เชลย....ตอนสิบเก้า
            คืนนั้น..ฉันนอนที่ห้องชั้นล่างในร้านของคริสตัล โดยเลือกซอกเล็กๆ ซอกหนึ่งที่มีกล่องกระดาษปิดบังตัวอยู่ ยามที่เดินผ่านไปมาภายนอก สอดส่องไฟฉายเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราว
            ฉันถึงกับต้องกลั้นหายใจ รู้สึกหวาดผวาแทนเพื่อผู้ที่ให้ความอุปถัมภ์ เพราะถ้าเกิดเกสตาโปจับฉันได้ คนที่จะต้องรับโทษทัณฑ์ไปด้วย นั่นคือ คริสตัล แม่เพื่อนรัก
            ฉะนั้น..ฉันควรจะต้องที่หลักที่เกาะใหม่ให้เร็วที่สุด
            วันรุ่งขึ้น..ฉันได้พบกับลุง ฟีลิกซ์ โรเมอร์ เราเดินสวนกันโดยที่เขาไม่ได้ทันสังเกต ส่วนฉันรีบตีวงกลับ..และเดินตามในระยะห่างๆ ไม่ให้เป็นที่พิรุธ และเข้าไปทักทายในยามที่ปลอดคน
            ลุงเล่าว่า..เกสตาโปได้มาที่บ้านครั้งหนึ่ง แต่ลุงได้แก้ตัวไปว่า กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศไปยังอาฟริกาใต้ เมื่อเกสตาโปของดูเอกสาร
            ลุงก็บอกว่า ได้ส่งเอกสารทั้งหมดไปยังสำนักงานเพื่อขอบัตรเดินทาง
            พวกเกสตาโปกลับไปอย่าง..เชื่อสนิท (เพราะ คนพวกนี้บางคนไม่ได้ฉลาดอะไรมากมายนัก)
            คืนนั้น ฉันพำนักอยู่กับลุง แต่ไม่กล้าที่จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วย เกรงว่า เพื่อนบ้านจะสงสัย เพราะลุงอายุมากแล้ว จู่ๆ มีผู้หญิงสาวมาอยู่ด้วยจะเป็นที่ผิดสังเกตต่อสายคนคนอื่นๆ
            แม่ได้เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า..ญาติสาวของฉัน เซลม่า ลูกของลุงคนหนึ่ง ได้ถูกส่งตัวไปโปแลนด์ แฟนหนุ่มของเธอผู้ซึ่งกำลังถูกเกณฑ์ไปทำงานในโรงงาน รู้ข่าวเข้าถึงกับสละสิทธิกรรมกรโรงงานเครื่องยนตร์ กลับมายังเวียนนา เพื่อที่จะขอเคียงข้างเดินทางไปยังโปแลนด์กับเซลม่า
            เรื่องนี้ช่างจับใจและแสนโรแมนติกอย่างเหลือเกิน ฉันถึงกับลงทุนอ้อนวอน เปปปิ ให้ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ไปโปแลนด์ด้วยกัน ไปผจญอุปสรรคข้างหน้าโดยไม่แคร์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
            ซึ่งไม่มีผลใดๆ เพราะเขาปฏิเสธอย่างทันควัน แต่..อย่างน้อยเขาก็ได้ไอเดียจากความคิดนี้ โดยการใช้เป็นข้อต่อรองกับแอนนาผู้เป็นมารดา ว่า..
            "ถ้าไม่ช่วย...ก็จะไปอยู่กับอีดิธที่โปแลนด์"


