เชลย....ตอนยี่สิบเอ็ด

            เราได้ไปเดินเล่นกันที่ อิงลิช การ์เดน ที่มีสนามหญ้าสีเขียวขจี ซึ่งเขาลงเอนตัวนอนเหยียดยาว เอนศรีษะขึ้นมาหนุนที่ตักของฉันด้วยอิริยาบทที่สบายๆ เขาเล่าว่า
            "ผมมีพี่น้องชายอีกสามคน โรเบิร์ต กับ เกิร์ท ออกรบอยู่ที่แนวหน้า อีกคนหนึ่ง ทำงานนั่งโต๊ะสบายๆให้กับพรรค
            เกิร์ทมีลูกสาวเล็กๆคนหนึ่ง ชื่อว่า บาร์เบิล
            คนนี้แหละเป็นหลานคนโปรดของผมเลย"
            เราจึงซื้อตุ๊กตาที่มีผมเปียไปฝากให้กับบาร์เบิล
            และแวะดื่มเบียร์ เวอร์เน่อร์ ซดมันอั้กๆ แต่ฉันจิบมันอย่างน้อยๆ ซึ่งเขากลับเห็นขำในท่าทางของฉัน เขาว่า..
            ผิดแปลกไปจากผู้หญิงเยอรมันทั่วไป เพราะทุกคนยกซดกันทั้งนั้น
            ขั้นตอนนี้..ฉันต้องจำไปเป็นแบบฝึกหัดใหม่ ไปหัดเลียนแบบให้เหมือน
            "ตอนที่ผมเป็นเด็กๆ พ่อทิ้งพวกเราไป..แม่ผมก็ชอบดื่มเบียร์นะ มากกว่าคุณเยอะแยะ..พวกเราจนน่ะ ซนกันอย่างวายร้ายเชียว บ้านช่องสกปรกรกรุงรัง
            เพราะแม่ไม่อยากทำอะไร ไม่มีอารมณ์ ป้าพอลล่า พี่สาวของแม่มักจะมาหามาดูแลพวกเรา วันหนึ่ง ป้ามาเจอแม่ในสภาพนอนแผ่หลา เมาแอ๋ มองไปที่ใต้โต๊ะ
            เจอกับขวดเบียร์เกลื่อน ป้าเลยพาผมกับเกิร์ทน้องชายไปอยู่ด้วยที่เบอร์ลิน.." เขาเล่าต่อว่า
            "ลุงของผม สามีของป้าน่ะ เขาเป็นยิว ชื่อว่า ไซมอน-โคลานิ เป็นศาสตราจารย์สอนภาษาสันสกฤต เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง คุณรู้ไหมว่า เพราะลุงคนนี้นี่แหละ
            ที่มองเห็นว่าผมมีแววเป็นศิลปิน จึงส่งผมไปเรียนทางด้านนี้"
            (อ๋อ..เขาเองก็มีญาติโยมเป็นยิวเหมือนกัน..งั้น เขาคงไม่เห็นพวกเราเป็นอมนุษย์เหมือนอย่างคนอื่นๆกระมัง)
            เวอร์เน่อร์เล่าต่อว่า..
            "แค่มีพื้นฐานการศึกษามาอย่างดี ก็หาใว่าจะหางานทำได้ง่ายๆในยุคสงครามที่สร้างความฝืดเคืองไปทั่วนี่ ผมน่ะ..กลายเป็นศิลปินใส้แห้งไปเลยนะ
            อับจนถึงขนาดต้องไปหาที่นอนในป่าตอนช่วงฤดูร้อน ไม่ใช่ผมคนเดียว ยังมีกลุ่มพวกคนหนุ่มๆตกงานอีกหลายคน ต่อมา..นาซีได้เสนองานให้พวกเรา ให้ที่อยู่ ให้เครื่องแบบ มันก็ทำให้ความเป็นอยู่สบายขึ้น ผมกลับไปเยี่ยมป้าพอลล่า และ ลุง แต่ไปถึง..ลุงก็เสียชีวิต ผมก็เลยได้ไปงานศพแทน"
            ฉันรู้สึกเศร้าใจจนต้องเสียน้ำตาให้ เพราะมองเห็นภาพของงานศพของพ่อ ที่มีการสวดภาษาฮีบรู ท่ามกลางกลุ่มวงศาคณาญาติยิว
            แต่งานของลุงเขาคงจะแปลกกว่า..ที่มีหลานชายโผล่ไปในเครื่องแบบนาซี..
            "งั้นหมายความว่า เพราะคุณได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค จึงไม่ต้องออกไปรบที่แนวหน้าอย่างั้นหรือคะ?"
            "ปล่าว..เพราะว่าผมตาบอดข้างหนึ่งต่างหาก เนื่องมาจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนตร์ที่ทำให้กระโหลกร้าว ประสาทจักษุเสียไป ลองเข้ามาดูใกล้ๆซิ คุณจะเห็น"
            ฉันจึงเอนตัวชะโงกข้ามโต๊ะไปดูจนใกล้..
            เขาก็ชะโงกหน้ามาให้ดูใกล้ๆ
            และฉวยเอาโอกาสนั้น จูบฉันเข้าเบาๆ
            ซึ่ง..มันทำให้ฉันตกตะลึงไปชั่วขณะ..ทำอะไรไม่ถูก อายจนหน้าแดง
            เวอร์เน่อร์หัวเราะอย่างขันๆที่เห็นฉันอายจนม้วนต้วน เขาสัพยอกเบาๆว่า..
            "ให้ตายเถอะ..คุณนี่น่ารักจริงๆ"


            เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทุกบ่าย..โดยไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเพื่อรอฟังข่าวสงครามสตาลินกราด ที่ฮิตเล่อร์ได้ทำการเข้าไปบุกรัสเซียตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1941
            และบุกที่ไหน ชนะที่นั่น ไล่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
            จนต่อมา รัสเซียเริ่มทำการต่อต้านอย่างแข็งขันผิดสังเกต ฤดูหนาวที่หฤโหดก็กำลังย่างกรายเข้าสู่
            ผู้คนต่างเฝ้ารอฟังข่าวอย่างท่าทางวิตก ที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก..
            ขนาดจดหมายจากคุณนายไนเดอร์รัลล์ที่ส่งมาหาที่บ้าน
            ยังเล่าว่าเธอไปโบสถ์เพื่อสวดให้กับทัพเยอรมันแทบทุกวัน ทั้งๆที่เธอเป็นคนที่ต่อต้านเรื่องวัดเรื่องวายังกับอะไรดี
            แต่เวอร์เน่อร์ กลับไม่มีทีท่าที่เป็นกังวล เขาบอกว่า
            "ท่านแม่ทัพพอลลัสออกเก่งกาจ เดี๋ยวก็ทัพเข้าเมืองได้ ทีนี้พวกทหารจะได้นอนอุ่นสบายในตัวเมืองอย่างไม่น่าเป็นกังวลตลอดทั้งฤดู"

            เมื่อยามที่เขาจะมาส่งฉันที่สถานีรถไฟเที่ยวสุดท้ายในตอนเย็น ถึงกลางทาง..เขาได้รู้ตัวว่าลืมกล้องถ่ายรูปไว้ที่ร้านกาแฟที่เพิ่งจากมา ซึ่งในยามนั้น มันคือของมีค่าที่หายากในยามสงคราม
            และถ้าเราทั้งสองจะต้องกลับไป..นั่นหมายถึงว่า ฉันจะต้องพลาดรถเที่ยวนี้ และจะต้องอยู่ค้างคืนเพื่อที่จะรอรถเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้น ซึ่ง..เป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ไม่คิดที่จะทำ
            จึงบอกเขาไปว่า..
            "งั้นคุณก็กลับไปหากล้อง ส่วนฉันกลับไปเอง ไม่ต้องไปส่งหรอก"
            "ไม่ได้..มาด้วยกัน ผมก็ต้องส่งคุณให้ถึงที่"
            "เรื่องกล้องสำคัญกว่านะ.." แต่ท่าทางและแววตาของเขาเอาจริง และเอาเรื่องพอสมควร จนฉันไม่กล้าสบตา
            "อย่ามาเถียงหน่อยเลยน่า กรีท อย่ามาบอกให้ผมว่าต้องทำโน่นทำนี่.."
            ฉันก็เลยได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่า..เจ้าอารมณ์และเกรี้ยวกราดไม่เบา
            หลังจากที่แยกจากกันตอนนั้น เขาก็กลับไปที่แบรนเดนเบอร์ค ที่มีจดหมายส่งมาเป็นระยะ อีกทั้งของกำนัลเล็กน้อยๆ ครั้งเมื่อถึงวันเกิดของเขาในเดือนกันยายน
            ฉันคิดที่จะส่งถุงมือให้เป็นของขวัญ หากแต่ คุณนายเคิร์ท รีบบอกว่า
            "ไม่ด๊าย..ไม่ได้ ตามธรรมเนียมแล้ว ต้องส่งเค้กไปให้"
            "ก็ฉันทำไม่เป็นนี่คะ"
            "ก็ฉันทำเป็นนี่นา"
            และ..ในที่สุด เวอร์เน่อร์ เวตเท่อร์ แห่ง..แบรนเดนเบอร์คได้รับเค้กสุดอร่อยจาก กรีท เดนเน่อร์ สาวน้อยจากไดเซ่นฮอเฟ่น ซึ่งเป็นความประทับใจที่เขาไม่มีวันลืม..!!


