ความรักของคริสตัลก็ช่างลุ่มๆดอนและมีอุปสรรคขวากหนามมากมาย เพราะการเมืองนาซีล้วนๆ..
เธอเล่าให้เรื่องฟังอย่างกลัดกลุ้มว่า..
"อีดิธ..ไอ้พวก SS นะ..มันสร้างความเดือดร้อนอย่างไม่หยุดยั้งเลยเชียว โดยเฉพาะไอ้กฏหมายนูเรมเบอร์คบ้าบอนั่นก็อีก..ที่ว่า ปู่ย่าตายายทั้งสองสายต้องเป็นอารยันทั้งหมด ลูกหลานจึงจะเป็นอารยัน
และถ้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อสายยิว ลูกหลานก็ให้นับว่าเป็นยิว..ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไหนก็ตาม..ใช่ม๊ะ..แล้วอะไรเกิดขึ้นเธอรู้ปล่าว..เบอร์สกี้ แฟนฉันน่ะ พ่อเขาเป็นยิวที่เกิดในเชคโก..."
"ตายจริง.." ฉันตกใจถึงกับต้องอุทาน
"งั้นนะซิ..แต่ทีนี้นะ..มันมีเรื่องยุ่งยิ่งกว่าอีก คือ พ่อฉันน่ะ เขาช่วยยัดเงินใต้โต๊ะไปซื้อเอกสารมายืนยันได้ว่า บรรพบุรุษทั้งสองสายของพ่อเบอร์สกี้ เป็นอารยันทั้งสองฝั่งจนได้ เป็นการดำเนินงานที่เข้าท่าใช่ม๊ะล่ะ?"
"แหม..โล่งอก." ฉันก็พลอยถอนหายใจเฮือกไปกับเธอ
"แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิ..เพราะทันที่ที่ทำเอกสารที่ว่าพ่อของเบอร์สกี้เป็นอารยันแท้ๆเสร็จสิ้นลง..พวกนาซีเรียกชื่อเขาไปเกณฑ์ทหารทันที"
"ตายแล้ว.." ฉันใจหายวูบ
"พอพ่อของเบอร์สกี้ไปรับหมายเกณฑ์ตามที่เรียกเท่านั้น..เขาก็เห็นชัดว่าไม่ใช่อารยัน แต่เป็นยิว..ก็เลยถูกจับเข้าคุก แต่ในขณะเดียวกัน เบอร์สกี้ก็ถูกหมายเกณฑ์เช่นกัน..
เพราะเอกสารที่ซื้อมาดูน่าเชื่อถือว่าเป็นอารยันจริง แต่..พวกนาซีมารู้ทีหลังว่า เบอร์สกี้มีพ่อที่ติดคุก แต่ไม่มีใครรู้ว่า ติดคุกเพราะสาเหตุอะไร
พวกเขาจึงต้องทำโทษเบอร์สกี้ในฐานะที่ไม่ได้ให้การไปตามความจริง โดยปลดเขาออกการเป็นทหารเกณฑ์ และส่งตัวกลับเวียนนา แล้วอะไรเกิดขึ้นอีกเธอรู้ไหม..?
"อะไรเหรอ??"
"ก็ขณะที่เบอร์สกี้กำลังเดินทางกลับมาเวียนนานั้น หน่วยทหารนั่นถูกระเบิดของพวกฝรั่งเศสกู้ชาติตายเรียบเลย"
ฉันรู้สึกเสียใจที่ได้รับทราบถึงการสูญเสียชีวตของทหาร แต่ก็ยังดีใจลึกๆที่ได้รู้ว่า ..อย่างน้อยๆก็ยังมีขบวนการต่อต้านนาซีอยู่ในโลกนี้จริงๆ
"แต่ตอนนี้ พวกเขาคงรู้แล้วละ ว่า เบอร์สกี้คือลูกยิว..เพราะว่าพวกเกสตาโปเริ่มออกตามหาตัวเขาแล้วละ"
"โอย..แย่แล้ว" ฉันรู้สึกใจหายวูบ
"แต่..ฉันหาทางออกไว้แล้วละ พ่อได้ซื้อร้านเล็กให้ฉันร้านนึงจากชาวยิวสำหรับทำการค้าแบบขายของที่ระลึก กระจุกกระจิกอะไรอย่างนั้น..ซึ่งมีสิทธิที่จะจ้างนักบัญชีมาช่วยงาน ฉันก็เลยจะจ้างเบอร์สกี้นี่แหละ"
"แต่มันเสี่ยงมากนะ คริสตัล เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่กันมาที่ร้านเธอหรอก"
"พวกเขาเคยมากันแล้ว..และบอกให้ฉันไปรายงานตัวที่สำนักงานเกสตาโปในวันพรุ่งนี้" คริสตัลตอบหน้าตาเฉย..
"อย่าไปเลยนะ..อย่าไปเสี่ยงเลย คริสตัล..เธอเป็นอารยัน จะไปไหนก็ไปได้ น่าจะออกไปนอกประเทศ ไปให้พ้นๆจากวงจรนาซีนี่เถอะ" ฉันรีบเตือนด้วยความเป็นห่วง
"พ่อกำลังจะไปทำงานในหน่วยการสร้างเครื่องต่อสู้อากาศยานที่มุนสเตอร์
แต่ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ อีดิธ"
การที่คริสตัลจะไปที่สำนักงาน Brown House ฉันไพล่ไปนึกถึงเมื่อตอนที่ฮันซี่ น้องสาวถูกพวกเกสตาโปจับไปนั่งทรมานให้เย็บกระดุมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่คริสตัลกลับไปเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยสักนิด..เธอว่า
" อีดิธที่รักจ๋า..ขอยืมเสื้อสีเหลืองที่มีลายปักเป็นรูปนกไปใส่หน่อยนะ..รับรองน่า ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย"
วันรุ่งขึ้น คริสตัลเฉิดฉายในเสื้อสีเหลืองตัวสวยด้วยฝีมือตัดเย็บของแม่ฉัน ซึ่งเธอสวมใส่ได้อย่างพอดีตัว ปากทาด้วยสีแดงสวย ขนตาถูกปัดให้เป็นสีเข้ม
เธอเดินกระโปรงบานพริ้วไปตลอดทางจนถึงสำนักงานเกสตาโป ที่เมื่อไปถึง..เหล่าผู้ชายที่นั่น ต่างพากันชะเง้อคอยาวข้ามเคาน์เตอร์มาคอยสบตากับสาวงาม คริสตัล
ผู้กอง..คนที่เป็นเจ้าของเรื่อง ออกมาต้อนรับแบบแสร้งทำท่าขรึม
"คุณเดนเนอร์.. คุณมีลูกจ้างที่มาทำบัญชีให้ที่ร้าน ตอนนี้เขาไปที่ไหนเสียล่ะครับ.."
