เชลย....ตอนสิบสอง
            หลังจากที่คนทั้งสองลับร่างๆไปนั้น  ฉันพอเข้าใจอะไรได้ขึ้นอย่างลางๆว่า นี่คือเหตุผลที่เปปปิพยายามบ่ายเบี่ยงเสมอ ในเรื่องที่จะออกไปจากออสเตรีย
            เขาจะไปได้อย่างไร ในเมื่อ แอนนาออกอาการกราดเกรี้ยว ทั้งพยายามขู่ด้วยการฆ่าตัวตายแบบที่เห็น
            โซ่พันธนาการที่รัดรึงเขาไว้นั้น มันช่างแข็งแรงที่ปลดออกได้ยากยิ่ง เพราะโซ่นั้น คือสิ่งที่แอนนาเรียกว่า "ความรัก"

            เราทั้งหมด.. นั่งนิ่งเงียบ ปล่อยให้เสียงของการล้างผลาญในคืน Kristallnacht  ดังกรีดก้องกังวานเข้าไปในหู และบาดเข้าไปถึงใจ..

            มิมีแต่งงานกับมิโล..ในเดือน ธันวาคม 1938 และได้หลบหนีออกไปยังอิสราเอลได้ในเดือน กุมภาพันธ์ 1939
            แม่ต้องขายเครื่องเรือนเกือบหมดทุกชิ้นเพื่อจะจ่ายค่าเดินทางแบบใต้โต๊ะ ซึ่งแม่บอกว่า..มีเงินเหลือพอที่จะยัดเยียดฉันให้ออกไปนอกประเทศได้อีกคน
            แต่..ฉันปฏิเสธความหวังดีของแม่ครั้งนี้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะ ฉันคงทนไม่ได้ที่จะต้องจากชายผู้เป็นที่รักไปสุดขอบฟ้า

            ข่าวร้ายๆของบ้านเมืองได้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ฮิตเล่อร์ได้เข้ามาเหยียบย่างในออสเตรีย..และในที่สุด
            ฮิตเล่อร์ก็ได้เข้าไปยึดครองเชคโกสโลวาเกียอย่างง่ายดาย ตามความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
            นาย แชมเบอร์เลน  ในเดือน มีนาคม 1939  
            แม่รับฟังข่าวนี้ด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยากในชีวิต และพึมพัมขึ้นมาว่า
            "ถ้าพวกโกยิม..ไม่มาปกป้องกันเองแล้ว..เราจะหวังว่าเขาจะมาช่วยเหลือเราได้อย่างไร?"
            { Goy หรือ Goyim คือ คำที่ชาวยิวเรียกชาวตะวันตกที่ไม่ใช่ยิว }
            ข่าวร้ายๆต่อมาคือ เหล่าญาติของพวกเราที่เชคโก..ต่างได้ถูกจับเข้าคุกและต้องยอมเสียทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่มี เพื่อแลกกับอิสรภาพ
            หลายคนต้องลี้ภัยเข้าไปในรัสเซีย..

            เราพยายามไปเยี่ยมตาที่เมืองสตอคเคโรบ่อยๆ เพราะ ตาเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ  บรรดาน้องและญาติของแม่ก็ไปผลัดกันไปดูแลอย่างไม่ให้ขาดตอน



            วันหนึ่ง..มีทหารมาทุบโครมๆที่หน้าประตูบ้าน เสียงนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่ว่า ท้องใส้มันเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
            ข่าวที่ทหารคนนั้นนำมาบอก..
            นั่นคือ รัฐบาลนาซีได้ยึดบ้านและร้านค้าจักรยานของตาไปให้แก่ชาวออสเตรียนคริสเตียนที่แสนดีไปแล้ว
            และ..นั่นหมายถึงว่า เราต้องไปรับตามาอยู่ด้วย  หมดสิ้นกันที..สตอคเคโรที่รัก...!!
            หมดสิ้นไปหมด บ้านที่เปรียบเสมือนชีวิตของตาและยายที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่าสี่สิบปี  ข้าวของทุกอย่างไม่ว่าถ้วยโถโอชาม   จนถึงเตียงไม้เก่าแก่ ผ้าลูกไม้ถักของยาย ถูกปล้นเอาไปอย่างต่อหน้าต่อตา

