เชลย....ตอนสิบสี่ วันหนึ่งที่ออกไปตัดหน่อไม้ฝรั่งในไร่ ท้องฟ้าดำมืด..ฝนตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกลๆ พวกเรารู้ดีว่าอีกไม่นานฝนต้องตกลงมาอย่างแน่นอน และนายเฟรชเน่อร์เองก็รู้ดีเช่นกัน..เขารีบตะโกนสั่งงานว่า..เร่งมือเข้าหน่อย.เร็วๆ เข้า.พวกแกน่ะ และไม่ทันขาดคำ ฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว แต่ก็ไม่มีสั่งให้หยุดงานแต่อย่างใด เพราะนายเฟรชเน่อร์ต้องการให้มีผลผลิตส่งตามโควต้าที่ได้รับมา พวกเราต้องย่ำทำงานอยู่ในพื้นดินที่เริ่มแฉะเป็นโคลน มือเปียกจนจับมีดตัดหน่อไม้ไม่ถนัด มันลื่นไปลื่นมา หูก็คอยฟังแต่เสียงที่จะบัญชาลงมาให้หยุดทำงานซะที แต่..ไม่มีคำพูดสักคำหลุดมาจากปากผู้คุมงาน นายเฟรชเน่อร์ที่ยืนสั่งงานปาวๆ อย่างทองไม่รู้ร้อนอยู่ภายใต้ร่มที่กางไว้ในมือ พวกเรายังคงต้องก้มหน้าเข้าหาพื้นดิน ทำงานต่อไป.. ทั้งๆ ที่พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ไหลลงมาท่วม.. จนในที่สุดหน่อไม้ฝรั่งทั้งหลายนั่นหลุดลอยขึ้นมาเป็นแพ..นั่นแหละ ..เขาจึงอนุญาตให้พวกเราเข้ามาหลบฝนได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะให้เรากลับไปพักผ่อนหรืออย่างไร แต่..เป็นการพักชั่วคราว จนกว่าฝนจะซาลง..ต้องกลับไปทำงานต่อ ฟรีดา (สาวคนที่ถูกถอนฟันไปสิบซี่) ทนไม่ไหว..เธอจึงโวยขึ้นมาว่า.."เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า..หน่อไม้บ้าๆ นี่มีค่ามากกว่าชีวิตคนอย่างพวกเรา" และ..คำพูดนั้นคงโดนใจนายนั่นพอสมควร ในที่สุด เขาก็ให้พวกเรากลับไปพักได้ แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็รู้ได้ว่า คนบางคนถึงแม้จะโหดร้ายขนาดไหนแต่ในใจจริงๆ แล้ว ก็ยังมีความเมตตาหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่การแสดงออกนั้นมักจะแตกต่างกันไปเป็นรายบุคคลขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ เชลยฝรั่งเศสที่มาทำงานร่วมกับพวกเรา ชื่อว่า ปิแอร์ แต่พวกเราเรียกเขาว่า ฟรังซ์ (ที่ย่อมาจาก Franzose ในภาษาเยอรมัน = Frenchman) ฟรังซ์เป็นกสิกรไวน์ที่มาจาก Pyrenees และที่เสื้อของเขาจะมีอักษรสีขาวตัวใหญ่ว่า KG (มาจาก Kriegsgsfangener = POW) ประทับอยู่ งานของเขาคือการจูงม้าที่เทียมคราดให้ทำหน้าที่พรวนดินสำหรับการเพาะปลูก ส่วนพวกเราเดินตามหลังทำหน้าที่ถอนหญ้า และ ริดรอนวัชพืชให้ออกไปนอกเส้นทาง ซึ่งโอกาสตรงนี้ ทำให้ฉันได้มีโอกาสฝึกใช้ภาษาฝรั่งเศสกับฟรังซ์ และด้วยกล้องถ่ายรูปที่เอาติดมาด้วย ฉันจึงมีโอกาสถ่ายรูปเขา และส่งไปให้เปปปิอัด.. พร้อมทั้งได้จัดการส่งไปให้ภรรยาและลูกๆ ของฟรังซ์ฝรั่งเศสได้ดู แต่..เปปปิเกิดมีอารมณ์"หึง"ขึ้นมา..ตามประสาชายชาวเยอรมันที่มักจะคิดว่าหนุ่มฝรั่งเศสนั้น"เหนือ"กว่าในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่า เจ้าชู้อย่างหาตัวจับยาก จนฉันต้องเขียนตอบกลับไปว่า "อย่าบ้าไปหน่อยเลย..