"อ๋อ..พนักงานทำบัญชีของดิฉันน่ะหรือคะ..ตอนนี้ยังอยู่ในการเดินทางไปหลายที่น่ะค่ะ เพราะเพิ่งส่งโปสการ์ดมาให้ฉันนี่เอง"
"ถ้ากลับมาเมื่อไหร่..ให้มารายงานตัวที่นี่นะครับ"
"ได้เลยค่ะ ดิฉันจะให้เขามาทันที"
ว่าแล้ว..เธอก็ยิ้มหวานปานหยดให้กับผู้กองหนุ่มนั่น ผู้ซึ่งจับมือเธอขึ้นไปจุมพิตเบาๆและขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงกาแฟ ซึ่ง เธอมิได้ปฏิเสธ
"ว่าอะไรนะ..เธอไปออกเดทกับพวกเกสตาโปเชียวหรือ?" ฉันเอะอะลั่น
"แหม..มันก็แค่เลี้ยงกาแฟน่ะ จะเป็นไรไป.." คริสตัลรีบอธิบายต่อว่า
"ขืนไม่ไปซิ..จะได้มีพิรุธเป็นที่สงสัยแย่..แต่อีตาผู้กองนั่น ก็ขอนัดเจอครั้งต่อไปนะ ฉันเลยตัดบทบอกไปว่ามีแฟนเป็นทหารอยู่แนวหน้าเหมือนกัน และ ไม่อยากทำอะไรให้คู่รักไม่สบายใจ"
คริสตัลยิ้มยียวนแบบผู้ชนะ..พร้อมกับทำท่ากรีดกรายส่งเสื้อตัวสวยนั่นคืนมาด้วยมาดราวกับดาราฮอลลีวูด
เพราะด้วยฝีมือของสาวน้อย.. เบอร์สกี้จึงเป็นยิวที่โชคดีที่สุดในโลก เพราะเขานั่งทำงานอย่างสบายใจในใต้ถุนร้านของเธอ
เปปปิแวะมาเยี่ยมทุกวันหลังจากเลิกงาน.. เขาได้งานทำที่ศาลในตำแหน่งเสมียนพิมพ์งาน ซึ่งกว่าจะเดินมาถึงซึ่งใช้เวลากว่า สี่สิบห้านาทีก็ปาเข้าไปทุ่มนึง
และเขามักจะวางนาฬิกาไว้บนโต๊ะ
เพื่อที่จะได้ไม่ลืมที่จะออกเดินทางกลับบ้านในเวลา สามทุ่มสิบห้า เพื่อจะได้ถึงตามเวลาที่แอนนากำหนดไว้ให้คือ ต้องกลับบ้านเวลาสี่ทุ่มตรง..
ความรักของเราทั้งสองไปไหนไม่ได้ไกล นอกจากการเดินออกไปนั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ หรือ แอบไปพรอดรักกันบ้างในแฟลตของเขา..
แต่ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังจะมีความสัมพันธที่ลึกล้ำ เสียงเอะอะมาจากห้องชั้นล่าง..ที่มีเสียงของหญิงได้ร้องรำพันออกมาด้วยความเจ็บช้ำว่า
"อย่าเอาเขาไปเลยค่ะ...ได้โปรด เขาไม่มีความผิดอะไร..กรุณาเถิดค่ะ"
แต่..ไม่มีผลอันใด นอกจากเสียงฝีเท้าคนหลายๆคนที่กำลังเดินขึ้นลงบันได..เข้าทำการจับกุมผู้คนในอาคารนั้น..
ทั้งฉันและเปปปิ ..ต่างเต็มไปด้วยความหวาดผวา อารมณ์รื่นในรสกามา..เหือดหายไปสิ้น..
วันรุ่งขึ้น..เปปปิไม่ได้ไปทำงาน..และไม่ไปปรากฏตัวอีกเลย ไม่ใช่เพราะว่าถูกไล่ออก แต่..เป็นเพราะต้องหยุดไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ดังเช่นพวกครึ่งยิว ค่อนยิวทั้งหลาย..
เปปปิอยู๋ในฐานะที่ลำบาก..เพราะ
ไม่สามารถที่จะได้รับบัตรปันอาหารสงเคราะห์ยิว..เพราะ ตอนนี้เขาไม่ใช่ (ตามเอกสาร)
และไม่สามารถไปรับบัตรปันส่วนของฝ่ายอารยัน..เพราะ..ถ้าไป..ก็จะถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร
แอนนา..ต้องไปสบถสาบานไฟแลบกับเจ้าพนักงาน ว่า เธอสูบบุหรี่จัดมาก เพื่อที่จะได้โควต้าเพิ่ม (เอาไปเผื่อลูก)
กลางวันเขาจะไปนั่งเงียบๆตามปาร์คโดยไม่ทำตัวให้เป็นที่สนใจใดๆ
ส่วนเวลาว่างทั้งหมด เขาใช้มันไปหมดไปโดยการร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้กับออสเตรียเอาไว้ใช้
ในอนาคต..ยามที่ปลอดยุคนาซี
น่าตลกดีไหม..แฟนฉัน..พ่อนักปราชญ์เปปปิที่บังอาจร่างตัวบทกฏหมายว่าด้วยรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองประเทศ..ทั้งๆที่ยังไม่รู้สถานะของตัวเองซะด้วยซ้ำว่าเป็นราษฏรเต็มขั้น หรือ ครึ่งขั้น หรือ ยังมีสิทธิในการเป็นพลเมืองเหลืออยู่กับเขาหรือเปล่า..?
ปี 1939 เยอรมันบุกโปแลนด์ อันเป็นเหตุให้ฝรั่งเศสและอังกฤษประกาศสงครามตูมขึ้นมา.
