เชลย....ตอนหนึ่ง

วันนี้ดิฉันได้ไปดูภาพยนตร์ที่รอคอยมานานพอสมควร เพราะอ่านมาก่อนตอนที่เป็นหนังสือ..แต่เมื่อมาเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้..ช่างกินใจนัก

คงไม่ต้องเดาหรอกนะคะว่าจะต้องเป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวเรื่องที่เคยเขียนไว้นานแล้ว..เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจและค้นคว้ามาโดยตลอดจนหลายๆต่อหลายครั้ง..เพื่อนๆและญาติๆมักจะล้อว่า ดิฉันน่าจะเป็น"ยิว"ที่กลับชาติมาเกิด..

เรื่องเชลยนี้เขียนไว้นานพอๆกับเรื่องของฮิตเล่อร์นั่นละค่ะ เพราะอยากทำให้ครบวงจรดังที่ได้ลั่นวาจาไว้..แต่ที่ไม่คิดจะนำมาลงในแต่ทีแรก เพราะ เกรงว่าอาจไม่เป็นที่สนใจและเป็นเรื่องไกลตัวของนักอ่านบ้านเรา..แต่เผอิญว่า..ดิฉันเห็นว่ามีคนสนใจ..และได้มีการพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง "The Boy in The Striped Pyjamas" กันอย่างพอสมควร ทั้งๆที่หนังเรื่องนี้ เนื้อความเบาโหวงมาก ถ้าเทียบกับภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับ Holocaust อื่นๆ 

เสียดาย..ที่หลุดไปฉายในเมืองไทยน้อยนัก..เนื่องจากภาพยนตร์เหล่านั้มักจะผลิตในยุโรปเป็นส่วนใหญ่  และมักจะกะเอาเข้าประกวดให้ได้รับรางวัลจากสำนักใดสำนักหนึ่ง..ถ้าได้รางวัลก็หมายความว่าสามารถเปิดตลาดโลกได้..มีคนจ้องซื้อต่อแน่ๆ นั่นหมายถึงได้ทั้งเงิน ทั้งกล่อง.. และที่แน่ๆ คือ..ถ้าถูกกดราคานัก..เขาก็ไม่ขาย เนื่องจากแค่ฉายในตลาดยุโรปอย่างเดียวก็เหลือแหล่..

ภาพยนตร์เรื่องที่ว่ามานี้..คือ  Sarah's key  ที่ดำเนินเนื้อเรื่องให้เห็นถึงชาวยิวที่อยู่ในฝรั่งเศส..ได้รับการทารุณกรรมอย่างเหมือนไม่ใช่มนุษย์ จากรัฐบาลวิชี่..เพื่อเป็นการเอาใจนาซี..ทั้งๆที่ชาวยิวพวกนั้น ก็คือ ชาวฝรั่งเศสแท้ๆ (มีเชื้อสายยิว)  หนังเรื่องนี้..เป็นหนังดีที่น่าดูมากค่ะ  กินใจ สะเทือนใจจนน้ำตาหยด..

กลับมาบ้านก็มาเปิด ดีวีดี หนังฝรั่งเศส เรื่อง Plus Tard (Tu Comprendras) แปลว่า..."อีกหน่อย..เธอก็จะเข้าใจ"..ดูอีกรอบหนึ่ง เพราะเนื้อเรื่องเหมือนจะต่อกัน  ยิ่งตอนที่..ผู้เป็นย่า เมื่อรู้ตัวว่าใกล้ตาย..จึงเปิดเผยตัวเองว่าเป็น "ยิว" และพาหลานชาย หลานสาววัยทีนเข้าไปในโรงสวดยิวในวันทำพิธีสวดให้กับวิญญาณของบรรพชนที่เสียชีวิตในค่ายนรก..ย่าให้ส่งดาวแห่งเดวิดที่เคยแปะไว้ที่หน้าอกเสื้อให้หลานชาย..และบอกว่า..

"จงจำไว้นะ..ว่าเราเป็นยิว..ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็คือยิว..และเมื่อหลานโตขึ้นต่อไปในวันข้างหน้า..จงอย่าดูดายในเรื่องของความไม่เสมอภาค..จงอย่าดูดายในเรื่องของการกดขี่ในเชื้อชาติ...สัญญากับย่านะลูกนะ.."

ดูจบ..ก็เลยตัดสินใจว่า..เอามาลงซะให้ครบเลยดีกว่า....

วิวันดา...



    เชลย...............................!!!


   เรื่องเชลยนี้..คัดสรรมาให้แล้วค่ะ เป็นเชลยทั้งหญิงและชายที่เนื้อเรื่องชวนติดตาม
    (สำหรับกลุ่มที่สนใจน่ะค่ะ)
    แต่จะเริ่มเล่าของเรื่องของฝ่ายชายก่อน ..เขาคือ
    Janek "Jack" Mandelbaum ที่ต้องไปอยู่ในค่ายนรก
    ตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี..



จนกระทั่ง จาค มันเดลบัม อายุได้สิบสอง เขาได้เชื่อมาโดยตลอดว่าชีวิตของเขานั้นแสนมีความสุข อิสระเสรี ในครอบครัวที่มีฐานะและอบอุ่นซึ่งกอร์ปไปด้วยพ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย
            ในเมือง กาดินย่า (Gdynia) ที่ตั้งอยู่ฝั่งทะเลบอลติคของประเทศโปแลนด์
            จาคจำได้เสมอว่า เมืองกาดินย่า บ้านเกิดของเขานั้น งดงามจนเป็นที่ขึ้นชื่อ
            ในสมัยที่ยังเด็กๆ เขามักชอบมองเรือเดินทะเลที่แล่นเข้าออกในท่าเรือ ชอบที่จะได้ยินสำเนียงของภาษาต่างๆ จากเหล่ากะลาสี ที่มีทั้งเป็นแขกโพกหัว หรือไม่ก็เป็นพวกผิวดำจากอาฟริกา
            ภาพเหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นอันเป็นปรกติของวงจรชีวิตประจำวัน
            และนี่คือโอกาสที่จาคได้มีโอกาสทำความรู้จักกับพวกกัปตันเพื่อที่จะประจบประแจงขอแสตมป์จากนานาประเทศและนำมาเก็บสะสมรวมอยู่ในสมุด
            เขามักนั่งพิจารณาแสตมป์ดวงเล็กๆ เหล่านั้น
            พร้อมกับจินตนาการถึงแหล่งที่มาของมันที่ไกลแสนไกล..

            พ่อของจาค..มาห์ลอค มันเดลบัม หรือที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า แม๊ค เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมปลากระป๋อง ทั้งครอบครัวได้อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ที่โอ่โถง กว้างขวาง มีหน้าต่างบานใหญ่ๆ เรียงกันเป็นแนว เพื่อที่จะได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามของชายทะเล
            การเป็นอยู่ที่ทันสมัยล้ำยุคนั้นทำให้จาคไม่เคยรู้เลยว่า ยังมีคนอีกมากมายในโปแลนด์
            ที่ยังไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา หรือโทรศัพท์ใช้ในบ้าน
            เขาเล่าว่า.."บ้านของผมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และ ความอบอุ่น พ่อกับแม่ช่างรักกันจี๋จ๋า กอดกันต่อหน้าพวกเราเสมอๆ "

            แม่ของจาค..เชชา (Cesia) เป็นสาวงามที่แต่งตัวทันสมัย รองเท้าส้นสูง หมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมหน้า และ เครื่องประดับจำพวกเพชรนิลจินดา
            ในฤดูหนาว..เธอจะสวมเสื้อขนสัตว์ฟูฟ่อง..หรูหรา เชชาเป็นคนสวย ดวงตากลมโตที่มีสีดำขลับ ผมยาวสลวยที่จัดแต่งในไสตล์ล่าสุดจากปารีส
            เขาเล่าต่อว่า..แม่เป็นศูนย์กลางของบ้าน ในคืนของฤดูหนาว แม่จะเอาผ้านวมไปอิงเตาผิงให้อุ่น ก่อนที่จะมาห่มให้พวกเราที่เตียง แม่ทำอาหารเก่งมาก
            อย่างขนมอบกรอบที่มีการสอดใส้ด้วยเจลลี่ ช่างอร่อยเสียเหลือหลาย
            จวบจนทุกวันนี้ เขายังไม่สามารถล่วงรู้เทคนิคได้เลยว่า แม่เอาเจลลี่ใส่เข้าไปขนมนั่นได้อย่างไร?
            แม่ชอบพาเราสามคนพี่น้องไปไหนต่อไหน..ไม่ว่าจะเป็นตลาด หรือ ไปปิคนิค หรือ ออกไปเที่ยวเล่นตามภูเขา บางทีถ้าพ่อว่างจากงาน พ่อก็มักตามไปร่วมวงด้วย
            พ่อชอบแวะซื้อขนมวัฟเฟิลกรอบที่ทำเป็นรูปกรวย ข้างในใส่ใส้ครีมหวานมัน จากรถเข็นขายบนถนนอันเป็นของโปรดมาให้ลูกๆ เสมอ


            ครอบครัวของจาคได้จ้างแม่บ้านมาทำงานประเภทเช้าไป เย็นกลับ เพื่อที่จะมาทำความสะอาด ซักผ้า และช่วยทำอาหาร ยามที่เธอมาถึงตอนเช้าๆ บ้านทั้งบ้านจะหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟที่ชงใหม่ๆ

            จาคเล่าว่า.."หล่อนเป็นสาวที่หน้าตาดี ผมยังจำได้เสมอที่เธอชอบทำซองกาแฟที่มีสีแดงให้เปียก และเอามันมาถูใส่มือเพื่อให้สีแดงติดมือ และเธอก็เอามือที่เปื้อนสีนั้นมาทาแก้มให้เป็นสีชมพูเหมือนกับได้ทารูจ ที่เธอไม่เคยคิดที่จะซื้อใช้ เพราะมันแพง"
            "แต่เธอเป็นคนที่มีนิสัยดี ผมชอบล้อเล่นกับเธอบ่อยๆ "

            กับจาคอบ น้องชายที่มีอายุอ่อนกว่าถึงห้าปีนั้น จาคทั้งรักและปกป้องเช่นพี่ชายที่แสนดี เขาทั้งคู่ชอบกีฬาที่เหมือนๆ กัน เช่นไปเล่นสเก๊ตน้ำแข็ง หรือ ฮ๊อคกี้ ที่ลาน..

            ส่วนพี่สาว ยาจา..ที่แก่กว่าจาคสามปี.. ยาจาเป็นคนคงแก่เรียน ขรึม ชอบทำการบ้านในขณะที่ต้องเปิดเพลง
            คลาสสิค หรือ เพลงจากอิตาเลี่ยนโอเปร่า
            จาคเล่าว่า.."พี่สาวเป็นคนที่มีลายมือที่สวยที่สุดในโลก อ่อนหวาน และใจดี"
            เขายังจำได้ว่า..ยาจาชอบใส่ตุ้มหูทองคู่เล็กติดหูอยู่เสมอ แม้กระทั่งยามที่แต่งชุดนักเรียนทรงกะลาสีสีน้ำเงิน ที่มีเสื้อปกใหญ่ และกระโปรงจีบรอบตัว
            เธอมีผมและตาสีดำ สวยเหมือนแม่..

