เชลย....ตอนยี่สิบหก
            เจ้าของบ้านที่ฉันได้ไปขอยืมอาศัยอยู่นั้นได้กลับเข้ามา..และดีใจหนักหนาที่ของทุกอย่างอยู่ครบ พวกเขาจึงเสนอให้ฉันได้อาศัยอยู่ต่อไป ซึ่งในยามนั้น สิ่งเดียวที่ฉันและลูกกำลังผจญอย่างหนัก
            นั่นก็คือ ความหิวโหย..และในทุกวันเราต้องไปยืนเข้าคิวรอรับบริจาคอาหารที่เหลวเละแทบไม่มีเนื้อมีหนัง ฉันผ่ายผอมไปมากจนบางครั้งอ่อนแรงจนแทบอุ้มลูกไม่ไหว
            เชื่อไหมล่ะว่า..หมาแมวในเมืองค่อยๆหายไปจนไม่มีเหลือให้เห็น..
            นับเดือนๆที่บ้านเมืองต้องผจญกับความอดอยากแร้นแค้น ทุกคนกลายเป็นขโมย..ทุกคนโหยหิว..ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา เสาไฟฟ้าไม่มีหลอดไฟ เพราะถูกขโมยเกลี้ยง..
            อาหารที่แจกก็ต้องเอามีดส้อมไปเอง..ไปรษณีย์ส่งด้วยรถม้า เปปปิส่ง ส.ค.ส. มาให้เมื่อสิ้นปี 1945
            มาถึงฉันเมื่อกรกฏาคม 1946
            บุหรี่กลายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนที่มีค่า ตอนนั้นเป็นเรื่องขำขันของอเมริกันที่ไม่ขำ ที่ว่า จะนอนกับผู้หญิงเยอรมันคนไหนก็ได้ด้วยบุหรี่ไม่กี่ตัว..
            เนื่องจากกองทัพรัสเซียมีกฏเข้มไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับชาวเยอรมัน ดังนั้น การซื้อขายแลกเปลี่ยนจึงต้องทำกับอังกฤษ และ อเมริกัน..

            ตั้งแต่หลังจากที่รัสเซียเข้าเมืองมา..ทุกคนต้องใส่ปลอกแขนขาว(อันว่ายอมแพ้)นั้น บนปลอกแขนขาวนั้น ยังต้องมีสังกัดเชื้อชาติไว้ด้วยว่า เป็นชาติไหน เพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลือในเรื่องอาหารการกิน
            อย่าง  
            ออสเตรียน ก็ต้องมี สีแดง น้ำเงิน ขาว อันเป็นสีธงชาติกำหนดไว้ ซึ่ง ฉันได้ใช้อันนั้น ทหารรัสเซียได้ให้อาหาร และเครื่องใช้กับฉันบ่อยๆ
            ประตูคุกได้ถูกเปิดออก นักโทษนานาชนิดได้หลั่งไหลออกมาเดินตามท้องถนน นักโทษคนหนึ่งสังเกตเห็นที่ปลอกแขนของฉัน จึงเข้ามาทักทาย เพราะเขาคือ
            ออสเตรียนเช่นกัน ติดคุกด้วยข้อหา
            พยายามล้มล้างกองทัพนาซี และหลังจากที่คุยกันไม่นาน เขาก็ขอที่อยู่ของฉันไว้ ไม่กี่วันต่อมา มีรถบรรทุกมาจอดที่หน้าบ้าน ที่เต็มไปด้วยผักสด มันฝรั่ง ผลไม้ มากองให้กับฉัน จากเขาคนนั้น
            ทั้งๆที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม..ฉันแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านถ้วนหน้า ผู้เฒ่าผู้แก่ต่างว่า..เหมือนฟ้าประทานจริงๆ...