.พวกเราต่างยินดีกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดว่า อย่างไรเสียในที่สุด ก็จะต้องมีคนมาต่อต้านนาซีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ฉะนั้น..การที่ยังคงอยู่ในเวียนนาก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะอีกหน่อย ฮิตเล่อร์ก็ต้องล้มหายตายจากไป
แต่..ใครเล่าจะไปรู้ว่า..พอสงครามเกิดขึ้นมา..ช่องทางที่จะสามารถออกสู่ประเทศอื่นๆต่างถูกปิดตายไปจนหมด
คนแก่และคนป่วย(ยิว)ต่างหมดทางที่จะอยู่รอดไปได้ อย่างรายของ
คุณนาย Liebermann ภรรยาหม้ายของศิลปินภาพวาด(เยอรมัน-ยิว)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง Max Liebermann ยอมปลิดชีพของตัวเองในวันที่เกสตาโปบุกไปจับ..
หนึ่งในงานศิลปของ Max
ญาติของฉัน คุณตาหมอ Ignatz Hoffman ที่เป็นลุงของแม่ แกแต่งงานใหม่กับหญิงที่มีอายุน้อยกว่ามาก และอยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอด
และก่อนที่เกสตาโปจะไปจับ..คุณตากลืนยาพิษฆ่าตัวตาย และก่อนตายได้บอกให้เมียหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงคนแก่อย่างแก..
และ..เธอก็หนีรอดออกไปได้จริงๆ พร้อมกับสมบัติที่มีค่า
พวกยิวที่มีพื้นฐานมาจากโปแลนด์ในเยอรมันและออสเตรีย ถูกส่งตัวกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม..ผู้หญิงแก่ที่อยู่ร่วมห้องกับเราสองคน ต่างก็มาลาเพราะจะโดนส่งตัวกลับ
เราได้ส่งพัศดุไปให้พวกเขาตามที่อยู่ในโปแลนด์ที่ได้ให้ไว้ โดยผ่านศูนย์สงเคราะห์ยิวในกรุงวอซอว์
แต่..พัศดุ ได้ถูกส่งกลับ เนื่องจาก เป็นการผิดกฏหมายที่จะส่งของให้ชาวยิว..
เราได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านว่า..ให้เขียนที่อยู่ผู้รับเป็นภาษาโปลิช
และ..พัศดุนั่นได้ถึงมือผู้รับจริงๆ อย่างน่าอัศจรรย์นัก
ต่อมา..เราเริ่มขาดการติดต่อในระหว่างเพื่อนและญาติพี่น้อง เพราะดูเหมือนต่างคนเริ่มล่องลอยหายไปจากพื้นดินราวกับโลกหมดแรงดึงดูด
หรือ ไม่ก็ถูกสูบหายไปในดิน..ตามรอยเท้าของทัพของนาซีที่เดินหน้าไปในยุโรปอย่างไม่หยุดยั้ง..
น้ามาเรียนส่งข่าวมาบอกว่า เธอและสามีกำลังจะย้ายไปอยู่ในอิตาลี..
น้าริชาร์ดและเมีย..ส่งโปสการ์ดมาจากเมืองจีน..
น้องฮันซี่, มิมี่ และ มิโล..ต่างเดินทางถึงปาเลสไตน์อย่างปลอดภัย
แมกซ์ สเตอร์นบาช ญาติของเรา..เป็นศิลปินมือหนึ่งที่จบจากวิทยาลัยศิลปแห่งเวียนนา( ที่ฮิตเล่อร์พยายามสอบเข้าถึงสองครั้งแต่ไม่ผ่าน)
ได้เดินทางข้ามเขาหนีไป เราหวังว่า ป่านนี้เขาคงเอาตัวรอดไปถึง สวิตเซอร์แลนด์
ส่วนฉัน..ได้ขอยืมเสื้อตัวสีม่วงสวยของคริสตัลไปใส่ถ่ายรูป เพื่อที่จะได้ให้เปปปิเก็บไว้ดู เพราะสังหรณ์ใจว่า..จากนี้ไปเราคงหาโอกาสพบกันยาก..หรือ อาจต้องแยกจากกัน
แต่เปปปิก็ยังเชื่อมั่นว่า มันคงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น..
ทั้งๆที่ ตัวอย่างก็มีให้เห็นๆคือ ออตโต ออนเดรจ สามีของเยาท์สกี้ ที่ หายไปในแนวหน้าไม่มีใครได้ข่าวคราว
เขาไม่ได้รู้ได้เห็นซะด้วยซ้ำ ว่า เยาท์สกี้ได้ลูกชายและตั้งชื่อว่า ออตโต..ตามพ่อ
ความหวังของฉัน เหลือเพียงอย่างเดียว คือ รอให้เยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ ขอให้ฝรั่งเศสสู้รบอย่างแข็งขัน หรือ ขอให้อิตาลีเข้าร่วมกับอังกฤษ
หรืออเมริกาโจนเข้ามาร่วมรบ..เพียงแค่นั้น..เยอรมันก็ต้องแพ้อย่างแน่นอน
แต่วันหนึ่งของปี 1940 ..ในขณะที่ฉันและเปปปิกำลังเดินเล่นเลียบแม่น้ำดานูป เสียงใครคนหนึ่งตะโกนข้ามฟากมาจากอีกฝั่งหนึ่งไกลๆว่า..
"ฝรั่งเศสแพ้แล้ว.." พร้อมทั้งเสียงไชโยโห่ก้องของประชาชนที่เต็มไปด้วยความปิติในชัยชนะของเยอรมันดังขึ้นมาอย่างอื้ออึง
ฉันกลับรู้สึกหมดแรง สิ้นหวัง..ท้องใส้พลอยปั่นป่วนไปหมด ..หายใจขัด แขนขาหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป..
เปปปิต้องเดินประคองพากลับจนถึงบ้านเขา และจัดการเอายาระงับประสาทของแอนนามาจับกรอกปากฉันหนึ่งเม็ด พร้อมทั้งเฝ้าดูว่าฉันได้กลืนมันลงไปอย่างไม่มีตุกติก
ในยามต่อมา ที่ อิตาลีร่วมประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและอังกฤษนั้น..ฉันคว้ายานี่มากลืนกินเองเชียว..โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ เพราะ ความรู้สึกได้บอกกับตัวเองว่า
อนาคตของเราได้หมดสิ้นแล้ว..เราถูกปิดตายอยู่ในอาณาจักรเผด็จการของฮิตเล่อร์อย่างไม่มีทางรอด..