            จาคเอง..กลับเหมือนพ่อ กล่าวคือ มีผมหยักศกสีบลอนด์ ตาสีฟ้า เขาทบทวนความหลังให้ฟังว่า
            "พ่อเปรียบเสมือนวีรบรุษสำหรับพวกเรา ที่แข็งแรงและกล้าหาญ ผมจำได้ดีว่า
            คืนหนึ่งพ่อกลับบ้านมาพร้อมกับซื้อจักรยานมาให้ ไม่ใช่เพราะมีโอกาสพิเศษอะไรหรอก
            แต่พ่อคิดว่า ผมคงจะตื่นเต้น..ดีใจ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมลุกขึ้นมาขี่มันไปรอบโต๊ะทานข้าวที่มีขนาดใหญ่ของเราทั้งๆ ที่ดึกดื่นออกอย่างนั้น
            จากนั้น ผมก็ไปไหนต่อไหน ขี่มันไปได้รอบเมือง
            จนถึงขนาดเข้าแข่งขันที่จตุรัส Kosciuszko (โคเคียสโก อันเป็นชื่อตั้งตาม นักรบชาวโปล์ที่เข้าร่วมรบกับ ยอร์จ วอชิงตัน ในสงครามปฏิวัติในอเมริกา)
            และ ชนะมาเป็นที่สาม"

            ทุกเช้าหลังจากที่จาคแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนเสร็จ ก่อนออกจากบ้าน แม่ต้องขอร้องแกมบังคับให้เขาทานอาหารเช้ามื้อใหญ่ ที่เต็มไปด้วย น้ำผลไม้คั้น
            ข้าวโอ๊ตอบเนยกับนมร้อน ขนมปัง เนยแข็ง บางทีก็มี ปลารมควัน ตบท้ายด้วยใข่ลวก..
            "แม่ยังห่ออาหารกลางวันให้เราเอาติดตัวไปด้วย แต่อาหารเช้าชุดใหญ่ขนาดนั้น ทำให้ผมอิ่มตื้อไปตลอดวัน เลยยกอาหารที่แม่ห่อให้กับพวกนักเรียนที่จนๆ ในโรงเรียน"

            เมื่อโรงเรียนเลิก จาคและเพื่อนๆ ชอบไปดูหนัง ชาร์ลี
            แชปลิน คือดาราคนโปรด หรือไม่ก็ชวนกันไปเล่นฟุตบอล หรือพากันไปขี่จักรยาน ไปดูมวยปล้ำ
            และบ่อยครั้งที่พวกเขาต่างพากันไปเล่นที่ชายหาด หรือ ที่ท่าเรือ
            "ผมเป็นเด็กที่ซนทายาท" เขาเล่าต่อว่า..
            "พ่อแม่ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมไปทำอะไรมาบ้าง..
            ที่น่าหวาดเสียวที่สุดคือการที่พวกเราชอบปีนขึ้นเรือแล้วพุ่งหลาวกระโจนลงน้ำ ว่ายขนานไปกับเรือที่กำลังจะเทียบท่า
            ซึ่งมันเสี่ยงมาก เพราะพวกเราอาจถูกเรืออัดเข้าไปติดกับตลิ่ง เพราะมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งกับเด็กที่โชคร้าย ตำรวจท่าเรือก็คอยจ้องเล่นงาน แต่..พวกผมก็แคล้วคลาดไปซะทุกที
            พ่อแม่จึงไม่เคยต้องมารับรู้ว่าผมไปเล่นซนที่ไหนมาบ้าง ขืนรู้เข้าละก้อ เป็นโดนเล่นงานแน่ๆ "


            พ่อแม่มักมีการเลี้ยงเพื่อนฝูงและญาติๆ บ่อยๆ
            บางคนมาพำนักอยู่ด้วยเป็นอาทิตย์
            ทั้งพ่อและแม่ มาจากครอบครัวใหญ่
            ทางพ่อมีพี่น้องชายสอง หญิงสอง
            ทางแม่มีพี่น้องหญิงชาย รวมเก้าคน
            แต่กับปู่แล้ว..จาคไม่เคยรู้จัก เท่าที่ทราบคือ ปู่อยู่ที่บ้านนอก..ไกลออกไปมาก
            น้องชายของพ่อ อาซิคมันด์ ชายที่มีศีรษะกึ่งล้าน ร่างอวบอ้วน แข็งแรง..คือ ญาติที่จาคสนิทสนมด้วยที่สุด
            "อาซิคมันด์เป็นคนคุยสนุก..อารมณ์ดี เวลาอามาทีไร เรามีเรื่องเล่นกันสนุกๆ ทุกที"

            ส่วนแขกขาประจำที่มาพักทีละนานๆ นั่นคือ น้าฮิลดา น้องสาวคนเล็กของแม่ น้าฮิลดาเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่งตัวเก่ง..สังคมดี และมีชายหนุ่มมาหมายปองเยอะแยะ
            ทุกครั้งที่มีปาร์ตี้ที่บ้าน จาคชอบแอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน..ซึ่งส่วนใหญ่คือเรื่องการเมือง
            "เพราะการฟังจากผู้ใหญ่นี่แหละ ทำให้ผมรู้เรื่องราวข่าวสาร เช่น ประเทศเยอรมันที่อยู่ติดกับเรากำลังตั้งข้อรังเกียจ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ผู้นำของพวกเขากำลังจะจ้องจะเล่นงานชาวยิว"

            เพื่อนของพ่อคนหนึ่ง ลุง โปเนซ ผู้ซึ่งเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากกว่าใครๆ แต่ยามที่พูดถึงเรื่องนี้ทีไร แกมักจะเดินออกไปนั่งสูบซิการ์นอกห้องทุกครั้งเพื่อเป็นการสงบสติอารมณ์ และกราดเกรี้ยวว่า ทำไมนายฮิตเล่อร์นี่ถึงได้จงเกลียดจงชังพวกเราชาวยิวหนักหนา ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ร้ายๆ ก็มักจะโยนความผิดมาให้กับชาวยิว


            จาคเล่าว่า " ลุงโปเนซคุยถึงเพื่อนที่เป็นเยอรมันยิวที่รักประเทศเยอรมันที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนเท่าๆ กับคนอื่น
            แม้กระทั่งเคยไปเป็นทหารต่อสู้ป้องกันประเทศครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนเอาตัวแทบไม่รอด
            แต่ก็ยังโดนถอดถอนให้ออกจากการเป็นพลเมือง"
            พ่อเล่าว่า..ในขณะที่ฮิตเล่อร์ได้จัดการกับพวกคอมมิวนิสต์, ยิปซี, นัการเมืองฝ่ายตรงข้าม, เขาก็คิดจัดการขั้นถอนรากถอนโคนพวกยิวไปด้วย ไม่ใช่ฮิตเล่อร์คนเดียวหรอกนะ ที่รังเกียจพวกเรา ตอนนั้น ชาวยูโรเปี้ยนอื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน
            ความเกลียดนั้น มันต่อเนื่องมาจากครั้งโบราณกาล เพราะการที่ไม่เข้าใจในวิถีชีวิต การนับถือศาสนาที่ไม่เหมือนกัน
            จารีตประเพณีที่แตกต่าง
            ฮิตเล่อร์พร้อมที่จะโยนความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกให้กับพวกเราชาวยิว เช่นเรื่องการแพ้สงครามของเยอรมัน เรื่องการล่มสลายของเศรษฐกิจ
            และถ้าโลกจะเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง..ฮิตเล่อร์ก็โทษอีกว่าก็เพราะต้นเหตุมาจากยิว.."
            บางคน..รังเกียจยิว เพราะ ชาวยิวมักมีความเจริญทางด้านฐานะ บางคนรังเกียจ เพราะ ชาวยิวไม่สุงสิงกับใคร อยู่เป็นเอกเทศ ใช้ภาษายิดดิช (ที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่ยิว
            ทางยุโรปตะวันออก) อีกทั้งการแต่งกายในชุดดำ รวมทั้งความต่างในการศึกษา
            พ่อแม่ของจาคเริ่มเป็นกังวลกับสถานะการณ์ที่ร้ายแรงของการต่อต้านยิวในเขตอื่นๆ ของโปแลนด์ที่เพิ่มกระแสขึ้นมาเป็นลำดับ
            หากแต่ พวกเขาไม่เคยปริปากให้ลูกๆ รู้
            "เพราะพ่อต้องการป้องกันพวกเรา..ผมรู้ว่าพวกเขาเป็นกังวล ในโรงหนัง ตอนที่ฉายหนังข่าว ก็จะมีฮิตเล่อร์ออกปราศรัยพร้อมกับมีการเคลื่อนทัพทหารเข้าสู่ประเทศเชคโก
            บางที เราก็ได้ยินเสียงปาวๆ ของเขามาทางวิทยุ เพราะชายแดนเยอรมันอยู่ห่างจากเราไปเพียง 12 ไมล์เท่านั้น "



            ประชากรของกาดิย่า มีเพียง 250,000
            และส่วนใหญ่เป็นคาทอลิคถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลือนั้นคือยิว ที่นับว่าเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วน
            เมืองนี้จึงไม่มีโรงสวด ไม่มีรับไบ (Rabbi หมายถึง ครูผู้สอนพระคัมภีร์)

            ขนาดพ่อแม่ของจาคที่เป็นยิวที่มาจากครอบครัวที่เคร่งปฏิบัติ ยังไม่ไปกระทำพิธีทุกอาทิตย์อย่างที่ควรจะทำ
            แต่..พวกเขาก็ไม่เคยละเว้นวันสำคัญๆ ของศาสนา เช่นวันขอบคุณพระเจ้า (Passover) และ การเตรียมตัวต่อการทำพิธีใหญ่คือการรับศิลของจาค ในพิธี bar mitzvah
            เมื่อเขามีอายุครบ 13

            **bar mitzvah (บาร์ มิทซวาห์) คือ พิธีที่เด็กชายชาวยิวจะต้องรับศิลในการที่จะย่างก้าวสู่ความเป็นหนุ่ม เมื่ออายุครบ 13 นับว่าเป็นงานใหญ่พอๆ กับการบวชพระของเรา
            ส่วนผู้หญิงก็มีการกระทำเช่นกัน เรียกว่า..bat mitzvah (บัต มิทซวาห์)