พวกเรารวมทั้งฟรังซ์ ล้วนแล้วแต่ทำงานราวกับทาส ทุกคนเหนื่อยและคิดถึงบ้านจนจะบ้า..ไม่มีใครมีอารมณ์คิดถึงเรื่องชู้สาวนี่ได้หรอก" แต่เรื่อง"ชู้สาว"ที่ว่านี่..ไม่ได้มาจากคนฝรั่งเศสหรอกนะ..พวกเยอรมันด้วยกันนี่แหละ ตัวดีนัก !! นายเฟรชเน่อร์..พยายามทำท่าก้อร่อก้อติก เล่าเรื่องโจ๊กแบบอุบาทว์กับฟรีดาเสมอ เวอร์เน่อร์..หนุ่มน้อยชาวไร่ ที่อยากจะเป็นทหารนัก ก็ยังพยายามที่จะจีบเอวา.. ออตโต..ชาวไร่ที่ตอนนี้เป็นนายทหารเหล่า SA ที่แวะเวียนมาเล่นหูเล่นตากับสาวๆ ที่นี่บ่อยๆ ในตอนนั้น พวกชาวไร่จัดว่าเป็นพวกที่อยู่ดีกินดีที่สุดในเยอรมัน งานก็ไม่ต้องทำเพราะมีทาสคอยให้การรับใช้ พวกนี้มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ ส่งส่วยให้นาซีตามที่ร้องขอมา ออตโตเคยเล่าว่า..พวกเมืองกรุงเคยดูถูกชาวท้องไร่ท้องนาอย่างพวกเขาว่าเป็นไอ้พวกบ้านนอกคอกนา แต่ตอนนี้แหละ ที่เขาได้แก้แค้นคืน. เพราะไม่ว่าเป็นผลผลิต หรือ หมูเห็ดเป็ดไก่อะไรก็ตาม เขาโก่งราคาจนแพงลิบ..ขนาดนั้น ผู้คนยังแย่งกันซื้อ ข่าวของความลำบากที่พวกเราได้รับ..คงกระจายไปถึงในเวียนนา หรือไม่ก็คงเป็นสัญชาติญาณของความเป็นแม่ ที่ฉันรู้ได้จากสิ่งของในพัสดุที่แม่ส่งมาให้ เช่น..ถุงมือ นั่นต้องหมายถึงว่าแม่ได้เริ่มรู้สึกหนาว..จึงคิดว่าฉันต้องหนาวด้วยเช่นกัน หรือ ขนมหวานที่หายาก นั่นคงเป็นเพราะแม่ต้องหิวโหย เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการเป็นค่าจ้างทำงาน ฉันส่งให้เปปปิพร้อมทั้งรายการสิ่งของที่ต้องซื้อให้แม่..เช่น..สบู่ กระดาษเพื่อเขียนจดหมายถึงฉัน และของขวัญเล็กๆ น้อยให้กับแม่เขา..แอนนา บางที..ฉันก็ไปขอซื้อผลแอปเปิ้ล มันฝรั่ง ถั่ว แม้แต่หน่อไม้ฝรั่ง จัดการห่อส่งไปให้แม่ เพื่อให้ใครต่อใคร เช่น เยาท์สกี้ และเพื่อนบ้าน ได้มาแบ่งปันกันเอาไปกินกันอย่างตามมีตามเกิด ยิวจากโปแลนด์ได้ถูกส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิเกือบหมด และ ในฤดูร้อนของปี 1941 ข่าวก็มาอีกว่า จะมีการส่งชาวยิวออสเตรีย และ ยิวเยอรมันไปที่นั่นด้วย พวกเราเรียกการเนรเทศที่น่าสพรึงกลัวครั้งนี้ว่า..Aktion (อาคชั่น = Action) ไม่มีใครรู้จักว่าโปแลนด์เป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ใช่ที่อยู่ดีหรือสะดวกสบายแน่นอน ถ้าแม่..ต้องถูกส่งตัวไปยังโปแลนด์ แม่อาจจะต้องไปเป็นคนรับใช้ในบ้านของพวกเยอรมันที่ต้องทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู ล้างชาม ทำกับข้าว แค่คิด..ฉันก็เสียวไปถึงสันหลัง....ภาพที่แม่สุดรักสุดบูชาจะต้องไปเป็นคนรับใช้..โอย..ฉันคงทนไม่ได้ !! ทั้งนายเฟรชเน่อร์ และเมีย..