            กว่าพวกเราจะได้รับบัตรปันส่วนอาหารก็ใช้เวลาถึงหกเดือน ซึ่งหมายถึงว่า เด็กจะได้หางน้ำนมวันละหนึ่งถ้วย ส่วนที่อยู่กันมาได้นั้น เพราะเงินที่ฉันเอาออกมาแอบซ่อนไว้ใต้เบาะในรถเข็นของลูก
            ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็แทบหมดเกลี้ยง..ฉันควรต้องออกหางานทำ..แต่..การที่จะหางานทำนั้น ฉันจะต้องมีบัตรประจำตัวที่แท้จริง ที่ฉันยังไม่กล้าเปิดเผยกับใครว่า...เป็นยิว
            เพราะช่วงเวลาสงครามที่ผ่านมา..ไม่มีใครเลยที่กล้าเอ่ยปากถึงเรื่อง"ยิว" ไม่แม้แต่คำเดียว
            แต่คราวนี้ ชาวเยอรมันต่างๆเริ่มพูดถึงเรื่องที่ชาวยิวจะกลับมาแก้แค้นเอาคืน..
            ทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมือง ผู้คนมักทำหน้าตาตื่นๆ ถามไถ่กันว่า.."ใช่พวกยิวหรือเปล่า?"
            เพราะต่างหวาดเกรงว่า จะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม แบบเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเข้าแลก
            ประเภท ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
            มันน่าหัวเราะนัก..เพราะพวกเขาคงยังไม่รู้กระมังว่า..พวกยิวที่ว่านั้นได้ถูกฆ่าตายไปอย่างทรมานจนเกือบหมดแล้ว..ส่วนที่เหลือก็แทบจะเอาตัวไม่รอด..
            จะกลับมาแก้แค้นอะไรกับใครที่ไหนได้..
            เพราะด้วยบรรยากาศแบบนี้ ฉันจึงไม่กล้าประกาศกับใครว่า เป็นยิว..ด้วยเกรงว่าจะไม่เป็นการปลอดภัย

            สองเดือนผ่านไป หลังจากที่รัสเซียได้รับชัยชนะศึก ฉันได้กรีดปกหนังสือที่ซ่อนหลักฐานประจำตัวออกมา และนำไปยังสำนักงานทนายความ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลขอกลับไปใช้ชื่อเดิม
            จาก Grete Vetter nee Denner มาเป็น Edith Vetter nee Hahn
            จากนั้น ฉันได้ไปติดต่อที่สถานีวิทยุ ประกาศหาคนหาย โดยถามหาชื่อแม่...นาง คลอทธิลด์ ฮาห์น ช่างเสื้อจากเวียนนา ที่ถูกส่งไปยังค่ายในโปแลนด์ ตั้งแต่ ปี1942 ถ้าใครพบหรือรู้จัก
            กรุณาส่งข่าว..ที่ลูกสาว
            พวกคอมมิวนิสต์ที่กลับมาจากค่าย..ได้กลับมาเล่าเรื่องที่สอดคล้องกับที่ ธอมัส มานน์ได้เกริ่นไว้..คนหนึ่งได้เล่าว่า เขาได้ถูกส่งตัวไปทำหน้าที่เราะเสื้อผ้าของชาวยิวเพื่อหาของมีค่าที่ซ่อนเอาไว้
            แต่..ฉันยังไม่อยากปักใจเชื่อว่า แม่จะตายจาก..การประกาศหายังดำเนินต่อไป..


