เชลย....ตอนสิบห้า

            ในเดือนสิงหาคม เกิดมีฝนตกที่ถือว่าเป็นการผิดฤดูกาล ผลผลิตในไร่ที่ทำท่าว่าจะดีนั้น เกิดล่มขึ้นมา..
            ทำให้เกิดการขาดแคลนไปทั่ว
            หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสร็จ ฉันได้ใช้เงินเพียงเล็กน้อยที่มี ขอซื้อมันฝรั่งหนึ่งถุงเพื่อที่จะส่งไปให้แม่..
            เพราะเชื่อว่าที่เวียนนาก็ต้องขาดแคลนเช่นกัน
            แต่เมื่อได้ไปถึงที่ทำการ สาวไปรษณีย์ได้บอกเสียงดังเพื่อให้นายที่นั่งในห้องได้ยินว่า..
            ห้ามไม่ให้มีการส่งอาหารออกไปนอกเยอรมัน
            "ทำไมล่ะ"
            "เพราะว่า..ชาวเยอรมันต่างขาดแคลนจนแทบไม่มีมันฝรั่งกินกัน แล้วพวกยิวจะแบ่งเอาไปได้ยังไง..หนอยแน่ะ"

            ฉันจึงหันหลังเดินออกมา..แต่เมื่อมาถึงข้างนอก สาวเจ้าพนักงานคนนั้นได้เดินตามมาพร้อมทั้งกระซิบว่า
            "ใส่กล่องไปนะ..เขียนระบุว่าเป็นเสื้อผ้า รับรองว่าถึง"


            ต่อมา..จดหมายได้มีการเปิดอ่าน ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล คิดกลัวไปต่างๆ นานา ว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้าง หรือ เกรงว่า ทางแม่ เปปปิ หรือ คริสตัล จะเขียนอะไรมาโดยไม่ได้ทันระวัง
            เพราะข่าวของการเนรเทศและริดรอนสิทธิต่างๆ นั้นมาเป็นระยะ เกิดแม่เขียนมาว่า..
            "เสื้อขนสัตว์ตัวหรูนั่น แม่จะเก็บไว้ให้หนูนะ"
            ใครเปิดอ่านก็จะทราบได้ว่าแม่มีเสื้อขนสัตว์ราคาแพงอยู่ในความครอบครอง อาจจะไปขโมยแล้วทำร้ายแม่ล่ะ จะทำอย่างไร?
            หรือถ้าเปปปิเกิดเขียนเล่าเรื่องการที่เขากำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ละก้อ..เกาตาโปอาจจะไปตามจับเขาก็ได้
            ฉะนั้น..สิ่งเดียวที่ฉันต้องรีบทำ นั่นคือเขียนจดหมายไปบอก.. โดยใช้ข้อความว่า
            "ที่รัก..อ่านจดหมายของฉันแล้วเก็บข้อความใส่เก็บไว้ในใจก็พอ จากนั้นจงทำลายให้หมด ทางฉันเองก็จะทำอย่างนี้เช่นกัน"
            เราเริ่มใช้อักษรย่อ..เช่น เกสตาโป จะเป็น "PE" ย่อมาจาก.. Prinz Eugenstrasse (อันเป็นชื่อถนนที่ สำนักงานของเกสตาโปตั้งอยู่)
            หรือ คำว่า ไปโรงเรียน
            หมายถึงการที่ใครสักคนต้องถูกเนรเทศ โดยการที่ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงาน..ที่อดีตเป็นที่ตั้งของโรงเรียน

            มาถึงตรงนี้..ฉันเป็นฝ่ายวิงวอนขอให้เปปปิแต่งงานกับฉันโดยไว เพราะหวังไว้ว่า เราทั้งคู่อาจเดินทางออกไปอยู่ประเทศอื่น อย่างมิโล และ มีมี่
            หรืออย่างน้อยๆ .ถ้าแม้จะไปไหนไม่ได้ .เราก็ยังได้อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา เป็นครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ สักสองสามคน..
            ฉันรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง เพียงแต่ได้คิดหวังถึงอนาคตที่จะมี"เขา" ที่บอกพร่ำเสมอมาว่า รักฉันอย่างเหลือเกิน
            แต่..ในความเป็นจริง..เมื่อฉันต้องการให้เขารับฉันไปแต่งงานเข้าจริงๆ เขากลับทำเฉย..ไม่ตอบ หรือไม่แม้กระทั่งจะให้ความหวังใดๆ ในวันข้างหน้า.