เปปปิ..ไม่ยอมสิ้นหวังเหมือนอย่างฉัน..เขายังคงสม่ำเสมอต่อเรา อีกทั้งน้ำใจในการแบ่งปันอาหารจากฝ่ายอารยัน เช่น กาแฟ เนยแข็ง หนังสือ มีมาให้อย่างเป็นประจำ
ในขณะที่ ชาวยิวที่ได้หนีหลุดรอดเงื้อมมือของนาซีไปได้ จำนวน 100,000 ถึง 185,000 อันเป็นเหตุให้นาซีได้ออกกฏมาใหม่ว่า ชาวยิวในออสเตรียจะต้องมีการขึ้นบัญชี
โดยการเอาปืนมาจ่อบังคับให้ไปรวมตัวกันที่จตุรัสกลางเมือง แบ่งตามวัน..ตามตัวอักษรนามสกุล เช่น..วันนี้ F พรุ่งนี้..คือ G
และ มาถึง H ก็คือวันที่ 24 มิถุนายน 1941
ฉันและแม่..ไปยืนเข้าแถวตั้งแต่เช้า ใครที่เป็นลมเราก็ช่วยกันพยุง..พาไปเข้าร่มให้พ้นแดด..
เกสตาโปขับรถบรรทุกเวียนไปเวียนมา พร้อมกับปากกระบอกปืนที่จ่อมาทางพวกเรา
คนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถ..มากระทุ้งแม่และฉัน พร้อมทั้งบอกว่า
"ไป..ไปขึ้นรถ"
"ไปไหน..ไปทำไม" เราถาม
"ไม่ต้องมาถามคำถามโง่ๆ..ไปอียิว..ไปขึ้นรถ" เสียงมันสำราก
เราทั้งสองขึ้นไปบนรถบรรทุกนั่น..ฉันจับมือแม่ไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย และมันได้พาเราไปที่ทำงาน ที่มีพวก SS ส่งเอกสารมาให้ตรงหน้า พร้อมกับยื่นปากกา บอกว่า
"แกทั้งสองต้องออกไปทำงานในไร่ ลงชื่อรับรู้ซะ"
เท่านั้นเอง..เลือดแห่งความเป็นนักกฏหมายของฉันก็ฉีดพล่านไปทั่วร่าง..การโต้แย้งเพื่อหาทางออกได้เกิดขึ้น ฉันชี้ไปที่แม่ก่อนที่จะร่ายวาจาออกมาว่า
"หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะมาที่นี่.." พูดพลางก็ดันตัวแม่ไปยืนข้างหลัง..
"เพราะเธอไม่ใช่ชาวเวียนนา อีกทั้งไม่ใช่ยิว แกเป็นแค่อดีตลูกจ้างของฉันที่มาเป็นเพื่อนเท่านั้น.."
"ไม่ต้องพูดมาก..เซ็นชื่อซะ"
"ดูซิ..แกก็แก่ปานนั้น จะเอาไปทำงานในไร่ได้อย่างไร แถมเป็นโรคใขข้อด้วย..ทำงานไม่ได้หรอก ถ้าพวกคุณอยากได้คนทำงานนะ ไปเลือกเอาซิที่แถวนั่นน่ะ
มีน้องสาวของฉันอยู่ชื่อว่า เกรสเช่น..อายุแค่ 22 แข็งแรง ทำงานเก่งยังกะอะไรแน่ะ..ยิ่งเรื่องงานในไร่นี้ถนัดมาก..ไปดูซิ"
ฉันเริ่ม"มั่ว"ในข้อมูลเพื่อให้พวกเขาเบนความสนใจไปจากแม่.
"เอาละ..เอาละ..เลิกพูดซะที..หุบปาก ยายแก่แกไปได้แล้ว.." ว่าแล้วเจ้าหมอนั่นก็คืนอิสรภาพให้กับแม่..ส่งตัวเธอกลับออกไปข้างนอก
ส่วนฉัน..เซ็นชื่อลงไปในกระดาษนั่นอย่างไม่มีเงื่อนไข..
ในนั้นคือ สัญญาการส่งตัวออกไปทำงานในไร่ที่ตอนเหนือของเยอรมัน และถ้าฉันไม่ไปปรากฏตัวที่สถานีรถไฟในเช้าวันรุ่งขึ้น
นั่นหมายถึงการได้รับโทษขึ้นสูงสุด
คืนนั้น..ฉันและแม่นอนกอดกันร้องไห้จนรุ่งสาง...
"หกอาทิตย์เองนะแม่จ๋า..แค่หกอาทิตย์...แล้วหนูก็จะได้กลับมาบ้าน บางทีตอนนั้นอเมริกาอาจจะเข้าร่วมในสงครามแล้วก็ได้นะแม่.."
ฉันพร่ำบอกแม่ในขณะที่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางที่มีเพียงใบเดียวกับย่ามที่ใช้สะพายติดตัว แม่บรรจุอาหารเกือบทุกอย่างที่เรามีในบ้าน..ให้ฉันเอาติดตัวไป
เปปปิและแอนนาไปส่งฉันที่สถานีรถไฟ..ท่าทางเขาเคร่งขรึม..แต่ยังอ่อนหวานอย่างเช่นเคย..
เราทั้งสองเดินกุมมือกันไปอย่างเงียบงัน แต่คนเดียวที่พูดไม่หยุด นั่นคือ แอนนา เธอที่มีทีท่าสดชื่น..พูดได้เรื่อยเจื้อยถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เธอคงดีใจเสียเหลือเกินที่เห็นฉันจากไปเสียได้
แม่พยายามยื้อเธอให้ไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสได้เราได้มีโอกาสร่ำลา ซึ่งฉันยังจำได้ดีถึง รอยจุมพิตสุดท้ายจากเขาที่ปะปนไปด้วยคราบน้ำตาของเรา
เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น..ฉันรีบหันไปกระซิบปลอบแม่ด้วยข้อความเดิมๆคือ "ในสัญญา..หนูจะไปแค่หกอาทิตย์เองนะแม่จ๋า..เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แม่อย่าห่วงนะจ๊ะ"
ในรถไฟ..ระหว่างการเดินทางในตู้โบกี้นั้น เต็มไปด้วยหญิงสาวมากมายที่ต่างคนต่างคุยกันจ้อ.. แค่ถึงเมือง Melk .. ฉันก็ได้รู้ไปหมดว่า ใครคลอดลูกยังไง เจ็บท้องอยู่กี่วันกี่คืน..
