เชลย....ตอนสิบเจ็ด เมื่อฉันกลับไปที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เพื่อที่จะขอเอกสารการเดินทางเพราะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ยิวทุกคนต้องมีติดตัวยามไปไหนมาไหน แต่ความพยายามนั้นไร้ผลเช่นเคย ฉันถูกปฏิเสธครั้งแล้ว ครั้งเล่า อนิจจา..ฉันคร่ำครวญปริ่มว่าจะขาดใจ..สายใยระหว่างฉันและแม่ได้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีโยงเข้าหากันได้อีก ประตูระหว่างเราได้ถูกปิดกั้นอย่างสนิทแล้ว..แม่จ๋า !! จดหมายที่แม่ฝากไว้กับเปปปิอ่านได้ใจความว่า "บอกกับอีดิธนะ ว่าแม่ได้พยายามรั้งเวลาแล้ว แต่..ไม่มีประโยชน์อันใด อย่าเสียใจและท้อแท้ หวังว่าคงได้ตามมาในรถไฟเที่ยวต่อไป แม่จะรอ ความจริงที่ศูนย์ยิวที่เวียนนาได้บอกว่า ให้อีดิธอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว อาจจะปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ" ฉบับต่อมา แม่เขียนเล่ามาทางเปปปิว่า "ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง พวกเรากำลังคอยพวก SS ที่จะมารับตัว คุณเฮาส์เน่อร์ได้ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางให้เพราะลำพังแม่เองทำอะไรไม่ถูกแล้ว มือไม้สั่นไปหมด ได้โปรดบอกอีดิธด้วยว่า ให้รีบจัดกระเป๋า และดูแลข้าวของให้แม่ด้วยสองสามอย่างที่ทิ้งไว้ มีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบที่ฝากไว้ที่บ้านคุณไวสส์ ข้างในใส่ของไว้จนแน่น ให้อีดิธนำติดตัวไปด้วย แล้วพบกันในเร็วๆ นี้นะ ขอให้ลูกโชคดี รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย จุมพิต...จาก แม่ คลอทธิลด์ ฮาห์น" แม่ถูกส่งตัวไปในวันที่ 9 มิถุนายน 1942 ส่วนฉันเพิ่งได้รับใบอนุญาตเดินทางจากเกสตาโปในวันที่ 21 เราหกสาวที่ต้องเดินทางกลับไปยังเวียนนา ในใบอนุญาตที่ได้มานั้น เขียนไว้ชัดเจนว่า เราต้องแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นก่อนขึ้นรถ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนขบวน แต่..ข่าวกรองได้มีมาถึงว่า อย่าไปรายงานตัวที่สถานีเด็ดขาด "อ้าว..แล้วเราจะทำยังไงล่ะ?" สาวนามว่า เออร์มี่ ชวาร์ซ ถามด้วยความตื่นตระหนกในขณะที่มือกำลังวุ่นอยู่กับการจัดของลงกระเป๋า "เขาเห็นพวกเราติด"ดาวเดวิด"เหลืองจ้าขนาดนั้น เดี๋ยวก็ถูกลากไปเข้าคุกหรอก" "ฉันจะไม่ติดไอ้ดาวบ้าๆ นี่หรอกนะ" ฉันลดเสียงเป็นจนเกือบกระซิบ ต่อด้วยประโยคว่า "ถ้าขืนมีดาวแสดงตัวหราละก้อ ฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปร่ำลาพวกญาติๆและไม่ได้พบกับเปปปิกับคริสตัลแน่ๆ " ตอนนั้นฉันยังฝันหวาน และถวิลหาอ้อมกอดอุ่นๆ ที่จะได้รับจากชายผู้เป็นที่รักอยู่อย่างใจจดจ่อ แม้ว่ามันจะเป็นเวลาเพียงแค่วันหรือสองวันก็ยังดี "แต่ถ้าไม่ติดดาว เราก็ขึ้นรถไฟไม่ได้นะ" เออร์มี่ยังไม่วายกังวล "ช่าย..