            เราคิดไปถึงขั้นเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งนับว่าเป็นการอกตัญญูกับบรรพบุรุษอย่างที่สุด
            ฉันได้เข้าใจและเห็นใจพวก Marranos** แห่งสเปนก็ในคราวนี้เอง
            (ในสมัยของ ศตวรรษที่ 14 ที่สเปนมีสงครามศาสนาที่ดุเดือดถึงกับมีการทำร้ายขั้นประหารชีวิตแก่พวกนอกรีต กลุ่มผู้ก่อการนั้นเป็นที่เรียกกันว่า Inquistition
            พวกยิวในสเปนจึงจำเป็นต้องไปขออนุญาตจากรับไบในการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และเป็นการสัญญาว่าจะเปลี่ยนไปตามกระแสการเมืองอันเป็นชั่วคราว
            เมื่อเหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านไป จะกลับไปเป็นจูดาห์ตามเดิม นี่คือการเริ่มต้นที่ว่าของคำว่า คริสเตียนยิว เพราะในต่อๆ มา ยิวบางคนก็เลื่อมใสในพระศาสนาคริสต์
            แถมยังเคร่งอีกต่างหาก เป็นการเปลี่ยนไปอย่างถาวร พวกนี้ เรียกว่า พวก Marranos ซึ่งคำว่า Marrano ในภาษาสแปนิช แปลว่า คนที่โสโครกเหมือนหมู น่ะค่ะ)

            ฉันเชื่อว่า ถ้าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ในตอนนี้ พระเจ้าคงเห็นใจและประทานอภัยให้อย่างแน่นอน..
            ขั้นแรกฉันไปที่โบสถ์ในเมือง Osterberg ยืนมองไปที่พระรูปของพระเยซูเจ้า และ พยายามสร้างศรัทธาให้เลื่อมใสในพระองค์
            แต่ในขณะนั้นคือระยะแห่งการสงคราม
            ผู้คนต่างออกไปแนวหน้ากันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังเห็นว่า ไม่มีการจุดเทียนบูชาในโบสถ์ ไม่มีคนมานั่งคุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอนให้ผู้ที่เป็นที่รัก
            กลับบ้านมาอย่างแคล้วรอดปลอดภัย
            นั่นแสดงถึงว่า พวกนาซีได้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ในการที่ให้คนเลิกเชื่อถือ และหมดศรัทธาในพระในเจ้า..
            เพราะต่างหันมาเชื่อใน"ท่านผู้นำ"แต่เพียงผู้เดียว


            ฉันเขียนจดหมายไปถามเปปปิว่า ฉันจะต้องทำอย่างไรในการเปลี่ยนศาสนา..ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
            ฉันเริ่มหัดท่องคำสวด และฝันถึงครอบครัวคริสเตียนที่อบอุ่นที่มีทั้งเขาและฉัน..หรือ..เราอาจจะมีลูกเล็กๆ เพียง..ถ้าเขาผละออกมาจากอกแม่ได้ และ....
            ถ้า..รอบเดือนของฉันจะกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง..
            เพราะ ความทุกข์ระทม ความยากลำบากตรากตรำของร่างกาย ทำให้มันเหือดหายไปสิ้น ทั้งๆ ที่มันเป็นการดีที่หมดห่วงไป
            แต่ฉันก็ไม่วายเป็นกังวล..ทุกๆ คืนที่นอนแบบอยู่บนที่นอนที่ยัดด้วยฟางนั้น หลังของฉันปวดร้าวไปทั้งแผ่น นิ้วมือเกร็งจนต้องพยายามให้มันยืดออกมากลับคืน..
            ฉันก็ยังหวังเสมอให้"มัน"กลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิม

            วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเขียนจดหมาย ทรูดได้เข้ามาคุยขัดจังหวะ..
            "เลิกเขียนซะทีเถอะ จดหมายนั่นน่ะ อีดิธ เธอไม่มีประจำเดือนมานานเท่าไหร่แล้ว"
            "ตั้งแต่มิถุนาละมัง"
            "ฉันด้วย..ไลเซล ฟรีดา และ ลูซี่ก็ด้วย ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่..แม่ไปปรึกษาหมอ หมอบอกว่าเป็นเพราะพวกเราทำงานหนักกันจนเกินควร หมอของเธอว่ายังไงล่ะ?"
            "หมอโคลห์น บอกแม่ว่า..ฉันคงท้องมั้ง..!!" ว่าแล้วเราสองคนก็หัวเราะกันงอหายใน"มุขเด็ด"ของฉัน