            ในที่สุด แอนนาก็หาที่ให้ฉันได้ซุกหัวนอน นั่นคือ ห้องว่างๆ ข้างๆ ที่เจ้าของกำลังเดินทางไปพักผ่อน และได้ฝากกุญแจไว้ให้ กับเธอเผื่อฉุกเฉิน
            ที่นั่น..ฉันได้พำนักอยู่หลายคืนพอสมควร หากแต่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ห้องน้ำ หรือ เปิดไฟได้ เพราะเกรงว่าเพื่อนบ้านจะคิดว่าเป็นขโมยขึ้น และแจ้งตำรวจ
            และแล้ว..ในวันหนึ่ง แอนนาก็โผล่มาแต่เช้า เธอรีบกระชากแขนฉันให้ออกไปจากห้อง ปากก็ไล่ว่า..รีบไปจากที่นี่ซะ..เพราะเจ้าของเขาจะกลับมาแล้ว..ไป ไป๊...
            ฉันออกมายืนนอกถนน ไม่รู้จะไปที่ไหน..เคว้งคว้างไปหมด สมองสั่งการอะไรไม่ถูก เพราะถ้าตัดสินใจไปโปแลนด์ตอนนี้ แล้วฉันจะได้พบกับแม่หรือไม่ ไม่มีใครรู้
            และ คืนนี้เล่า..จะนอนที่ไหน?
            ระหว่างที่เดินเก้ๆ กังๆ ฉันถูกเฉี่ยวด้วยจักรยานที่ผ่านมาจนล้มลง..
            "เดินระวังหน่อยซิ"
            "ขอโทษค่ะ"
             ชายร่างผอมบางคนนั้น ยิ้มให้ด้วยไมตรี ถามให้แน่ใจ ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรก่อนที่จะเดินจูงจักรยานและชวนคุยว่า
            "ไอ้พวกนาซีนี่มันทำให้เวียนนาเสียหมด มันตั้งด่านตรวจไปทุกมุมถนน ถ้าผมเลือกได้นะ ขอเอานาย ฟอน ชูส์ชนิคค์กลับมาดีกว่า แต่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาได้ล้มหายตายจากไปที่ไหนนะ ไปแวะหาอะไรดื่มกันหน่อยดีไหม?"
            "ไม่ละค่ะ ดิฉันต้องรีบไป"
            "ไปน่า ครึ่งชั่วโมงเอง" เขามีทีท่าตั้งใจจริงในการชวนครั้งนี้
            ในที่สุด ฉันจึงไปนั่งเป็นเพื่อนได้หน่อยนึง ก่อนลาจาก เขาผู้นั้น ได้ให้เหรียญที่ระลึก เป็นรูปของนักบุญเซนต์ แอนโทนี่ ไว้เป็นเครื่องคุ้มครอง ฉันรู้สึกประทับใจจนน้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาปริ่มขอบตา
            "เอ้า..จะร้องไห้ไปทำไม..ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงานนะ แค่ให้ของที่ระลึกเท่านั้น" เขาหยอกล้อแบบเอ็นดู

            และจนกระทั่งบัดนั้นถึงบัดนี้ เหรียญที่ระลึกนั้นก็ยังอยู่กับตัวเสมอ




            การระหกระเหินของฉันนั้น พอได้ประทังอาศัยไปอาบน้ำในโรงอาบน้ำสาธารณะ ที่รัฐบาลได้จัดบริการให้กับพวกเวียนนีสประเภท"โลโซ"
            คือพวกที่อาศัยอยู่ในแฟลตที่มีให้แต่ห้องสุขา ไม่มีอ่างอาบน้ำ คนเหล่านั้นจึงต้องมาพึ่งบริการของโรงอาบน้ำที่มักจัดให้อยู่ในตามเขตต่างๆ
            ที่นั่นไม่มียามเฝ้า ไม่มีป้ายห้ามยิวเข้า..ฉันจึงได้มีโอกาสแช่ตัวอยู่ในสระน้ำอุ่นอย่างสบายใจ มีโอกาสได้ฟอกถูตัว สระผมให้สะอาดภายใต้น้ำจากฝักบัวที่มีอยู่เรียงราย

