เชลย....ตอนยี่สิบสาม


            เพื่อนบ้าน ไฮซ์ ชเลเกล แนะนำเราด้วยความหวังดีว่าควรจะออกไปทานอาหารนอกบ้านเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบ้าง เพราะไหนๆก็ได้รับบัตรปันส่วนเพิ่มขึ้นมาแล้ว
            อีกทั้งฉันเพิ่งได้รับของขวัญจากคนไข้ในความดูแลที่ได้ส่งไวน์ Moselle มาให้ นับว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุดจริงๆในยามขัดสนเช่นนี้
            คุณๆคงสงสัยว่า..ฉันมาใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงพวกนิยมนาซีได้อย่างไร จึงต้องขอตอบว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในชีวิตจริงๆ และ ไม่พยายามคิดให้มากไปกว่าที่จำเป็น
            การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมันยามนั้น หมายถึง ในฐานะของชาวอารยัน หมายถึงว่า การที่ต้องอยู่ในวงสังคมของนาซี คิดอ่านเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
            เพราะคนรอบข้างทั้งหมดคือ นาซีล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ก็ตาม
            สำหรับฉัน..เรื่องที่จะแยกแยะไปว่าเพื่อนอย่างไฮล์ดี้ คือ นาซีชั้นดี หรืออย่างนายทะเบียนนั่น คือ นาซีชั้นเลว ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเพื่อนชั้นดีที่ว่านั่น
            อาจจะมีพิษมีภัยต่อตัวได้ง่ายๆ ส่วนชนิดที่คิดว่าแย่แสนแย่นั้นอาจจะช่วยชีวิตเราได้อย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้

            สามีหมาดๆใหม่ๆของฉันนั้นเล่า ก็ยังแยกชนิดไม่ค่อยถูกเช่นกัน บางทีเขาก็ดูเหมือนกับเป็นนักลุยแสวงโชค
            บางทีก็ดูเหมือนคนที่คอยคิดแต่เรื่องฝันเฟื่อง เพ้อเจ้อไปได้เรื่อยๆ
            อย่างในคืนวันแต่งงาน ขณะที่ฉันกำลังยืนล้างจานอยู่นั้น เขาเดินเข้ามาโอบจากข้างหลัง ใช้มือสัมผัสเบาๆไปที่บริเวณช่วงท้อง และบอกอย่างมั่นใจว่า
            "ลูกจะต้องเป็นผู้ชายแน่ๆเลย ผมจะตั้งชื่อให้เขาว่  เคล้าส์ (Klaus)"
            เขาเคยพูดเสมอว่า เลือดยิวนั้นมักจะแรงกว่าเลือดของมนุษย์สายพันธ์อื่นๆ และไม่ว่าจะผสมกับอะไรก็จะโดดเด่นนำหน้าเสมอ
            ข้อความทั้งหมดนี้มาจากข้อมูลโปรปะกันดาของนาซีล้วนๆ
            แต่ เวอร์เน่อร์ได้หลงเชื่อตามอย่างหมดใจ และตราบใดที่ ลูกที่ออกมาเป็น"ผู้ชาย"ตามสั่งแล้วละก้อ เลือดยิวหรือไม่ยิว เขารับได้ทั้งนั้น (เขาว่า)



            วันที่ไปตรวจสุขภาพครรภ์..หมอถึงกับส่ายหน้าหลังจากที่ตรวจเสร็จ เพราะอาการของโรคลิ้นหัวใจรั่วที่ฉันเคยเป็นมาก่อน และลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นมีโรคประจำตัวอยู่
            หมอบอกว่า "เสี่ยงมากเลยนะ คุณ หัวใจคุณไม่ค่อยดี ไม่ควรที่จะมีครรภ์ แต่..ในเมื่อคุณก็ท้องขึ้นมาแล้ว ผมจะจัดยาให้ไปบำรุง และ จะเขียนใบลาให้หยุดทำงานไปเลย
            จนกว่าจะคลอด"
            ใครต่อใครคงคิดว่า นั่นคือข่าวดี..แต่ไม่ใช่เลย เพราะนั่นหมายถึงเรื่องบัตรปันส่วนและเงินค่าขนมที่ได้รับจากสภากาชาดก็ต้องหดหายไปด้วย และฉันจะกินอะไรเข้าไปในระยะหกเดือนที่ต้องคอยนั่น
            บัตรปันส่วนที่ว่านั่น หมายถึงว่าฉันจะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดง และ บัตรนั้น..ต้องไปขอกับสำนักงานที่เกี่ยวข้อง (ตอนนั้นคือ กระทรวงเศรษฐการ)
            ฉันจะไปขอรับได้อย่างไรที่จะรอดหูรอดตาเกสตาโปไปได้
            แต่เพื่อลูก...ฉันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นอกจากต้องภาวนาขอพรจากพระเจ้า..ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถิด

            นี่คือครั้งแรกที่ฉันได้บรรจงแต่งกายให้ดูดี ภูมิฐานให้มากที่สุด ต่อการไปปรากฏร่างที่สำนักงานทะเบียนบัตร ที่ต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่หญิงร่างอ้วนกลม
            หลักฐานที่ฉันได้ส่งให้ นั่นคือ บัตรเจ้าหน้าที่ของสภากาชาด และจดหมายจากแพทย์ ในการยื่นความจำนงขอบัตรปันส่วนอาหาร
            หล่อนคนนั้นได้ไล่หาชื่อฉันไป..ตามทะเบียนราษฏร์ที่ซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ซ้ำแล้วซ้ำอีกสามสี่ครั้ง ก่อนที่จะเงยหน้าบอกว่า
            "ไม่มีในนี้นี่"
            "คงต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งละค่ะ" ฉันยิ้มๆน้อยๆ ทำท่าทางมั่นใจ และ ใสซื่อ
            เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น ทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ พูดว่า..
            "เออ.จริงซินะ ยังมีบัญชีรายชื่อของคนที่ย้ายมาใหม่อีกเล่มหนึ่ง ยังไม่ได้เอามาเข้าเล่มรวมกัน คงต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ"
            ว่าแล้ว เธอรีบกระวีกระวาดไปค้นดูในบัญชีอื่นทันที ค้นแล้ว..ค้นอีก..ก็ยังไม่พบ
            ฉันเริ่มสังเกตเห็นไรเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาประปรายตามใบหน้าของเธอ ด้วยอาการที่หายใจไม่ทั่วท้อง..จิตใจที่ประหวั่นอย่างไม่แพ้กัน หากแต่ยังต้องคงสีหน้าให้ราบเรียบ ไม่ให้เป็นพิรุธ
            "บางทีลองดูบัตรของสามีดิฉันซิคะ อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?" ฉันฝืนใจให้ความเห็น
            ซึ่งแน่นอนว่า เธอพบกับบัตรของเวอร์เน่อร์ และ ถ้าเดาไม่ผิด เธอคงต้องมีความคิดว่า เจ้าหน้าที่อาสากาชาด..ภรรยาของนายช่างโรงงานเครื่องบิน สมาชิกพรรคนาซี จะไม่มีบัตรประจำตัวได้อย่างไร
            เธอจึงพูดว่า.."สงสัยอะไรคงต้องผิดพลาดแน่ๆเลย..เอางี้..ในฐานะที่บัตรของคุณอาจสลับที่ไปที่ไหนไม่รู้นั้น ฉันจะออกบัตรอีกใบให้ก็แล้วกัน"
            ว่าแล้ว..บัตรใบใหม่ ในนามว่า Christina Maria Margarethe Vetter ก็ลอยเข้ามาสู่ฉันอย่างไม่คาดฝัน
            ซึ่ง..ฉันได้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เกิดอาการลิงโลดออกมา เพราะ บัตรใบนี้ใบเดียว จะทำให้ฉันและลูกอยู่รอดไปจากการอดอยากและ จากเงื้อมมือของเกสตาโปโดยเด็ดขาด