            เปปปิเขียนตอบเป็นโค้ดมาจากเวียนนาว่า ป่วยการสำหรับการที่จะเปลี่ยนการนับถือศาสนาในตอนนี้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดเลย..
            แผนนี้จึงถูกระงับไปโดยปริยาย
            คุณนายมอร์เตน ได้ส่งพวกเราไปช่วยงานให้กับเพื่อนบ้าน ครอบครัวเกรเบส ที่เผอิญว่าขาดแคลนแรงงานพอดี
            ตอนนี้ สถานะของพวกเราก็เฉกเช่นเดียวกับ"ทาส" ที่มาจากโปแลนด์ จากเซอร์เบีย หรือจากฝรั่งเศส
            หากแต่ว่า ข้อแตกต่างนั้นคือ เราไม่มีประเทศเหมือนคนอื่นๆ อีกต่อไป
            อย่างไรก็ตาม..ฉันยังเชื่อว่า จะได้กลับไปบ้านในเดือนตุลาคม เพราะ พอย่างเข้าฤดูหนาวภาระเพาะปลูกเก็บเกี่ยวก็หมดสิ้น พวกเรามาที่นี่เพราะเพื่อใช้แรงงาน
            ถ้าหมดฤดู ก็หมายความว่า หมดหน้าที่ อย่างนั้นมิใช่หรือ?

            การที่จะต้องมาตกค้างอยู่ในฤดูหนาวที่นี่คือสิ่งที่ฉันหวาดกลัวอย่างที่สุด เพราะความเยียบเย็นจนเป็นน้ำแข็งไปทุกหย่อมหญ้านั้น..เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
            ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งคิดถึงแม่อย่างจับใจ แม่ผู้แสนอ่อนหวาน น่ารัก อบอุ่น และขนมอร่อยๆ หอมกรุ่นด้วยฝีมือแม่ และ อารมณ์ขันต่างๆ ที่แม่มักเอามาล้อไอ้บ้าเผด็จการฮิตเล่อร์นั่น..
            ทั้งๆ ที่อายุก็ปาเข้าไป 27 นี่แล้ว ฉันยังถวิลหาอ้อมอกของแม่อยู่ทั้งในยามหลับและตื่น..ทุกครั้งที่หลับตาลง ฉันมักได้ยินเสียงอ่อนโยนของแม่ที่พูดอยู่เสมอว่า
            "เมื่อหนูมีครอบครัว..หนูจะเป็นแม่ที่ดีที่สุด แม่เชื่ออย่างนั้นนะจ๊ะ"

            ยิ่งคิดถึงบ้านมากเท่าไหร่ ยามที่ฉันต้องเกร็งนิ้วตัดหน่อไม้ฝรั่ง หรือ ขุดหัวมันฝรั่งแล้วโยนลงไปในตะกร้านั่น
            หัวใจของฉันกลับอื้ออึง และโลดแล่นไปกับเสียงเพลงว้อลทซ์แห่งเวียนนา ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในอ้อมแขนของชายที่เป็นที่รัก
            "นี่ อีดิธ..ตื่นจากฝันกลางวันได้แล้ว.." เสียงไอ้ผู้คุมนั่นโวยวายมา



            จริงของเขานะ..เพราะฉันเริ่มเรียนรู้ในการฝังความนึกคิดให้ติดอยู่กับอดีตให้มากที่สุด และพยายามมองข้ามความโหดร้ายต่างๆ ของไร่นรกนี่... เพื่อเป็นการทำใจไม่ให้มันแตกสลายไปก่อนเวลาอันควร