            ฉันกลับไปที่สำนักงานทะเบียน และพบกับเจ้าหน้าที่คนเดิมที่ทำการเขียนใบสมรสให้..เขาจำฉันได้ และทักว่า
            "อ้อ..คุณนาย..เรายังไม่ได้หลักฐานจากทางมารดาของคุณเลย..ตอนนี้สงครามเลิกแล้ว เพื่อนของคุณคงเดินทางไปมาและเอาเอกสารมาได้นะ .."
            "คงไม่จำเป็นแล้วมังคะ เพราะยังไงมันก็ต้องเป็นหลักฐานปลอมอยู่ดี"
            "อะไรนะ??"
            "นี่ค่ะ หลักฐานที่แท้จริงของฉัน ตามคำสั่งศาล"
            ว่าแล้ว..ฉันได้ยื่นบัตรประจำตัวของจริงให้ดูเป็นขวัญตา ตานั่นมองบัตรยิวด้วยความมึนงง คงช๊อคไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพึมพำว่า
            "คุณโกหก.."
            "ใช่ค่ะ"
            "คุณปลอมแปลงหลักฐาน"
            "ก็ใช่อีกน่ะค่ะ"
            "นี่มันโทษอาญาเชียวนะ"
            ฉันยื่นหน้าไปจนแทบชิด..จนแทบจะหายใจรด ก่อนที่รีดเสียงตอบกลับไปว่า
            "งั้นคุณก็ลองไปแจ้งโทษซิคะ..เลือกให้ดีแล้วกันว่าจะขี่ม้าสามศอกไปฟ้องที่ไหน.."
            และนี่คือครั้งแรก ที่ฉันได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่หลบซ่อนมาหลายปี คุณๆอาจสงสัยว่า..ฉันรู้สึกอย่างไร จะตอบให้ว่า..ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย..
            เพราะคุณต้องเข้าใจว่า..จากการที่อุดอู้อยู่ในสภาพยู-โบ๊ทมานานหลายปีนั้น มันก็เท่ากับว่ากบดานอยู่ใต้มหาสมุทรที่ลึกล้ำ กว่าจะลอยตัวให้มารู้สึกเดินอยู่บนพื้นดินอย่างเต็มสองฝ่าเท้านั้น
            มันต้องใช้เวลา..เฉกเช่นเดียวกับชาวยิวที่เหลือคนอื่นๆ หรือ อาจจะต้องใช้เวลาตลอดไป...นานจนชั่วชีวิต..

            ฉันได้ไปแสดงตัวกับผู้ว่าการคนใหม่ ผู้ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์และใช้เวลาอยู่ในค่ายกักกันมานานหลายปี เขาถามฉันว่า
            "คุณมาจากค่ายนรกค่ายไหนกัน?"
            "ดิฉันหลบหนี ซ่อนตัว ไม่ได้เข้าค่ายค่ะ"
            ผู้ว่าการนั่น ได้ตรวจสอบวุฒิบัตรการศึกษาของฉันอย่างละเอียด และ ลงความเห็นว่า ฉันมีความรู้พอต่อการทำงานในตำแหน่งทนายความผู้ช่วยผู้พิพากษาศาล
            ดังนั้น เขาจึงส่งฉันไปรับมอบงานที่ศาลแห่งเมืองบรันเดนเบอร์คอย่างทันทีทันใด..
            ชีวิตใหม่ของฉันได้เริ่มต้นขึ้น อย่างมหัศจรรย์เกินความคาดคิด


            มาถึงตอนนี้ เหล่าบรรดานายทหารนาซีสารพัดยศต่างพากันหลบลี้หนีหน้า ถอนเสาเรือนหนีกันไปสิ้น ที่เหลืออยู่ในเมืองคือพวกทหารนาซีตัวเล็กตัวน้อยที่พยายามบืดเบือนประวัติของตัวเองกันอย่างสุดฤทธิ์
            ศาลของเมืองยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ได้ถูกระเบิดเสียหาย..กองทัพรัสเซียจึงสามารถค้นหาหลักฐานได้ว่าใครเป็นใคร ยิ่งพวกที่ชอบเขียนจดหมายที่มี Heil Hitler ! หรือ
            Gott Strafe England ! {May God destroy England} ทิ้งไว้แล้วละก้อ..รอดยาก

