ากำกวมฉันมันคนสมองหนาปัญญาตื้นคิดลึกๆกับเขาไม่เป็นหรอก”
“หึหึ ด่าตัวเองก็เป็นด้วย  ฉันว่าเธอรีบจัดการกับชุดพวกนี้ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ ขึ้นมา”

มัจจุราชหนุ่มตัดบทมองพู่กันนิ่ง เป็นครั้งแรกที่พู่กันฟังแล้วเฉยเสียไม่คิดต่อล้อต่อเถียง ความคิดพลุ่งพล่านสับสนวกวนสุดท้ายเจอทางตัน ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงถอนหายใจดังขึ้นตามด้วยคำถามที่ทำเอาเนลโลหันกลับมามองพู่กันออกจะงงนิดที่หญิงสาวเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองได้ไว

“นี่ที่เราอยู่ด้วยกันมาสามอาทิตย์นายไม่รู้สึกดีกับฉันบ้างเหรอ”
“มาไม้ไหนอีกห๊ะ”
“ก็จริงนี่ ฉันยังคิดตลอดเวลาเลยว่านายออกจะใจดีไม่ได้ร้ายอย่างที่คิดเอาไว้แต่แรกเลย”
พู่กันพูดเสียงอ่อนเอื่อย ๆ ซ้อนตาขึ้นมองเหมือนลูกแมวดูเจ้าของ ทำเอามัจจุราชหนุ่มคำรามกลายๆในลำคอยากแก่การแยกแยะว่ากำลังขำหรือเครียดขึ้งกันแน่

“เหอจะต่อรองด้วยอะไรอีกเธอ”
มัจจุราชหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกระแทกแดกดันย้อนกลับ

“นี่นาย! คิดสินะว่าฉันจะร้องขอชีวิตนะ เมินซะเถอะ ฉันยอมตาย”
ความอดกลั้นหมดลง พู่กันว๊ากใส่เมื่อเนลโลพูดแทงใจดำ

“เออเดี๋ยวได้ตายสมใจ ถ้าไม่จัดการเปลี่ยนชุดที่ฉันหามาให้ ไม่มีเวลาแล้ว”

เป็นครั้งที่สองจริงๆ ที่เนลโลตะคอกใส่พู่กันนับตั้งแต่พามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ความน่ากลัวฉายออกมาทั้งสีหน้าและแววตา พู่กันมองเห็นความเหี้ยมเกรียมจนขนลุกซู่ น้ำตาคลอเบ้ามิใช่เพียงแค่ความหวาดกลัวแต่นั่นหมายถึงกำลังใจที่มีน้อยนิดหายไป หยดน้ำตาร่วงรินตรงแก้มเนียน อีกครั้งที่ติสสาวไม่อาจปกปิดความอ่อนแอให้เนลโลเห็น ดวงตากลมโตมีคำถามที่ชายหนุ่มไม่อาจตอบได้ ท่าทียังนิ่งเฉยสีหน้าเรียบติดขรึมไม่แสดงท่าทีอันใดออกมา มีเพียงกรามที่ถูกขบขึ้นเป็นสันนูน เขาเบือนหน้าหนี พูดเสียงอ่อนลง

“อีกไม่นานเธอก็จะรู้เองว่าสิ่งที่ฉันทำไปมิได้เจตนาร้ายกับเธอ ตอนนี้ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้ เอาเป็นอันว่าเชื่อฉันสักครั้ง ฉันอยากให้เธอเปลี่ยนชุดนั่น สลัดคราบสาวเอเชียออก แล้วเธอเดินออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ”
“หมายความว่านายจะปล่อยฉันไปเหรอ”
พู่กันหูผึ่งเมื่อเนลโลหลุดปากออกมาเธอกำลังจะเป็นอิสระ แววตาลังเลคลางแคลงใจมากกว่าเชื่อถือ

“มันเป็นความต้องการของเธอมิใช่เหรอ”
พู่กันเห็นอะไรบางอย่างในแววตาเข้มแวบเดียวก่อนจะเลือนหายไป

