เชลย....ตอนสิบเอ็ด

            ยายออกไปช่วยคนทำความสะอาดลากที่นอนออกไปตาก จนเกิดอุบัติเหตุที่กล้ามเนื้อที่ท้องเกิดปริขึ้นมา
            จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัด แต่ยายไม่ได้รอดออกมา..
            เพราะได้เสียชีวิตขณะที่อยู๋บนเตียงผ่าตัดนั่นเอง

            ตา..แทบไม่เชื่อว่ายายจะรีบด่วนจากไปอย่างรวดเร็วแบบนั้น จึงเสียใจมาก และ ทำใจให้ยอมรับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้เลย  ตายังเรียกหาและมองหายายเสมอๆ
            และหลังจากที่ยายจากไปไม่นาน เหล่านานาชาติในยุโรปได้จัดส่งตัวแทนของแต่ละประเทศเข้ามาประชุมในญัตติเกี่ยวกับการที่จะยื่นมือมาช่วยชาวยิวในออสเตรียกันได้อย่างไร
            การประชุมครั้งนี้ ได้จัดอย่างหรูหราที่ Evian-les-Bains รีสอร์ตและสปาชั้นดีที่เทือกเขาแอลป์ฝั่งฝรั่งเศส  บริเวณใกล้กับทะเลสาบเจนีวา
            นายไอคมันน์ได้ส่งตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมด้วย  พร้อมทั้งข้อความที่ประกาศอย่างเยาะเย้ยต่อผู้ที่เข้าร่วมประชุมว่า
            "ได้เลยขอรับ ถ้าท่านมีจิตเมตตาจะช่วยพวกยิวจริงแล้ว..ช่วยได้เลย..เชิญครับ ยิวที่ฉลาด  นิสัยดี ความรู้สูง อันเป็นรากฐานของสังคมออสเตรียในปัจจุบัน เชิญเลือกไปได้เลย
            ตามราคาดังนี้ครับ..400 เหรียญ(ยูเอส) ต่อหัว..อ้าว..นั่งนิ่งทำไมล่ะครับ แพงไปหรือไง ถ้างั้นเอางี้ ..ผมลดให้เหลือหัวละ 200   ว่าไง..  ยังสนใจจะช่วยไหมล่ะครับ ??"
            ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครควักเงินออกมาสักสลึง  ยกเว้นผู้นำของ Dominican Republic ที่ได้ยอมเลือกยิวไปกลุ่มหนึ่ง เพื่อไปช่วยในการปรับปรุง ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของประเทศ
            (ได้ข่าวว่า..พวกเขาทำสำเร็จด้วยนะ)


            วันที่ 9 พฤศจิกายน 1938  ฉันงดการไปทำงานที่บ้านนายเดนเนอร์หนึ่งวัน เพราะวันนั้นคือ วันที่เราต้องไปส่ง ฮันซี่ที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางสู่ประเทศสู่ปาเลสไตน์ หลังจากที่แม่ได้ถอนเงินจนหมดธนาคารเพื่อจ่ายค่า
            ใบอนุญาตเดินทางซึ่งเป็นราคาที่สูงลิ่ว
            จนทั้งฉันและมิมี่ต่างรู้ดีว่า แม่ไม่มีเงินเหลือเลยสำหรับค่าใบอนุญาตของพวกเรา แต่แม่ว่า..เพราะทั้งฉันและมิมี่ต่างก็มีชายคนรักคอยช่วยเหลือ
            แต่..น้องฮันซี่..เธอไม่มีใครเลยที่จะช่วยประคับประคอง
            ในกระเป๋าเดินทางใบเดียวของน้อง ตามที่กำหนดนั้น ไม่มีอะไรมาก นอกจากรองเท้า เสื้อผ้าชั้นใน..เสื้อตัว กางเกงตัว กระโปรงชุด และกระโปรงครึ่งท่อน
            ส่วนแม่ได้เตรียม  ใข่ต้ม ขนมนมเนย นมกระป๋อง ให้ไปกินระหว่างเดินทาง
            ก่อนจาก..พวกเรากอดกันร้องไห้ ยกเว้นฮันซี่คนดียว ที่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยด เธอย้ำหนักหนาว่า..
            "ออกมาจากไอ้ประเทศบ้าๆนี่ให้ได้นะ  อย่างเร็วที่สุดด้วย นะ..นะ.."
            รถไฟเคลื่อนขบวนอออกไปช้าๆ  เรามองน้องที่ยืนชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง...จนลับหายไป

            ระหว่างทางที่เดินกลับมาบ้านนั้น เราได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาแต่ไกล..เหลียวมองไปทางต้นเสียง..ก็พบกับแสงไฟแดงฉานขึ้นมาขอบฟ้าไกลๆโน่น..
            นั่นหมายความว่า อีกด้านหนึ่งของเมืองกำลังเกิดเพลิงใหม้ครั้งใหญ่  เสียงรถหวอของนาซีวิ่งกันให้พล่าน เสียงทหารที่ยกกันมาเป็นกองทัพ..เอะอะ ชุลมุน ท่าทางเอาเรื่อง
            ทั้งฉันและมิมี่ต่างรีบจูงแม่คนละคนละข้าง..พาวิ่งออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว..