            วันที่ 1 กันยายน 1945 คือวันที่ ฉันได้ย่างก้าวไปทำงานเป็นวันแรก..บนชั้นสองของศาล นาย อูลริค ได้ส่งแฟ้มคดีเก่าๆมาให้ศึกษาเป็นแบบอย่างของระบบขั้นต้น
            พวกอัยการ และผู้พิพากษาเก่าๆที่เคยโดนไล่ออก เพราะต่อต้านระบบนาซีนั้น ต่างกลับเข้ามาทำงานกันใหม่ ดูเหมือนว่า พวกเขาจะมีความสุขต่อการทำงานในครั้งนี้มาก เพราะแค่เริ่มต้นการซักถามจำเลยว่า..
            "ตอบมาหน่อยซิ..ว่า..คุณเป็นสมาชิกพรรคนาซีหรือเปล่า?"
            แล้วก็คอยนั่งดู หน้าตาจำเลยว่า...จะเปลี่ยนไปเป็นสีอะไร...
            ในตำแหน่งทนายความของฉันนั้น เปรียบเหมือนกับเป็นเสมียนที่กรองรับเรื่องให้กับผู้ที่มาติดต่อขอใช้บริการศาล บางทีก็ต้องทำหน้าที่หนึ่งในกลุ่มของสามของคณะลูกขุนในการตัดสินความ
            (ความจริงต้องใช้ถึงสิบสอง แต่ในยามนั้น จะหาคนสิบสองคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนาซีนั้น เป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เลยมาลงตัวแค่สาม)
            ระบบศาลได้เป็นไปในความดูแลของรัสเซีย ซึ่งความจริงพวกเขาต้องการให้ฉันไปทำงานทางด้านดำเนินคดีกับนักโทษการเมือง แต่...ฉันขอเลือกที่จะทำงานทางด้านศาลพลเรือนมากกว่า..
            จุดมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของฉันนั้น ได้ถูกจุดประกายมาจากคดีดังของนาย Halsmann ที่เลื่องลือมาตั้งแต่สมัยที่ฉันยังคบหาอยู่กับเปปปิครั้งกระโน้น
            (กลับไปอ่านตอนเก่าๆดูนะคะ.... วิวันดา)

            ต่อมา.. ฉันได้เลื่อนขึ้นทำหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ได้สวมเสื้อครุยอย่างสมบูรณ์ ที่เมื่อย่างก้าวขึ้นบัลลังก์ ทุกคนจะต้องยืนขึ้น โค้งคำนับ และกล่าวว่า " Des Gericht"
            พวกเขาจะนั่งลงได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันได้ครองบัลลังก์แล้ว..
            นี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันได้สามารถทำงานให้เต็มที่ สมกับความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา มันเป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่า..มันจะเป็นความสุขที่แลกมาด้วยเลือดและน้ำตาของความทนทุกข์ทรมานก็ตามที

            หลังจากที่ชีวิตใหม่ได้ตั้งต้นขึ้นไม่นาน ฉันก็เริ่มเจ็บป่วย ด้วยโรคผิวหนังมาเป็นอันดับแรก ที่เกิดจากการขาดสารอาหารมานานหลายปี ต่อมาก็ตามด้วยกระดูกเท้าบิดเบี้ยว เพราะสวมใส่รองเท้าที่ผิดสภาพ
            จนต้องไปนอนโรงพยาบาล ฝากเจ้าของบ้านเช่าให้ช่วยดูแลลูก พอรักษาจนหาย ฉันได้ขอสวัสดิการที่พักอาศัย ที่ต้องคอยถึงสองเดือน และได้รับแฟลตที่งดงามน่าอยู่ ในย่านดี มีระเบียงรับลม อดีตเป็นของพวกนาซีที่หลบหนีหายออกไป
            คนที่เข้ายึดครองโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ของพวกนาซี ที่ได้ยึดไปจากพวกชาวยิวนั้น ได้จัดส่งเครื่องเรือนมาให้ฉันในอัตราผ่อนส่งแบบสบายๆ โดยเฉพาะ โต๊ะทำงานไม้งามระยับ ที่มีการตกแต่งด้วยทองเหลือง
            เป็นรูปอุ้งเท้าราชสีห์นั้น หรูหราราวกับมาจากพระราชวัง..แน่นอนเลยว่า..นี่คือ โต๊ะทำงานที่เตรียมไว้ให้กับพวก SS ระดับบิ๊กๆ