            ฉันต้องสะดุ้งตกใจจนเกือบหวีดเสียงออกมา เมื่อมีมือลึกลับมือหนึ่งมาแตะที่ไหล่จากด้านหลัง
            "จุ๊..จุ๊..อย่าเอ็ดไป ฉันเอง จำได้เปล่า?" สตรีนางนั้นยิ้มจนปากกว้าง แม้นว่า แว่นตาของเธอหมอกมัวไปด้วยไอน้ำ แต่ฉันก็ยังจำได้
            ว่าเธอคือ ลิลี่ คราเม่อร์ ผู้คุมจากโรงงานกระดาษที่อัสเชอร์สเลเบน
            เราโผเข้ากอดกันอย่างดีใจ..ลิลี่เล่าว่า พ่อของเธอได้หลบหนีออกไปอยู่ที่นิวซีแลนด์อย่างปลอดภัย
            ส่วนตัวเธอ ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านที่ให้ที่อยู่ซ่อนหลบตัว
            "เราจะทนอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้อย่างไร?" ฉันถามอย่างหมดหนทาง
            "ฉันเชื่อนะ อีดิธ ว่า ฮิตเล่อร์และพรรคพวกของมันจะต้องประสบความหายนะในเร็ววันนี้แหละ ฝ่ายอธรรมมันไม่มีวันเจริญหรอกนะ เธอว่าม๊ะ?"
            ตอนนั้น..ฉันอยู่ในสภาพที่หมดหวังจนไม่อยากจะเชื่อในคำของเธอมากนัก..
            ทุกวันนี้ ฉันก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของลีลี่เลย..ไม่รู้ว่าเธอได้เหลือรอดชีวิตมาจากสงครามครั้งนั้นหรือไม่..


            "หาที่อยู่ให้ฉันนะ"...ฉันยื่นคำขาดให้กับเปปปิ ในการพบปะกันของค่ำคืนหนึ่งในสวนสาธารณะ
            "ไม่รู้จะไปหาที่ไหนน่ะซิ" เขาตอบมาอย่างท้อแท้ในน้ำเสียง
            "อะไรนะ..อย่างคุณนี่นะ หมดหนทาง..คุณเป็นคนที่ใครต่อใครพากันมาพึ่ง เป็นนักกฎหมายที่ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ถึงแม้ไม่มีปริญญาก็เถอะ แต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตา..เป็นที่รู้จัก กะอีแค่หาที่ซุกหัวนอนให้กับแฟนคนเดียวนี่ คุณกลับทำไม่ได้.."
            "ก็ทำไมคุณถึงไม่หลบซ่อนตัวอยู่กับตาลุงที่ไฮน์แบร์คนั่นเล่า..พวกเขาพร้อมที่จะช่วยคุณนะ"
            "ทำไมน่ะหรือ..ก็เพราะฉันทนไม่ได้ต่อการสรรเสริญนาซี บูชาฮิตเล่อร์วันละสามเวลาน่ะซิ.. แม่ของฉันกำลังอดอยากปากแห้งอยู่ในสลัมไหนในโปแลนด์ก็ยังไม่รู้   ไหนจะเพื่อนๆ ที่ต่างหลบหนีกันไปทุกสารทิศ ป่านนี้อาจเป็นตายร้ายดี ฉันอยู่ทนฟังไม่ได้หรอก"
            "อย่าเพิ่งโมโหโทโสไปซิ..โอ๋.. ไม่เอาน่า..อย่าร้องไห้นะ"
            "งั้นคุณก็ไปบอกแม่คุณ ให้ย้ายไปอยู่กับสามีเธอซิ..คุณฮอฟเฟอร์น่ะ แล้วฉันย้ายก็ไปอยู่กับคุณในแฟลต"
            "ไม่ได้หรอก แม่คงไม่ยอมไปไหน เพราะ กลัวว่าพวกมันจะมาลากตัวผมไปน่ะ คุณไม่รู้หรอกว่า ผมเองก็ลำบากใจ ทำงานไม่ได้เพราะเป็นยิว  แต่ถ้าออกไปเดินเพ่นพ่าน ผู้คนก็จะสงสัยว่าทำไมไม่ทำงาน บางคนอาจคิดว่าผมหนีทหารแล้วไปรายงานก็ได้ ทุกวันนี้ผมต้องไปรับจ้างทำความสะอาดปล่องไฟ หลบๆ ซ่อนๆ ตัวอยู่แต่ในนั้น  เสร็จออกมาก็เนื้อตัวมอมแมมหน้าตาเลอะเทอะ ไม่มีใครจำหน้าได้ ตอนนี้ผมพยายามหางานประเภทเย็บเข้าเล่มหนังสือ แต่ไม่มีหัวศิลปทางด้านนี้เอาเสียเลย..อีดิธ..คุณไม่เข้าใจหรอกนะว่าผมเองก็อึดอัดจะตาย ที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคุณ คนที่เกสตาโปกำลังต้องการตัว.."