ต่างรับรองกับฉันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ถ้ายังทำงานให้อย่างไม่มีปริปากเช่นนี้ ครอบครัวของเราจะไม่มีการถูกเนรเทศไปไหน แต่..ความบีบคั้นเริ่มแน่นเข้ามา..อย่างในวันหยุดวันหนึ่งที่พวกเราทั้งหกออกไปเดินเล่น ตำรวจได้เข้ามาตามหาและถามถึง.. นายเฟรชเน่อร์ได้แก้ตัวให้ว่า..ออกไปทำงานในไร่ไกลโพ้น ไม่ต้องไปรบกวน พอพวกเรากลับมา..นายนี่ก็รีบจัดแจงทวงบุญทวงคุณทันทีว่า "เนี่ย..ชั้นช่วยเอาไว้นะเนี่ย..ไม่งั้นพวกแกตกที่นั่งลำบากแน่ๆ " ต่อมา..ได้มีการสร้างแค้มป์นักโทษชาวโปล์ที่ชายไร่ พวกนักโทษพวกนี้ถูกเกณฑ์มาทำงานหนักๆ ให้กับชาวไร่ เช่น ลากก้อนหิน สร้างบ้าน ล้างคอกหมูฯ ลฯ ยามที่พวกเราเดินผ่านตอนที่ออกไปทำงาน มักได้รับเสียงที่ส่งมาทักทายเสมอๆ ซึ่งฉันมักบอกพวกสาวๆ ว่า..ให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะ.. แต่..แม่สาวน้อยผมดำที่มีชื่อว่า ไลเซล บรุสท์ ติดใจในเรื่องโปแลนด์ไม่หาย เธอจึงเดินเข้าไปถามว่า..ที่โปแลนด์มีสภาพเป็นอย่างไร? "สวยงามมาก" นายนักโทษนั่นตอบมา..ท่าทางเขายังอายุไม่มากนัก "กรุงวอร์ซอว์ล่ะ?" "โอย..งดงามไปด้วยแสงระยิบระยับเชียว ทั้งโรงอุปรากร พิพิธภัณฑ์, หอสมุด, มหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยคณาจารย์ เหมาะสำหรับสาวน้อยยิวอย่างเธอที่จะไปอยู่ ถ้าอยากฟังอีก ก็เข้ามาใกล้ๆ ซิจะเล่าให้ฟัง" ฉันรีบดึงแขนไลเซลให้ออกมาห่างๆ พร้อมเล่าให้ฟังว่า "ครั้งหนึ่งในเวียนนา ฉันก็เจอกับคนจีนที่มาชวนให้ออกไปอยู่ที่เมืองจีนนะ และเชื่อว่า ขืนไปจริงๆ ป่านนี้ก็อาจไปอยู่ตามซ่อ..ราคาถูกๆ ในเกาลูน และเช่นเดียวกันขืนเธอเข้าไปในแคมป์นั่นตามที่เขาชวนละก้อ แน่ใจได้เลยว่า ไม่มีทางได้ออกมาอีกเลย" ที่พูดไปนั่น..ฉันได้หมายถึงแคมป์เชลยชาวโปล์ที่ท่าทางตะละคนอดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิงมานาน..ที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินเยอรมัน.. ไม่ได้สังหรณ์เลยสักนิดว่า..ในโปแลนด์จริงๆ แล้วก็มีสภาพไม่ต่างไปจากในค่ายที่เห็นสักเท่าไหร่เลย งานยิ่งหนักมากเท่าไหร่ ร่างกายของฉันก็ผ่ายผอมลงไปมากเท่านั้น ความโหดร้ายที่ได้รับมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้พวกเราเกิดความเมตตาในชีวิตอื่นๆ ที่เกิดมาร่วมโลกมากเท่านั้นเช่นกัน.. เช่น..เราได้พบว่าในโรงนอน..มีหนูมาเพ่นพ่าน แทนที่เราจะเกลียดมันจนต้องไล่ตามฆ่า..แต่เปล่าเลย พวกเรากลับทิ้งเศษอาหารไว้ให้มัน หรือพยายามช่วยกันทนุถนอมดูแลลูกไก่ที่ป่วย.. จนกระทั่งมันตายจากไป ในจดหมายที่เขียนไปหาเปปปิในตอนหนึ่ง ฉันได้เล่าว่า..สงครามในครั้งนี้ ฉันมีความเชื่ออยู่สองอย่าง.. หนึ่งคือ ..ไม่มีทางหลุดพ้นไปไหนได้ นอกจากสุดท้าย..คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ในไร่นี้อย่างหมดทางเลือก สองคือ..ปาฏิหารย์เท่านั้นที่จะเกิดขึ้นมา..