และ ตลอดเวลาจะมีหญิงในเครื่องแบบนาซีที่คอยควบคุม..เดินไปเดินมา ท่าทางขึงขังเอาเรื่อง
พอมาถึงสถานีเมือง Leipzig พวกเราทั้งหมดถูกต้อนให้เข้าไปในห้อง ที่มีตำรวจสองนายทำการสั่งให้พวกเราเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า ก่อนที่จะส่งไปขึ้นรถไฟต่ออีกสายหนึ่ง
คราวนี้ เสียงคุยค่อยเงียบหายไป เพราะทุกคนเริ่มรู้ตัว..และรู้รส แล้วว่า..ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพที่เป็นนักโทษ
ฉันเลือกที่จะยืนมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง..
ดูทิวทัศน์ของท้องทุ่ง และ บ้านไร่ที่สร้างเหมือนๆกันไปหมดของประเทศเยอรมันที่เห็นอยู่ตรงหน้า..
ในที่สุด..ก็ถึง..เมือง Magdeburg ที่เราต้องลากกระเป๋าลงมาจากบันไดชันๆของรถไฟเอง และ ยืนออกันอยู่ที่ชานชาลาด้วยความหนาวเหน็บ
พวกเจ้าของไร่..มาถึงท่าทางกร่างแบบพิกลๆ เพราะคงยังไม่คุ้นกับการที่มี"อำนาจใหญ่โต" ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเลยยังทำตัวไม่ค่อยถูก..ต่างก็เขม้นมองพวกเราแบบพินิจพิจารณาราวกับว่า พวกเราคือ ม้า หรือ วัว..
จากนั้น..พวกเขาก็แบ่งเราออกเป็นกลุ่มๆ เจ้าของไร่เล็กๆ ก็เลือกเอาไปได้สองคน....เจ้าของไร่ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็เลือกเอาไป แปดหรือสิบคน..
ส่วนฉันไปกับกลุ่มใหญ่..นั่นคือ กลุ่ม 18 คน กับเจ้าของไร่ Mertens ใน Osterberg
ซึ่งจัดว่าเป็นไร่ใหญ่มาก มีเนื้อที่ถึง 600 morgens
( คำว่า morgen แปลว่า เช้า หรือ morning ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเยอรมันได้จัดแบ่งเป็นอัตราของที่ดิน โดยวัดจากความสามารถของชาวไร่ที่สามารถไถดินได้ในหนึ่งเช้า..จำนวนพื้นที่ที่ไถได้นั้น นับว่าเป็น หนึ่งมอร์เกน)
ไร่นี้..มีม้าตัวใหญ่ห้าตัว..มีบ้านหลังใหญ่ของเจ้าของไร่หนึ่งหลัง(ที่พวกเราไม่เคยเข้าไป) โรงนาหนึ่งหลัง และ โรงนอนของพวกเรา
เจ้าของคือ คุณนาย Mertens วัยยี่สิบเศษๆ ที่สามีได้ออกไปรบในแนวหน้า และคุณนายเองก็เชื่อในคำพูดของนายเกิบเบิลส์ที่ได้ออกโคสะนาปาวๆว่า
"พวกยิวเป็นชนชาติที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง เลวร้าย สกปรกโสโครก ขี้ขโมย"
แต่พอมาพบกับพวกเราจริงๆเข้า..คุณนายก็ต้องพบกับความประหลาดใจ ที่เห็นสาวยิวรู้จักมารยาทเป็นอย่างดี ทุกคนรู้จัก ใช้คำว่าขอโทษ และ ขอบคุณ..
วันรุ่งขึ้น..คือวันที่พวกเราจะต้องออกไปทำงานในไร่ของเธอ...
เคยเลยที่จะมีครั้งไหนในชีวิต..ที่ฉันต้องทำงานหนักอย่างแสนสาหัสเช่นนี้มาก่อน
เราทุกคนต้องออกไปในไร่ ตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงเที่ยง พักหนึ่งชั่วโมง จากนั้น ก็ต่อไปจนถึงหกโมงเย็น
อาทิตย์ละหกวัน หยุดวันอาทิตย์
งานของเราคือ ปลูกถั่ว ต่อด้วยหัวบีต ต่อด้วยมันฝรั่ง และ ตัดหน่อไม้ฝรั่ง (แอสปารากัส) ซึ่งการตัดหน่อของมันนั้น ต้องคุกเข่าไปกับพื้น และต้องก้มตัวลงไปจนชิด เพื่อที่จะใช้มือล้วงลงไปในดิน
จนรู้สึกถึงโคนอ่อนแล้วจังใช้มีดแซะขึ้นมา..เสร็จแล้วก็ต้องกลบดินให้คืนดังเดิม ซึ่งวันๆนึงต้องทำซ้ำกันเป็นพันๆครั้ง..
ฉันรู้สึกปวดตามข้อกระดูกแทบทุกชิ้นในร่างกาย กล้ามเนื้อเขม็งตึง หลังไหล่ร้าวไปหมด
ผู้คุมคนงานจอมเฮี๊ยบที่คอยจี้เร่งพวกเรา นั้นชื่อว่า
นายเฟรชเนอร์ ที่มีร่างผอมเกร็ง ลุกลี้ลุกลน แต่งตัวราวผู้ดีที่ใส่เสื้อขาวสะอาดสะอ้าน หมวกแก๊ป และ เสื้อกั๊กพร้อมเสื้อนอก..
แต่..ท่าทางแล้งน้ำใจอย่างเห็นได้ชัด วันๆเขาจะยืนคอยกวาดสายตาดูการทำงานแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
เมื่อตอนที่ไปเซ็นสัญญา ..ฉันได้รับทราบว่าการมาทำงานครั้งนี้จะเป็นเวลาเพียงแค่ หกอาทิตย์ แต่เมื่อมาได้ยินพวกผู้หญิงที่คุยๆกันบนรถไฟ.. เขาว่าจะเป็นสองเดือน
แต่พออีตาเฟรชเน่อร์ได้ยิน คำว่า สองเดือน เขาถึงกับหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ กรีดเสียงแหลมเล็กออกมาว่า
"มันก็แล้วแต่นะ..ว่า..ใครทำงานให้ใคร..ยิวอย่างพวกแกก็ต้องมาเป็นทาสเรา ทำงานให้เรา อีกหน่อย ทาสฝรั่งเศสก็ต้องมา และ ทาสอังกฤษก็กำลังจะตามมาอีกไม่นานนี้
ทาสก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชาตินั่นแหละ...ข้องใจม๊ะ?"