            ในฤดูร้อนของปี 1939 จาคมีอายุครบ 12 พ่อและแม่ได้จ้างครูพิเศษให้มาสอนเพราะคัมภีร์โตราห์ และตัวอักษรคำอ่านภาษาฮีบรู เพื่อที่เขาจะท่องและสามารถรับศีลในวัน บาร์ มิทซวาห์ ได้
            ส่วนแม่..เริ่มจัดการหมักผลไม้ทำเหล้าบรั่นดีไว้รอท่าแต่เนิ่นๆ
            การตระเตรียมการที่ว่านี้..จาครู้สึกไม่คุ้นเลย เพราะตลอดชีวิตมา เขาอยู่ในแวดวงของศาสนาคาทอลิคเพราะมีสอนในโรงเรียน..รวมทั้งกลุ่มเพื่อนๆ
            ชาวยิวไม่ฉลองวันคริสมาสต์ ดังนั้น ในวันคริสมาสต์ เขาจึงตระเวณไปร้องเพลงสรรเสริญพระเยซูกับเพื่อนๆ ชาวคาทอลิคตามหน้าบ้านใครต่อใคร
            ยามที่ทุกคนพูดถึงสงครามกับเยอรมัน จาคก็ยังนับตัวเองว่าเป็นชาวโปล์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นอื่นอย่างไรได้
            และจากกระแสของชาวประชา ต่างมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันคือ..
            "รบก็รบซิวะ..เราก็รู้ด้วยว่าพวกเยอรมันเกลียดชาวโปล์อย่างเข้ากระดูกดำ และมันอยากได้ครอบครองประเทศเรา มามะ..กล้าจริงให้มันเข้ามา
            ขออาทิตย์เดียว..พวกเราจะกวาดมันให้เรียบ"


            ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไป เรื่องและข่าวลือระหว่างฮิตเล่อร์กับการกำจัดยิวเริ่มหนาหูขึ้นมาเรื่อยๆ
            ชาวเยอรมันยิวเริ่มทะยอยหลบหนีออกจากประเทศ
            แต่..พวกเขาก็ไม่มีหนทางไปไหนได้ เพราะทุกที่ต่างพากันมีอาการรังเกียจยิวขึ้นอย่างกระทันหัน
            อย่างอเมริกา..ก็เริ่มจัดโควต้าคนเข้าเมือง
            จาคได้ยินพ่อกระซิบกับแม่ว่า ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชาวยิวในโปแลนด์ หรือบางทีพ่อจะพาพวกเราไปลี้ภัยที่ออสเตรเลีย
            แต่ปัญหาคือ ประเทศออสเตรเลียได้อนุญาตให้เข้าประเทศได้คนเดียวต่อหนึ่งครอบครัว..จนกว่า หกเดือนผ่านไป ถ้าคนคนนั้นได้งานทำ สามารถส่งเสียครอบครัว
            ได้จึงจะอนุญาตให้ครอบครัวที่เหลือเข้าไปได้
            แม่ตอบปฏิเสธข้อเสนอนี้ทันที เพราะ แม่ไม่อยากให้พวกเราต้องแยกจากกัน

            จาคยังรู้ว่าเมื่อปีก่อนนี้ พวกเยอรมันได้ขับไล่ชาวยิวให้ออกจากประเทศ โดยต้อนมาทิ้งไว้ที่ชายแดนโปแลนด์อย่างไม่ใยดีว่าจะอยู่รอดหรือไม่..
            พ่อยังเข้าไปช่วยเหลือพวกผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น โดยจัดการจัดส่งไปที่ท่าเรือให้ออกไปยังประเทศต่างๆ ที่ยังไม่เข้มงวดเรื่องการเข้าเมือง
            จาคก็นึกชื่นชมและบูชาในความกล้าหาญของพ่อที่ได้ช่วยเหลือพวกเยอรมันยิวให้รอดตาย ซึ่งเป็นงานที่เสี่ยงมาก
            ทุกครั้งที่คิดถึง เขาก็อดเสียวสันหลังแทนพ่อไม่ได้

            ต่อมาในเดือนมิถุนายน..ครูพิเศษที่ต้องมาสอนภาษาฮิบรูนั้น หายไปอย่างไม่รู้ข่าวคราว การเรียนจึงต้องถูกระงับไปโดยปริยาย
            ซึ่งจาคเองรู้สึกโล่งใจไปถนัด เพราะวิชานี้ไม่ใช่ของง่าย

            เดือนสิงหาคม ทางการได้สั่งปิดโรงเรียนในภาคต่อไป เด็กๆ อย่างจาคต่างปิติปรีดากันเป็นแถวๆ เพราะนั่นหมายถึงว่า จะได้มีวันหยุดนานๆ
            ไหนบ้านเมืองกำลังจะมีสงคราม โอ.. น่าตื่นเต้นซะจริงๆ
            จาคและเพื่อนๆ ต่างพากันไปที่ท่าเรือ ดูการซ้อมรบเตรียมพร้อมของทหารเรือ..ที่ทั้งกองทัพมีเรือรบเพียงไม่กี่ลำ
            เขาไม่ได้สังหรณ์เลยสักนิด..ว่า..
            นั่นคือการศึกษาขั้นสุดท้ายที่พวกเขาจะได้รับ..!!


            การศึกครั้งนี้ ถ้าจะเทียบกับทัพที่เกรียงไกรของเยอรมันแล้ว..การทหารของโปแลนด์ถือว่าโบราณสุดๆ
            ทัพอากาศมีเครื่องบินเพียงหยิบมือ
            กองพลทหารไม่กี่กอง พ่อที่เคยเป็นทหารในกองทัพมาก่อนถึงกับหนักใจ และ เริ่มสังหรณ์ใจถึงสิ่งร้ายๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
            ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัด ว่า..เยอรมันพร้อมที่จะบอมบ์ได้ในทุกเมื่อ นั่นหมายถึงเมือง กาดิย่า จะต้องเป็นเป้าสำคัญเพราะอยู่ใกล้นิดเดียว

            พ่อจึงคิดโยกย้ายพวกเราให้ไปอยู่กับปู่ ที่บ้านนอกไกลออกไปถึงสามร้อยไมล์ ที่ซึ่งน่าจะปลอดภัย..
            "แล้วพ่อจะต้องไปกับพวกเราด้วยนะครับ" เสียงของจาคเริ่มเป็นกังวล
            "งั้นซิ..แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะลูก พ่อจะต้องอยู่ปิดร้าน ปิดบ้านก่อน" พ่อบีบมือจาคแน่น และกล่าวต่อด้วยประโยคที่เขาไม่มีวันลืมว่า
            "ลูกเป็นลูกชายคนโตนะลูกนะ พ่อหวังเสมอว่า ลูกต้องช่วยพ่อดูแลแม่และพี่น้องได้ รับปากพ่อซิลูก"
            "ครับพ่อ"

            พวกเราเริ่มออกเดินทางในช่วงกลางเดือนสิงหาคม สถานีรถไฟแออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน ที่ต่างขนย้ายสัมภาระหนีภัยออกนอกเมือง
            พ่อซื้อตั๋วเดินทางชั้นหนึ่งให้พวกเราที่มีกระเป๋าติดตัวเพียงคนละใบ ส่วนแม่มีตะกร้าบรรจุเสบียงกรังใบโตสำหรับการเดินทางที่ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง
            พ่อบอกว่า จะส่งเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ตามมาทีหลัง รวมทั้งเงิน พร้อมทั้งดึงพวกเราไปจูบและกอด
            "พ่อจะตามไปอยู่ด้วยภายในเดือนนึง ไม่ต้องเป็นห่วงนะลูกนะ"
            จาครู้อยู่แก่ใจดีว่า ทั้งพ่อและแม่ต่างพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ทั้งคู่พยายามกระพริบตาถี่ๆ ซ่อนน้ำตาไว้อย่างไม่ให้ลูกๆ ได้เห็น
            ทุกคนโบกมืออำลาในขณะที่ขบวนรถไฟได้เคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ผู้คนก็ยังคงพยายามยัดเยียดตัวกระโดดขึ้นตามแม้กระทั่งความเร็วของขบวนเริ่มกระชั้นขึ้น

            ในทุกขบวนโบกี้ ล้วนแต่มีผู้คนแน่นหนา จนจาคเองเริ่มสงสัยว่า พ่อไปหาซื้อตั๋วชั้นหนึ่งมาให้ได้อย่างไร..
            เขาชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง..มองไปทางถนน เห็นผู้คนที่ต่างพากันขนข้าวขนของใส่รถ เทียมเกวียน มุ่งหน้าออกนอกเมืองเป็นทิวแถว
            ใครๆ ก็ต่างทิ้งบ้านทิ้งช่องหนีตายกันทั้งนั้น..


            แต่..พ่อได้สั่งไว้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง..กำลังทหารของโปแลนด์จะสามารถสยบกองทัพนาซีได้ และพ่อก็จะมาอยู่กับเราในสองสามอาทิตย์นี้
            สักพัก จาคก็เริ่มรู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับการเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองโดยรถไฟ
            ทั้งเขาและยาคอบต่างเล่นกันโดยเอาหน้าไปแปะกับหน้าต่าง ชี้ชวนกันดูกระท่อมที่มีหลังคาเป็นหญ้าถักเรียง
            ดูชาวนาพรวนดินด้วยแรงม้าลาก
            และมองเห็นกองทัพที่กำลังเตรียมตัวเดินทัพออกแนวหน้า ซึ่งทุกคนต่างโบกมือหยอยๆ ให้กำลังใจแก่ทหารกล้าของชาติ

            ขบวนรถไฟได้ผ่านเมืองและหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีผู้คนส่วนใหญ่มีเครายาว..แต่งชุดกรอมเท้าแบบโค๊ทสีดำ และหมวกทรงหม้อตาลสีเดียวกัน เหมือนกันทั้งหมด
            จาครู้ว่า พวกนี้คือพวกยิว แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้จะมียิวรวมตัวกันมากถึงขนาดนั้น
            จาคแอบกระซิบถามแม่ว่า..ปู่จะเป็นเหมือนพวกเขาพวกนี้หรือเปล่า? คำตอบจากแม่คือ ใช่
            แม่บอกว่า ปู่เคร่งศาสนามาก ไปทำพิธีที่โรงสวดอย่างไม่เคยขาด ตั้งแต่ย่าตาย..ปู่ก็อยู่ตัวคนเดียวมานาน เพิ่งแต่งงานใหม่ไม่นานมานี้