            สิ้นประโยคนั้น..ฉันถึงกับจ้องหน้าเขาอย่างตะลึงงัน..ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ฉันเพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่า
            เปปปิสุดที่รักของฉัน บุรุษที่ฉันฝากอนาคตของฉันไว้ในกำมือ ชายที่ฉันได้หวังพึ่งพิงในการฝากชีวิตของวันข้างหน้า มีทีท่าไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยวัยเยาว์
            หาใช่ชายชาตรีอย่างที่คิดไม่..
            มิหนำซ้ำ..ที่ฉันรู้แน่ๆ ก็คือ ความรักของเราได้เหือดแห้งหายไปจนสิ้น มันได้ถูกตัดจนขาดสะบั้นด้วยลัทธิของนาซี..ที่สามารถย้อมจิตใจให้เขาเกิดความเกรงกลัว ในการที่จะต้องมาผูกพันกับสาวยิวอย่างฉัน..!

            ตลอดเดือนกรกฎาคม.. ฉันใช้เวลาระหกระเหินไปสถานที่ต่างๆ ยามกลางวัน ฉันมักซ่อนตัวอยู่ในโรงภาพยนตร์โดยอาศัยความมืดไม่ให้ใครมาพบเห็น
            แต่..วันหนึ่งขณะที่ฉายหนังข่าว ฉันได้เห็นการกวาดต้อนชาวยิวราวกับสัตว์ คนพากษ์ได้พูดว่า
            "นี่คือการจับกุมพวกฆาตกร ที่จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมกับการกระทำ"
            ฉันทนฟังต่อไปไม่ได้ รีบผลุนผลันออกมาข้างนอก และ ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลังว่า
            "คุณฮาห์น..คุณฮาห์น ใช่ไหม?"
            ฉันรีบปฏิเสธ..สาวเท้าวิ่งไปข้างหน้า..และไม่เหลียวหลังไปมองด้วยซ้ำว่า คนคนนั้นเป็นใคร..?
            ฉันแวะไปหาญาติสาว เยาท์สกี้ เธอรีบบอกเสียงหลงว่า
            "เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ อีดิธ เพราะว่า ทางการส่งคนมาดูเสมอๆ เพราะว่า ฉันได้ขอบัตรปันอาหารและสิทธิพิเศษอื่นๆ ให้กับออตโต..เขาต้องแวะเวียนมาตรวจตราบ่อยๆไปหาที่อื่นอยู่เถอะ"
            ฉันจึงหันไปหาคริสตัล ไปขอพึ่งห้องใต้ถุนเธอบ้างเป็นบางคืน และ พยายามติดต่อกับญาติและคนรู้จักอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นผล ทุกคนต่างเกรงกลัวโทษทัณฑ์ที่จะได้รับในการให้ความช่วยเหลือยิว

            หกอาทิตย์เต็มๆ ที่ฉันต้องหลบๆ ซ่อนๆ เร่ร่อนไปที่โน่นที่นี่..จนหมดสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้หลบหนีอีกต่อไป
            หนทางสุดท้ายคือ การตัดสินใจไปเข้าค่ายในโปแลนด์


            ก่อนไป..ฉันได้ไปหาเพื่อที่จะกล่าวคำอำลากับคุณนายไนเดอรัลล์
            "ดิฉันมาลาค่ะ..คุณนาย" เธอไม่ตอบว่ากระไร แต่กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดว่า
            "แฮนเซิล..ฉันมีเด็กคนหนึ่ง เอกสารเธอหายหมด ช่วยจัดการให้ทีได้ไหม?"
            ทางฝ่ายโน้นคงตอบตกลงมาอย่างง่ายๆ เพราะคุณนายได้หันมาบอกให้ฉันไปที่สำนักงานสอบต้นตระกูล ที่อยู่เลขที่ 9 ถนน Freischmangasse
            และเธอได้สั่งว่า
            "เมื่อไปถึงนะ บอกความจริงทั้งหมดให้เขาฟัง "
            ซึ่งฉันรีบไปในทันทีตามคำบัญชา..

