เชลย....ตอนยี่สิบสี่ คุณๆคงสงสัยว่า ทำไมฉันจึงไม่ตั้งชื่อลูกตามชื่อของแม่ คำตอบคือ ชาวยิวจะตั้งชื่อลูกหลานตามชื่อของคนที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น และตอนนั้น คือ ปี 1944 ฉันเชื่อว่า แม่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะว่า ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นของแม่ที่อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ได้กลิ่นแม้กระทั่งน้ำหอมที่แม่ชอบใช้ บาร์เบิ้ล ลูกสาววัยสี่ขวบของเวอร์เน่อร์มาถึงในตอนเช้าของวันอังคาร (ตามการตกลงของการผลัดเลี้ยง) หลังจากที่มีน้องใหม่อายุเพียงไม่กี่วัน ทันทีที่ได้ย่างก้าวเข้ามาในห้อง เธอรีบเหน็บตุ๊กตาในมือเข้าที่ จั๊กแร้อีกข้างหนึ่ง เพื่อที่จะได้ชูมือในข้างนั้นขึ้น พร้อมกับส่งเสียงแจ๋วว่า.." Heil Hitler!!" แม่ของเธอ อลิซาเบธ อมยิ้มน้อยๆด้วยความภาคภูมิใจ สำหรับฉัน..บอกได้เลยว่า ในชีวิตแทบไม่เคยได้พบใครที่ไร้ไมตรีมากไปกว่าผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆที่เธอเป็นคนสวย สูงโปร่ง ท่าทางแข็งแรง แต่กับฉันแล้ว..เธอชาเย็นอย่างที่สุด เวอร์เน่อร์ยอมไปทำงานสาย เพื่อที่จะได้อยู่ต้อนรับ แต่บางสิ่งบางอย่างได้บอกฉันว่า..คนสองคนนี้ยังตัดกันไม่ขาด เขาทักทายด้วยการจุมพิตสวัสดีตามมารยาท และคุยด้วยเดี๋ยวด๋าวก่อนที่จะขอแยกตัวไปทำงาน.. เมื่อเราต้องมาเผชิญหน้ากัน เธอกับฉัน ..ผู้ซึ่งทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี โดยการทำตัวเสงี่ยมหงิม รับรองด้วยการเสนอขนมและกาแฟ อีกทั้งพาเดินชมรอบๆในห้องแฟลตที่อาศัย อลิซาเบธมองไปที่แอนเจล่า..และพูดขึ้นมาลอยๆว่า "หน้าตาของพี่น้องสองคนนี่..ดูยังไงก็ไม่เหมือนกัน" หลังจากที่เธอมองไปที่การจัดแต่งห้องและภาพวาดฝาผนังฝีมือของเวอร์เน่อร์ เธอก็พูดต่อว่า "อ้อ..พ่อเขาลงทุนทำอะไรให้คนอื่นได้สารพัด ทีกับเรา..เขาไม่ทำอะไรเลย ใช่ไหมล่ะ บาร์เบิ้ล?" จากนั้นเธอก็มองไปที่กล่องเครื่องมือที่วางเรียง และพูดว่า "อยากจะเป็นนักเชียว จิตรกรเนี่ย..แต่ฝีมือไม่เข้าขั้น เชอะ!" ตอนที่อลิซาเบธกลับออกไปนั้น ฉันจำไม่ได้ว่า เธอได้ก้มลงจูบลาลูกสาวหรือไม่ แต่..ฉันรอจนเธอได้ลับสายตาไปให้พ้นก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมายาว.. บาร์เบิ้ลส่งเสียงจ๋อยๆถามว่า "ทำไมที่นี่ไม่มีรูปของฮิตเล่อร์ล่ะคะ ที่บ้านหนูนะ เราติดทุกห้องเลย" "เอาไปซ่อมอยู่ค่ะ เสร็จแล้วก็จะเอามาติด หนูหิวหรือยังคะ?" ว่าแล้ว ฉันได้ทำขนม Knodle (อ่านว่า นูดเดิล เป็น มันฝรั่งบดทอดชุบน้ำตาล) ที่ฉันได้ทำพิเศษไว้ให้ โดยใช้สตอร์เบอร์รี่สดยัดใส้ (ซึ่งกาลเวลาที่ผ่านไปนานหลายปีข้างหน้า จนแม่หนูได้แต่งงานไปกับชาวสก๊อต ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เธอยังจำได้เสมอถึงขนมของชาวเวียนนีสที่ได้ลิ้มรส) ทุกวัน เราได้พากันออกไปเดินเล่น ฉัน บาร์เบิ้ล แอนเจล่าในรถเข็น ไม่ว่าฉันจะเลี้ยงดูแอนเจล่าอย่างไร แม่หนูบาร์เบิ้ลนำไปเลียนแบบทำกับตุ๊กตาของเธอหมด ยามที่ฉันได้กล่าวอรุณสวัสดิ์กับใคร แม่หนูจะต่อด้วยว่า "ไฮล์ ฮิตเล่อร์!" เล่นเอาผู้คนผ่านไปมา ต่างหันมามองฉันอย่าชื่นชม ..