            วันต่อมา..เราก็ถึงที่หมาย ปู่มารอรับที่สถานีในชุดดำกรอมเท้าตัดกับเคราที่มีสีขาว.. ทันทีที่เห็นจาค ปู่ถึงกับบ่นดังอย่างไม่พอใจว่า
            "อะไรกัน..ไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอหลานชายลูกหลานยิว..ไปไหนมาไหนไม่ใส่หมวก"
            ขณะที่เดินไปบ้านปู่ จาคกวาดตาดูสิ่งรอบข้าง..ร้านเล็กร้านน้อยและชาวยิวในชุดดำที่สื่อสารกันด้วยภาษายิดดิช ปู่บอกว่า
            "เมืองเรามีประชากรประมาณหมื่นคน เป็นยิวเกือบหมด ทุกคนเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น "
            บ้านปู่ค่อนข้างสบาย หลังใหญ่อยู่กลางเมือง จาคเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านที่เป็นร้านตัดผม เจ้าของร้านเป็นใบ้ แต่อารมณ์ดี ขี้เล่น
            อาชีพของปู่คือการรับจ้างเขียนป้ายด้วยตัวอักษรที่งดงาม ที่จาคชอบที่จะนั่งเฝ้าดูปู่ทำงานด้วยความละเมียดละไม..จัดว่าปู่เป็นศิลปินคนหนึ่ง
            ส่วนตัวเขา..พยายามเอาใจปู่โดยการตามไปในโรงสวด และทำพิธีรับศิล หรือแม้กระทั่ง เอา yarmulke มาใส่

            **yarmulke  (ยามุลเคอะ)..คือหมวกแปะกระหม่อมของชาวยิว คล้ายๆ อย่างที่พระสังฆราชทรง บางคนจะใส่ตอนทำพิธี แต่บางคนอย่างพวกนักสวด Rabbi จะใส่ตลอดทุกเวลา)



            จาคก็เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ชอบไปยืนดูกองทัพที่กำลังเดินแถวเคลื่อนตัวสู่แนวหน้าออกรบเพื่อป้องกันเสถียรภาพของประชาชนและประเทศ
            เสียงโห่ร้อง เสียงเพลงปลุกใจ ทำให้ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือต่อสงครามครั้งนี้
            และจาคก็พบกับประสบการณ์ใหม่ในชีวิต นั่นคือ ความโกรธที่ได้รับการเหยียดหยามในความเป็นยิวของเขาเป็นครั้งแรก
            จริงอยู่..พวกผู้ใหญ่ทุกคนในเมืองนั้น..เป็นเพื่อนกัน (ตามที่ปู่บอก) หรืออย่างน้อยๆ เขาก็แสร้งทำได้เหมือนจริง..
            แต่สำหรับพวกเด็กๆ ในวัยของเขานั้น..การล้อเลียน ด่าว่า..และการใช้กำลังกระทบกระทั่ง..จากพวกที่ต่อต้านยิวก็ยังคงมีอยู่
            จาคจึงต้องระวังตัว ทำความรู้จักกับพื้นที่ที่จะไปให้ดีที่สุด ว่า ตรงไหนควร หรือไม่ควรไปเหยียบให้เกิดเรื่อง

            เดือนกันยายน 1939 สองอาทิตย์ที่มาอยู่ในบ้านปู่ นาซีได้เคลื่อนทัพเข้าโปแลนด์
            ภายใน 48 ชั่วโมง อังกฤษและฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่สองกำลังจะระเบิดขึ้น
            ภายในอาทิตย์เดียว..เยอรมันก็สามารถเอาชนะกองทัพโปแลนด์ได้อย่างหมดจด
            ไม่กี่วันต่อมา..จาคและประชาชนทุกคนในเมืองได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ของรถถังที่กำลังคำรามเข้ามาใกล้ๆ ห่างไปเพียงไม่กี่ไมล์
            บางคนยังอุตส่าห์หวังว่า นั่นคงจะเป็นเสียงของกองทัพอังกฤษที่กำลังยกกำลังเข้ามาช่วย
            แต่..มันเป็นกองทัพของนาซี..ทันที่ที่พวกมันเคลื่อนตัวเข้ามาในพื้นที่ ประชาชนต่างรีบหาที่ซ่อน ถนนหนทางเงียบเป็นป่าช้า

            ที่บ้านปู่..ทุกคนต่างแอบกันอยู่แต่ในบ้าน แต่จาคทนไม่ไหว ด้วยความเป็นเด็ก เขาจึงวิ่งไปดูที่ระเบียงหน้าต่าง
            ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือ กองทัพรถถังที่ใหญ่โตมโหฬาร พร้อมด้วยรถบรรทุกที่มีทหารยืนอยู่เต็มคัน และ รถมอเตอร์ไซค์ที่ที่นั่งพ่วงข้างๆ
            แล่นมาเต็มถนน..
            ความกลัวแล่นขึ้นมาจับจิต..แม้ว่าเมืองยังไม่ได้ถูกครอบครองอย่างเต็มตัว หากแต่ พวกนาซีได้มีรายชื่อของประชาชนอย่างเรียบร้อย
            ว่า ใครคือยิว..และใครที่ไม่ใช่
            สิ่งที่ทุกคนไม่เคยคาดคิด..นั่นก็คือ..การจับตัวและสังหารนักการเมืองที่ต่อต้านนาซี ทั้งหมด
            เพราะใครต่อใครก็ต่างคิดว่า..การยอมแพ้แต่โดยดีนั้น ไม่น่าที่จะต้องมีการทำร้ายกัน จริงอยู่...ผู้แพ้ก็จะต้องเป็นเมืองขึ้น
            เมื่อสงครามเลิก ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม
            แต่นี่กลายเป็นว่า ชาวบ้านชาวเมืองเห็นทหารเป็นยักษ์เป็นมาร เพราะเพียงแค่ขัดขืนก็อาจถูกยิงทิ้งได้ในทุกเมื่อ

            ตลอดเดือนกันยายน และ ตุลาคม แม่เริ่มเป็นห่วงและกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะ ไม่ได้รับข่าวคราวจากพ่อเลย
            จาคก็พลอยวิตก..เขาว่า
            "โปแลนด์เป็นของเยอรมันทั้งหมด รวมทั้ง กาดิย่า แต่ไม่มีการบอมบ์เกิดขึ้นอย่างที่กลัวกันไว้ แต่ทำไมพ่อถึงยังไม่มา..ของที่พ่อว่าจะส่งมาก็ยังไม่ถึง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรนะแม่?"
            ในที่สุด..นายสถานีก็มาส่งข่าวว่า อย่าหวังว่าจะได้รับพัสดุใดๆ เพราะพวกนาซีได้ค้นข้าวของและทำการยึดพัสดุทุกชิ้น
            ในเดือน ตุลาคม พวกเราก็ได้รับโพสต์การ์ดจากพ่อ..ว่า
            "พ่อได้ถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน ที่ Stutthof และสบายดี อย่าเป็นห่วง"
            จาคจำได้ว่า..พ่อเขียนมาแค่นั้น โดยที่ไม่รู้แม้แต่นิดว่าพ่อได้เขียนข้อความนั้นเองหรือ เขียนตามที่มีคนสั่งให้เขียนหรือเปล่า และไม่รู้ว่าค่ายกักกันที่ว่านี่มันคืออะไร
            ทำไมพ่อต้องไปอยู่ที่นั่น"
            สถานะภาพของชาวยิวในโปแลนด์ยิ่งเริ่มเลวร้ายเข้าไปทุกที ในเดือนพฤศจิกายน สองเดือนหลังจากที่เราแพ้สงคราม..ชาวยิวถูกคำสั่งให้ติดเครื่องหมาย
            "ดาวเดวิด" สีเหลือง อันเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัวของเหล่า Judaism ทั้งหน้าและหลังของเครื่องแต่งกาย ถ้าไม่ติด..มีโทษถึงการยิงทิ้ง..

            ต่อมา...มีคำสั่งใหม่ว่า..เด็กยิวทุกคนไม่มีสิทธิเข้าเรียนหนังสือ และ ไม่มีการจ้างแรงงานยิวอีกต่อไป
            ส่วนปู่..กลับมีงานทำเพิ่มขึ้น เพราะต้องเขียนป้ายใหม่หมด โดยเปลี่ยนจากภาษาโปล์มาเป็น เยอรมัน..

            ปู่และเพื่อนๆ ยังเชื่อว่า..ถ้านาซีมารุกรานสร้างความเดือดร้อนมากๆ เข้า เพื่อนบ้านที่ไม่ใช่ยิวก็ต้องเดือดเนื้อร้อนใจแทน และต้องมาช่วยกันต่อต้าน

            แต่สิ่งที่จาคได้พบ..นั่นคือ ไม่มีใครอยากเอามือมาซุกหีบ ทุกคนไม่สนใจ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายนาซี หากแต่..สำนึกของการเกลียดยิวที่มีอยู่ลึกๆ
            โดยที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันซ่อนอยู่ส่วนไหน ได้เริ่มเผยโฉมออกมา
            ปู่แทบทำใจรับไม่ได้ เพราะตลอดชีวิตปู่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกับพวกที่ไม่ใช่ยิวมานานนับสิบๆ ปี.. สนิทสนมถึงกับนับเป็นเพื่อน
            ส่วนจาคเอง..ก็คิดว่า..เขาคือชาวโปล์ แต่ในยามนี้ เขาถูกตีตราว่าเป็นยิว..
            ทุกอย่างสับสนไปหมด
            มาถึงตอนนี้ ไม่ว่ายิวหรือไม่ยิว..ทุกคนเริ่มตกที่นั่งลำบาก เพราะการขาดแคลนอาหาร แม่ไม่มีเงินติดตัวเลยนอกจากเครื่องเพชรสองสามชิ้นที่มีติดตัวมา

            น้าสาวของจาคที่อยู๋ในเมืองใกล้ๆ ขอตัวพี่สาว..ยาจา ไปช่วยเลี้ยงลูกอ่อน เพราะน้าสาวและสามีมีโรงงานทำแป้ง และได้สัญญาว่า ยาจาจะมีการกินที่อุดมสมบูรณ์
            ไม่ขาดแคลน จาคเล่าว่า
            "พี่ยาจาอ้อนวอนอยากไป เพราะจะได้ลดภาระของแม่ ในที่สุดแม่ก็ต้องยอมเพราะไม่อยากเห็นลูกอยู่อย่างอดๆ อยากๆ แต่การไปของพี่ยาจาทำเอาแม่หัวใจแทบสลาย"

            หลังจากที่พี่ยาจาได้เดินทางไปไม่นาน พวกนาซีก็จัดการกั้นเขตแดนระหว่างของเมืองทั้งสอง..กลายเป็นว่า..ฝั่งที่เราอยู่คือฝั่งของเยอรมัน และฝั่งของพี่สาวคือฝั่งของ
            โปแลนด์ ในความครอบครองของนาซี และเป็นการตัดขาด..ไม่มีสิทธิที่จะข้ามไปมาได้อย่างก่อน


            แม่เริ่มเป็นทุกข์.. เพราะไหนจะอยู่โดยปราศจากสามีสุดที่รัก ไหนจะต้องพลัดพรากจากลูกสาว แม่จึงอยากย้ายไปอยู่รวมกับพี่กับน้อง
            ลุง..พี่ชายของแม่ก็อยู่ในเมืองใกล้ๆ และครอบครัวของลุงก็ไม่รังเกียจรังงอนพวกเรา
            แม่จึงพาพวกเราย้ายไปอยู่กับลุงในเดือนธันวาคม
            ปู่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะเข้าใจในความรู้สึกของแม่ดี..
            ก่อนลาจาก จาคโผเข้ากอดปู่แน่น..ด้วยความรักและอาทร..!!