            ฉันดูแลตาอย่างใกล้ชิด และพยายามปรุงอาหารที่ชอบให้  ตาจะขอบคุณเบาๆ แต่คงแย้งด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่ว่า
            "อร่อยสู้ที่ยายทำไม่ได้นะ"
            "หนูทราบค่ะ..ตา"
            "เอ้อ..แล้วยายไปไหนล่ะ"
            "ยายเสียแล้วค่ะ"
            "อ้อ..จริงนะ..ลืมไป" ตาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ทอดสายตามองดูมือของตัวเองที่เต็มได้รอยแตกและหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาตลอดชีวิต และไม่วายถามว่า
            "เมื่อไหร่..จะกลับไปบ้านได้ซะที?"
            แต่..ตาก็ไม่ได้ทรมานอะไรมากมาย เพราะ วันรุ่งขึ้นตาก็ได้จากไปอย่างสงบ..
            บ้านที่ตาคร่ำครวญถึง และอยากจะกลับไปอย่างเหลือเกินนั้น..คือ เลขที่ 12 Donaustrasse, Stockerau ทุกวันนี้มันก็ยังถูก(คนอื่น)ครอบครองอยู่



            มาถึงคราวของเราบ้าง..คุณนายฟาลัตผู้ดูแลตึกได้มาหาเราพร้อมด้วยน้ำตาและจดหมายขับไล่ในมือ..บอกว่า
            "เข้าของตึกก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลนาซีสั่งมา"
            ฉันและแม่จึงต้องออกจากบ้านที่เราเคยอยู่..ไปยังสลัมยิวในเวียนนา ซึ่งที่นั่นคือ แฟลตของป้าของมิโล
            คุณนาย เมมอง ที่มีญาติหญิงวัยกลางคนอีกสองคน
            ที่รวมอยู่ด้วย เมื่อเราไปเพิ่มอีกสอง รวมเป็นห้า.. ห้องพักเล็กๆนั่น จึงต้องอยู่กันอย่างแออัด  ที่วันๆนึงต้องเดินชนกันไม่รู้ว่ากี่รอบ
            แต่ไม่ว่าครั้งไหน เราต่างมักขอโทษกันด้วยมารยาทอันดีทุกครั้ง

            ฉันและแม่ ช่วยกันหาเลี้ยงชีพด้วยการรับซ่อมแซมเสื้อผ้า  ไม่ใช่การตัดเย็บตามสั่งอย่างแต่ก่อน  
            ยิ่งในระยะนั้น การเย็บที่เราได้รับทำมากที่สุด..นั่นคือ การเอาเข้า..เพราะชาวยิวทุกคนรอบข้าง เริ่มผอมเอา ผอมเอา..
            แต่..เยาท์สกี้ แม่ญาติสาวของฉันกลับอ้วนเอา อ้วนเอา...เธอได้หาโอกาสคุยกับฉันในวันหนึ่งด้วยใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา
            "ฉันรู้ดีนะ ว่าไม่ควรจะมาท้องเอาในตอนนี้ แต่ออตโตเขากำลังจะออกไปรบที่แนวหน้า จะมีโอกาสกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้   เราเลย..เลย..รักกันถี่ไปหน่อย มันก็เลยท้องเนี่ย..จะทำอย่างไรดีล่ะ ช่วยกันคิดหน่อยซิ..
            บางทีพวกเขาคงไม่ทำอะไรกับเด็กหรอกนะ  
            เธอว่ามั๊ยย..อีดิธ  มันน่าจะมีทางยกเว้นนะ เพราะอย่างน้อยพ่อของเด็กก็ไม่ใช่ยิว แถมยังเป็นทหารอีกด้วย"
            "งั้นมั๊ง.."  ฉันตอบไปตามแกน ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้..นาซีหรือ..จะมีการยกเว้น
            "ฉันพยายามสมัครไปหางานทำเป็นแม่บ้านที่อังกฤษ..คิดว่าเขาอาจจะไม่รู้ว่าฉันท้อง แต่ที่ไหนได้ พวกเขารู้ทันทีที่เห็นฉันเลย" พูดจบ เยาท์สกี้ก็หันมาจ้องตาฉันเขม็ง
            พร้อมทั้งเน้นเสียงพูดต่อไปว่า
            "ฉันจะท้องไม่ได้นะ อีดิธ..ฉันต้องไปหาหมอให้เร็วที่สุด"