            และเมื่อฉันได้ทำงานที่ศาลไปได้ไม่นาน จึงได้ทำเรื่องขอปลดปล่อยตัวเวอร์เน่อร์ให้ออกมาจากคุกเชลยไซบีเรีย โดยบอกว่า
            "สามีของฉันเป็นเยอรมัน ตาเสียข้างหนึ่ง ต้องออกไปรบในแนวหน้าด้วยความจำใจ และไปเมื่อสงครามใกล้จบสิ้น เขาแทบไม่ได้ทำการรบพุ่งอะไรเลย อีกทั้งความดีของเขานั้นคือการที่ได้ให้ที่หลบซ่อน ฉันและลูกให้อยู่อย่างปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ กรุณาเถิดค่ะ"
            แต่ไม่ว่าฉันจะเปล่งเสียงร้องขอมากเท่าใด สิ่งที่ได้รับตอบมาคือ ความเงียบ..
            พวกรัสเชี่ยนเนี่ย..ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่ยอมตอบรับ หรือ ปฏิเสธ ท่าทีของเขาคือ นิ่ง..
            เมื่อยิ่งนิ่ง..ฉันก็ยิ่งขอ..

            ต่อมาระบบไปรษณีย์และระบบโทรศัพท์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ..ฉันเริ่มได้รับข่าวคราวจากบรรดาเพื่อนๆและญาติพี่น้อง ฮันซี น้องสาวคนเล็กได้กลับมาถึงเวียนนา และ พบรวมญาติกับเยาท์สกี้เรียบร้อยแล้ว
            มิมิและมิโลต่างปลอดภัยอยู่ในปาเลสไตน์ เอลลิอยู่ในลอนดอน นอกนั้นคนอื่นๆก็อยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน
            แต่พวกเพื่อนๆจากโรงงานนรกนับโหลนั่น ต่างล้มหายตายจากไปเกือบหมด