            ลุงเป็นคนใจดี ต้อนรับเราอย่างเต็มใจ บ้านลุงเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องใต้ถุนเล็กๆ เอาไว้เก็บเสบียงอาหาร มันฝรั่ง..และถ่านหิน
            ครอบครัวของลุงมีกันห้าคน รวมครอบครัวของจาคไปอีกสาม ก็นับว่าอยู่กันแน่นบ้าน
            จาคและยาคอบต้องนอนที่พื้น บนฟูกที่ยัดด้วยฟาง
            ย่างเข้าวันที่สอง ทั้งสองพี่น้องต้องเกาตัวกันคันคะเยอ เพราะที่นอนเต็มไปด้วยตัวเหา
            แม่ตกใจจนต้องหวีดร้องขึ้นมา ก่อนที่จะพาจาคและน้องไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่จะไปป้องกันอย่างไรได้ในเมื่อ
            ทั้งบ้านมันเต็มไปด้วยตัวเหาที่แพร่พันธุ์นับร้อยนับพัน
            ในบ้านไม่มีน้ำประปา ส้วมอยู่ข้างนอก การรักษาความสะอาดนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
            จาคยังจดจำภาพที่เห็นได้ว่า ลุง..อมน้ำมาในปาก
            แล้วบ้วนใส่มือ แล้วล้างหน้าด้วยน้ำที่บ้วนออกมานั่น..

            และนี่คือครั้งแรกที่จาคต้องรู้จักกับความอดอยาก..ลุงจะเก็บอาหารใส่ห้องใต้ถุนพร้อมกับล๊อคกุญแจ พอถึงเวลาอาหารค่ำ ทุกคนจะได้รับอาหารตามส่วนที่ไม่มากนัก
            และไม่มีการเติม..
            วันหนึ่งแม่พาจาคและยาคอบไปบ้านชาวไร่ เพื่อขอซื้อขนมปังดำอบใหม่ๆ และนมหมักเนย ให้พวกเราได้ลิ้มรส
            ทุกวันนี้..จาคยังจดจำได้อย่างไม่มีวันลืมว่า..มันอร่อยเพียงไร?
            แม่ของจาค..มักเป็นที่ครหาของหญิงชาวบ้าน เพราะในขณะที่พวกหล่อนใส่เสื้อผ้าทรงกระสอบหลวมโครกคราก ผมก็คาดทับไว้ด้วยผ้าคลุมผมทั้งตาปีตาชาติ
            แต่แม่..ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยๆ รองเท้าส้นสูง เรียกเสียงนินทาได้หนาหูว่า
            "หนอย..ผัวตัวเองไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ยังมีหน้ามาแต่งตัวเดินเฉิดฉาย"
            ไม่มีใครรู้หรอกว่า..ข้างในหัวใจของแม่มันมีบาดแผลมากมาย
            ข้อนี้จาครู้ดี..ว่า แม่พยายามที่จะทำจิตใจให้แข็งแรง เพื่อขวัญและกำลังใจให้ลูกชายทั้งสอง ทั้งๆ ที่แม่ไม่รู้เลยว่า พ่อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไหนจะพี่น้องที่
            พลัดพรากจากกันอีกเล่า..


            พวกนาซีเริ่มเคร่งครัดขึ้นทุกวัน..มีการจำกัดเวลาห้ามออกจากบ้านตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งเช้า..ถ้าพบว่าชาวยิวได้เดินเปะปะ เพ่นพ่านในเวลาต้องห้าม
            โทษถึงตายสถานเดียว
            ชาวยิว..ไม่มีสิทธิไปใช้บริการของห้องสมุด และไม่สามารถเข้าไปในสถานที่สาธารณะใดๆ ทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัว ที่มีตัวอักษร J ประทับตัวเบ้อเริ่ม
            อันเป็นความหมายว่าเป็น Jude (หรือ Jew)

            จากนั้น..ข้อจำกัดห้ามยิวเดินทางไปไหนก็ออกมา..ลุงของจาคคนหนึ่งมีโรงงานทำหลอดด้ายซึ่งต้องมีการไปหาซื้อวัตถุดิบในเมืองใหญ่ๆ ที่จะนำมาประกอบสินค้า
            เมื่อเดินทางไม่ได้ ทุกอย่างชะงักงัน
            แต่เพื่อนรักของลุงเป็นคาทอลิค..ทำงานรถไฟ รับหน้าที่เป็นคนแอบไปจัดหาซื้อให้
            จนกระทั่งวันหนึ่ง..ทุกคนในหมู่บ้านถูกเรียกตัวให้มาชุมนุมกันกลางลานใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีรถบรรทุกจอดอยู่
            บนรถนั้น เมื่อเปิดผ้าคลุมออก จึงเห็นว่า
            เพื่อนผู้อารีของลุงที่อยู่ในสภาพถูกซ้อมยับเยิน..ถูกแขวนคอห้อยอยู่
            ทุกคนถึงกับอุทานด้วยความตกใจระคนกลัว..
            พวกนาซีได้ป่าวประกาศว่า ชายผู้นี้มีความผิดในฐานที่ให้ความช่วยเหลือชาวยิวที่ต่อต้านนาซี ฉะนั้น โทษคือ การตายสถานเดียว
            จากนั้นเชือกก็ได้ถูกกระตุกขึ้น..
            จาคจำได้ดีว่า..ประโยคสุดท้ายที่ผู้เคราะห์ร้ายได้ตะโกนออกมาคือ " Long Live Poland"
            ทุกคนร่ำไห้อย่างกลั้นไม่อยู่
            และนี่คือครั้งแรกที่จาคได้เห็นการฆ่าคนอย่างทารุณ ที่มันทำให้เขาฝันร้ายไปอีกนาน


ทุกอาทิตย์กฏข้อบังคับใหม่ๆ จะถูกระดมออกมาประกาศให้ชาวยิวทราบ..ที่ความร้ายแรงได้เพิ่มดีกรีขึ้นไปทุกที จนแทบจะจำไม่ได้หมด
            ตัวอย่างเช่น..ถ้าต้องเดินไปเจอกับทหารนาซีบนทางเดินเท้า ต้องกระดกหมวกขึ้นทำความคารวะ และ ต้องหลบไปยืนข้างทาง
            จนกว่าพวกท่านๆ จะผ่านเลยไป
            จาคให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า..พวกนาซีพยายามทุกวิถีทางให้ชาวยิวได้สำนึกว่า..ตัวเองเป็นพลเมืองชั้นเลว..ที่ไม่มีใครต้องการ
            ส่วนตัวเขาเอง เริ่มเชี่ยวชาญและช่ำชองขึ้นในการรู้จักเลี่ยงการพบปะกับเหล่าทหารนาซี หมายถึงต้องรีบหายตัวไปอย่างเร็ว ถ้าเห็น..
            หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ หมายถึงว่าต้องยืนตรง ถอดหมวกออก ก้มหน้านิ่ง ไม่มีการสบตา ถามอะไรก็ตอบ ..
            และการเป็นอยู่ที่แสนคับแค้นนี้..จาคเริ่มอึดอัด ความรู้สึกสนุกหายไป เหลือไว้เพียงความมุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบที่ต้องดูแลแม่และน้อง

            ในเดือน มกราคม 1940 เดือนหนึ่งหลังจากที่ได้ย้ายมาบ้านลุง พวกนาซีได้ออกคำสั่งเกณฑ์แรงงาน 300 คน เพื่อมาทำงาน
            ทั้งหมู่บ้านมีคนแค่ 900 คน นั่นหมายถึง หนึ่งในสามต้องออกมาทำงาน ส่วนจาคไม่มีรายชื่อ เพราะเขามีอายุเพียง 12
            แต่คนที่มีเงินที่ไม่อยากทำงานก็มี..ฉะนั้น จาคมองเห็นช่องทางหาเงินให้แม่ โดยการรับจ้างทำงานแทน
            ซึ่งงานในวันแรกก็คือ การไปตักหิมะที่กองพะเนินให้พ้นไปจากถนน เครื่องมือที่ได้รับคือพลั่ว..
            หิมะสูงกองสูงกว่าจาคถึงสองฟุต แต่เขาก็ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกผู้ใหญ่อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
            เขากลับถึงบ้านในตอนค่ำด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็มีความภูมิใจที่สามารถหยิบยื่นสตังค์ที่หามาได้ให้กับแม่..

            จากนั้นมา อาทิตย์ละหกวัน ตั้งแต่ตะวันขึ้นถึงตะวันตก จาคทำงานเป็นแรงงานรับจ้างเฉพาะกิจอยู่นานหลายเดือน
            จนแม่สามารถสะสมค่าจ้างเหล่านั้นได้เป็นกอบเป็นกำ จนอยากจะออกมาหาห้องเช่าอยู่กันเอง
            เพราะแม่อยากให้ ทั้งจาคและยาคอบได้มีโอกาสอยู่กับความสะอาดอย่างจริงจังเสียที


            ห้องเล็กๆ ที่เราเช่าอยู่นั้น มีเตียง เตาหุงต้ม และ เก้าอี้สองตัว จาคจะตื่นแต่ตีห้า เพื่อที่จะไปรายงานตัวเข้าทำงาน โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า
            อะไรคืองานในวันนั้น แต่ไม่ว่าอะไร มันก็ล้วนแต่เป็นงานกรรมกรแทบทั้งสิ้น เช่น ลอกคลอง ขุดคู สร้างถนน ขนอิฐ ทุบหิน
            เพราะการที่ส่งงานพวกนี้มาให้ชาวยิวทำ นั่นก็หมายถึงว่า นาซีสามารถส่งทหารออกไปรบได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
            จาคเล่าว่า
            "ในรายละเอียดของงาน ทหารที่คุมค่อนข้างเคร่งครัด มันจะแหกปากตะโกนสั่งงาน หรือ ทุบตีถ้าไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ถึงกับยิงใครต่อใครอย่างที่อื่นที่ได้ยินมา"

            สงครามเริ่มเข้มข้นเข้าทุกที นาซีได้รับชัยชนะในทุกที่เกือบจะทั่วยุโรป จาคอายุครบ 13 ในเดือนเมษายน 1940
            เมื่อเขาอายุครบ 14 ในปี 1941 เขาสามารถทำงานเพื่อเลี้ยงแม่และน้องจากรายได้ของการเป็นกรรมกรตัวแทนด้วยสองมือน้อยๆ
            รูปร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนไปในทางบึกบึน..แข็งแรงขึ้น จาคสามารถพูดได้ว่า เขามีความชำนาญและช่ำชองในงานโรงงานแทบทุกชนิด
            เขาไม่เคยเสียใจหรือน้อยใจต่อโชคชะตาที่เลวร้าย รู้แต่เพียงว่า แม่และน้องคือความรับผิดชอบที่เขาต้องดูแลตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ
            ในที่สุด..คนที่เคยมีเงินจ้าง..ต่างก็เริ่มถังแตกด้วยกันเป็นแถวๆ จาคเริ่มเป็นกังวลว่า ต่อไปเขาจะทำอย่างไรเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
            ความทุกข์เริ่มเข้าประดังมาสุม ไหนจะเป็นห่วงพ่อที่อยู่ในค่ายกักกัน ไหนจะพี่ยาจา..
            เท่านั้นไม่พอ..พวกนาซียังมีการกั้นถนน กวาดต้อนผู้คนเข้าไปทำงานในค่ายแรงงานนรก อย่างตามใจชอบ
            ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า พวกที่เข้าไปที่นั่นแล้ว..น้อยคนนักที่จะได้มีโอกาสกลับออกมา