นั่นก็จริง..แต่ตอนลงรถไฟไม่ต้องมีก็ได้นี่ ใครจะมารู้" เรา..สาวยิวชุดสุดท้ายที่กำลังจะเดินทางออกจากอัสเชอร์สเลเบน ได้นัดพบกันในตอนย่ำรุ่งของวันเดินทางพร้อมทั้งวางแผนให้เป็นที่เข้าใจกันไว้ว่า เราจะแยกอยู่กันเป็นคู่ๆ และ อยู่ในขบวนโบกี้ต่างๆ กัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ฉันได้จับคู่กับเออร์มี่ โชคดีที่ขบวนรถไฟในตอนนั้น ช่างแออัดไปด้วยผู้คนที่ต่างพากันเดินทางไปพักผ่อนพร้อมครอบครัวอย่างสนุกสนาน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างสงครามแท้ๆ นับว่า เยอรมันกำลังชะล่าใจ ประมาทสงครามอย่างยิ่ง ในความนึกคิดของฉัน แต่ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า ฉันมัวแต่ทำงานราวกับทาสในโรงงานกระดาษนั่น จนไม่รู้เรื่องกับเขาจนนิดเดียวว่า เยอรมันกำลังได้ชัยชนะไปจนเกือบหมดยุโรปแล้ว การเดินทางผ่านมาได้ราวๆ สักชั่วโมง ฉันได้เดินไปตามทางเพื่อที่จะเข้าไปใช้ห้องน้ำ เบียดตัวผ่านตำรวจ..ที่ฉันต้องพึมพำบอก "ขอทางหน่อยค่ะ" ด้วยเสียงที่รู้สึกสั่นๆ และกระชับเสื้อโค๊ตในอ้อมกอดให้แนบตัวเข้ามา ปิดทับด้วยกระเป๋าเดินทางเพื่อไม่ให้ดาวเดวิดนั้นเล็ดรอดโผล่ออกมาให้ใครต่อใครได้เห็น ทันที่ที่เข้าไปในห้องน้ำนั้นได้ เสื้อโค๊ตตัวนั้นได้ถูกกางออกเพื่อที่จะได้จัดการเลาะรอยเย็บของดาวนั่นให้หลุดออกมาอย่างไม่ทิ้งร่องรอย ขากลับออกไป ฉันสวนกับเออร์มี่ และสบตากันแวบหนึ่ง..เพราะเธอกำลังจะเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะทำการอย่างเดียวกัน คุณคงแปลกใจนะ ที่ทำไมเราถึงไม่จำบทเรียนที่เกิดกับเบอร์ธา เพื่อนสาวที่มีแฟนเป็นนักโทษฝรั่งเศส ที่ยอมออกไปข้างนอกพบกับแฟนโดยไม่ได้ติดดาว และถูกจับได้ส่งตัวไปค่าย ส่วนนักโทษคนนั้นถูกจัดการขั้นเด็ดขาด เชื่อไหม..ถ้าฉันจะบอกว่า ตอนนั้น พวกเราคิดถึงเธอมากที่สุด เพราะ ทุกครั้งที่ผ่านกลุ่ม SS หรือ ตำรวจ พวกเราตัวเย็น มือสั่น แต่พยายามทำสีหน้าให้รื่นเริง อาการเป็นปรกติ พยายามคุยกับผู้โดยสารอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง คุณนายคนหนึ่งได้เล่าว่า เธอกำลังเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่เวียนนา ฉันอวยพรให้เธอมีการเดินทางที่ราบรื่น พร้อมทั้งเบือนหน้าไปทางหน้าต่างเพื่อซ่อนหยาดน้ำตา เพราะ แรงกดดันของความคิดถึงแม่ที่มีขึ้นมาอย่างจับใจ พอถึงสถานีเวียนนา..