“เป็นไปไม่ได้ นายตั้งใจทำอะไรแน่ๆ”
ติสสาวพูดตามใจคิดเพราะไม่เชื่อว่าหนุ่มหน้าหล่อจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ ทั้งๆที่เธอพยายามอ้อนวอนสารพัด ทั้งคิดและเคยทำเพื่อไปให้พ้นจากที่นี่แต่ไม่เคยสักครั้งชายหนุ่มดักทางเธอได้ตลอด

“เรื่องฆ่าคนสำหรับฉันมันง่ายพู่กัน ถ้าฉันจะฆ่าเธอจริงๆ ฉันก็คงทำไปนานแล้วไม่ต้องปวดหัวกับวีรกรรมป่วนแต่ละอย่างของเธอหรอก เอาเป็นอันว่าที่ฉันทำไปมีสาเหตุแน่นอน เป็นไปไม่ได้จู่ๆว่าฉันจับตัวเธอมาไว้ที่นี่ทำไม และบัดนี้มันกำลังจะจบลงด้วยการคืนอิสรภาพให้กับเธอ เธอน่าจะดีใจสิ่งที่เธอร่ำร้องมาตั้งแต่ต้นกำลังจะได้มัน จงรีบทำตามที่ฉันบอกแล้วเธอจะได้ไปจากที่นี่เสียที เข้าใจไหมยายเบื้อกเอ้ย”

เป็นคำสั่งที่พู่กันไม่ค่อยจะเข้าใจมากนักแต่เธอกลับเชิ่อถือคำพูดของเนลโล เธอสัมผัสมันได้ด้วยสัญชาติญาณว่าเนลโลมิใช่ตัวอันตรายสำหรับเธอแม้แต่น้อย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตะคอกใส่เธอด้วยบอกกันดีๆ ก็ได้ แค่ให้แต่งตัวประหลาดๆแบบนี้พู่กันบ่หยั่นหรอกสบายมาก ติสสาวคิด ก่อนจะทำตามคำสั่งของเนลโลไม่วายที่จะย่นจมูกใส่เสื้อผ้าสุดแซบทำปากจิ๊กจั๊กไปด้วย

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


ร่างสูงของเก็จพรหมเดินเลาะริมฝั่งลำคลองเป็นแนวรั้วของหมู่บ้าน จนเกือบถึงปากอ่าว ตลอดทางเต็มไปด้วยสีสันแนวหน้าต่างมีกระถางดอกไม้เข้ากับสีขอบหน้าตาได้อย่างกลมกลืน ถ้าอยู่ช่วงเวลาปกติป่านนี้คงได้ยินเสียงพอใจครางอยู่ในลำคอของติสสาวตลอดทางที่ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมเหล่านี้ พร้อมๆกันได้เห็นแววตาชื่นชมตื่นตากับความงดงามเหล่านี้ นายหัวหนุ่มหยุดยืนลานกว้างมีเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ ตลอดทางที่เดินมายังไม่เห็นบ้านที่มีลักษณะตามที่นัดแนะเอาไว้ ขณะที่หันรีหันขวางพลันสายตาเขาพบกับตัวบ้านที่เยื้องลึกเข้าไปอีกเกือบห้าสิบเมตร ใช่แล้วบ้านหลังที่เค้ากำลังหามิรอช้าเก็จพรหมรีบสาวเท้าตามทางเดินทันที หน้าบ้านมีผู้ชายร่างสูงใหญ่กำลังมองมาทางเขาอยู่เช่นกัน จวนถึงตัวบ้านเก็จพรหมเพ่งตรงที่หน้าหล่อเข้มแบบฉบับชายยุโรป

“สวัสดีครับคุณคือ เนลโลใช่ไหม?”
เก็จพรหมถามอย่างไม่ลังเล

“ใช่ผมเอง คุณก็คือเก็จพรหมใช่หรือเปล่า”
สองหนุ่มต่างเชื้อชาติยื่นมือสัมผัสกันและกัน สีหน้าที่จ้องลึกเข้าไปในตาอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องเอ่ยคำพูดต่างก็รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่