งานต่อไปของฉันคือต้องไปขุดดินในหลุมขนาดใหญ่ ที่ไม่ว่าจะพยายามขุดลึกไปลงไปข้างล่างแค่ไหน ดินที่ร่วนซุยข้างบนก็หล่นลงมาทับถมกลับคืน..จนฉันดูเหมือนกับจะถูกฝังทั้งเป็น
นายเฟรชเน่อร์ที่ยืนดูอยู่ ถึงกับตะโกนด่าออกมาด้วยความขัดใจ "อียิวหน้าโง่..โง่บัดซ...ทำงานไม่เข้าเรื่องเลยนะแก..เร่งมือเข้าหน่อย"
ฉันปล่อยโฮออกมาด้วยความน้อยใจและเคืองแค้นในโชคชะตา..
ฉันปล่อยให้น้ำตาเจ้ากรรมนั่นมันไหลออกมาอย่างไม่มีการกลั้นไว้ใดๆทั้งสิ้น ให้มันออกมาให้ท่วมหลุมที่กำลังขุดอยู่นี่
และ..ถ้าจะจมตายไปกับน้ำตาของตัวเอง..ฉันก็ยินดี !!
นอนคืนนั้น ..ฉันบอกกับตัวเองว่า จะฮึดทำงาน..จะไม่ยอมให้คนชั้นชาวไร่อย่างไอ้บ้านั่น..มาจิกหัวด่าได้อีก
และด้วยความอุตสาหะพยายามทุ่มเทกำลังใจและกำลังกายทั้งหมดที่มี อาทิตย์ต่อมา..ฉันกลายมาเป็นหญิงชาวไร่ที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
คราวนี้ ตานั่น..หันไปเล่นงานเชลยหญิงจากรัสเซียแทน..ด่าว่าไม่พอ..เขายังจับหน้าเธอกดลงไปในดินอีกด้วย..
คุณนายเมอร์เทนเจ้าของไร่ เดินมาดูในบางที และ ทักทายพวกเราด้วยคำว่า "ไฮล์ ฮิตเล่อร์" และเธอรู้สึกเก้อๆ..เพราะทุกคนได้แต่มองตอบแต่ไม่มีใครปริปากว่ากระไร
ในโรงนอนไม้กึ่งอิฐของเรา มีด้วยกันอยู่ห้าห้อง..รวมทั้งห้องครัวอีกหนึ่ง ห้องที่ฉันอยู่..มีด้วยกันสี่คน
เทลเช่อร์ ที่ค่อนข้างเงียบขรึม
ทรูด และ ลูซี่ สองสาวนั่นอายุสิบแปดเท่ากัน
และ ฉันที่ไม่มีใครเชื่อว่า (เกือบ)เป็นบัณฑิต และอายุยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว
ส่วนห้องตรงข้าม..เป็นห้องของสาวหกคน ที่เราเรียกพวกเขาว่า คุณหนูทั้งหก เพราะพวกนั้นเป็นพวกกลุ่มไฮโซมาจากเวียนนา
และอีกห้องหนึ่งริมทางเดิน..ก็มีอีกหกคน..หนึ่งในนั้นเป็นสาวยิวจากโรเมเนียที่น่าสงสาร เธอเชื่อว่า ฟรีดา ผมสีดำ..หน้าตาสวยพอใช้ อีกสาวหนึ่ง กำลังท้องสองเดือน
ส่วนอีกสาวหนึ่ง..ในอดีตเธอเคยทำงานเป็นสาวใช้ให้กับครอบครัวไฮโซ อย่างกับครอบครัวของกลุ่มคุณหนูทั้งหกนั่น..
เธอจึงเฝ้ามองพวกคุณหนูเหล่านั้นถูกจิกหัวใช้ด้วยความขบขันและสะใจ
แต่ต่อมา..ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องของใครอีกต่อไป.. เพราะ การทำงานราวกับสัตว์แรงงานทำให้ทุกคนเหนื่อยแทบสลบ.. ความแค้นระหว่าง"ชนชั้น"ต้องเก็บเอาไว้ทีหลัง
เตียงนอนของเราเป็นเหล็กที่ปูด้วยที่นอนยัดฟาง..มีผ้าปูเตียงเป็นตาตารางสีน้ำเงินขาว..ผ้าห่มบางๆคนละผืน ซึ่งฉันต้องใส่เสื้อผ้าทับกันหลายๆชั้น ทั้ง เสื้อ กางเกง ถุงเท้า
ก็ยังไม่วายหายหนาว จนต้องเขียนจดหมายไปหาแม่ และ เปปปิ เพื่อของให้ส่งเครื่องนอนมาเพิ่ม..
ต่อมา..ความอดอยากขาดแคลนก็ได้กระจายมาจนถึงพวกเราในที่สุด เพราะ ผงกาแฟที่ได้รับแจกนั้น มันกลายเป็น กาแฟเทียม..ที่ทำมาจากข้าวโพดคั่ว..
ทุกสี่วัน พวกเราจะได้ขนมปังคนละครึ่งก้อน และอาหารกลางวันคือ ใข่ต้มคนละฟอง..หรือ ซุปที่ทำมาจากเศษหน่อไม้ฝรั่งในไร่บ้าง หรือไม่ก็เป็น..ซุปเศษมันฝรั่งต้มบ้าง
คืนไหนที่โชคดี พวกเราอาจได้รับข้าวโอ๊ตต้มกับนม
ฉันพอได้อาศัยพัสดุจากแม่..ที่มักจะมีขนมเค้กซุกซ่อนมาให้ หรือ สิ่งที่วิเศษสุดและหายากที่สุดในโลก นั่นก็คือ แยมผลไม้..