พวกเพื่อนๆ ต่างกระจัดกระจายแยกย้ายกลืนหายไปในหมู่ฝูงชน เจ้าประคุณ..ขออย่าให้เกิดไปเจอใครที่จำได้ขึ้นมาได้เลย !! ฉันยืนนิ่งที่ชานชาลา ใจพะวงอยู่แต่ว่า รอยเลาะตะเข็บของดาวเดวิดที่เสื้อโค้ตนั่น มันจะเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้นมาหรือไม่ จะมีใครเห็นหรือเปล่า? และ ถ้าเกสตาโปผ่านมา ฉันคงต้องถูกจับแน่ๆ ..โอยย..!! จู่ๆ เปปปิก็โผล่ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน เขาโผเข้ามากอดฉันแน่น จุมพิตที่เขาพรมลงมาให้นั้นช่างดูดดื่ม แสนหวานเสียจนไม่มีอะไรปานเปรียบ... ฉันลอยคว้างไปในภวังค์แห่งความรักและปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมอกที่เปรียบเสมือนปราการป้องกันภัย แต่มันเป็นเวลาเพียงแต่ช่วงเสี้ยววินาที เพราะ ใบหน้าที่อวบอูมของแอนนา พร้อมทั้งรอยคิ้วที่วาดโก่งด้วยดินสอนั่นก็โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นมาเช่นกัน หล่อนเข้ามาดึงตัวฉันออกมา พร้อมสำรวจตรวจตราก่อนที่จะกระชากแขนออกเดินอย่างรวดเร็ว เธอกล่าวด้วยเสียงที่ลอดไรฟันออกมาเบาๆ ว่า "ขอบคุณพระเจ้านะยะ ที่หล่อนไม่ได้ติดดาวมาด้วย เพราะถ้าขืนหล่อนติดมันมาละก้อ พวกเราไม่มีวันเข้าไปทักทายหล่อนแน่ๆ จากตรงนี้ไปเราก็แยกจากกัน หล่อนก็ไปที่บ้านญาติพี่น้องของหล่อนเองนะยะ ไปกินให้อิ่มหนำ นอนพักให้เต็มตา แล้วตอนเช้าก็รีบไปรายงานตัวที่เกสตาโปซะ เพราะพวกเขาคงคอยรับรายงานอยู่..แม่ของหล่อนก็เหมือนกัน ป่านนี้คงถึงโปแลนด์แล้ว เห็นว่าจะคอยหล่อนอยู่นะ" "แม่เขียนจดหมายมาถึงหรือคะ?" ฉันรีบถามละล่ำละลัก "เปล่าหรอก ตั้งแต่ไปก็ไม่ได้รับสักฉบับ แต่ได้ข่าวมาว่าหยั่งงั้น หล่อนก็รีบๆ ไปหาเขาก็แล้วกัน อย่าคิดหนีล่ะ เพราะไม่งั้นทุกคนจะเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะแม่ของหล่อนนั่นแหละ จะโดนหนัก.. ไปซิรีบไปซะ กินซะให้อิ่มๆ ล่ะ ผอมโทรมยังกะอะไรดี สาระรูปแทบดูไม่ได้เชียว" เปปปิแกะมือแอนนาออกจากแขนของฉัน ใบหน้าเขาซีดขาวด้วยโทสะ แอนนาผงะถอยหลังออกไปสองสามก้าวท่าทางตกใจที่เห็นลูกชายเกิดเอาจริงขึ้นมา เขาคว้ากระเป๋าเดินทางจากมือของฉันออกไปช่วยถือและโอบตัวเข้าไปประชิดเดินเคียงข้างอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาของมารดาที่กำลังซอยเท้าตามหลังมาติดๆ ด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อที่ใจนึงเธอก็ไม่อยากที่จะเดินถนนร่วมกับยิว ส่วน อีกใจนึงก็อยากเพื่อที่จะคอยฟังว่าเราพูดคุยถึงอะไร เปปปิพาฉันไปแวะหาเยาท์สกี้ก่อน เธอกำลังนั่งเล่นกับลูกน้อยที่บันไดหน้าบ้าน ออตโตกำลังน่ารักน่าชัง ตัวอ้วนกลมน่าฟัด หูกางเหมือนพ่อไม่มีผิด