            ในเดือนเมษายน เวอร์เน่อร์ต้องออกเดินทางบ่อยๆ เนื่องจากต้องไปหาวัสดุในการประกอบเครื่องบิน เพราะ เส้นทางลำเลียงวัตถุดิบที่เคยส่งมาให้เสมอนั้น ถูกขัดขวางโดยการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตร
            ทุกครั้งที่เขากลับถึงบ้าน ก็มักอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
            ฉันเริ่มรู้สึกเจ็บท้องจี๊ดๆ ลุกขึ้นเดินไปรอบๆห้อง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ปลุกเขา จนเวลาล่วงเลยไปกว่าห้าทุ่ม เห็นทีจะทนไม่ไหว จึงต้องไปกระซิบบอกเขาเบาๆว่า
            "สงสัยจะคลอดแล้วละ..เจ็บท้อง"
            "เออ..เหรอ..เดี๋ยวนะจะอ่านคู่มือให้ฟัง เออ..เขาว่า อย่างแรกเลย ความเจ็บปวดจะเริ่มแผ่กระจายอย่างช้าๆ และทารกจะเริ่มเปลี่ยนอิริยาบท.."
            "โอย..รู้แล้ว เรื่องนั้นน่ะ ไม่ต้องมาสาธยาย..รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ"
            เราสองคนพากันเดินดุ่มๆไปบนถนนสายเปลี่ยวแห่งบรันเดนเบอร์ค ฉันต้องเกาะแขนเขาไว้ตลอดเวลา และกว่าจะถึงโรงพยาบาลเราใช้เวลาร่วมชั่วโมง เพราะฉันค่อยๆก้าวไปอย่างต้วมเตี้ยม ระมัดระวังอย่างที่สุด
            เมื่อถึง..ฉันได้ถูกต้อนไปรวมกับคนไข้ใกล้คลอดรายอื่นๆในห้องรวมห้องใหญ่..ฉันได้ยินเสียงแพทย์พูดว่า
            "คอยสักพัก ค่อยให้ยากล่อมประสาท"

            ตอนนั้น...ฉันกำลังพะวงอยู่กับอาการปวดจนแทบไม่ได้คิดตาม แต่สมองฉุกคิดถึงเรื่องการ"การเพ้อหลังคลอด"ขึ้นมาได้ ที่เคยได้ยินมาจากการที่ทำงานเป็นอาสากาชาด
            ว่า..ทุกอย่างในจิตใต้สำนึกจะออกมาหมด
            แล้ว..ในสภาพอย่างฉัน..คำว่า ยิว..คริสตัล..หรือ บทสวดฮีบรู อาจจะออกมาเป็นชุดก็ได้ใครจะไปรู้
            และถ้าพลาด..หมายถึงอันตรายจะมาสู่เพื่อน..และบุคคลผู้มีพระคุณอีกหลายต่อหลายคน ฉันจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งที่ผุดคิดขึ้นมาได้คือ ในโบราณกาลผู้หญิงเราก็ไม่เคยใช้ยาช่วยคลอด ทุกคนคลอดกันเองแบบธรรมชาติทั้งนั้น ทำไม..ฉันจึงจะเผชิญหน้ากับมันไม่ได้เล่า?
            เมื่อนางพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ ฉันรีบปฏิเสธเสียงหลงว่า
            "ไม่ต้องค่ะ..ดิฉันจะคลอดแบบธรรมชาติ"
            นางพยาบาลคนนั้นไม่ได้โต้แย้งอะไร เธอเดินกลับไปพร้อมกับเข็มฉีดยานั่นอย่างไม่แคร์ เพราะตราบใดที่ฉันไม่แหกปากตะโกนโวยวาย พวกเธอก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว
            และ..นั่นคือบทเรียนที่ได้สอนให้ฉันได้รู้ซึ้งว่า ตลอดเวลาของการทนทรมานที่เล่ามาทั้งหมดในชีวิต ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่อยากตายมากที่สุด เท่ากับครั้งนี้..
            ในที่สุด..เช้าของวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันอีสเตอร์ 9 เมษายน 1944 ลูกได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัย เธอเป็นลูกสาวที่มีหน้าตาน่ารัก จิ้มลิ้มไปหมด
            น้ำตาที่ไหลพรากด้วยความปิตินั้น บังเกิดขึ้นทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกเป็นครั้งแรก ฉันได้จูบพรมไปที่นิ้วมือนิ้วเท้าน้อยๆอย่างสุดแสนรักใคร่
            แต่ปากก็บ่นกับนางพยาบาลว่า
            "สามีของฉันอยากได้ลูกชายค่ะ คงผิดหวังทีเดียวที่ทราบ"
            "แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะคุณนาย..จะให้ยัดกลับไปใหม่ม๊ะล่ะ..เผื่อว่าจะเปลี่ยนเพศได้ นี่..บอกกับสามีของคุณนะว่า การมีลูกที่แข็งแรง สมประกอบนั้นถือว่า
            เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ประทานมาให้แล้ว" และเธอต่อด้วยว่า
            "อ้อ..อย่าลืมบอกเขาด้วยล่ะ ว่าผู้ชายต่างหากที่จะประกาศิตในเรื่องเพศของลูกได้จะให้เป็นชายหรือหญิง ถ้าไม่ได้ดังใจละก้อ มันเป็นความผิดของเขาคนเดียว"
            ฉันมองวงหน้าของทารกในอ้อมกอดด้วยความชื่นใจ..