            สรุปว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากติดต่อไปที่เพื่อนเก่า โคห์น ที่เพิ่งจบแพทย์ศาสตร์ พร้อมทั้งใบประกอบโรคศิลป
            แต่เมื่อไปถึง..จึงทราบว่า พวกนาซีได้ยึดทุกอย่างไปจากเขาจนสิ้น แม้กระทั่งการห้ามทำการรักษา  โคห์นเล่าให้พวกเราฟังว่า
            เอลฟิ  เวสเตอร์ไมย์ ได้เข้าเป็นสมาชิกนาซี และได้อนุญาตให้ทำการรักษาวินิจฉัยโรคทั้งๆที่ยังไม่จบแพทย์ศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
            แต่ด้วยความเวทนา..โคห์นจึงตรวจครรภ์ของเยาท์สกี้อย่างตามมีตามเกิด  แต่ไม่สามารถกระทำ abortion ให้ได้
            เพราะเขาบอกว่า มันเสี่ยงต่อชีวิตจนเกินไป เพราะเครื่องไม้เครื่องมือไม่มี
            อีกทั้ง..เป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เขาบอกว่า
            "กลับไปบ้านเถอะ ไปรักษาตัวเองจนถึงกำหนดคลอด แล้วก็เลี้ยงเขาให้ดี"
            เยาท์สกี้จึงกลับไปบ้าน ไปช่วยออตโต..เก็บข้าวของลงกระเป๋าเพื่อจะออกไปรบที่แนวหน้าโปแลนด์
            ก่อนลาจาก..เขาจูบเธอ พร้อมกับสัญญาว่าจะกลับมา


            >>>ขออธิบายเพิ่มนิดนึงค่ะ..ในยุคสมัยนั้น ยิวในยุโรปมีหลายประเภท ที่มาแตกแขนงแยกออกไปเพราะการแต่งงานผสมนั้นก็มีมาก
            บางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ต้นตระกูลเป็นยิว เพราะไม่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมา..พวกนี้เขาเรียกว่า พวก Secular  หมายถึงพวก "outside of religion"
            แต่มักจะทราบกันด้วยนามสกุล ที่มักมีต่อด้วย baum , thal, meyer  นี่ละค่ะ
            ในยุคที่มีการต่อต้านยิว..หลายๆคนจึงต้องเปลี่ยนนามสกุลถึงกับมีการซื้อขายเอกสารอันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หรือ มีการให้พวกไฮโซตกยาก(ที่มี von..ทั้งหลาย)
            ยอมรับเป็นลูกบุญธรรมก็มี (ตัวอย่างคือ รมต.ต่างประเทศของฮิตเล่อร์ นาย Joachim von Ribbentrop ที่ไปขอใช้นามสกุลของคนอื่น ทั้งๆที่ของตัวเองได้ทำลายหลักฐาน
            ไปหมดจนเป็นที่น่าสงสัย)  ช่วงข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุดอย่างนั้น เงินซื้อได้ทุกอย่างเชียวค่ะ