            การเข้าฝึกหัดงานในสภากาชาดของฉัน เริ่มต้นในเดือน ตุลาคม ที่ต้องใช้เวลาฝึกถึงสามอาทิตย์ ในเมือง กราเฟลฟิงค์ สถานที่คือเรือนไม้ที่เป็นแนวยาว ที่โอบล้อมไปด้วยป่าไม้ ซึ่งดูโปร่งโล่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง..

            ฉันพยายามทำตัวไม่สุงสิงกับใคร และทักทายเท่าในที่จำเป็นเช่น อรุณสวัสดิ์ หรือ สนธยาสวัสดิ์
            ในช่วงเช้า นางพยาบาลจะมาสอนเรื่องเกี่ยวกับส่วนต่างๆของร่างกาย การทำแผล การเตรียมเครื่องมือปฐมพยาบาล
            ในยามบ่าย ผู้หญิงฝ่ายตัวแทนของพรรคนาซี จะเข้ามาทำการสอนและทำการโปรปะกันดาในการเป็นอาสากาชาดที่ต้องช่วยย้อมใจทหารที่เข้ามารับการรักษาว่า
            "ไม่ว่าไอ้พวกขี้ขลาดตาขาวอังกฤษจะมาลอบโจมตีทิ้งระเบิดให้เราเมื่อเดือนพฤษภาที่ผ่านมา..แต่ พระวิหารโคโลญจ์ของเราก็ยังตั้งเด่นเป็นสง่า และพวกเธอต้องบอกให้ใครต่อใครทราบว่า
            จะไม่มีมีวันที่ข้าศึกสามารถล่วงล้ำมาบอมบ์ได้ใน Rhineland นี่..เข้าใจไหม?"
            "เข้าใจค่ะ.."
            (ต่อมา..เรื่องจริงๆก็คือ Rhineland นี่แหละ ถูกระเบิดจนป่นปี้) และ เธอต่อด้วยว่า
            "พวกเธอที่อยู่ในที่นี้..ได้รับสิทธิให้ไปจับจองที่ดินและอาคารที่พักอาศัยในประเทศโปแลนด์ที่เราได้มาเป็นเมืองขึ้น อีกทั้งข้าทาสชาวโปลล์ที่ทุกคนได้รู้แก่ใจดีแล้วว่า
            พวกเราคือเจ้านายที่จะจิกหัวใช้อย่างไรก็ได้"
            ฉันได้ยินก็ไม่อยากจะเชื่อว่า มีชาวอาสากาชาดคนไหนคิดเรื่องย้ายไปโปแลนด์อย่างจริงๆจังๆ
            แต่ที่ไหนได้..มีชาวเยอรมันนับพันๆคนที่แห่ไปจริงๆ ไปตักตวงเอาอย่างสนุกสนานและมันมือ
            ต่อมา เมื่อหลังจากเยอรมันแพ้สงคราม คนพวกนี้ก็แห่กันกลับมา และ ไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนเหลือในบ้านเกิด อีกทั้งไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากเพื่อนร่วมชาติอีกต่างหาก