            จนกระทั่ง ตำรวจได้เข้ามาบอกว่า พวกเราต้องแปะเครื่องหมายดาวเหลือง อันเป็นสัญญลักษณ์ของดาวเดวิด เพื่อแสดงว่าเป็น"ยิว"
            ฉันยังนึกว่า นี่คือเรื่องตลกที่สุด ชาวเวียนนาที่แสนศิวิไลซ์คงไม่มีวันยอมทำตามอย่างแน่นอน..
            แต่ที่ไหนได้ ทรูดได้รับจดหมายจากบ้าน บอกมาว่า..ชาวเวียนนาก็ต้องติดดาวเดวิดกันทั่วเมืองเช่นกัน
            ฉันตะลึงต่อข่าวที่ได้ยิน ..นี่ชาวบ้านชาวเมืองเป็นอะไรกันไปหมดแล้วนี่..เรากำลังกลับสู่ยุคมืดหรืออย่างไร?
            ตำรวจมาบอกข่าวเพิ่มเติมว่า เราต้องจดหมายไปขอดาวเดวิดที่เวียนนา เมื่อมันถูกส่งมาถึงเราต้องรีบนำมันมาแปะบนเสื้อผ้าให้เป็นที่สำคัญ และจะต้องติดตัวตลอดเวลา
            นั่นหมายความว่า จากนี้ไป..ด้วยดาวเหลืองที่แปะที่ตัวนั้น เท่ากับว่า พวกเราไม่สามารถซื้อของอะไรได้เลย เพราะร้านค้าทั้งหลายห้ามมิไห้มีการค้าขายกับยิว
            สรุปว่า พวกเราดื้อดึงไม่ติด..
            อีตาผู้คุมนั่นก็ไม่เห็นว่าอะไร
            เพราะความจริงแล้ว..เขาต้องการการทำงานจากแรงงานของพวกเราอย่างเต็มที่มากกว่าที่จะมาปวดหัวกับเรื่องการรับสนองปฏิบัติจากตำรวจ..



            เปปปิส่งข่าวมาบอกว่า ออนเดรจ สามีของเยาท์สกี้ได้เสียชีวิตในแนวหน้า ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เศร้าเสียใจที่สุด.. เยาท์สกี้แม่ญาติสาวที่น่าสงสารของฉัน
            และได้เขียนจดหมายตอบไปว่า เสื้อผ้าชุดสำหรับงานศพที่ฉันเก็บไว้ในหีบนั้น..ขอให้เอาไปให้เธอใส่ด้วย

            และตามมาด้วยจดหมายจากเพื่อนเก่า รูดอล์ฟ กิสคา..ที่เป็นทหารอยู่ที่ Sudetenland ว่า..
            ประหลาดใจจังที่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่..
            (อ้าว...ทำไมล่ะ เขาจะไม่ใช้แรงงานพวกเราแล้วหรือ หรือว่ามีนโยบายใหม่ให้ฆ่ายิวทั้งหมด?) เขาเขียนมาว่า..
            "ฉันรู้สึกสมเพชชาวประชาอื่นๆ ที่ไม่ใช่เยอรมันเสียจริง..และ ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้มีส่วนช่วยท่านผู้นำสร้างมหาอาณาจักร์ไรค์ให้กับชาวเยอรมันที่เคยถูกทอดทิ้งมาก่อนในอดีต..ไฮล์ ฮิตเล่อร์ !!

            คนแรกที่ได้รับอนุญาตให้กลับไปบ้านได้ นั่นคือ ไลเซล บรุสต์ คนที่ช่างสนใจเรื่องราวของนักโทษจากต่างแดน ซึ่งทันที่ที่ได้ไปถึงเวียนนาเธอได้ส่งพัสดุมาให้
            ที่ฉันต้องแอบนำไปวางไว้ที่ชายไร่ตรงที่นักโทษฝรั่งเศสทำงานอยู่ ในนั้นคือเสื้อผ้าชุดที่จำเป็น
            เพราะเท่าที่เห็นแล้วให้น่าเวทนา เพราะเท่าที่พวกเขามีใส่อยู่นั้นไม่ต่างอะไรไปจากผ้าขี้ริ้ว..
            และนี่คือการทำงานที่เสี่ยงมาก ถ้าถูกจับได้ ก็หมายความถึงมีโทษร้ายแรง แต่ถ้าไม่ทำ..มันก็จะใจดำต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังทุกข์ยากจนเกินไป


            ฉันคอยให้ทุกๆ คนในห้องหลับสนิท..จึงค่อยๆ ย่องออกมาด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
            คืนนั้นมีอากาศที่ค่อนข้างอบอ้าว..ท้องฟ้ามีเมฆสีดำก้อนใหญ่ที่ตอนเช้าคงจะเปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นฝน
            ฉันแอบเอาห่อของนั่นซุกไว้ในอกเสื้อ เสียงกรอบแกรบของมันดังสะท้านเข้าไปถึงทรวง
            สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ก่อนที่จะวิ่งออกไปในไร่