            ที่นั่น หน้าประตูสำนักงานเขียนไว้ว่า..Jahann Platter ผู้อำนวยการ
            (ขออธิบายเกี่ยวกับ สำนักงานสอบต้นตระกูล คือ ในยุคนั้น สำนักงานนี้มีหน้าที่จัดการสอยเรียงลำดับต้นตระกูลของใครต่อใครในการที่จะยืนยันว่า เป็นอารยันมาถึงสามชั่วคนเพื่อดูว่าไม่มียิวปะปน เพื่อที่จะออกบัตรรับรองให้)

            ทันทีที่สายตาประสบกับป้ายชื่อหน้าประตู ฉันถึงกับแข้งขาสั่น ..นี่ฉันกำลังถูกหลอกให้มาเข้าถ้ำเสือหรือไร..?
            แต่หูก็ยังได้ยินเสียงแว่วๆ ของมีน่า ที่เคยบอกไว้ว่า
            ขอให้ไว้ใจคุณนาย..คุณนายช่วยเราได้เสมอ..


            คนที่มาเปิดประตูคือบุตรชายของนายพลาเตอร์ เขาพาฉันไปยังห้องทำงานของพ่อของเขา
            ที่นั่น..หัวใจของฉันได้กองไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะชายที่นั่งอยู่นั่น แต่งกายด้วยชุดสีกากีที่แขนมีปลอกเครื่องหมายสวัสดิกะลอยเด่น
            "เธอโชคดีนะ ที่พบฉันในวันนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ ฉันไม่อยู่ต้องเดินทางไปอาฟริกาเหนือ ไหนลองเล่าปัญหามาซิ"
            ฉันได้ทำตามที่คุณนายสอนมาทุกอย่าง..นั่นคือเล่าความจริงทั้งหมด
            "เธอมีเพื่อนที่เป็นอารยันบ้างไหม?"
            "มีค่ะ"
            "งั้นก็ลองไปหาเพื่อนอารยันของเธอที่มีหน้าตาและส่วนสัดใกล้ๆ กันกับเธอนะ อ้อ อายุไล่เลี่ยกันด้วย ให้เพื่อนของเธอไปที่สำนักงานบัตรปันส่วน   และแจ้งว่า กำลังจะไปต่างเมือง ทางสำนักงานจะออกใบรับรองในการขอของปันส่วนในเมืองที่เธอจะไป จากนั้นให้เธอคอยสักสองสามวัน  ก่อนที่จะไปแจ้งความกับตำรวจว่า ไปเที่ยวแล้วทำกระเป๋าหาย ตกน้ำหรืออะไรทำนองนั้น ข้าวของ เอกสารและบัตรปันส่วนได้อยู่ในกระเป๋านั้นด้วย  ขอให้ใช้ทุกประโยคตามที่ฉันบอก อย่าบอกว่า ไฟใหม้ หรือ ถูกหมาแทะ เพราะ เขาจะขอดูหลักฐานที่เหลือได้ แต่ถ้าตกน้ำอย่างแม่น้ำดานูปไม่มีใครลงไปงมมาให้หรอก ตำรวจก็จะให้ใบแทนมาทุกอย่าง..เข้าใจหรือไม่?
            "ค่ะ เข้าใจค่ะ"
            "จากนั้น เธอก็ขอบัตรจริงมาจากเพื่อนของเธอ รวมทั้งใบสูติบัตร และ ใบรับรองจากโบสถ์ เอาไปใช้ว่าเป็นเพื่อนของเธอคนคนนั้น และตัวเธอเองก็รีบออกไปจากเวียนนา.. ไปอยู่ต่างเมืองที่ไหนก็ได้ ในชื่อของเพื่อนของเธอ และจำไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไร  ห้ามไปขอสิทธิในการปันส่วนทุกชนิด เพราะ มันจะไปซ้ำกับส่วนที่เพื่อนของเธอได้ขอไป หลักฐานมันจะฟ้องออกมา
            อ้อ..ไปซื้อบัตรรถไฟแบบเหมาปีซะ เพราะในบัตรจะมีรูปถ่าย ซึ่งเธอสามารถใช้แทนบัตรประชาชนได้ในทุกกรณี รวมทั้งบัตรเอกสารอื่นๆ ของเพื่อนของเธอ
            แค่นี้..เธอก็สามารถอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยในอาณาจักรไรคซ์นี่"
            "ขอบพระคุณมากค่ะ ท่าน ที่กรุณา"
            "แต่อีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกคือ..เนื่องจากตอนนี้เรากำลังขาดแคลนแรงงาน อีกหน่อยก็คงต้องมีการเรียกแรงงานหญิงเข้าสู่โรงงาน เพื่อนเธอก็อาจถูกเรียกตัว และนั่นหมายถึงเธอด้วย  ฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ เธอต้องไปหางานทำแบบอาสาสมัครกาชาด เพราะคนที่ทำงานในนี้จะไม่ถูกเรียกตัวไปในโรงงาน"