            หญิงโปรปะกันดานาซีต่อด้วยอีกว่า..
            "จำเอาไว้นะ..ว่าพวกเธอชาวอาสากาชาดนั้น คือกลุ่มที่ท่านผู้นำได้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ท่านรักพวกเธอมาก อย่าทำให้ท่านผิดหวัง..จงทำหน้าที่ให้เต็มที่ด้วยความสามารถและสติปัญญา"
            และสุดท้ายเธอได้ให้เราเข้าพิธีสาบานตน พร้อมกับ
            การสลุต "ไฮล์ ฮิตเล่อร์"
            เพียงแต่ในใจของฉันนั้น กลับท่องแต่ว่า..
            "ขอให้ฮิตเล่อร์มันจงพินาศ ..ฉ..หาย..ขอให้อเมริกา อังกฤษเข้ามาบอมบ์มันให้เป็นจุล ขอให้ทัพเยอรมันที่สตาลินกราดมันหนาวจนตาย ขออย่าให้ทุกคนลืมว่าฉันยังมีชีวิตอยู่.."


            ฤดูหนาวกำลังย่างกรายเข้ามา..และ ก่อนที่จะมีการหมายส่งตัวฉันไปทำงานที่ไหนนั้น ฉันจึงคิดอยากที่จะไปเยี่ยมเวียนนาบ้านเกิดก่อนที่จะหนาวไปกว่านี้
            ลึกๆแล้ว..คือ ฉันคิดถึงบ้านอย่างเหลือเกิน อยากจะคุยกับใครสักคนหนึ่งเพื่อที่จะได้เบาะแสของครอบครัวที่กระจัดกระจาย
            จึงบอกกับคุณนายเคิร์ลว่า..อยากจะกลับไปเวียนนาเพื่อที่จะไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งเธอได้เข้าใจเป็นอย่างดี
            การเดินทางในครั้งนี้ แสนสดวกสบาย เพราะฉันมีบัตรประจำตัวของอาสากาชาด ที่มีภาพถ่ายติดให้เห็นเป็นสำคัญ
            แต่เมื่อถึง..การต้อนรับที่เวียนนานั้น ค่อนข้างผิดหวัง เพราะ เป็ปปิ มีทีท่าเก้อๆเขินๆไม่สนิทสนมเช่นเคย
            เยาท์สกี้ก็น่าสงสาร ที่ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียน
            บัตรปันส่วนที่ได้จากสมาคมยิวก็แทบไม่ได้อีกต่อไป
            ออตโตน้อยลูกชายก็ไม่ได้รับการรับรองว่าเป็น มิชลิงค์
            ดังนั้น จึงถือว่าเป็นลูกยิว..ไม่มีสิทธิได้รับนม
            ไม่มีสิทธิไปเรียนหนังสือ
            ฉันพยายามเล่าถึงเรื่องของตัวเอง ในการเป็นอาสากาชาด เรื่องคุณนายเคิร์ล เรื่องสภาพความเป็นไปใน
            มิวนิค เธอไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น บอกฉันว่า
            "กลับไปซะไป..ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น"
            ความตั้งใจที่จะอยู่กับเยาท์สกี้ญาติสาวถึงสามวันนั้น ต้องลดเหลือแค่สองวัน และเดินทางกลับไปยังไดเซ่นฮอเฟ่น ด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว
            คุณนายเคิร์ลรีบนำโทรเลขจากเวอร์เน่อร์มาให้ ใจความว่า จะมาถึงมิวนิคเช้าพรุ่งนี้ และอยากพบ..
            ซึ่งเป็นความบังเอิญอย่างเหลือแสน เพราะเพียงถ้าฉันต้องอยู่ในเวียนนาสามวันตามที่ตั้งใจไว้ ก็คงคลาดกัน..



Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:01:20 น.
Counter : 700 Pageviews.

0 comments
แคดเมียม Cadmium ความอันตรายของมัน สมาชิกหมายเลข 4149951
(8 เม.ย. 2567 07:11:22 น.)
หนังสือและอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนประถมที่ญี่ปุ่น SN_monchan
(7 เม.ย. 2567 05:39:08 น.)
อย่ามาบ้ง!นะ peaceplay
(5 เม.ย. 2567 15:53:18 น.)
เรื่อง ที่เตือนมาจากทนายความ ควรหลีกหนี 20 เรื่องเหล่านี้เพราะ..... newyorknurse
(28 มี.ค. 2567 02:09:48 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]