“ใช่ผมเอง ”
ขณะตอบสายตาเข้มมองหาร่างของใครบางคนเปี่ยมไปด้วยความหวังที่จะพบเจอ

“เดี๋ยวก็คงออกมา”
เนลโลอ่านสายตานั้นออก น้ำเสียงเรียบบอกพร้อมกับหันมองกลับเข้าไปในตัวบ้าน โดยมีสายตาเข้มของเก็จพรหมตามไปด้วย

“ผมต้องขอบใจคุณจริงๆ เพียงลำพังผมไม่รู้จะหาพู่เจอได้ยังไง”
เจ้าพ่อรีสอร์ทเอ่ยขึ้นเมื่อนิ่งไปอึดใจ เพราะตัวเขาเองไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้ ทั้งๆที่ภายในใจเขามีอะไรมากมายที่ตั้งคำถามเอาไว้ แต่สายตาของเนลโลบอกเขาว่าป่วยการถามเพราะคงไม่ได้คำตอบในเวลานี้แน่นอน

“หึหึหึ ไม่มีใครหาเจอง่ายๆหรอก”
เสียงหัวเราะในลำคอ แหล่งกบดานแม้แต่สมุนของเบรโต หลายครั้งที่เดินสวนกันแต่กลับไม่มีใครเอะใจแม้แต่น้อย

“เธอเป็นไงบ้าง เค้าบาดเจ็บมากไหม”
เก็จพรหมอดถามไถ่อาการคนรักไม่ได้ ความกังวลใจยังค้างคาเกินจะรอเห็นด้วยสายตา

“หายดีแล้ว นั่นไงเจ้าหล่อนเดินมาแล้ว หึหึหึ คิดไว้ไม่ผิดเลย”
เนลโลปุ้ยปากให้เก็จพรหมเห็นหญิงสาวแต่งตัวประหลาดเหมือนคุณตัวแถวริมฟุตบาทกลางคืนไม่ได้ ผมสีทองสั้นรับกับหน้าสาวติสเป็นอย่างดี ขัดผิวสีแทนของสาวให้ผ่องขึ้น ติสสาวก้มหน้างุดเดินออกมาโดยมีเลญ่าตามมาด้วยหน้าอมยิ้มกับท่าทางหงุดหงิดของติสสาวไม่ได้

“พู่...พู่กัน”

เก็จพรหมอุทานออกมาเมื่อเห็นเห็นหญิงสาวร่างบางผมสั้นสีทองอยู่ในชุดสีแสบตัวสั้นกุด ใครที่เห็นก็ไม่ต้องเดาว่าอาชีพของเจ้าหล่อนคืออะไร ดวงหน้าหวานบูดบึ้งยังคงปราศจากเครื่องสำอางเช่นเดิม เกิดไปเจอติสสาวในร่างแปลงโฉมแบบนี้ที่อื่นเขาบอกตัวเองได้ว่าไม่คิดมองแน่นอน หัวใจนายหัวหนุ่มแทบหลุดออกมาเต้นนอกตัว เสียงเต้นแรงจนคิดว่าชายอีกคนที่ยืนอยู่อาจได้ยินเพราะตาเข้มที่มองเขานั้นบอกว่าเข้าใจความรู้สึกเขา เสียงที่คุ้นหูดังแว่วมาให้ติสสาวเงยหน้ามองชายที่ยืนอยู่กับเนลโล ร่างบางหยุดเดินเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

“คุณพรหม!”

เสียงอุทานดังกึกก้องในโสตแต่มันกลับเบาหวิวผ่านริมฝีปากอิ่ม น้ำตาแห่งความดีพรั่งพรูไหลอาบแก้มเนียน ร่างบางวิ่งผ่านร่างสูงของเนลโลโถมสู่อ้อมกอดของเก็จพรหมที่กางมือรับไว้อยู่แล้วอย่างไม่อายใคร เรียวแขนเล็กๆ สอดเข้ากอดร่างหนาของเก็จพรหมไว้แน่นเหมือนเกรงว่าชายหนุ่มจะหายตัวไป ซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นดูเป็นน่าเวทนาสร้างความเต็มตื้นในหัวใจแก่นายหัวหนุ่มจนต้องกระซิบพร่าด้วยความรู้สึกโปร่งโล่งหัวใจหลังจากที่หนักอึ้งมาเกือบสามอาทิตย์มันสลายไปเมื่อร่างนุ่มนิ่มโผเข้าหาที่พักพิงกับอกเขา ชายหนุ่มก้มกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคนเป็นการปลอบขวัญคนรัก