            การสัมภาษณ์ได้จบลง ถ้อยคำทุกขั้นตอนฉันได้จดจำเข้าสู่สมองอย่างไม่มีตกหล่น
            ก่อนกลับ..เขาไม่ได้อวยพรให้โชคดีหรืออย่างไร..ไม่แม้แต่จะบอกลา..เราไม่เคยได้พบกันอีกเลยจนทุกวันนี้
            แต่..เขาคือผู้ที่ช่วยชุบชีวิตให้ฉันราวกับฟ้าประทาน..!


            เปปปิรับเป็นตัวแทนในการเจรจากับคริสตัลให้ถึงแผนการนี้ เพราะเธอคนเดียวที่สามารถช่วยได้
            หลังจากที่อธิบายจบ
            คริสตัลไม่ได้รีรอแม้แต่วินาทีเดียวที่จะตกปากรับคำ เธอบอกว่า
            "ฉันมีเอกสารพร้อมหมด พรุ่งนี้เลยละกัน ฉันจะไปจัดการทุกอย่างให้"
            คุณเข้าใจไหมว่า..อะไรจะเกิดขึ้น ถ้า คริสตัลถูกจับได้ว่าโกหกรัฐบาลเพื่อมาช่วยเหลือยิว
            เธอจะต้องถูกส่งตัวไปทรมานในค่ายกักกัน หรือไม่ก็..อาจถูกประหารชีวิต แต่เธอก็ยังยอมทำเพื่อฉัน..

            คุณนายไนเดอรัลล์ได้เชิญฉันไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำกับกลุ่มอาจารย์ สมาชิกพรรคนาซีด้วยกัน ที่ส่วนใหญ่ทำงานกับหน่วยของบัตรปันส่วน
            ในการสนทนา คุณนายพยายามถามไถ่ถึงเรื่องระบบการให้บัตร รับบัตร และขั้นตอนอื่นๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นการให้ฉันฟังเล็คเช่อร์ให้เข้าใจไปแบบกลายๆ

            คริสตัลพยายามนั่งตากแดดจนผิวเกรียม เพื่อให้เหมือนกับว่า เธอได้ไปพักผ่อนพายเรือกลางแดดแบบสมจริงสมจัง
            ในวันที่ 30 กรกฎาคม 1942 คือวันที่เธอไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องกระเป๋าพร้อมบัตรตกน้ำหายป๋อมแป๋ม.
            ซึ่งทุกคนเชื่อสนิทใจ รีบออกบัตรใหม่ให้อย่างไม่รอช้า..และ..เข้าตำราเดิม คือมีนายตำรวจได้ขอเชื้อเชิญเธอไปร่วมรับกาแฟด้วย
            ซึ่งเธอได้ตอบตกลงไปอีกตามเคย แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอก็ได้เล่าให้เขาฟังถึงเรื่อง ชายที่รักกำลังสู้รบอยู่ที่แนวหน้าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
            คราวนี้ตัวละครอาจจะเปลี่ยนไปเป็นหมอที่ออกหน่วยอยู่กับอาฟริกา คอร์ป (กับท่านนายพลรอมเมล) ก็เป็นได้