            เมื่อมาถึงบ้าน คนที่ดูแลอาคาร คุณนายฟาลัต ได้ยืนรออยู่ชั้นล่างด้วยสีหน้าเป็นกังวล
            รีบบอกพวกเราว่า.." พวกมันกำลังพังโรงสวดทั่วเมือง และเข้าทำลายร้านค้าของชาวยิวแทบทั้งหมด  คืนนี้ต้องอยู่กับบ้าน ออกไปไหนไม่ได้เลยเชียว"


            (9-10 พฤศจิกายน 1938 คือวัน Kristallnacht ที่เล่ามาแล้วในเรื่อง ฮิตเล่อร์...วิวันดา)  



            สักพักเดียว มิโลก็ก้าวเข้ามา ด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ ใบหน้าซีดเผือด  แต่ก็ยังขอว่า " ขอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ คุณนายฮาห์น เพราะว่ามีข่าวออกมาว่าคืนนี้พวกนาซีจะ
            ไปเกณฑ์ชายหนุ่มตามบ้าน เพื่อเอาไปเข้าค่ายแรงงาน ไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหน ดักเฮา หรือ บัคเชนวัลด์ "
            แล้วเขาก็ไปนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง มิมี่รีบไปนั่งแทบพื้นซบแทบเข่าชายผู้เป็นที่รักด้วยความเห็นใจ..
            เสียงเพล้ง พล้าง ดังมาจากอีกฝั่งของถนน เสียงผู้คนที่กำลังทำลายข้างของอย่างบ้าคลั่งดังมาเป็นระลอก..จนเวลาสี่ทุ่ม ที่ญาติของฉันคนหนึ่งชื่อ เออร์วิน ที่เป็นนักเรียนแพทย์
            ก็เข้ามาขอหลบภัยอีกคน..เขาว่าเขาเพิ่งกลับจากการปฏิบัติการในห้องแลบ และมาประสบเหตการณ์เผาโรงสวด และเห็นกับตาว่า ชาวยิวถูกลากไปซ้อมจนสลบ
            จึงรีบกลับหลังหันมาทางทิศทางนี้..
            ต่อมา..เปปปิ..ก็อีกคนหนี่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง และเป็นคนเดียวที่ดูมีสติมากกว่าคนอื่นๆ..ท่าทางเขาเยือกเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขาว่า
            "พวกม็อบเดี๋ยวมันเหนื่อย..ก็สลายตัวไปเอง จะมีอาร๊ายย นอกจากเศษกระจกที่ต้องทำความสะอาด ซ่อมซะ เดี๋ยวอาทิตย์หนึ่งผ่านไปคนก็ลืมแล้ว"
            เขาพูดอย่างง่ายๆ  ที่ทำให้พวกเราทุกคนต่างหันไปจับจ้องที่เขาพร้อมทั้งคิดว่า จะบ้าไปหรือปล่าว?
            แม่หลุดปากออกมาว่า..แหม..เธอนี่ไปเป็นทนายจริงนะ..เพราะมองเห็นแต่ทางได้..
            เขารีบแก้ตัวว่า.."ปล่าวหรอกครับ..เพียงแค่ผมไม่อยากให้แม่หวานใจของผมต้องมาเป็นกังวล" ว่าพลางเขาก็ลูบไล้ไปที่หน้าผากฉันเบาๆ และเอ่ยต่อว่า
            "เดี๋ยวหน้าย่น..ไม่สวยนะ"
            แค่นั้นพร้อมกับการโอบประคองให้ไปนั่งคู่ด้วยกันบนโซฟา ก็ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด  เปปปิเป็นคนนิสัยดีอย่างนี้เสมอ กล้าหาญ และอยู่เคียงข้างพวกเรามาโดยตลอด
            แม้แต่ยามที่ภัยมาจ่อถึงประตูบ้าน..เขาช่างน่าบูชาเสียเหลือเกิน !!