            ในการทำงานของฉันต้องเกี่ยวกับสวัสดิการของเยาวชนโดยตรง..
            ในยามนั้น เด็กชาวเยอรมันต่างพากันเร่ร่อนกระจัดกระจายอยู่ตามท้องถนน ขอทานตามสถานีรถไฟบ้าง นอนตามกองขยะบ้าง
            แน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นต่างผันตัวมาเป็นมิจฉาชีพแทบทั้งสิ้น บางคนยอมขายตัวเอง ขายพี่ขายน้องเพื่อความอยู่รอด กลายเป็นหัวขโมยที่ขโมยได้ทุกอย่าง..
            พวกนี้เมื่อถูกจับได้ จะต้องถูกส่งตัวมาที่ฉันในฐานะของผู้พิพากษาโทษผิด
            ฉันจำได้ถึงระบบของค่ายแรงงานที่ อัสเตอร์เบอร์ค และ รู้ดีว่า เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะส่งพวกเขาไปปะปนกับพวกอาชญากรในคุก และโทษที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุด นั่นคือ
            การส่งไปทำงานสาธารณประโยชน์เช่น ทำความสะอาดถนน เก็บซากปรักหักพัง..
            นโยบายของรัสเซียในยามนั้น คือการกวาดต้อนเด็กชาวเยอรมัน เรียกได้ว่าพรากจากอกแม่กันเลยทีเดียว ส่งกลับไปเลี้ยงยังรัสเซีย เพื่อเป็นการแก้แค้นเอาคืนที่เยอรมันได้ไปกวาดต้อนเด็กรัสเซียเข้ามาเป็นทาสแรงงานนับพันนับหมื่น..และนี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นรายครอบครัว..
            อย่างรายของ คาร์ล่า อดีตเพื่อนบ้านชั้นบนของฉัน..ที่มาหาในวันหนึ่ง เธอได้ทักว่า
            "จริงหรือ ที่เขาว่าเธอเป็นยิวน่ะ กรีท..??"
            "ใช่..ชื่อจริงของฉัน คือ อีดิธ "
            "งั้น เธอคงช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้นะ..คือว่า..เธอก็รู้ดีว่า ฉันและสามี เราไม่มีลูกด้วยกัน และเราทั้งสองไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนาซี จึงไม่มีสิทธิขอรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมในตอนนั้น ทีนี้ เราก็ไปได้เด็กที่เป็นลูกของนักโทษฝรั่งเศสมาเลี้ยง และเรารักแม่หนูเอลซีนี่มาก มากเท่าชีวิตเลยนะ ทีนี้ พวกรัสเซียจะมาเอาเธอไป.. กรีท เอ้อ..อีดิธ ฉันจะต้องทำอย่างไรดี ช่วยหน่อยซิ กรุณาเถิด"
            "ได้ซิจ๊ะ..ฉันยินดี"
            ฉันรับคำไปอย่างมุ่งมั่น เพราะอย่างน้อยๆนี่คือการทำกุศลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในการที่จะช่วยรักษาชีวิตให้ใครต่อใครได้
            คดีที่ล้นศาลในระหว่างนั้นมีมากมาย และข้อความคล้ายๆกันหมด กล่าวคือ พวกบรรดาพ่อของเด็กที่ต่างติดคุกอยู่ในค่ายเชลย มักถูกพวกเมียเก่าๆออกมาเรียกร้องสิทธิโดยอ้างว่า พ่อของเด็กคือนาซี
            อย่างกรณีที่เห็นง่ายๆคือ ถ้าอลิซาเบธจะออกมาเรียกร้องสิทธิของเลี้ยงดูแม่หนูบาร์เบิ้ลคนเดียว เพราะเวอร์เน่อร์อยู่ในค่ายเชลย ก็ย่อมได้ ซึ่งฉันไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นแน่นอน


            ในช่วงหลังสงครามนั้น ความโหดร้ายได้แผ่ซ่านไปทั่ว..ผู้คนต่างพากันฆ่าตัวตายไปตามฮิตเล่อร์ และ เกิบเบิ้ลส์ มากมาย
            พอเจ้าหน้าที่ได้พาหญิงคนหนึ่งมาพบฉัน ในข้อหาฆาตกร และ พยายามที่จะฆ่าตัวเอง หญิงคนนั้น ได้เอ่ยว่า เธอต้องการฉันเป็นผู้ดำเนินคดีแต่ผู้เดียว ในข้อกล่าวหานั้น หญิงคนนี้ได้โยนลูกสามคนทิ้งน้ำ และกำลังจะกระโจนตามลงไป แต่ทหารรัสเซียได้ลากตัวขึ้นมาได้
            ด้วยข้อหาที่กล่าวมา..
            ทันทีที่หล่อนได้เงยหน้าขึ้น..ฉันก็จำได้ทันทีว่า..หล่อนคือ หญิงคนที่ไปคลอดลูกที่สภากาชาดในขณะที่ฉันทำงานอยู่ และไม่ยอมกลับบ้านเนื่องจากถูกผัวซ้อมจนยับเยินเป็นประจำ
            ฉันรับว่าความให้เธอทันที..ด้วยข้อโต้แย้งที่ว่า เธอได้เสียสติไปแล้ว จากการที่ถูกกระทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีแม่คนไหนที่อยากทำร้ายลูกให้เจ็บปวด แต่ถ้าจะต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน แม่ทุกคนไม่มีใครยอมได้ อย่างกรณีของฉัน ถ้าแม่มีญาณได้รู้ว่า ในอนาคตฉันจะต้องพบกับอะไรบ้าง..แม่คงฆ่าฉันให้ตายไปนานแล้ว..
            สรุปว่า..เธอรอดไปได้