            ฉันวิ่งเข้าไปในในดงข้าวโพดเพื่อเป็นการพรางตัว..ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหลัง เกรงว่าจะมีอีตาผู้คุมนั่นยืนมองอยู่ จนกระทั่งผ่านพ้นมาถึงไร่ถั่ว
            ฉันพยายามก้มตัวลงให้ลดต่ำลงที่สุดจนถึงชายไร่ จึงวางห่อพัสดุลงไว้ตรงนั้น..มองไปรอบๆ ตัวนิดหนึ่ง..ไม่เห็นใคร จากนั้นก็รีบวิ่งกับไปยังโรงนอนทันที

            ทรูดนั่งอยู่บนเตียง..แววตาของเธอแสดงความตระหนก..ที่เห็นว่าฉันหายออกไป..ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากเธอเป็นสัญญาณไม่ให้เอ่ยปากถามอะไร
            วันต่อมา..ฟรังซ์นักโทษฝรั่งเศสได้ถามฉันว่า..
            "วางห่อของไว้ที่ไหน?"
            "ก็ตรงที่นัดนั่นแหละ"
            "ไม่มีนะ มันหายไปแล้ว"
            "ตายจริง..คงมีคนมาขโมยไปแล้วละ" ฉันตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะอาจมีคนเห็นฉันในคืนนั้นก็เป็นได้ อาจจะเป็นผู้คุม หรือไม่ก็ใครคนที่เปิดจดหมายของไลเซลออกอ่าน
            นั่นหมายถึง เราต้องมีความผิด จนอาจถูกส่งตัวไปยังค่ายนรกที่ดักเฮา
            วันต่อๆ ไปนั่น..ฉันกังวลอยู่แต่ว่า เกสจาโปจะมาลากตัวไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
            แต่..ก็ไม่มีใครมา ห่อของก็หายไป ทุกวันนี้เลยยังไม่รู้ว่ามันหายไปไหน..


            เวลาที่กำลังจะกลับสู่เวียนนาเริ่มใกล้เข้ามา..
            ฉันพยายามที่จะบอกเรื่องของการวางแผนที่ผิดพลาดของเราให้เปปปิฟังว่า..
            เสียดายเหลือเกินที่เราทั้งสองน่าจะออกไปนอกประเทศด้วยกันในยามที่มีโอกาสครั้งนั้น และทุกอย่างนั้นโทษใครไม่ได้นอกจากต้องโทษตัวเอง
            แต่ก็เอาเถอะ..ฉันจะนับวันคอย คอยในวันที่เราจะกลับสู่อ้อมแขนของกันและกันอีกครั้ง..อีก 14 วันเอง เราก็จะอยู่ด้วยกันอีกแล้ว

            มีน่า..พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางฉัน และถามว่า..
            "ไหน..ลองเล่าซิ ว่าจะกลับไปยังไง"
            "ฉันก็จะไปลงที่สถานีเวสเตอร์น ก้าวลงบนชานชาลา เขาก็จะยืนคอยอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งช่อดอกไม้..พร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับที่แสนอ่อนหวาน เราก็จะกลับบ้านไปด้วยกัน ผ่านถนนเบลเวเดียร์ ผ่านสวนดอกไม้ เราก็จะไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันสามวันสามคืน ฉันจะนอนให้เขาป้อนข้าวป้อนน้ำซะให้เข็ด"
            เสียงมีน่าพลิกตัว..กรนเบาๆ เพราะเรื่องแบบนี้คงไม่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างเธอ..

            เราทั้งหมดจัดการบรรจุของลงกระเป๋า..เก้าคนได้รับตั๋วเดินทางเรียบร้อย รวมทั้งนาง กรุนวัลด์ และ นางแฮคเชค
            และคนอื่นๆ รวมทั้งเราต่างรอคอยคำสั่งจากนางเฟรชเน่อร์ในการขานชื่อเพื่อรับทราบถึงเวลาการเดินทาง..แต่..คำสั่งนั้นกลายเป็นว่า...
            "พวกเธอที่เหลือยังไม่ได้กลับไปเวียนนา เธอต้องไปยัง เมือง อาเชอสเลเบน ที่โรงงานทำกระดาษ แต่ขอให้รู้ว่าพวกเธอนั้นโชคดี เพราะ ตราบใดที่ยังทำงานอยู่หมายถึงว่า
            ครอบครัวของเธอยังปลอดภัย "
            มีน่า..ร้องให้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น..ฉันต้องกอดไหล่ของเธอไว้เป็นการปลอบโยน
            และกลับไปเขียนจดหมายถึงเปปปิต่อในวันที่ 12 ตุลาคม 1941ว่า
            "บอกแม่ด้วย..ว่าไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะได้พบกันอีก เพราะ ชีวิตข้างหน้านั้นช่างไม่แน่ไม่นอน เวียนนาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ขอจบการเขียนในวันนี้แค่นี้ก่อน
            รักเธอเสมอ..จากอีดิธผู้ทุกข์ระทม"