            คริสตัลได้มอบบัตรจริงให้ฉันทั้งหมด ซึ่งฉันก็เตรียมตัวเดินทางออกจากเวียนนาทันทีเช่นกัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
            นอกจากโรงงานกล่องกระดาษที่ อัสเชอร์ชเลเบน แล้ว..ฉันแทบไม่รู้จักเยอรมันเลย
            ฉันไปใช้สมองสำหรับคิดเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ในหนังข่าว..ได้ฉายให้เห็นว่า นายเกิบเบิลส์กำลังเปิดงานนิทรรศการศิลปที่เมืองมิวนิค  ที่หอศิลปใหม่ที่ออกแบบเป็นแท่งยาวๆ ตามสไตล์ของฮิตเล่อร์ ที่มีชื่อว่า Das Haus der Deutschen Kunst
            งานเปิดที่มีริ้วขบวนพาเหรดมโหรีจากวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ ในงานมีการแสดงถึงภาพปั้นงานศิลปต่างๆ ที่มีทั้งภาพปั้นฮิตเล่อร์ครึ่งตัว
            และงานศิลปของศิลปินชื่อดังอื่นๆ อย่าง..แต่ที่สะดุดตาของฉันที่สุดคือ ภาพแกะสลักหินอ่อนของ Josef Thorak ในชื่อว่า Mutter mit Kind
            ที่เป็นรูปของแม่ที่กำลังให้นมลูก และ ภาพปั้นที่มีชื่อว่า Die Woge ของ Fritz Klimsch ที่เป็นภาพของหญิงสาวที่นอนตะแคงข้างทอดกาย
            ไปตามยาว ภาพนั้นเหมือนกับมีจิตวิญญาณส่งกระแสจิตมาถึง..ริมฝีปากของเธอนั้น เหมือนกับจะเปล่งเสียงอันอ่อนโยน..เรียกให้ฉันไปหา
            สายตาของฉันได้จ้องมองภาพนั้นบนจออย่างไม่กระพริบ รู้สึกเต็มตื้นได้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
            ร่างของเธอที่เป็นหินอ่อนนั้น ดูมีชีวิตชีวาและมีเลือดเนื้อราวกับเทพธิดาจริงๆ
            วินาทีนั้นเองที่ฉันได้ตัดสินใจ..บอกกับคุณนายอย่างมั่นใจที่สุดในชีวิต..ว่า
            "ดิฉันจะไปมิวนิคค่ะ"



            ฉันหาข้อความการแบ่งเช่าห้องในเมืองมิวนิคจากหน้าหนังสือพิมพ์ และพบว่า มีหญิงเจ้าของบ้านที่อยู่ในเมือง
            ไดเซนโฮเฟน ต้องการให้คนช่วยงานด้านการตัดเย็บเพื่อแลกกับที่พักอาศัย ซึ่ง มันเหมาะมากสำหรับฉัน

            คุณนายได้ช่วยขายเสื้อขนแกะของแม่เพื่อฉันจะได้มีเงินติดตัว ส่วนเครื่องทองหยองเล็กๆ น้อยๆ นั้น ฉันฝากไว้ที่เธอ
            ด้วยความไว้วางใจ
            ฉันไปแวะหาเยาท์สกี้เพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่แม่ได้ทิ้งไว้ให้ เราลาจากกันด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา..
            จากนั้น..ก็แวะไปที่บ้านเปปปิ พบกับแอนนาที่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าที่เห็นฉันไปพ้นๆ เสียได้ ปากเธอก็พร่ำถึงเรื่องที่หลานสาวของเธอคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากการไปเที่ยวในโครงการสนับสนุนของนาซี อีกทั้งเรื่องที่เธอต้องเตรียมเสบียงกรังที่มีทั้งใส้กรอก ขนมหวาน ให้กับหลานสาวคนนั้นอย่างเต็มอัตรา
            แต่..สำหรับฉัน ที่นั่งอยู่ทนโท่ตรงนั้น เธอไม่ได้ออกปากหรือเตรียมแซนวิชสักอันสำหรับเอาติดตัวไปกินกลางทาง..