            แต่แล้ว..เสียงหวอเตือนภัยได้ก้องกังวานขึ้น ฝูงบินทิ้งระเบิดของอเมริกาที่แห่กันมาแบบตาข่ายคลุม ที่ไม่จำกัดว่าจะทิ้งทุ่นแค่ที่เบอร์ลิน หรือ พ๊อตดัมเท่านั้น
            เพราะคราวนี้มันเลยเถิดมาถึงที่ บรันเดนเบอร์คด้วย
            ความโกลาหลวุ่นวายได้บังเกิด คนที่เดินได้ต่างก็วิ่งแข่งกันไปที่หลุมหลบภัย ที่เหลือ ก็จะถูกเข็นทั้งเตียงไปเรียงรวมกันอยู่ในใต้ถุนตึกอับๆ
            โชคดีที่ตอนนั้นลูกได้อยู่ในอ้อมอกของฉันที่ได้กอดเธอไว้อย่างแนบแน่น
            ทุกคนนิ่งเงียบอยู่ในความมืด..ด้วยจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึง


            ในความเงียบนั้น
            ฉันได้แต่นึกก่นด่าตัวเองว่า.."อีบ้าเอ๋ย..ทำไมถึงสิ้นคิด โง่เง่าอย่างนี้ ทำไมถึงได้ตัดสินใจมีลูกออกมาให้เผชิญหน้ากับความชั่วร้ายอย่างนี้ ดูซิ ถ้าไม่ตายเพราะโดนระเบิด
            เป็นจุลก็อาจตายเพราะนาซีมาลากตัวไปฆ่าก็ได้
            ตัวเราตายนั่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ใครเล่าจะเลี้ยงดูแม่หนูต่อไป.."
            ฉันคิดโทษตัวเองอย่างไม่เป็นส่ำ กว่าเวอร์เน่อร์จะผ่าการติดขัดของสภาพถนนมาถึงโรงพยาบาลได้ก็อย่างลำบากยากเย็น เขาวิ่งตามหาฉันและลูกอย่างคนขวัญเสีย
            "กรีท..กรีท..คุณอยู่ไหน??"
            ฉันรีบตะโกนขานรับด้วยเสียงอันดัง..แต่มันคงไม่ได้ดังพอ เพราะเขาผ่านกลับไปมาถึงสองสามครั้งกว่าจะพบ
            จนเมื่อมาประจันหน้า..ฉันรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีให้อย่างที่สุด หน้าตาของเขายุ่งยิ่ง เหนื่อยอ่อนเหมือนกับคนที่อดนอนมาทั้งคืน ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่แววตานั้นสดใสนัก
            แต่เมื่อเขาได้อุ้มลูกขึ้นมา..พบว่าเป็นผู้หญิง..ท่าทีเขาเปลี่ยนไปอย่างทันควัน เสียงแหวแว๊ดดังขึ้นมาทันทีว่า
            "นี่ไง..นี่มันเป็นความคิดของคุณคนเดียวเลยนะนี่ที่อยากจะท้องกะเขานัก..แล้วไงล่ะ..เชอะได้ลูกสาว ลูกสาวอีกแล้ว ตูจะบ้า "
            ท่าทางเขาขัดเคือง แววตากราดเกรี้ยว ความชุ่มชื่นหัวใจที่ฉันมีอย่างหลั่งล้นเมื่อครู่ก่อน..เหือดหายมลายไปสิ้น ที่แท้เขาก็คือ ไอ้ผู้ชายนาซีธรรมดาๆนี่เอง
            จะไปหวังอะไรกันหนักหนากับมนุษย์ในลัทธิบ้าๆนี่..ฉันหมดความอดทน ตะโกนกลับไปลั่นว่า
            "ก็ไม่ต้องมายุ่งซิ..นี่มันลูกของฉัน..ลูกของฉันคนเดียวได้ยินไหม??"