ว่า ช่างเป็นแม่นาซีที่เลิศเลอเสียจริง ในความจริงแล้ว ฉันเองก็รักและเอ็นดูแม่หนูบาร์เบิ้ลไม่น้อย ตลอดหกอาทิตย์ที่เธอมาพำนักด้วยนั้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น การเรียกขาน "ไฮล์ ฮิตเล่อร์!" จากปากน้อยๆของบาร์เบิ้ลก็ค่อยๆจางหายไป ฉันเองก็ไม่เคร่งครัดเอากับเด็ก ปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างตามสบาย จนอลิซาเบธเริ่มออกอาการไม่พอใจ และที่สำคัญคือ เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นฝ่ายสูญเสีย ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ นั่นคือ การเข้ายื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้ง ด้วยข้อหาว่า เราทั้งสองนั้นไม่เหมาะสมกับการที่จะเลี้ยงดู ศาลจึงส่งเจ้าหน้าที่สองคนมาตรวจที่บ้าน ที่สร้างความตกอกตกใจให้พอสมควร ตลอดเวลาที่ฉันและเวอร์เน่อร์อยู่ด้วยกันมากว่าปี ทุกอย่างราบรื่น แต่การที่จะมีคนอื่นมาสัมภาษณ์ ถึงการเป็นอยู่นั้น ทำให้หวดผวาไปหมดว่า เขาอาจสังหรณ์ จับได้ว่า ฉันเป็นยิว เป็นคนที่มีความรู้เรื่องกฏหมาย เป็นปัญญาชนระดับมหาวิทยาลัย แต่ก่อนอื่น..ฉันรีบไปขอยืมภาพของท่านผู้นำจากเพื่อนบ้านมาติดฝาบ้านอย่างเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ได้มาเยือนอย่างไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า ทั้งสองคือหญิงสาวนาซีที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบพร้อมทั้งเสื้อผ้าและหมวก ในมือมีสมุดคอยจดรายงาน คำถามคือ กินอาหารกันอย่างไร อยู่อย่างไร และในที่สุดก็มีการเปิดตรวจหมดความสะอาด ในเตา บนเตา ชั้นวางของ ทุกซอกทุกมุม จนหลายอาทิตย์ต่อมา เราได้รับจดหมายรายงานมาว่า ทุกอย่างผ่านตลอด บ้านช่องสะอาดสมเป็นครอบครัวอารยันตัวอย่างจริงๆ ข้อความย่อหน้าสุดท้ายในจดหมายนั้นระบุว่า "การที่บาร์เบิ้ลจะได้มาอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงในสภาพที่อยู่สะอาด ถูกอนามัยนั้น เหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ" คำร้องของอลิซาเบธจึงตกลงไป (ฉันเคยนึกเสมอว่าอยากจะนำจดหมายนั่นไปที่ที่ทำงานของรัฐบาล นาซี และยื่นใส่หน้าพวกนั้น ให้มันอ่านให้เต็มตา ว่า..นี่งะ บ้านของคนยิว ที่พวกแกประนามว่า สกปรกนักหนาน่ะ) ปรากฎการณ์ทางน่านฟ้าที่เครื่องบินของสัมพันธมิตรได้มาเยี่ยมกรายบ่อยๆนั้น ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเป็นไปได้ว่าเยอรมันจะต้องเสียทีในศึกครั้งนี้อย่างแน่นอน นับตั้งแต่ตอนช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา..ฉันโหยหา...คิดถึง แม่ น้องสาว ญาติโยมคนอื่นๆอย่างเหลือเกิน สมองเต็มไปด้วยความคิดว่า พวกเขาไปไหนกันหมดนะ และ ยิ่งในเทศกาลวันฉลอง Rosh Hashanah และ Yom Kippur (ปีใหม่ของยิว) คือวันที่พวกเราเคยอยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว... พวกเขาจะคิดถึงฉันบ้างหรือไม่? จนวันหนึ่งที่ฉันอยู่บ้าน ทำความสะอาด ซักรีดเสื้อผ้าอยู่นั้น หูก็แอบเงี่ยฟังข่าวจากสถานีวิทยุบีบีซี...