เราโผเข้ากอดกันแน่น น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากอย่างสุดกลั้น แต่ทันทีที่มีคนกำลังก้าวลงบันไดมา เธอรีบกล่าวกับฉันด้วยเสียงที่ทุกคนได้ยินว่า "คุณออนเดรจ ขึ้นบ้านก่อนซิคะ" และหันไปทางบุคคลผู้นั้นพร้อมกับบอกว่า "นี่คือ น้องสาวของสามีฉันน่ะค่ะ เธอมาจากต่างเมือง มาเยี่ยม" เพื่อนบ้านคนนั้นยิ้มให้อย่างมีไมตรีก่อนที่จะเดินจากไป โดยที่ไม่ลืมพูดว่า "ยินดีต้อนรับสู่เวียนนานะหนู, ไฮล์ ฮิตเล่อร์!" คำหลังนั้น ฉันได้ยินมาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นคำทักทายที่ทุกคนติดปากจนเป็นเรื่องปรกติประจำวัน "พรุ่งนี้..ห้าโมงเย็น เจอกันที่ปาร์คเบลเวเดียร์นะ ผมรักคุณ รักคุณเสมอ" เปปปิยื่นหน้าเข้ามากระซิบก่อนที่จะจากไปพร้อมกับอาการที่เรียกว่ากระชากของแอนนา คืนนั้น เยาท์สกี้เล่าเรื่องราวสารพัดให้ฟังจนฉันหลับฟุบไปบนโต๊ะทานข้าวด้วยความเหนื่อยอ่อน เจ้าหนูน้อยออตโตเริ่มโยเยเพราะผ้าอ้อมกำลังแฉะได้ที่ ฉันเลยพาไปชำระล้างและเปลี่ยนให้ใหม่ที่อ่างน้ำ พอสบายตัวเข้าก็หัวเราะเสียงดังเอิ้กอ้าก ช่างน่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้ เยาท์สกี้นั่งประจำที่เครื่องเย็บผ้าพร้อมทำงาน หากแต่เสียงของการเย็บจักรมันช่างสนั่นหวั่นไหวจนพูดจากันไม่ค่อยรู้เรื่อง และ ที่สำคัญเราไม่สามารถตะโกนใส่กันได้ เพราะหากความลับที่มีล่วงรู้ไปถึงเพื่อนบ้านละก้อ อันตรายหนักหนา (เนื่องจากการโปรประกันดาของนายเกิบเบิ้ลส์ในตอนนั้น ได้สั่งสอนให้ประชาชนมีส่วนช่วยรัฐบาลโดยการแจ้งเบาะแสยิวที่ซุกซ่อนในที่ต่างๆ) เยาท์สกี้เล่าว่า "ในทุกๆ อาทิตย์ พวกนาซีจะนำไม้ที่ตัดเป็นชิ้นๆ และกาวมาให้ มอบหมายให้ฉันประกอบขึ้นมาเป็นกล่องสำหรับใส่เหรียญตรา หรือบางทีก็สำหรับใส่ปืนพก และรายได้ที่ฉันได้รับก็มาจากบำนาญของออตโตซึ่งก็พออยู่ได้ แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า เรามันเป็นยิว เจ้าออตโตตัวน้อยนี่ก็เป็นลูกยิวที่นับว่าเป็นยิวเต็มตัว**ซึ่งจะต้องติดดาวเหมือนคนอื่นๆ แต่เนื่องจากอายุน้อยว่าห้าขวบจึงยังไม่ต้อง เปปปิเขาก็มาช่วยกรอกเอกสารให้เจ้าหนูออตโตได้รับสิทธิผ่อนปรนให้เป็นมิชลิงค์ (***Mitschling เด็กยิวที่มีพ่อหรือแม่เป็นอารยัน) เพื่อที่จะได้รับบัตรปันส่วนอาหารเพิ่มขึ้น ได้ไปโรงเรียน และมีสิทธิออกไปอยู่นอกสลัมยิวได้อย่างที่นี่แหละ เธอล่ะ จะอยู่ได้สักกี่วัน สอง หรือ สาม" "ฉันว่าจะซ่อนตัวอยู่จนกว่าสงครามจะเลิกเลยนะ" ฉันตอบพลางหยอกล้อกับเจ้าตัวน้อยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เยาท์สกี้ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก "อย่าพูดเล่นนะอีดิธ ไม่ขำด้วยนะ" "เถอะน่า..