“พู่จ๋าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกันอีก คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงที่สุดคนดีของฉัน”
“พู่ก็คิดถึงคุณพรหมเหลือเกินคะ”
เสียงอู้อี้อยู่ในอกกว้างแม้จะแสนเบาแต่กลับดังก้องในหูจนต้องรวบร่างบางแน่นแทบจะเป็นเนื้อ

“ไม่เป็นไรแล้วนะผมมารับพู่กลับบ้านแล้วนะ”
เดียวกัน เสียงทุ้มกระซิบตอบฟังแล้วช่างอบอุ่นและกอบกู้สิ่งที่โหยหาเติมเต็มหัวใจ เก็จพรหมรู้สึกได้เมื่อเรียวแขนกระชับพร้อมกับซุกตัวแนบแน่น

“ทำไมมาช้าจังเลย คุณพรหมรู้ไหมว่าพู่กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอใครๆอีกแล้ว”
เสียงครือติดน้อยใจเคยคิดว่าชายหนุ่มคงไม่คิดติดตามเธอก็ได้ น้ำตาซึมเนื้อผ้าไปถึงเสื้อชั้นใน นายหัวหนุ่มบอกเล่าความในใจระหว่างที่ตามหาเธอ

“พู่จ๋าที่ผ่านมาผมเหมือนตกขุมนรก เหมือนไฟเผานั่งไม่ติดที่ แทบคลั่งเมื่อตามหาพู่แล้วไม่ ถ้าพลิกแผ่นดินประเทศนี้ได้ผมก็คงทำไปแล้วที่รัก”


เนลโลยืนมองสองหนุ่มสาวพร่ำพรรณาด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างเงียบๆแม้ไม่เข้าใจภาษาของทั้งคู่แต่เขาพอรู้ว่าคงมาจากหัวใจรักที่โหยหากันและกัน

“ไม่มีเวลาแล้วพวกคุณรีบไปกันเถอะ”

เนลโลเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา เก็จพรหมดึงตัวพู่กันออกแล้วซับน้ำตาให้ติสสาวอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปกล่าวขอบคุณเนลโลอย่างจริงใจ สำหรับพู่กันแม้จะไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดแต่สายตาที่มองดูมัจจุราชหนุ่มนั้นคือความขอบคุณ ติสสาวขยับตัวเดินสวมกอดร่างเล็กของเลญ่าอยู่นานเกือบนาทีเพื่อซึมซับความรู้สึกดีๆ ที่ผ่านมา แล้วถอยห่างจ้องหน้าสวยคมของสาวน้อยส่งภาษามือกล่าวลา ซึ่งเด็กสาวไม่ต่างจากเธอมากนักยืนต่อมน้ำตาแตก เด็กสาวคงรู้แล้วว่าสาวไทยพลัดถิ่นมาอาศัยด้วยบัดนั้นถึงเวลาต้องจากกัน ทั้งสองสวมกอดกันร้องไห้เบาๆอีกครั้ง เพราะอาลัยความผูกพันต่อกันนั่นเอง

“เลญ่าเป็นเด็กดีนะ เธอต้องหมั่นฝึกวาดรูปและระบายสี อย่าหยุดต่อไปจะได้เป็นอาชีพของเธอเอง”