นั่นคือ กองทัพอากาศของอังกฤษได้หย่อนระเบิดถูกที่ โดยลงตรงกลางที่อยู่ของฮิตเล่อร์และเกิบเบิลส์พอดี อันเป็นจุดจบของพวกนาซี..และ นั่นหมายถึงเราคงได้มีโอกาสแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง และที่นี่..ในไร่นรกแห่งเมือง Osterberg นี่..ฉันได้มีเพื่อนแท้ขึ้นมาคนหนึ่ง เธอคือ มิน่า คาทซ์ สาวน้อยวัย 18 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน เธอและเพื่อนสูงวัยกว่าคนหนึ่งที่มาด้วยกันชื่อว่า นางกรุนวอลด์ ทั้งคู่เคยทำงานให้กับบริษัทของยิว แต่ต่อมาบริษัทนั้นได้ถูกยึดโดยนาซีมาขายให้กับคุณนายมาเรีย ไนเดอรัลล์ ที่เผอิญต้องการคนงานเป็นสาวยิวสองคนที่เอ่ยนามมานี้ให้มาช่วยเหลือเรื่องานที่ยังใหม่สำหรับเธอ จนในที่สุดคนทั้งสามได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คุณนายมาเรีย จึงพยายามที่จะขอให้คนทั้งสองให้อยู่ทำงานกับเธอไปนานเท่านาน แต่..เกสตาโปไม่ยินยอม เมื่อมาอยู่ที่ไร่นี่..ทั้งสองยังได้รับพัสดุของใช้ดีๆ เช่น สบู่ อาหาร เสื้อผ้าดีๆ จากคุณนายมาเรียเจ้านายเก่าชาวอารยันอยู่เป็นประจำ มีน่า เป็นเหมือนกับดาวดวงน้อยบนท้องฟ้าที่มืดมิด เธอสามารถร้องเพลง และหัวเราะได้ในสถานะการณ์ย่ำแย่อย่างที่พวกเรากำลังได้รับ ดังนั้น ใครต่อใครจึงรักใคร่เอ็นดูแม่สาวน้อยคนนี้หนักหนา ทั้งฉันและมีน่า เราทำงานแบบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดหน่อไม้, สุมกองฟาง, ดึงหัวมันฝรั่งออกมาจากดิน ที่เราจะต้องโยนมันขึ้นไปบนถังขนาดยี่สิบห้ากิโล จากนั้นก็ช่วยกันยกคนละข้างขึ้นวางบนรถลากที่จอดคอยอยู่ ตลอดเวลาทำงาน..เราคุยกันไปได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือโรงเรียน อย่างน้อยมันได้ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับงานที่ทำไม่ว่ามันจะหนักหนาเช่นไร จนคนอื่นๆ เริ่มออกอาการประชดประชันนิดๆ ว่า..ทั้งฉันและมีน่าทำงานเร็วราวกับม้าแข่งในสนามปลูกถั่ว.. ระหว่างที่ขุดมัน หรือ ปลูกถั่วก็ตาม ฉันได้ถือโอกาสนี้..สอนมีน่าไปด้วยในเรื่องของ กฏหมาย, การเมือง, วรรณคดี และ เศรษฐกิจ ซึ่งไม่ว่าฉันได้สอนอะไรออกไป มีน่าเรียนตามได้เร็วราวกับสมองซึมซับได้ การศึกษากันกลางไร่อย่างนี้..ทำให้ทั้ง ครูและนักเรียน อย่างเราทั้งสองมีกะจิตกะใจในการต่อสู้ทำงานเยี่ยงทาสอย่างไม่มีการปริปากบ่น.. ฤดูร้อนได้มาถึง..เราทำงานกันกลางไร่แบบเหงื่อไหลไคลย้อย หน้าตาเนื้อตัวถูกแดดเผาจนเกรียม จนบางครั้งต้องควักโคลนขึ้นมาทาตัวให้พอประทัง ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่ เพื่อขอครีมทาตัวชนิดอะไรก็ได้ แต่..ในยามนั้นจะไปหากันที่ไหน ไม่ใช่ว่ามันหายไปจากท้องตลาดเวียนนาแต่อย่างไร หากแต่..ยิวไม่ได้รับการอนุญาตให้ซื้อสิ่งของอื่นๆ นอกเหนือไปจากที่กำหนดให้ในบัตรปันสัดส่วน.. |
บทความทั้งหมด
|