            แล้วเราก็มาถึง..อาเชอสเลเบน ค่ายแรงงานแห่งใหม่..ด้วยเครื่องแต่งตัวที่จัดว่าดีที่สุดที่มี รองเท้าคู่ที่เปื้อนดินน้อยที่สุด และ ดาวเดวิดที่แปะหรา ซึ่งเป็นคำสั่งที่เราต้อง
            มีอยู่บนตัวตลอดการเดินทาง
            พวกคนทำงานสาวๆ ในนั้นต่างมาจ้องมองพวกเราเหมือนกับเป็นตัวประหลาด ซึ่งก็แน่ละ เพราะสาวๆ ทั้งหมดต่างแต่งตัวสวยงาม ทรงผมถูกจัดแต่งเรียบร้อย เล็บมือขาวสะอาด
            และ..โอแม่แจ้า..พวกเขาใส่ถุงน่องกันด้วย !!

            ตัวตึกอาคารสามชั้นที่เห็น ช่างดูใหญ่โต สวยงาม ข้างในมีห้องครัว ห้องอาบน้ำที่มีฝักบัว ห้องนั่งเล่นที่หน้าต่างทุกบานมีม่านติด ฝาผนังมีภาพงามๆ ประดับ
            ฉันถึงกับอุทานออกมา..เพราะมันช่างต่างกับไร่นรกที่ Osterberg ที่เพิ่งจากมาราวกับฟ้ากับดิน
            สาวร่างใหญ่ที่แนะนำตัวเองว่า เธอชื่อ ลิลี่ เครเม่อร์ ได้นำกาแฟ (เทียมๆ ที่ทำจากข้าวโพดคั่ว) มาแจกจ่ายให้
            เธอคนนี้ท่าทางคงแก่เรียน ดูจากแว่นตาที่วางอยู่ร่วงมาจนเกือบถึงปลายจมูก..นัยว่า จบขั้นปริญญามาจากมหาวิทยาลัยทีเดียว
            "เขาให้พวกเธอแต่งตัวกันแบบนี้ที่ ออสแตร์แบร์คเร๊อะ?"
            "ก็มันเป็นไร่นา" พวกเราตอบ
            "แต่ที่นี่..พวกเธอต้องแต่งตัวให้เหมาะสม" และจากนั้น ลีลี่ได้ก้มลงมาลดเสียงเป็นกระซิบว่า "เพราะพวกเขาอยากให้เห็นว่าเป็นการทำงานที่ไม่เอาเปรียบ
            สวัสดิการดี จ่ายดี เผื่อว่าจะมีคนเข้ามาดู จะได้ไม่เห็นภาพที่แย่ๆ
            "เรามีคนมาดู หรือมาเยี่ยมได้ด้วยหรือ?" มีน่าหูผึ่งกับทุกเรื่องที่จะเป็นข่าวดี
            "เปล่า..ไม่เคยมีหรอก ชั้นพูดไปยังงั้นแหละ.. จะบ้าไปหรือไง?"



Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:44:16 น.
Counter : 813 Pageviews.

0 comments
สรุปวิชาสังคมไทยสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เรื่องปราชญ์ท้องถิ่น นายแว่นขยันเที่ยว
(10 เม.ย. 2567 03:05:45 น.)
9 แนวคิดที่ทำให้เรามีชีวิตประจำวันที่ดีกว่าเดิม peaceplay
(31 มี.ค. 2567 09:18:27 น.)
ถนนสายนี้ ... ... มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 348 "ฉุกละหุก" toor36
(24 มี.ค. 2567 10:27:24 น.)
เอื้องชมพูไพร สมาชิกหมายเลข 4313444
(21 มี.ค. 2567 02:45:05 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]