พู่กันพูดและบอกเป็นภาษามือให้เด็กสาวอีกครั้ง ร่างบางผละจากเลญ่าเงยขึ้นมองหน้ามัจจุราชหนุ่ม แววตาที่สานสบนั้นเปี่ยมไปด้วยความขอบคุณอย่างซาบซึ้งจนมัจจุราชหนุ่มอึ้ง เพราะที่ผ่านนอกจากยียวนกวนโมโหแก่นกะโหลกกะลาประสาติสแตก แต่ก็แฝงไว้ถึงความมีน้ำใจให้โอกาสผู้อื่นโดยเฉพาะเลญ่าที่พู่กันถ่ายทอดความเป็นศิลปินและดึงพรสวรรค์ชั้นเยี่ยมออกมาจากน้องสาวของเขา เนลโลก้มหัวให้ติสสาวอย่างยียวนเป็นการส่งท้ายยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดออกมา ร่างบางได้โผเข้ากอดร่างสูงใหญ่แม้แต่เก็จพรหมเองยังมองอย่างไม่เข้าใจ

“ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่คุณมอบให้ฉันเนลโล แม้ฉันจะทุกข์เศร้าในบางเวลาแต่คุณก็ทำให้ฉันรู้สึกสนุก หัวเราะได้ คุณทำให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เพื่อนใหม่ และได้น้องสาวอย่างเลญ่าและคุณเหมือนเป็นพี่ชาย”

“หึหึหึ ช่างพูดนะเธอ เดี๋ยวฉันเปลี่ยนใจให้เธออยู่ต่อซะหรอก”
เนลโลหยอกเย้าพู่กัน ความปิติวาบเข้ามาในหัวใจ มือใหญ่วางบนกลุ่มวิกผมเบามือเสมือนพี่ชายเอ็นดูน้องสาว แววตาที่มองกลับนั้นดูอบอุ่นลุ่มลึกคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ตาเข้มกระพริบตาพร่ายามได้เห็นรอยยิ้มเก่ไก๋ของพู่กันจนต้องเสหัวเราะบดบังบางอย่างเอาไว้

“ต่อไปบ้านนี้คงจะเงียบไม่เบาลิงทะโมนไปซะแล้ว”
“ฉันเพิ่งทราบว่าคุณเห็นพู่เป็นลิงเป็นค่าง”
ติสสาวโวยวายอย่างไม่จริงจังเมื่อได้ยินสรรพนามที่เรียกเธอ จนลืมความขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้

“ผมไม่ขอออกความคิดเห็นครับ ฮะ ๆ ๆ ๆ”
เก็จพรหมหลุดขำหัวเราะพรื้ดกับคำเปรียบเทียบความซุกซนของพู่กันได้ไม่ไกลมากนัก

“แน้แล้วกัน”
พู่กันค้อนประหลับประเหลือกสองหนุ่ม ก่อนจะฉวยมือกอดแขนเก็จพรหมอย่างกลัวหาย แหงนหน้ายิ้มตาหยีปีกผีเสื้อทาบบนโหนกแก้มลักยิ้มบุ๋มแข่งกับเขี้ยวมุมปาก เก็จพรหมมองอย่างแสนรักส่วนอีกคนได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งของสองหนุ่มสาวคนไทย

“พวกคุณรีบไปเถอะ”
เนลโลเหลือบมองดูเวลาที่ข้อมือเขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงเร่งให้ทั้งคู่ออกจากที่ตรงนี้โดยเร็ว

“ครับงั้นผมกับพู่ขอลาคุณตรงนี้เลย”
เก็จพรหมสบตาเข้มขุ่นของเนลโลเริ่มเข้าใจบางอย่างลางๆ จึงเอ่ยลาพลางกระตุกมือพู่กันให้กล่าวลาเจ้าของบ้าน

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม”
พู่กันเอ่ยถามเนลโลและอดไม่ได้ที่จะหันไปดูเลญ่าอีกครั้ง

“ได้พบสิ ฉันเชื่อเราจะได้พบกันอีก”
เนลโลให้คำตอบที่ในใจเขาว่าคิดว่าเป็นไปได้ยาก

“จริงๆ นะ พาเลญ่าไปด้วยนะ”
พู่กันเอ่ยน้ำเสียงครือ เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่ากำลังจากเพื่อนสนิทอย่างถาวร

“ผมลาล่ะครับ”
“ฉันไปนะ”