            ฉันรอ จนกระทั่ง เขากลับมา..พร้อมกับของขวัญคือหนังสือของ Goethe ที่เขาประกอบเล่มขึ้นเองด้วยฝีมือ แม้ว่ามันจะไม่ดีนัก แต่ก็พอใช้ได้
            ด้านในของปก เขาทำที่หลืบที่ซ่อนเอกสารแท้จริงของฉัน Edith Hahn สาวยิวจากเวียนนาเอาไว้ รวมทั้งเอกสารต่างๆ จากมหาวิทยาลัย
            "วันหนึ่ง คุณอาจจะต้องใช้มันนะ" เขากระซิบ "เพื่อจะได้อวดต่อชาวโลกว่า คุณคือปัญญาชนคนหนึ่ง"
            และเขาได้ไปส่งฉันที่สถานีรถไฟในคืนนั้น สู่มิวนิค
            เราไม่มีการจูบลา..เพราะ พิศวาสที่เคยมีนั้น..มันอันตรธานหายไปนานแล้ว !


            บนรถไฟ..โชคดีสำหรับฉันอย่างเหลือเกินที่ไม่เคยต้องโดนตรวจไม่ว่าจะเป็นการเดินทางครั้งไหนๆ
            นับตั้งแต่..จากโรงงานกล่องกระดาษที่ไม่ได้ติดดาวเดวิด ที่เสี่ยงอันตรายอย่างเหลือเกิน หรือเมื่อครั้งที่ไปพักผ่อนที่ชนบทกับลุงของคาทเธ

            ครั้งนี้..ที่กำลังจะไปมิวนิค ที่ฉันมีเอกสารพร้อมมูล..ในนามของ Christina Maria Margarethe Denner หญิงอารยันวัยยี่สิบ  ที่นั่งรถไฟไปพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ทั้งขบวน เดินชนใครต่อใคร ก็ยังไม่มีคนสามารถสังเกตถึงความแตกต่างได้แม้แต่นิดเดียว
            แต่ส่วนที่ฉันต้องกล้ำกลืนไปด้วยความลำบากยากเย็นนั้น คือ การที่ต้องลืมให้หมดว่า ตัวเองคือใคร?
            และต้องทำจิตวิญญาณสวมลงในชื่อใหม่ คนใหม่..ชีวิตใหม่ให้สำเร็จ

            เช้าของวันใหม่มาถึง ฉันมาถึงสถานีปลายทาง มองดูผู้คนชาวเยอรมันที่เดินไปมาขวักใขว่ ท่าทางเขาเหล่านั้นดูสมบูรณ์พูนสุข ต่างมีปลอกแขนที่ติดเครื่องหมายสวัสดิกะ ภาพของท่านผู้นำมีติดอยู่ทั่วเมือง ธงสามสี ขาว แดง ดำ มีแขวนอยู่ทั่วไปทั้งบนผนังและหลังคาตึก
            เพลงปลุกใจดังกระหึ่มอย่างไม่มีหยุด กลุ่มหญิงสาวดูร่าเริงหัวเราะต่อกระซิก ทหารแต่งตัวด้วยเครื่องแบบที่แสนโก้เก๋
            ทุกอย่างหาซื้อได้อย่างสบาย ไม่ว่า จะเป็นดอกไม้, เหล้าองุ่น หรือ อาหารอร่อยๆ
            ในยามนั้น มิวนิค เปรียบได้ดังเมืองสวรรค์จริง...............!!!





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:52:48 น.
Counter : 885 Pageviews.

0 comments
เพราะครูมีจิตใจที่หวัง.... #หกฉากครับจารย์ comicclubs
(19 ก.ย. 2567 18:13:17 น.)
วงการแพทย์ คิดไม่ถึงว่า "มะม่วง" จะส่งผลต่อร่างกายขนาดนี้ ถ้าไม่อ่าน ระวังคุยกับคนทั้งโลกไม่รู้เรื่อ newyorknurse
(25 ก.ย. 2567 07:10:56 น.)
Acinetobacter baumannii (Continue III) kcan9
(13 ก.ย. 2567 14:15:11 น.)
ป้อมยุทธนาวีทั้ง 25 : เมืองท่าสมุทรปราการ ผู้ชายในสายลมหนาว
(9 ก.ย. 2567 11:31:22 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]