เล่าเรื่องแม่กับนายเฮาส์เนอร์ให้ฉันฟังดีกว่า ไปไงมาไงกันล่ะ?" "เขาเป็นคนนิสัยดีนะ เมียตาย..พวกนาซีส่งเขาไปเข้าไปทำงานในโรงงานในตอนแรก และปล่อยออกมาเพื่อให้ย้ายกลับโปแลนด์ เมื่อเดือนกุมภานี้นะ ฉันได้ยินว่าพวกโรงงานต่างๆ ทั่วเยอรมันปล่อยแรงงานยิวออกมาหมื่นกว่าคน เพื่อที่จะส่งไปยังตะวันออก เพราะพวกมันได้เชลยจากประเทศอื่นๆ มาทำงานแทน..โอ อีดิธ ไอ้สงครามที่นาซีชนะแล้วชนะอีกนี่มันทำให้ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ นะ ลองคิดดูซิ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเยอรมันมีชัยเหนืออังกฤษ" "ไม่มีทางหรอก ที่จะชนะไปได้" "เธอรู้ได้ไงล่ะ?" "ฮันซี่ น้องสาวฉันน่ะ ตอนนี้เข้าไปอยู่ในหน่วยเสริมกำลังทหารของยิว เคยเล่ามาว่า กองทัพอังกฤษนี่มีความเข้มแข็ง และไม่เคยแพ้ใคร" เยาท์สกี้ระเบิดหัวเราะอย่างสุดกลั้น และเร่งฝีจักรให้เสียงดังกลบการสนทนา พร้อมว่า "จำไว้นะ ห้ามพูดถึงคำว่า"ยิว"อีก ไม่มีใครเขาพูดถึงกันแล้ว มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว ใครๆ เขาพากันรังเกียจขยะแขยงไปหมด อย่าลืม" ขยายความก่อนค่ะ ** กฏหมายนูเรมเบอร์คของฮิตเล่อร์ ไม่ว่าจะมีเชื้อสายยิวจากที่ไหน ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด สอบได้สามชั้นขึ้นไป ถือว่าลูกหลานเป็นยิวหมด แต่ในพระโตราห์ ถือว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นยิวให้ถือว่าเป็นยิวโดยสมบูรณ์ *** Mischling (เอกพจน์) Mischlinge (พหูพจน์) คือชาวครึ่ง หรือ ค่อนยิว ที่มีส่วนผสมของอารยัน..และ ฮิตเล่อร์มีทหารที่เป็นยิวครึ่ง ยิวค่อน..นับเป็นแสนๆ คน ส่วนใหญ่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็นอารยันพร้อมลายเซ็นของท่านผู้นำประทับให้เห็นเป็นสง่า...มีตั้งแต่ นายพลไปจนถึงจ่า คนพวกนี้มีเชื้อสายยิว แต่เกิดและฝังตัวอยู่ในเยอรมันมาหลายชั่วคน บางคนไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองเป็น"ยิว" มารู้ก็เมื่อหลังจากที่กฏหมายนูเรมเบอร์คได้ออกมาแล้ว พวกนี้..หมายถึงยิวกลายๆ ลูกครึ่ง และ ลูกค่อนนี่ ถูกเรียกว่า มิชลิงค์ ซึ่ง ฮิตเล่อร์ได้มีกฏหมายใหม่ขึ้นมาอีกมากมายสำหรับคนพวกนี้ คนไหนมีเส้นมีสายก็อาจได้รับการแปลงสัญชาติให้เป็นอารยัน (ดังที่ เกอริง ได้เคยกล่าวไว้ว่า..ใครจะเป็นยิวหรือไม่ยิว ขึ้นอยู่กับตูที่จะเป็นผู้สั่งว้อย..!!) มีหนังสือ และหลักฐานเอกสารรับรองอารยันให้เห็นค่ะ วันหลังจะเอามาสแกนให้ดู และจะเล่าเรื่องยิวนานาพันธุ์ (ในสายตาของฮิตเล่อร์) ให้ฟังด้วย |
บทความทั้งหมด
|