เนลโลยืนมองดูสองหนุ่มสาวคนไทยเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ร่างเล็ก ๆ ในชุดแสบจิ๊ดนั้นยังคงหันมองกลับมาเป็นระยะ ก่อนจะเดินลับตาไป มือหนาโอบกอดเลญ่าที่ยังยืนเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ก่อนจะวางทาบทับบนกลุ่มผมสรวย เขาเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวเป็นอย่างดีว่า คนที่เธอปลื้มจากไปโดยไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ ต่อไปนี้เสียงดนตรี เสียงเพลง เสียงโวกว๊ากยามที่อารมณ์ติสแตกหลุดออกมา และเสียงหัวเราะเปิดเผยเมื่อได้ทำอะไรถูกอกถูกใจเจ้าหล่อน ร่างสูงใหญ่ก้มลงมองเลญ่าอย่างเห็นใจเมื่อเห็นแววตาหม่นเศร้า ชายหนุ่มพยักหน้าให้น้องสาวแล้วเดินกอดคอพากันเดินเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจโหวงเหวง ความเหงาคืบคลานเข้ามาในหัวใจมัจจุราชหนุ่มโดยที่เจ้าตัวเริ่มรู้สึกขึ้นมา.........


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚




Create Date : 16 พฤษภาคม 2555
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 14:27:56 น.
Counter : 897 Pageviews.

9 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสยี่สิบสี่


แหะ ๆ ต้องขอโทษเพื่อนนักอ่านมากมาย
แม่หนูยิมเอามาเจิมเรียกน้ำย่อยก่อนนะคะ
แล้วจะรีบมาอัพให้คะ.....



พู่กันในจินตนาการ...




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚

“อะไรกัน แค่นี้ก็ตามกลิ่นมันไม่เจอเลยหรือไง? ฉันไม่เชื่อว่าไอ้เนลโลมันขุดรูอยู่ ”

เสียงเอะอะเล็ดลอดออกมาจากห้องสปาทำเอาจุมพิตากำลังเดินผ่านมาหยุดชะงักเมื่อได้ยินชื่อมัจจุราชหนุ่มเข้าอย่างจัง เสียงอ้อมแอ้มตอบของบรรดาสมุน พอเดาได้ว่าพวกเขาได้พยายามทุกวิธีแล้วแต่ไม่มีใครเห็นเงาของเนลโลเพียงสักคน จุมพิตารู้สึกเห็นใจน้องเขยของตัวเองยิ่งนัก ทำไมเธอจะไม่เข้าใจล่ะว่าหากคนที่เรามีใจปฏิพัทธ์หายไป ย่อมเป็นกังวลเพราะห่วงไหนจะกลัวว่าถูกทำร้ายหรือถูกล่วงเกิน นี่เบรโตคงกลัวว่าสาวไทยอาจจะอยู่ในสภาพเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ผ่านมานั่นเอง

จุมพิตาพาร่างที่เริ่มอวบโดยเฉพาะเอวที่หนาขึ้นหมุนตัวกลับไปทางเดิมทั้งไม่วายส่ายหน้าเศร้าใจต่อโชคชะตาของตัวเองที่ต้องมาเจอะเจอเรื่องคาวๆฉาวๆไม่จบไม่สิ้น พู่กันสาวไทย แม้ไม่เคยเห็นหน้าแต่พอจะเดาออกว่า หญิงสาวผู้นี้ต้องสวยอย่างแน่นอนอาจจะมากกว่าหญิงสาวนางอื่น ๆ ที่ผ่านมาไม่งั้นจะมีผู้ชายถึงสี่คนต่างได้ให้ความสำคัญเจ้าหล่อนหรอก เท้าที่เก้าเดินห่่างออกไปพลันชะงักค้างเพราะถ้อยคำและน้ำเสียงกร้าวดุดันของยมฑูตหนุ่มประหนึ่งจะประกาศิตชีวิตคนๆหนึ่งให้รุ่งเรืองหรือดับสูญในเวลาเดียวกัน

“พวกแกต้องกลับไปฟลอเร้นซ์และนี่คือรูปผู้หญิงที่อังวาห์ต้องการ พวกแกจะเอาชิงตัวหล่อนจากเนลโลให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็แล้วแต่พวกแก!”
“ครับนาย”
“อ้อ! ปิดงานเหมือนเคย”
“ครับนาย”