            จาคเริ่มเป็นกังวล เพราะตอนนี้เขาคือหนุ่มน้อยที่มีร่างกายแข็งแรง ซึ่งต้องระวังจะไปไหนมาไหนอาจถูกกวาดต้อนไปได้ และถ้าเขาหายไป แม่และน้องจะเป็นอย่างไร

            ต่อมา..เขาได้รับงานให้ไปเป็นลูกมือช่วยช่างไฟฟ้าต่อสายไฟที่บ้านของนายทหารนาซีชั้นผู้ใหญ่ งานนี้เป็นงานอันตรายก็จริงแต่เขาเดินหน้าเต็มตัว
            พยายามทำงานให้ดีที่สุด เขาเล่าว่า
            "ผมเป็นคนอ่อนน้อม ช่างไฟหัวหน้าก็เอ็นดูผมไม่น้อย และไม่อยากให้ต้องโดนเกณฑ์ตัวไปเข้าค่าย ผมจึงตัดใจขอความช่วยเหลือว่า ถ้าจะกรุณาขอจดหมายจากนาซีให้ฉบับหนึ่งได้ไหม ว่าผมเป็นผู้ช่วยงานของหัวหน้า เผื่อว่าถูกเรียกตัว..จะได้ยื่นจดหมายให้เขาดู"
            ช่างไฟคนนั้น..สามารถขอจดหมายดังว่ามาให้จาคจนได้ ซึ่งเขาเอามันติดตัวไว้ในทุกที่ที่
            เขาเล่าต่อว่า..
            "ไม่ว่าพวกนาซีจะออกกฏอะไรมา..ผมก็เล่นไปตามเกมส์ ผมเพียงต้องการให้ทุกอย่างมันสิ้นสุดโดยเร็ว เพื่อครอบครัวของเราจะได้มาอยู่รวมกันอีกครั้ง
            ผมเชื่อว่า สงครามคงจะไม่ยืดเยื้อแน่นอน"

            ในเดือนมิถุนายน 1941 ฮิตเล่อร์ได้บุกโซเวียต และเริ่มบีบคั้น บังคับพวกยิวหนักขึ้น
            ตอนสิ้นปี พื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองที่อยู่ กลายเป็นสลัมกักกัน
            พวกไม่ใช่ยิวต้องย้ายออกไป เพื่อที่จะส่งพวกยิวเข้ามา
            ครอบครัวของจาคก็ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆ ในส่วนหนึ่งของสลัมที่นาซีได้จัดขึ้น..จาคเปรยว่า..
            "มันไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างสลัมยิวในเมืองใหญ่ เพราะ รั้วไม่มีม้วนลวดหนามกั้น เพียงแต่ผู้คนแออัดมาก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พวกนาซีอยากจะให้เรามาอยู่รวมกันขนาดนี้

            และ..อีกไม่นาน..จาคก็จะรู้ซึ้งแก่ใจ ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นนักหนา..!!!






            ตีห้าของเช้าวันหนึ่ง..เสียงทุบที่ประตูดังขึ้นกึกก้อง
            จาครีบลุกขึ้นมาดูที่หน้าต่างด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม เห็นพวกทหารแห่กันมาตะโกนโหวกเหวก
            ฟ้ายังมืดอยู่แท้ๆ พวกเขาต้องการอะไรกันนะ
            "ทุกคน ออกมาเดี๋ยวนี้ ..ไอ้พวกยิว..ออกมา" เสียงนั้นดังกึกก้อง
            และจากนั้น บานประตูก็ถูกดันให้เปิดออก
            พวกเขากรูเกรียวกันเข้ามา เสียงรองเท้าบู๊ทกระทบพื้นกึงกังขึ้นมาตามขั้นบันได
            แม่รีบแต่งตัวก่อนที่นายทหารคนหนึ่งจะโผล่หน้าเข้ามาในห้อง เสียงเขาออกคำสั่งลั่นก่อนที่จะไปสำรวจห้องอื่นๆ
            "ออกไป๊เดี๋ยวนี้..อียิว..แกมีเวลาแค่ห้านาที"
            "เร็วเข้าลูก..จาค.. จาคอบ รีบแต่งตัวและรีบออกไป" เสียงแม่สั่นระรัวไปด้วยความตระหนก จนจาคจับกระแสของความหวาดกลัวในนั้นได้อย่างชัดเจน
            เสียงหวีดร้องของคนในตึกดังขึ้นผสมกับเสียงตะคอกของพวกทหารยิ่งทำให้ทุกอย่างโกลาหล
            จาครีบใส่เสื้อ และไม่ลืมที่จะตรวจตราเป็นครั้งสุดท้ายว่า "จดหมายสำคัญ" นั้นยังคงอยู่ดีในกระเป๋าเสื้อ
            เขาจูงมือน้องและแม่ ออกไปข้างนอกพร้อมๆ กันด้วยใจที่หวาดหวั่นว่า พวกทหารมือโหดนั่นจะทำร้ายแม่
            หรือ จาคอบ และนึกภาวนาว่าถ้าจะโดน
            ขอให้เป็นเขาเถิด..อย่าเป็นพวกเขาเลย

            ข้างนอกที่ยังไม่สว่าง ทหารได้ออกคำสั่งให้ทุกคนเดินไปที่จตุรัสกลางเมือง ..ชายคนหนึ่งผละออกจากแถว เขาวิ่งหนีออกไปอย่างสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่ไวไปกว่า
            ห่ากระสุนที่ระดมใส่ จนล้มลงนอนแน่นิ่ง..
            เสียงพวกผู้หญิงหวีดร้องลั่น.. แม่บีบมือจาคแน่น..และเขาเองก็หวังว่า จาคอบคงไม่ทันเห็นภาพที่ได้เกิดขึ้น

            พวกกลุ่มคนที่เมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว กำลังหลับสบาย..แต่ตอนนี้ต้องมาเดินแถวไปตามถนน บางคนร้องให้อย่างสุดกลั้น บางคนดูเหม่อลอยด้วยว่าตกใจจนช๊อค
            เสียงสวดมนต์ดังขึ้นพึมพัม เสียงเอ็ดตะโรสั่งการของทหารที่กรีดเข้าไปถึงในหัวใจ


            จาค แม่ และน้อง ต่างจับมือกันแน่น ไม่ว่าจะถูกผลักดันไปทางไหน พวกเขาจะไม่มีแยกมือไปจากกัน
            แต่ต่อมา..การเบียดเสียดได้เกิดขึ้น..การแบ่งแถว แยกเพศ..ทำให้เกิดการพลัดพรากของบางครอบครัว เสียงกรีดร้องของเด็กและทารก
            เสียงเรียกหากันดังขึ้นระงม
            ลานจตุรัสกลางเมืองนั้นเริ่มแน่นไปด้วยผู้คน..จาครู้ดีว่า ครอบครัวลุงๆ อาๆ น้าๆ ของเขาต่างก็อยู่ในที่นั้น..เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตรงส่วนไหน
            หรือนี่อาจจะเป็นวิธีการของนาซี..ที่จะเอาพวกเรามารวมตัวกัน เพื่อที่จะยิงทิ้งเสียทีเดียว..

            ทหารที่รายล้อมในทุกด้านนั้น ได้จ่อปากกระบอกปืนมาที่เหล่าเชลยยิว..เสียงคำถามดังขึ้นระงมว่า
            "พวกเขาจะทำอะไรกับเรากันนี่?"
            "ก็ เรียกมารวมตัวกัน เพื่อที่จะเนรเทศพวกเราออกไปน่ะซิ" ผู้ชายคนที่ยืนข้างๆ จาคเป็นคนให้คำตอบ
            "หมายความว่าอย่างไรกัน พี่?" จาคอบรีบกระซิบถาม
            "หมายความว่า พวกเขาจะเอาเราไปอยู่ที่อื่นน่ะซิ บ้านใหม่น่ะ" จาครีบปดน้องชาย พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่อง"ข่าวลือ"ที่ได้ยินมา ถึงการสังหารหมู่ของผู้คนไม่ว่าผู้หญิงและเด็ก ที่ โหดเหี้ยมถึงขนาด ให้พวกผู้เคราะห์ร้ายพวกนั้นขุดหลุมเพื่อที่จะฝังตัวเอง
            ก่อนที่จะถูกยิงกราดให้ร่วงหล่นลงไป..
            "พ่อจะตามหาเราได้อย่างไรล่ะ?" จาคอบไม่วายกังวล
            "พ่อต้องรู้ซิ..อย่าป็นห่วงเลย" จาครีบปลอบขวัญน้องชาย เสียงแม่ได้สั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
            "อย่าปล่อยให้มือเราต้องหลุดไปจากกันนะลูก ยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน"


            พระอาทิตย์เริ่มลอยตัว..อากาศเริ่มอุ่นขึ้น
            วันนั้นคือ วันที่ 14 มิถุนายน 1942 พวกเชลยได้ถูกยืนเฉยๆ ในแถวนานนับชั่วโมง
            ไม่มีการอนุญาตให้ขยับตัวไปไหน หรือ แม้แต่เข้าห้องน้ำ ทุกคนทั้งหิวและกระหาย เด็กๆ ต่างร้องไห้กันเซ็งแซ่
            จาคหวังว่า อย่างน้อยก็น่าจะอนุโลมให้นั่ง..แม่ไม่ได้ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว ทั้งๆ ที่ใส่ส้นสูง มีแต่สีหน้าเท่านั้นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล
            หญิงชราเป็นลมล้มพับไประหว่างแถว ทหารได้ปรี่เข้ามาและทุบเธอด้ามปืนอย่างแรง เธอแน่นิ่งไป เหลือแต่เสียงคราง..
            เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด..เสียงครางนั้นเงียบหายไป เหลือแต่เสียงหวีดร้องจากกลุ่มคนที่ดังขึ้นมาแทนที่..