นางเฟรชเน่อร์ ภรรยาของตาผู้คุมนั่น ช่างวางอำนาจได้อย่างไม่มีใครเกิน ก่อนที่พวกเราจะเดินเรียงแถวออกไปทำงาน หล่อนมักจะตะโกนอ่าน
"กฏข้อบังคับชาวยิวในการทำงานของไร่" กรอกหูให้ฟังทุกเช้าที่เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
"พวกแรงงานยิวทุกคนที่อยู่ที่นี่..ต้องอยู่ในความดูแล และรับผิดชอบของนางเฟรชเน่อร์...คือ ฉันเอง.." ต่อด้วย
"ทุกเช้า..ก่อนออกไปทำงาน ทุกคนต้องทำความสะอาดห้องนอน ทำเตียงให้เรียบร้อย ห้องน้ำต้องสะอาดเอี่ยม คนที่มีอายุมากที่สุดต้องรับผิดชอบความสะอาดในห้องนอน ..นั่นคือ เธอ"
ว่าแล้ว หล่อนชี้นิ้วมาที่ฉัน..ต่อด้วย
"การกินอาหารต้องกินในห้องโถงเท่านั้น..ห้ามนำเข้าห้องนอนเป็นเด็ดขาด การทำความสะอาดเสื้อผ้าต้องไปที่ห้องซักรีดเท่านั้น...บุหรี่คือของต้องห้าม ห้ามออกไปนอกบริเวณฟาร์มนอกเหนือจากที่กำหนด
ห้ามไปในสถานที่เริงเรมย์ เช่น ดูหนัง ดูละคร ใครจะซื้อของใช้ส่วนตัว..ต้องได้รับการอนุญาตและตรวจสอบ โดยผู้จัดการ..คือ ฉัน"
นั่นหมายความว่า..ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน เกลือ หรือ ผ้าอนามัย พวกเราทุกคนต้องได้รับการอนุมัติจากหล่อนเสียก่อน..
และ..กฏต่อมามีว่า..
"การที่จะไปในเมือง..ทำได้ในวันเสาร์ เวลา 19.00-21.00 และ วันอาทิตย์ 14.00-18.00 และการเดินต้องเดินเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามคนอย่างน้อย และจำไว้ด้วยว่า บางถนนพวกแกจะไปไม่ได้
หรืองานต่างๆในเมือง Osterberg ก็ห้ามเด็ดขาดเช่นกัน ..เดินไปแล้วก็ต้องเดินกลับ จำไว้นะ"
ก็เข้ามาตรวจตราพวกเราถึงไร่บ่อยๆ พร้อมทั้งขู่ฟ่อว่า..ถ้าก่อความเดือดร้อนเมื่อไหร่ จะจับเข้าคุกทันที..
ซึ่งเป็นข้อความที่น่าขำกลิ้ง..เพราะกว่าพวกเราจะทำงานเสร็จก็เหนื่อยจนแทบคลานขึ้นเตียง จะเอาสมองและพลังงานที่ไหนไป"ก่อความเดือดร้อน" ให้ใคร
ตำรวจจะเอาป้ายห้ามต่างๆมาติดประกาศ ซึ่งมันไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเรา เพราะ ข้อความที่ว่า
ห้ามเข้าโรงเต้นรำ ห้ามเข้าโรงภาพยนตร์ ห้ามดื่มเบียร์ในคาเฟ่ ...แต่ คุณนายเฟรชเน่อร์ได้มาบอกกฏใหม่ให้ทราบ..นั่นคือ Rassenschande
กฏหมายแห่งความเหลื่อมล้ำ กดขี่ในชนชั้นอันใหม่คือ
ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างยิวและเยอรมันใด..โทษนั้นคือ ติดคุกสถานเดียว
สภาพของการทำงานในไร่..ที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอย่างไรก็ต้องทำ ใช้เป็นข้อแก้ตัวไม่ได้..
นั่นคือ หญิงคนที่กำลังตั้งครรภ์นั้น รู้สึกแพ้ท้องจนทำงานแทบไม่ได้ เธอขอพัก ลาป่วย
หมอเข้ามาตรวจ บอกว่า..ไม่ได้เป็นอะไร..ไม่อนุญาตให้พัก ..เธอต้องออกไปทำงาน ..อ้วกไปด้วยทุกเช้า
ในที่สุด..คณะจากกรมแรงงานในชุดเครื่องแบบของนาซี ได้เข้ามาดูอาการ และ อนุญาตให้ไปพักผ่อนได้ แต่ไม่ใช่ให้กลับบ้าน... หากแต่ส่งเธอไปยัง...(ค่ายนรก)โปแลนด์
ส่วนฟรีดา..บอกกับนางเฟรชเน่อร์ว่า เธอปวดฟัน..และ ได้ส่งไปหาทันตแพทย์ ที่ถอนฟันของเธอออกถึง 10 ซี่ แทนที่จะเป็นซี่เดียวที่ปวด
และให้พักเพียงวันเดียว จากนั้น เธอต้องกลับไปทำงานในไร่ทั้งๆที่เลือดยังกลบปาก..
ฟรีดาผู้น่าสงสาร เธอมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้นเอง..!!
ตลอดฤดูใบไม้ผลิ..ที่เราต้องคลานไปตัดหน่อไม้ฝรั่งจนปวดนิ้วทุกนิ้วเหมือนกับว่ามันหักละเอียดไปในทุกข้อ
หลังค่อมจนยืนตรงไม่ได้ เพราะว่า การเพิ่มชั่วโมงทำงาน
จาก อาทิตย์ละ 56 มาเป็น 80 เพราะ ต้องให้เสร็จตามกำหนดก่อนสิ้นฤดูกาล และต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ ไปจนถึง หกโมงเย็น
และหนทางแก้แค้นอย่างเดียวที่พวกเราทำได้นั่นคือ..การตัดหน่อไม้ฝรั่งแบบทำลายถึงราก..ไม่ให้เหลือไปผลิขึ้นไปปีต่อไป
ครั้งหนึ่ง..หลังจากที่สภาพร่างกายของฉันมันล้าจนแทบสู้ไม่ไหว..หัวเข่าบวมเป่ง เสื้อผ้ารุ่งริ่งเต็มไปด้วยโคลน..ฉันได้เขียนจดหมายไปถึงเปปปิสุดที่รักว่า
"ถ้ากลับในเวียนนาแล้วต้องโดนฆ่าตาย..ยังจะดีกว่า..มาค่อยๆจมตายในโคลนไปทีละนิด ทีละนิด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้"
แต่แล้ว..ฉันก็นึกละอายแก่ใจที่ได้เขียนบ่นไปเช่นนั้น เพราะในสถานะการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครอยู่ดีไปกว่าใคร เพราะจะว่าไป ที่บ่นไปนั่นคือ การที่ต้องทำงานแต่เช้า และ คลานขึ้นเตียง
อันเป็นสิ่งที่คนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในยุโรปที่กำลังต้องทำอยู่เพื่อความอยู่รอด..
หลังจากสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว..งานก็น้อยลง บางคนถูกส่งตัวกลับ แต่..กลุ่มของฉันที่ถือว่าทำงานแข็งขันทั้งหกคน..ต้องอยู่ต่อ !!
ลมแห่งฤดูร้อนกำลังพัดกรายเข้ามา ทุ่งหญ้าพริ้วไสวราวกับคลื่นในทะเล ร่างกายของฉันบึกบึนและแข็งแรงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา พร้อมที่จะรับงานใหม่..
และยังคงส่งจดหมายไปถึงเปปปิสุดที่รัดอย่างไม่เคยขาด เพราะจดหมายคือสิ่งเดียวที่จรรโลงใจ พัสดุคือสิ่งจรรโลงกาย..ให้ฉันมีแรงได้อยู่สู้มาจนถึงวันนี้
พวกนาซีปล่อยให้พวกเราได้รับพัสดุอย่างไม่หวงห้าม เพราะรู้ดีว่า ยิ่งส่งมา..พวกเราก็ไม่ต้องไปหวังพึ่งอาหารจากเยอรมัน ยิ่งกินก็จะได้มีแรงทำงานให้ยิ่งกว่าทาส
แต่พวกรัสเซีย พวกโปลิช พวกเซอร์เบียน อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า The Ostrabeiter คือกลุ่มที่ถูกห้ามไม่ให้เขียนจดหมาย เพราะนาซีเกรงว่า จะเขียนเล่าไปถึงความทารุณโหดร้ายที่ได้รับจากนาซี
ซึ่งอาจตามมาด้วยการต่อต้านครั้งใหญ่ในอนาคต
ส่วนฉันเขียนจดหมายถึง..แม่ ถึงเปปปิ ถึงเยาท์สกี้ ถึงครอบครัวเดนเน่อร์ และเพื่อนคนอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ บางทีวันละสามฉบับ จนไม่มีอะไรจะเล่า เพราะต้องระวังไม่ให้แม่ไม่สบายใจ
บางทีก็เล่าไปถึงจำนวนหน่อไม้ที่ตัดได้ในแต่ละวัน หรือ พรวนดินไปได้ยาวแค่ไหน..
หรือไม่ก็เล่าไปถึง การ"ค้า"ทาสจากเซอร์เบีย ที่แลกเปลี่ยนกันด้วยเครื่องมือทำไร่เท่านั้น..
หรือ..เล่าไปถึงว่า นายเฟรชเน่อร์ได้จิ๊กยาสูบไปจากกล่องพัสดุที่เปปปิส่งมาให้ฉัน..ที่ตั้งใจจะเอามาให้นักโทษฝรั่งเศสที่เคยมาช่วยพวกเราทำงานในไร่
หรือ เล่าไปถึง วิธีการที่สามารถนั่งลงบนก้นในพื้นที่แคบมากระหว่างแถวหน่อไม้ฝรั่งอย่างช่ำชอง ไม่ต้องนั่งยองๆให้ปวดเข่า
สำหรับเปปปิ...ฉันมักเล่าแต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ...แต่กับแม่..ฉันโกหกเป็นไฟ..!
กับเปปปิ..ฉันเล่าไปว่า กำลังเป็นใข้หวัดอย่างแรง กับแม่..ฉันแข็งแรง และสบายดี
กับเปปปิ..ฉันเล่าว่า..ได้พบกับคุณนาย แฮคเชค เพื่อนบ้านเก่าแก่ในฟาร์มนี่ กับแม่..ฉันไม่พูดถึงเลย เพราะเกรงว่าแม่จะไปเขียนจดหมายไปหาคุณนายแฮคเชคแล้วจะรู้ความจริงว่า
ลูกสาวเป็นใข้สูง ทั้งจามทั้งไอ ผิวหนังเป็นผื่นทั้งตัว..ฟันเริ่มเป็นสีน้ำตาลเพราะขาดสารอาหาร
หรือที่ฉัน ฟรีดา ทรูด และ ลูซี่ เดินไปในเมือง
เด็กๆชาวบ้านได้ออกมาตะโกนด่าว่า "พวกอียิวโสโครก" หรือ ร้านค้าไม่ขายของให้กับเรานั้น
ฉันก็ยังเขียนไปเล่าให้แม่ฟังว่า..ผู้คนที่ ออสเตอร์เบอร์ค ช่างแสนดีและมีไมตรีต่อเราเสียจริงๆ !!
ฉันพยายามเรียนภาษากับนักโทษจากฝรั่งเศส และ ภาษาอังกฤษจากหนังสือชื่อว่า McCallum เพราะ คิดว่าไหนๆร่างกายก็ผอมจนกระดูกแทบออกนอกเนื้อ
ควรจะหันมาบริหารสมองแทน....ไม่ควรยอมให้ฝ่อไปตามร่างกาย
พวกเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก..ไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เคยฟังวิทยุ
ฉันได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนเก่า Zich ผู้ซึ่งเป็นทหาร(นาซี) และ เขียนไปถึงแฟนเก่า รูดอล์ฟ กิสคา ที่เป็นทหารนาซีในเชคโก เพียงเพื่อหวังว่าจะได้ทราบข่าวคืบหน้าอะไรบ้าง
แม้แต่กับเปปปิ ..ฉันก็ถามถึงเรื่องข่าว..ที่ว่า..
จริงหรือที่ Crete ได้ถูกกลืนไปแล้วโดยนาซี ?
เพราะฉันแทบทนไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอียิปต์..และภาพชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์อันยิ่งยงของมนุษยชาติได้ถูกทำลายไปด้วยปืนบาซูก้า และวัตถุระเบิด
ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าสงครามครั้งนี้มีภาพเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ ..ข่าวนาซีที่ได้ทิ้งระเบิดในใจกลางประเทศสเปน ผลาญชีวิตคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นจำนวนมากนั้นก็เป็นความจริง..
แต่คงเข้าใจนะว่า..ในยามนั้น..ถนนหนทางในเยอรมันเองแท้ๆ ยังมีการใช้รถเทียมม้าวิ่งอยู่เลย..
ฉะนั้น..คนที่ไม่เข้าใจในสงครามล้างผลาญแบบใหม่อย่างฉันก็คงมีอีกเยอะไป..!!