            แต่แล้ว..จู่ๆ ร่างท้วมๆของแอนนาก็พรวดพราดเข้ามา  ตัวเนื้อสั่นไปด้วยความโมโหโกรธา เสียงเธอกรีดก้องว่า
            "อยู่นี่เอง..ไอ้โง่..หนอย...ชั้นสู้อุตส่าห์ไปติดสินบนใครต่อใครเพื่อที่จะให้แกพ้นออกจากความเป็นยิว..เอาแกมาเป็นคริสเตียนจนได้ แล้วไง..แล้วง๊ายยย..
            คืนนี้ที่ใครต่อใครเขาต่อต้านพวกยิวบ้านี่..ถึงขนาดทั้งเผาทั้งรื้อ แล้วแกทำงัย..ดันมานั่งเอ้อระเหยเป็นใข่แดงในบ้านยิว.. แกไม่รู้หรือไง ว่าใครๆเขาก็รังเกียจพวกมันทั้งนั้น
            ไป..กลับไปบ้านกับชั้นเดี๋ยวนี้"  
            เท่านั้นไม่พอ..แอนนาหันมาทางฉันพร้อมชี้หน้าว่า
            "ปล่อยเขาไปนะ..แม่อีดิธ ถ้าหล่อนว่าหล่อนรักเขาจริง  เพราะขืนมาอยู่กับหล่อน ลูกชั้นจะได้ถูกลากคอไปเข้าคุกด้วย  ชั้นมีลูกชายคนเดียว ที่เปรียบเสมือนทุกสิ่ง..ทุก..อย่างงงง"
            เสียงเธอเริ่มขาดหายเป็นห้วงด้วยก้อนสะอื้นในตอนท้ายๆ..แม่ก็ยังอุตส่าห์ใจดี..ไปรินบรั่นดีมาให้ซดปลอบใจแก้วหนึ่ง  เปปปิรวบรวมสติได้ จึงพูดว่า
            "แม่ครับ..เลิกโวยวายซะทีเถอะ อายเค้า  ผมกับอีดิธ เรากำลังจะหาทางออกไปจากที่นี่ อาจจะเป็นอังกฤษ หรือ ปาเลสไตน์"
            "อาไรนะ..ไหนแกว่าใหม่ซิ..นี่หมายความว่าพวกแกกำลังคิดจะทิ้งชั้นไปงั้นเหรอ..โธ่เอ๋ย..ในที่สุด หญิงม่ายที่น่าสงสารอย่างฉันก็ไม่มีใครเหลียวแลจริงๆ"
            แอนนาเริ่มออกท่าออกทางกราดเกรี้ยวมากขึ้น..และ..สลับรำพัน
            "แม่...ขอเสียทีเถอะ คำว่าหญิงม่ายที่น่าสงสารเนี่ย แม่ลืมไปแล้วหรือ ว่า สามีแม่ ก็คือ  นายฮอฟเฟอร์ไงล่ะ เขาก็ดูแลแม่ดีนี่"
            ประโยคนี้จากปากของเปปปิเล่นเอาแอนนาสะอึก เพราะ ในที่สุดความลับที่เก็บงำไว้ต้องมาเปิดเผยต่อหน้าคนหลายคน..แต่เธอก็หายอมไม่ ยังคงอาละวาดต่อไป
            "เอาซี้..แกจะทิ้งชั้นไปใช่ไหม..ถ้างั้นชั้นก็ไม่ขออยู่ให้มันเกะกะนัยตาของแก..มะ..ชั้นจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเดี๋ยวนี้" ว่าแล้ว เธอก็รีบไปที่หน้าต่าง ทำท่าจะปีนไปบนรางกระถางต้นไม้
            เหมือนจงใจจะเตรียมกระโดดสู่เบื้องล่าง..
            ชายหนุ่มรีบคว้าเอวที่แสนเทอะทะของมารดา เข้ามาสู่อ้อมอก และลูบหลังลูกไหล่ปลอบประโลม  "ไม่เป็นไรนะครับ..โอ๋..โอ๋..."
            แต่แอนนาก็ยังโวยไม่เลิก ว่า..ไปกลับบ้านเดี๋ยวนี้..เลิกกับมันซะ..อย่าไปยุ่งกับมันอีก !!





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:32:33 น.
Counter : 963 Pageviews.

0 comments
สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ…วางแผนการเงินอย่างไร ให้เหลือใช้ถึงปลายเดือน! สมาชิกหมายเลข 7654336
(13 เม.ย. 2567 02:04:45 น.)
สุริยุปราคา อเมริกา /นิวยอร์ก อินเดียน่า เทกซัส newyorknurse
(9 เม.ย. 2567 04:13:31 น.)
แคดเมียม Cadmium ความอันตรายของมัน สมาชิกหมายเลข 4149951
(8 เม.ย. 2567 07:11:22 น.)
เรื่อง ที่เตือนมาจากทนายความ ควรหลีกหนี 20 เรื่องเหล่านี้เพราะ..... newyorknurse
(28 มี.ค. 2567 02:09:48 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]