            วันต่อมา..จดหมายแสดงความเสียใจในมารยาททรามของเขาที่มีต่อฉันก็ส่งมาถึงมือ โดยที่เขาอาจลืมไปว่า ในช่วงของความเจ็บปวดเพราะสาเหตุจากการทำร้ายจิตใจกันนั้น
            มันอาจหายไปได้ โดยการไม่นำมาคิดหนึ่ง การให้อภัยหนึ่ง
            หากแต่ มันก็เปรียบได้กับการแตกร้าวทำให้เกิดการเปราะบางอย่างอันตราย เพราะ มันจะอยู่ที่นั่น ตรงนั้น ไม่ไปไหน
            รอเพียงการกระทบซ้ำ ..เพื่อที่จะแตกหักไปเป็นเสี่ยงๆ
            แต่ในสถานะอย่างฉันนั้น..ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการลืม เพราะเขาคือเกราะกำบังให้พ้นภัย อีกทั้งเขาคือ พ่อของลูกเพิ่มขึ้นมาอีกสถานะหนึ่ง
            และ เมื่อเขามางอนง้อ..ฉันก็ต้องทำใจให้ยอมรับสภาพ แต่ไม่วายที่จะย้ำเตือนว่า
            "รอหน่อยเถอะ อีกหน่อยคุณก็จะหลง เธอออกน่ารักอย่างนั้น"
            เขายิ้มนิดๆ ทำท่าเหมือนกับจะอ้อล้อกับทารก แต่อยู่ในขั้นตอนของการพยายาม แต่..ลึกๆแล้วคือความผิดหวังอย่างมากมายจนปกปิดด้วยสีหน้าไม่มิด

            ฉันรีบฟื้นไข้ให้เร็วกว่าปรกติ เพราะไหนจะต้องกลับมาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านหุงหา ดูแลสามีที่ไม่ยอมหยิบจับอะไรอีก และได้ตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า
            Angelika ซึ่งนำมาจากศิลปินสาว Angelika Kauffman ในยุคศตวรรษที่สิบแปด เพื่อนหญิงรุ่นเดียวของเกอเธ
            และเป็นศิลปินที่เวอร์เน่อร์ประทับใจในความสามารถ จากรูปภาพที่ขุนศึกเยอรมันมีชัยชนะเหนือกองทัพโรมัน ภาพนั้นได้ติดอยู่ที่ทำเนียบของรัฐบาล
            เพราะงานชิ้นนี้เธอเป็นที่ชื่นชอบของท่านผู้นำอีกด้วย
            (ในต่อๆมา..เอนเจลิกา ได้เปลี่ยนชื่อของตัวเองมาเป็น แอนเจล่า เพราะเธอชอบมากกว่า และในการเขียนต่อไปก็จะเขียนว่า แอนเจล่า)



Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:11:28 น.
Counter : 687 Pageviews.

0 comments
การโกรธกลับแบบอีคิวสูง 高情商的怒回去 toor36
(12 ก.ย. 2567 00:22:55 น.)
ป้อมยุทธนาวีทั้ง 25 : เมืองท่าสมุทรปราการ ผู้ชายในสายลมหนาว
(9 ก.ย. 2567 11:31:22 น.)
ศัตรูพืช สุขใจพริ้ว
(2 ก.ย. 2567 21:10:34 น.)
มี พ.ร.บ.แล้ว ทำไมต้องมีประกันภาคสมัครใจอีก สมาชิกหมายเลข 8242990
(26 ส.ค. 2567 12:48:58 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]