            หัวหน้าศาลคนใหม่ นามว่า ไฮล์ดี้ เบนจามิน ได้เรียกประชุมรายเดือนระหว่างกลุ่มผู้พิพากษาหญิงที่กรุงเบอร์ลิน และในทริปหนึ่ง ฉันได้ติดต่อกับกลุ่มสงเคราะห์ชาวยิวจากอเมริกา ที่พยายามช่วยเหลือ
            ชาวยิว(ที่เหลือ)ในยุโรป กลุ่มสงเคราะห์นี้ได้ทำการจัดส่งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้เช่น ผ้าอนามัย ถุงเท้า รองเท้า บุหรี่ ซึ่งฉันได้ใช้บริการนี้จัดหาเครื่องใช้จำเป็นเช่นเสื้อผ้าและรองเท้าของลูก
            จนมาถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 1946 มีคนมาบอกว่า ที่ชายเขตแดนฝรั่งเศสนั้นมีกลุ่มเชลยชาวยิวที่เหลือรอดอยู่กันหนาแน่น ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี เพราะ ใกล้เวลาสิ้นปี เทศกาล Rosh Hashanah
            กำลังมาถึง ฉันอยากไปถามข่าวคราวของแม่..จึงขอลาหยุดงานสามสี่วัน
            การเดินทางในช่วงนั้นนับว่าลำบากลำบนอย่างที่สุด รถไฟวิ่งกันตามใจชอบ ไม่มีตารางเวลาที่แน่นอน มีป้ายเตือนปิดอยู่ไปทั่วว่า การเดินทางโดยการขนส่งสาธารณะ อาจมีการติดเชื้อโรคร้ายแรงได้
            ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยซากเศษหิน กองขยะ ซึ่งในที่สุด เพื่อความปลอดภัย..ฉันต้องอุ้มลูกไว้ในมือหนึ่ง เข็นรถไปด้วยอีกมือหนึ่ง..

            ที่แค้มป์นั้น ฉันเชื่อว่าอดีตคือโรงเรียน เพราะมีห้องใหญ่ๆหลายห้อง แต่ละห้องเต็มไปด้วยเตียงที่วางเรียงกัน ดูเหมือนที่อพยพหลังภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม ไฟใหม้ อะไรเช่นนั้น
            ฝั่งหนึ่ง เป็นของพวกคนชรา และเด็กๆ พวกที่ว่าชรานั้น ไม่ใช่เพราะว่าอายุชรา หากแต่ว่า พวกเขาดูเหมือน..ด้วยท่าทีที่ซูบซีด ทรุดโทรม จากการผ่านการทำงานหนัก การอดอาหาร ฟันหลุดไปจนหมดปาก
            พวกเขาพยายามเข้ามาจับต้องแอนเจล่าด้วยท่าทีที่เอ็นดู เพราะไม่ได้พบพบเด็กที่อวบอิ่มสมบูรณ์มานานแสนนาน
            ฉันไม่พบร่องรอยของแม่เลยแม้แต่นิด...



Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:28:43 น.
Counter : 940 Pageviews.

0 comments
คำแสลงภาษาอังกฤษที่ได้ยินบ่อย First Step
(26 ก.ย. 2567 19:52:56 น.)
ปลูกผักสวนครัวกินเองมีวิธีง่าย ๆ ได้ผักสดใหม่และปลอดสารเคมี สมาชิกหมายเลข 8129241
(17 ก.ย. 2567 00:41:42 น.)
วงการแพทย์ คิดไม่ถึงว่า "มะม่วง" จะส่งผลต่อร่างกายขนาดนี้ ถ้าไม่อ่าน ระวังคุยกับคนทั้งโลกไม่รู้เรื่อ newyorknurse
(25 ก.ย. 2567 07:10:56 น.)
"มนุษย์" และ" เชื้อโรค" peaceplay
(10 ก.ย. 2567 09:24:15 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]