            เที่ยงผ่านไป..จนถึงบ่ายแก่ๆ พวกเราก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ ในที่สุด ทหารก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
            โดยสั่งให้ทุกคนเข้าแถวเรียงเดี่ยวโดยใช้ด้ามปืนกระทุ้ง ไปที่คนโน้นคนนี้เพื่อ เป็นการจัดระเบียบ
            และ ยิวทั้งหมด 900 กว่าคน ก็ถูกสั่งให้เดินไปตามถนน จาคแอบมองเห็นในกลุ่มของพวกคาทอลิคที่มายืนดูสถานะการณ์ และ
            จำได้ว่า บางคนในที่นั้น..คือ เพื่อนบ้านที่รักของลุง และเติบโตมาอย่างสนิทสนมกลมเกลียวกับแม่
            แต่..บัดนี้เขาคือคนที่มองเราด้วยสายตาเหยียดหยาม
            พร้อมทั้ง..ถุยน้ำลายลงกับพื้นด้วยริมฝีปากที่อ่านได้ว่า.."ไอ้พวกยิวชิ..หาย"
            จาคพยายามแตะกระเป๋าเสื้อเอาไว้เพื่อให้อุ่นใจว่า จดหมายนั่นยังคงอยู่..จดหมายที่มีตราของนาซีประทับไว้เป็นสำคัญ
            พร้อมทั้งคำถามมากมายในสมอง..ว่า..แล้วมันจะช่วยเขาและครอบครัวได้อย่างไร..หรือ ช่วยเพื่ออะไร เพราะไหนๆ พวกเขาก็จะเอาไปฆ่าอยู่แล้ว


            ข้างหน้า..คือกำแพงที่สูงตระหง่านของโรงงานผลิตเบียร์ ที่จาคจำได้ดีว่า ข้างในคือสนามหญ้าที่เขียวขจี และตัวตึกที่ใช้เป็นที่ผลิตเบียร์ใหญ่โต
            พอมาถึงทางเข้าประตู..โกลาหลได้บังเกิดอีกแล้ว..เพราะ พวกทหารได้สั่งให้ผู้คนแยกออกเป็นฝั่งซ้ายและขวา..
            เด็กๆ ถูกดึงตัวไปจากพ่อแม่..พี่น้อง เริ่มกระจัดกระจาย..เสียงร้องร่ำไห้ดังระงม
            แม่รีบตอกย้ำในคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกว่า..เราจะไม่พรากจากกันนะลูก จับมือกันให้แน่นๆ เข้าไว้..
            แต่อะไรคือความหมายของ ฝั่งซ้าย หรือ ขวา..แล้วฝั่งไหนจะดีกว่ากัน

            แต่จากที่เห็น จาคได้สังเกตดูเหมือนว่า ฝั่งขวาคือพวกที่เป็นคนหนุ่ม แข็งแรง ทำงานได้
            จนมาถึงคราวของเขา ที่เกาะกลุ่มอยู่กับแม่และน้อง
            ทหารผู้คุมเหลือบมามามองแว๊บเดียว ก่อนที่จะสั่งให้ไปทางซ้าย..
            จาครีบลนลานเอาจดหมายออกมาจากอกเสื้อ และส่งให้ดู..ปากรีบรายงานว่า
            "กระผมเป็นลูกมือช่างไฟฟ้า แม่และน้องก็แข็งแรง ทำงานได้ขอรับ"
            ผู้คุมคนนั้น..อ่านดูผ่านๆ ..และร่อนจดหมายออกไปอย่างไม่ใยดี แต่จาคถูกผลักไปอยู่ทางฝั่งขวา..ไปรวมตัวอยู่กับพวกที่เป็นผู้ชายล้วนๆ
            ไม่มีเด็ก ไม่มีผู้หญิง ไม่มีคนแก่..
            เขาตกใจแทบสิ้นสติ พยายามจะฝ่าแถวกลับไปหาแต่ทหารได้เอาปากกระบอกปืนมาจ่อให้อยู่นิ่งๆ
            และจากนั้น เขาก็มองไม่เห็นอีกเลยว่า แม่และน้องอยู่ที่ไหน คนทั้งสองถูกกลืนหายไปในคลื่นมนุษย์

            จาคยืนขาสั่น..เข่าอ่อนจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เขาจะทำอย่างไรดี....สัญญาที่ให้ไว้กับพ่อที่ว่าจะดูแลแม่กับน้อง..เขาเล่าว่า
            "นั่นคือช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เพราะผมไม่เคยคิดว่า จู่ๆ เราต้องมาแยกจากกัน"


            ในฝั่งขวาที่จาคเข้ามารวมกลุ่ม มีแรงงานชายทั้งหมดรวมได้ประมาณ 100 คน จาคเป็นเด็กที่สุดในนั้น
            อันเป็นที่แน่ใจว่า..คนอื่นๆ ในครอบครัวของเขาต่างแยกไปอีกฝั่งหนึ่ง
            รถบรรทุกมาจอดที่หน้าประตู พวกเขาถูกต้อนขึ้นไปอัดอยู่บนนั้น..และในขณะที่รถแล่นออกไป จาคพยายามสงบสติอารมณ์ ให้สงบ
            สมองมีแต่คำถามซ้ำๆ ซากๆ ว่า..แม่และจาคอบจะเป็นอย่างไร? เขาจะตามหาคนทั้งสองได้ที่ไหน?
            รถวิ่งโขยกเขยกไปตามทางนอกเมืองที่แสนขรุขระ ทุกคนในรถนิ่งเงียบ..ไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะถูกนำตัวไปที่ไหน
            แต่ที่แน่ๆ คือ คงไม่ถูกนำมาฆ่าทิ้งแน่นอน เพราะถ้าจะฆ่าคงไม่ต้องพามาให้ลำบาก
            จาคพยายามคิดในด้านดีว่า..
            บางที..บางที..เขาอาจพาตัวมาใช้งาน แล้วเมื่องานเสร็จ..พวกเขาคงพาเรากลับไปบ้าน..
            การเดินทางผ่านมาหลายชั่วโมง..ในที่สุดก็มาถึงในยามค่ำพอดี รถผ่านเข้ามาในประตูเหล็ก และ ภายในมีอาคารหลายหลัง..
            รั้วรอบเป็นเสาคอนกรีตถูกโยงไปมาด้วยลวดหนามไฟฟ้า ไฟสปอตไลต์ถูกสาดส่องมาจากหอคอยทหารยาม
            ในความมืด..จาคเขม้นตามองเห็นกลุ่มชายในชุดเสื้อ กางเกงลายทางสลับสี น้ำเงิน เทา ที่ต่างกำลังแยกย้ายตัวกันเข้าไปในอาคาร..
            ที่นี่มันที่ไหนกัน..??

            ทันที่ที่กะบะท้ายถูกเปิดออก..ทหารผู้คุมได้ออกคำสั่งให้ทุกคนกระโดดลงมา..ไฟฉายในมือได้สาดส่องและเริ่มมีการทุบตีด้วยกระบองยาง
            พร้อมกับเสียงออกคำสั่งเอะอะ..
            จาคพยายามยกมือขึ้นปิดหัว ปิดหน้า..เพื่อเป็นการป้องกันตัว ก่อนที่จะถูกผลักให้เดินไปตามทาง
            บัดนี้..เขาได้รู้ว่า
            นี่คือวิธีการของพวกนาซีที่จะต้องสร้างความเหี้ยมโหดให้พวกเชลยยิวได้รู้ และลิ้มรส..สร้างความกลัว..เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ในการสั่งงาน..
            และ มันก็ได้ผลจริงๆ เพราะจากบัดนั้นมา..ชีวิตของเขาได้ตกอยู่ในความหวาดผวา และหวาดกลัว..ในแทบทุกนาที!!



            จากหนังสือชีวิตและประสบการณ์ของจาคที่รอดพ้นมาจากเงื้อมมือของนาซี  


















            พวกเชลยที่กวาดต้อนมาต่างเหนื่อยอ่อนจนยืนแทบไม่ติด แต่กระนั้น เหล่าผู้คุมก็ยังตะคอกให้จัดออกเป็น 5 แถว ก่อนที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่า
            ต่อไปนี้..พวกเขาทั้งหมดได้ตกเป็นเชลยของหน่วยรบพิเศษ SS และสถานที่นี้คือค่ายกักกัน เมือง เบรทฮัมเมอร์ (Blechhammer) ประเทศเยอรมันนี
            และ..พวกเชลยทั้งหมด ไม่มีสิทธิในการเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น..นอกจาก..ความตายเท่านั้น

            จาคและเชลยคนอื่นๆ ถูกนำตัวไปยังห้องที่ทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด ยืนเรียงแถว..เพื่อเข้ารับการโกนศรีษะ และ ขนตามตัวออกให้หมด (เพื่อเลี่ยงการติดเหา)

            ต่อมา..ทุกคนจะต้องไปยืนเรียงแถวด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า เพื่อเข้ารับการพ่นฆ่าเชื้อด้วยสารเคมี ซึ่งในขั้นตอนนี้ จาคต้องกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องหลุดออกมา
            เพราะความแสบที่แผ่กระจายไปทั่วทุกรูขุมขน
            บางคนที่ทนไม่ได้ถึงกับต้องเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างสุดกลั้น
            เครื่องแบบนักโทษได้ถูกแจกมาให้
            จาครีบรับมาสวม มันเป็นผ้าฝ้ายดิบ ลายทางสีน้ำเงินสลับเทา ไม่มีชุดชั้นใน ไม่มีถุงเท้า แต่ยังโชคดีที่มีกระเป๋าในเครื่องแบบ
            ที่ด้านหน้าข้างซ้าย และด้านแผ่นหลังของเสื้อจาค มีหมายเลข 16013 แปะอยู่ นั่นหมายถึง ก่อนหน้าเขา..มีนักโทษอยู่ 16,012 คน และจากบัดนี้
            ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน ..หมายถึงว่า เลข 16013 จะต้องเป็นสัญญลักษณ์แทนชื่อตลอดไป
            "เพื่อนนักโทษเล่าให้ฟังว่า บางค่ายใช้วิธีสักเลขลงไปบนแขน ..เพราะนั่นคือวิธีที่ใช้ระบบตีตราเหมือนกันที่ทำกับสัตว์ นาซีพยายามทุกวิถีทางที่จะให้พวกยิวได้รับรู้และยอมรับว่า พวกเราคือพวกอมนุษย์ " จาคเล่าด้วยความขมขื่น


            หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ทุกคนได้รับแจกรองเท้าหุ้มข้อที่ทำด้วยผ้าใบ.. พื้นทำด้วยไม้ที่แข็งโป๊ก ยามที่ก้าวเดินขึ้นบันได ข้อเท้าแทบพลิก พวกนาซีได้คิดการณ์ล่วงหน้าแล้วเป็นอย่างดี
            มันเป็นแผนเพื่อไม่ให้นักโทษหนีไปไหนได้ไกล