            ฉันและแม่ถึงคราวถังแตกอย่างรวดเร็ว เพราะ ค่าจ้างในการซ่อมเสื้อผ้านั้นมันช่างน้อยนิด
            เหลือแค่ชิ้นละ สตางค์แดงเดียว(หนึ่ง groschen ออสเตรีย หรือเทียบเท่ากับ หนึ่ง pfennigs เยอรมัน)
            จนเราทั้งสองต้องใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
            แม่ปวดฟันอย่างสุดแสนทรมาน จะไปหาหมอยิวก็ไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกห้ามการรักษา
            และด้วยความช่วยเหลือของเปปปิ แม่จึงได้มีโอกาสไปหาหมออารยัน
            ซึ่ง หมอต้องการค่าถอนฟันเป็นทอง  แม่จึงต้องถอดสร้อยให้ไปเส้นหนึ่ง หมอส่ายหน้า..บอกว่าไม่พอ  แม่ก็ถอดให้ไปอีกเส้นหนึ่ง..หมอก็ยังส่ายหน้าอีก..
            ในที่สุด แม่ต้องถอดไปให้อีกเส้น รวมเป็นสาม...สำหรับฟันผุๆเพียงซี่เดียว

            ฉันพยายามไปตามเก็บหนี้เก่าๆซึ่งเป็นค่าผ่อนจักรยานและจักรเย็บผ้า..ที่ลูกค้าซื้อเงินผ่อนไปจากตา..
            แต่..ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ และปิดประตูใส่หน้า เพราะ ในตอนนั้นไม่มีใครโง่มาจ่ายเงินคืนให้"ยิว" เพราะ รัฐบาลได้สนับสนุนการ"ชักดาบ"ครั้งนี้อย่างทั่วถึง
            น้ามาเรียน..น้องสาวของแม่คนหนึ่งได้แต่งงานไปกับ
            นายอดอล์ฟ โรบิเชค ที่ทำงานให้กับบริษัทดานูป อันเป็นบริษัทเดินเรือส่งสินค้า ที่ Belgrade
            ซึ่งน้ามาเรียนได้ฝากพัศดุอันเป็นกล่องที่เต็มไปด้วยอาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง มาให้เราได้อาศัยใช้ยังชีพแบ่งกันกินทั้งบ้าน  รอดตายไปได้อย่างลำเค็ญ

            ถ้าคุณคิดว่า..พวกออสเตรียนทั้งหลายที่ต่างอ้างว่า ไม่เคยรู้เรื่องเลยในการพวกยิวได้ถูกปล้นทรัพย์สิน..และถูกบีบคั้นอย่างแสนสาหัสขนาดนี้..
            ฉันจะบอกให้ฟังว่า..ทุกอย่างคือการมดเท็จทั้งสิ้น พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจทุกอย่าง เพราะ ครั้งหนึ่ง ฉันถูกตำรวจจับในการเดินข้ามถนนผิดระเบียบ และจะต้องเสียค่าปรับที่เป็นจำนวนเงินไม่น้อย
            แต่พอตำรวจทราบว่า ฉันเป็นยิว..เขาก็ปล่อยตัวฉันไปอย่างง่ายๆ เพราะ พวกเขารู้ดีว่า ขังไว้ในคุกก็ป่วยการ  เปลืองขนมปังปล่าวๆปลี้ๆ เพราะ พวกยิวต่างกรอบเป็นข้าวเกรียบทั้งนั้น
            ฉะนั้น..พวกคุณเห็นหรือยังว่า..ไอ้ที่มาอ้างกันปาวๆว่า ไม่เค๊ย  ไม่เคยรู้เรื่องเลย..ว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์(ชาวยิว)นั้น..ไม่เป็นความจริงแน่นอน !!




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:34:57 น.
Counter : 1278 Pageviews.

0 comments
แผนในใจ 心计 toor36
(30 ส.ค. 2567 00:02:35 น.)
สรุปวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้ เรื่องการจำแนกตามทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม นายแว่นขยันเที่ยว
(28 ส.ค. 2567 00:09:56 น.)
เทียนดำ unitan
(26 ส.ค. 2567 08:25:34 น.)
แมงลัก unitan
(23 ส.ค. 2567 06:47:35 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]