การสนทนาของคนข้างในยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ระดับเสียงดูจะไต่ขึ้นลงเหมือนเมโลดี้ไม่ต่างจากระดับเสียงเต้นหัวใจของคนอยู่ข้างนอก จุมพิตาเกิดรู้สึกร้อนใจและเกิดความกังวลขึ้นมาทันควัน เพราะทุกถ้อยคำที่เธอได้ยินมันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้วนี่หมายความว่าเธออยู่ท่ามกลางความโหดร้ายมาตลอดอย่างนั้นหรือ พี่สะใภ้ของเบรโตคิดด้วยใจสั่นไหว เบื้องหน้าดูสวยหรูและบริสุทธิ์ในขณะที่หลังฉากกลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายเหี้ยมเกรียมผิดมนุษย์มนา ใครจะเชื่อว่าภายใต้หน้าตาดีดูใสซื่อแววตาดูขรึมเป็นนิจ กลับอำมหิตเกินรับได้ จุมพิตาพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเพื่อมิให้เป็นลม ขณะที่เท้ายังคงเดินกระสับกระส่ายอยู่นอกห้อง ในใจคิดแต่ว่าเธอจะช่วยคนชาติเดียวกับเธอได้อย่างไร ด้วยความไม่ระวังทำให้หัวร้องเท้าชนกับประตูห้องเสียงดังกึก เสียงภายในห้องสปาเงียบทันควัน เสียงมีอำนาจที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักจากน้องชายอังวาห์ดังขึ้นออกมา

“ใคร? ใครอยู่ข้างนอก ”
“ฉัน...ฉันเอง จูน”
เสียงแผ่วเบาติดตะกุกตะกักขานตอบ นึกด่าตัวเองในใจที่ซุ่มซ่าม

“จูน?”
น้ำเสียงแปลกใจและโทนเสียงที่เปลี่ยนไป


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚


ที่ฟลอเร้นซ์....
เก็จพรหมกดรับโทรศัพท์ขณะกำลังก้าวออกจากเรือและยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

“ครับพี่แก้ว”
“พรหม...พรหมมีข่าวน้องไหม?”

เสียงกังวลใจของพี่สาวคนเดียวของเจ้าพ่อรีสอร์ทแว่วออกจากโทรศัพท์ หน้าเข้มเงยขึ้นสูง มิได้เกิดจากความรำคาญแต่เพราะเขาไม่อยากแจ้งข่าวคนรักในเวลานี้เพราะต้องการไปเจอตัวก่อนตามที่ได้ข้อมูลมา และคงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก จึงตัดบทด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“พี่แก้วฮะ เดี๋ยวผมโทรกลับนะฮะ”
“ไม่ได้สิ คุยกันก่อนแป๊บนึงสิ”

เสียงพี่สาวละล่ำละลักท้วงมาจนคิ้วเข้มขมวดอย่างแปลกใจ เพราะเก็จแก้วไม่เคยยื้อเขาไว้สักครั้ง

“ฮะ?”

เจ้าพ่อรีสอร์ทเปล่งเสียงสูงกลับไป ไร้เสียงตอบกลับแต่ได้ยินเสียงเก็จแก้วคุยกับใครบางคนอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเสียงที่เขาได้ยินกลับมานั้นเป็นเสียงนุ่มเหมือนผู้ใหญ่ใจดีของชายวัยกลางคน

“คุณพรหมใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”

เก็จพรหมใจเต้นแรง ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาตอบสั้น ๆ เพื่อรอคำถามอื่น ๆ ต่อจากนี้

“ฉันเป็นพ่อของพู่กันนะ”
“ฮะ..เออ..สวัสดีครับ เออคุณ..ลุง..”
“คุณได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเจ้าพู่บ้างไหม”
“อะ..คือ..ครับ?”


....ขอติดไว้ก่อนนะคะ ....




Create Date : 10 พฤษภาคม 2555
Last Update : 10 พฤษภาคม 2555 9:40:56 น.
Counter : 822 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

gymstek
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



>