            ในที่สุด..ก็มีการอนุญาตให้ใช้ส้วมได้ ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมาจนมืดค่ำ ทุกคนต้องเข้าแถวยืนคอยคิว พอมาถึงคราวของจาค เขาจึงได้พบว่า มันคือไม้กระดานสองแผ่นพาดอยู่บนปากหลุม
            ที่เต็มไปด้วยฝูงแมลงวันและกลิ่นที่เหม็นคลุ้ง..ทุกอย่างในค่ายนั้น สกปรกจนสุดจะทน
            เมื่อขั้นตอนตรงนั้นได้เสร็จสิ้น ..จาคและคณะได้ถูกส่งตัวไปยังเรือนนอน ที่มีเตียงเป็นชั้นตั้งเรียงไปเป็นตับ ทั้งสองข้างและแถวกลาง
            จาครีบจำหมายเลขของเรือนนอนไว้ทันที เพราะ ..ทุกอาคาร..มันเหมือนกันไปหมด
            เตียงนักโทษจะมีการปูด้วยหญ้าฟางแห้งๆ ทุกคนจะได้รับผ้าห่มบางๆ คนละผืน ไม่มีหมอน โชคดีที่ตอนนี้คือเดือนมิถุนายน เรื่องอากาศหนาวเย็นจึงยังไม่เป็นปัญหา
            ข้างๆ เตียง..จะมีกระป๋องสังกะสีเสียบไว้ให้คนละกระป๋อง เพื่อไว้ใส่อาหารยามที่ได้รับแจก
            จาคเล่าว่า..
            "เมื่อผมไปถึงเรือนนอนนั้น เป็นเวลาที่ทุกคนได้เข้านอนแล้ว ไฟดวงเดียวที่มีได้ถุกปิดลงโดยผู้คุม ฉะนั้นในความมืด..พวกที่มาใหม่จึงต้องระวังไม่ให้มีเสียงดัง
            ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงสมองเต็มไปด้วยคำถาม..ไม่รู้ว่าชีวิตต้องเผชิญอะไรต่อไปอีก ตอนนั้นผมมีอายุเพียง 15 ปี คิดถึงพ่อที่ได้เข้าไปอยู่ในค่ายกักกันก่อนผมถึงสามปี
            ของผมเพิ่งจะเริ่มต้นปีแรก ยาจา..พี่สาวคงปลอดภัยเพราะอยู่กับน้า..แม่กับจาคอบก็คงไม่เป็นอะไร แต่ใครเล่าจะดูแลพวกเขา ถ้าขาดผมเสียคน
            จะอย่างไรก็ตาม ผมรู้ตัวดีว่า ต้องทำตัวให้เข้มแข็ง..แข็งแรง ให้อยู่รอด เพื่อที่จะมีโอกาสได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง"


            สวิทช์ไฟได้ถูกเปิดขึ้น เสียงปลุกรัวดังขึ้นมา..นักโทษทั้งหมดต่างกระโดดลงจากเตียงพึ้บพั้บ..
            จาครีบตื่นอย่างทันทีทันใดเช่นกัน
            ทุกคนคว้ากระป๋องสังกะสีแล้วรีบเดินออกไปข้างนอก..ที่นั่นมีชายร่างอ้วนที่อยู่ในเครื่องแบบเหมือนๆ กับนักโทษคนอื่นๆ แต่เขามีกระบองในมือที่วาดป่ายซ้ายขวา
            ปากก็เร่งสั่งการให้ทุกคนรีบๆ เข้า..พวกนี้คือพวก คาโป (Kapo) ที่เป็นนักโทษที่มีหน้าที่และสิทธิพิเศษ ทำหน้าที่หัวหน้านักโทษที่ต้องดูแลนักโทษในสังกัดหนึ่งร้อยคน

            จาคมองไปรอบๆ เห็นได้ถึงความต่าง ..ในขณะที่นักโทษทั้งหมดต่างซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย แทบจะเหลือแต่กระดูก แต่คาโปกลับอ้วนท้วนสมบูรณ์
            จาคพยายามเบี่ยงตัวหลบให้พ้นไปจากรัศมีกระบองที่กวัดแกว่ง หน้าแทบคะมำเพราะรองเท้าเจ้ากรรมที่ช่างแข็งอย่างเหลือหลาย
            ท้องเขาร้องโครกคราก เพราะตั้งแต่เมื่อวาน อาหารยังไม่ได้ตกถึงท้องเลยแม้แต่นิด
            แต่แล้วเขาต้องชะงักไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของอะไรบางอย่าง..ที่กลิ่นแรงพอๆ กับอาหารที่เอาไว้เลี้ยงหมูที่เล้าของลุง..อาการพะอืดพะอมเกิดขึ้นมาจนแทบอาเจียน
            แต่ก็ยังพยายามฝืนตัวยืนเข้าแถวที่ยาวเหยียดรออาหาร ทุกคนมีสภาพอะไรไม่ต่างไปจากสุนัขที่อดโซ
            คาโปร่างอ้วนก็เที่ยวเดินตวาดคนโน้นคนนี้
            มีคนนี้คนเดียวที่ดูแลกลุ่มของจาค..ที่อ้วนจนเกินพิกัด อ้วนที่สุดในบรรดาคาโปของกลุ่มๆ อื่น
            แต่ส่วนที่เหมือนๆ กัน นั่นคือ ความโหด..

            ส่วนผู้คุมจริงๆ นั้น อยู่บนหอคอย..ที่เฝ้าจ้องพวกนักโทษด้วยปากกระบอกปืนและกล้องส่องทางไกล



            นักโทษเมื่อได้รับอาหารปุ๊บ..ก็จะสาดลงท้องปั๊บ..เพราะไม่รู้ว่าจะโดนแย่งไปจากมือเมื่อไหร่ หรืออาจโดนกระบองฟาดลงมาหากมัวแต่อืดอาดยืดยาด
            จาคเริ่มหิวจนตาลาย
            แต่ยังเป็นห่วงว่าว่า หากอาหารเขาถูกแย่งไปจะทำอย่างไร..
            เบื้องหน้าของเขา..นักโทษคนหนึ่งได้ยื่นกระป๋องไปขอรับอาหาร ซึ่งเป็นซุปเหลวๆ คนตักตักส่งให้โดยไม่มีการคนให้ถึงข้างล่างของหม้อ
            "กรุณาเถิดขอรับ..ขอเพิ่มอีกนิด เพราะนี่มันมีแต่น้ำ" เสียงนักโทษผู้นั้นร้องขออย่างน่าสงสาร
            คนครัวกลับเอากระบวยตักซุปฟาดลงไปบนกระป๋องอาหารให้หกกระจายลงไปบนพื้น..นักโทษผู้นั้นร้องเสียงหลงรีบก้มตัวลงเก็บเศษอาหารบนพื้นเท่าที่จะหาได้..
            คาโปเข้ามายืนคร่อม พร้อมทุบตีลงไปที่หัวของชายผู้เคราะห์ร้ายจนล้มลงไป จากนั้น เขาก็ถูกลากออกไปซ้อม

            จาคมือไม้สั่นจนถือกระป๋องในมือแทบไม่อยู่ คนครัวตักซุปใส่ให้เขาจนเต็ม และเป็นที่น่าประหลาดใจ ในกระป๋องอาหาร จาคมองเห็นเศษมันฝรั่งลอยฟ่องอยู่นิดๆ
            เขาพยายามสบตาผู้ให้นิดหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่..เจ้านั่นกลับทำไม่รู้ไม่ชี้..
            จาคเลี่ยงออกมาให้ไกลจากรัศมีกระบองของคาโป พร้อมกับนึกสังเวชในโชคชะตาของมนุษย์
            ซุปใสที่เรียกว่าเป็นอาหารนั้น รสชาติมันยิ่งกว่าเลวร้าย เพียงแต่จิบแรก เขาก็ได้กลิ่นหัวผักกาดเน่า อีกทั้งเศษขยะที่ปะปนเข้ามา..
            ถ้าเป็นในยามปรกติ..อาหารอย่างนี้หมายถึงว่าต้องทิ้งสถานเดียว แต่ในยามนี้ เขาจำใจต้องกระเดือกมันลงไปเพื่อความอยู่รอด


            "คืนนี้ เราจะได้กินขนมปัง" เพื่อนนักโทษคนหนึ่งมาบอก และขยายความต่อไปว่า.."พอได้มาก็รีบๆ กินเข้าไปซะนะ ไม่งั้นเดี๋ยวมีคนมาขโมย"
            เมื่อหันไปดู ก็จำได้ว่า เขาคือคนที่นอนเตียงข้างๆ ซึ่งชายผู้นั้นรีบสอนว่า
            "ไป..รีบเอากระป๋องไปเก็บ..แล้วไปเข้าส้วมซะ เพราะเรามีเวลาน้อยเดี๋ยวก็มีการเรียกแถว"
            จาคพยายามรีบเดินตามคำแนะนำด้วยความลำบากที่จะประคองตัวไม่ให้ล้ม และได้ทราบว่า อารอน คือชื่อของเพื่อนใหม่คนนี้ เขาเป็น ช่างตัดผมจากเมือง กราโกว์
            และได้เข้ามาอยู่ในค่ายตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว

            ขณะที่ยืนแถวรอเข้าส้วมนั้น อารอนชี้ให้จาคดูที่ปล่องพ่นไฟที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของค่าย และเขาบอกว่า ที่นั่นคือสถานที่ไว้เผาศพให้เหลือแต่เถ้า เขาว่า
            "เพราะมันเร็วทันใจดีไง ไม่ต้องมาขุดหลุมฝังให้เสียเวลา คนที่นี่ตายไปราวกับใบไม้ร่วง"








Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 1:25:46 น.
Counter : 3279 Pageviews.

3 comments
บางปู : นกหัวโตหลังจุดสีทอง ผู้ชายในสายลมหนาว
(26 ก.ย. 2567 09:19:19 น.)
สรุปวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.5) รวมสูตรตรีโกณมิติ นายแว่นขยันเที่ยว
(25 ก.ย. 2567 00:02:26 น.)
ปลูกผักสวนครัวกินเองมีวิธีง่าย ๆ ได้ผักสดใหม่และปลอดสารเคมี สมาชิกหมายเลข 8129241
(17 ก.ย. 2567 00:41:42 น.)
Acinetobacter baumannii (Continue III) kcan9
(13 ก.ย. 2567 14:15:11 น.)
  
ลงชื่ออ่านค่ะ
เคยดูเรื่องThe Schindler's List
รู้สึกว่าน่ากลัวมากเลยค่ะ
เชลยถูกกระทำแบบโหดร้ายมากเลย
โดย: lovereason วันที่: 24 กรกฎาคม 2556 เวลา:23:03:04 น.
  
ตามมาจากพันทิปค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะที่ช่วยแปล และลงไว้ให้ศึกษา
โดย: Janielia IP: 192.99.14.34 วันที่: 22 กันยายน 2557 เวลา:13:31:15 น.
  
ตามมาจากพันทิปค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะที่ช่วยแปล และลงไว้ให้ศึกษา
โดย: Janielia IP: 192.99.14.34 วันที่: 22 กันยายน 2557 เวลา:13:31:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]