ทันใดนั้น ฉันต้องสะดุ้งวาบขึ้นมา เพราะเสียงที่ประกาศแว่วมาจากแดนไกลนั้นคือ เสียงของท่านประมุขรับไบ Hertz แห่งอังกฤษที่ได้ส่งข้อความมาในภาษาเยอรมัน ว่า.. "ขอส่งความเสียใจและเห็นใจอย่างสุดซึ้งมายังสายเลือด(ยิว)"ที่เหลือ" ทุกคน ที่ต้องตกระกำลำบาก ซุกซ่อนหลบหนีอยู่ในเส้นทางแห่งความตาย..." เพียงประโยคแรกของท่าน ใจของฉันได้ส่งเสียงอื้ออึง....หมายความว่าอย่างไรกันคะ ที่ว่า "ที่เหลือ" นี่น่ะ คนอื่นๆเขาล้มหายตายจากไปหมดแล้วหรือ.. "พวกคนดี และชาวโลกที่มีจิตใจเป็นธรรมกำลังร่วมมือกันเข้าทำลายล้างไอ้ลิทธิสามานย์ และบ้านเมืองของมันให้สิ้นซากไปในเร็ววัน" โอ..จริงซินะ ในที่สุดก็มีคนมาช่วยเราจริงๆ อีกหน่อยพวกเราก็คงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป ..เราไม่ได้ถูกลืมไปอย่างที่คิด "ชาวยิวที่รักทั้งหลาย จงฟังเรา วันแห่งอิสรภาพกำลังจะมาถึง จงร่วมกันสวดมนต์ต่อพระเจ้า ขอประทานพรจากท่านเถิด" นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ยินมากับหู และเก็บมาสงสัยจนทุกวันนี้ ว่า ทุกๆคนจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าอย่างน้อย น้องสาวที่อยู่ในปาเลสไตน์ย่อมปลอดภัย ส่วนแม่..ฉันพยายามทำใจไม่คิดถึงในด้านร้ายๆ เพราะ ไม่อยากจะเสียสติไปก่อนยิ่งท่านรับไบ เฮิรทซ์ ท่านกล่าวถึง "พวกที่เหลือ" ยิ่งทำให้ใจแป้ว ทางเดียวที่เหลือคือ ฉันต้องใช้ชีวิตของคุณนายนาซีให้ราบเรียบที่สุด...โอ..พระเจ้า มันง่ายอย่างที่พูดเสียเมื่อไหร่ เพราะวันๆหนึ่ง ต้องพบกับคนส่งนมนาซีที่มาตั้งแต่เช้า ตามมาด้วยเด็กขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์นาซี Der Volkische beobachter ฉันจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการไปซื้อข้าวของในวงจรที่ต้องใช้ Nazi slute โชคดีที่เราได้รับการบันส่วนมาจาก คุณนายไนเดอรัลล์ที่กรุณาส่งของแห้งมาให้บ้าง เช่น เมล็ดถั่ว ข้าวสาร คุณนายเกรอล์ได้ส่งคูปองขนมปังมาให้บ้างในบางโอกาส ส่วนฉันพยายามเจียดคูปองนมเพื่อที่จะแบ่งปันไปให้กับเยาท์สกี้ เพื่อที่จะได้ใช้เลี้ยงเจ้าหนูออตโตที่น่าสงสาร เปปปิก็ยังอุตส่าห์เจียดผงซักฟอก(ที่ขโมยมาจากแม่..นาง แอนนา)มาให้ ชาวนาที่อยู่ชานเมืองในช่วงนั้น ต่างร่ำรวยกันเป็นแถวๆด้วยการซื้อขายระบบแลกเปลี่ยน พวกชาวกรุงต่างนำของดีมีราคาไปแลกกับใข่ไก่ นมสด เบคอน หรือผลิตผลทางเกษตรอื่นๆ ว่ากันว่า พวกชาวนาเหล่านั้น ต่างมีพรมเปอร์เซียราคา แพงอยู่ในครอบครองกันคนละหลายๆผืน จนแทบจะเอามาปูได้เต็มพื้นที่ในโรงนา เพื่อนบ้านคนเดียวที่แวะเวียนมาพูดคุยด้วยเสมอๆนั่นคือ ไฮล์ดี้ ชเลเกล ที่เธอมักเปรยถึงความโชคดีของฉันในเรื่องของการที่ได้รับน้ำใจจากใครต่อใคร ส่วนเธอมักจะบ่นถึงความไม่เข้าท่าของแม่สามีให้ฟังอย่างเสมอๆ จนทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ฉันควรจะต้องทำความรู้จักกับแม่สามีของฉันเองบ้าง จึงได้บอกกับเวอร์เน่อร์ว่า "ไปชวนคุณแม่มาเยี่ยมเราซิ" "อะไรนะ....???" "ก้อ..แม่คุณยังไม่เคยเห็นหลานเลย" "โอย..เขาไม่สนหรอก" "เป็นไปไม่ได้หรอก...ย่าที่ไหนกันที่จะไม่รักหลาน ลูกเราออกน่ารัก" ในที่สุด มาดามเวทเทอร์ ก็มาเยี่ยมเราตามคำเชิญชวน ที่ตั้งใจจะมาอยู่ถึงหนึ่งอาทิตย์ เมื่อมาถึง ฉันจึงได้พบกับสตรีสูงวัยที่ท่าทางเย็นชา ผมสีดอกเลานั้นขมวดมุ่นเป็นผมมวยเก็บเรียบร้อยที่ใต้ท้ายทอย เธอมักสวมผ้ากันเปื้อนที่ลงแป้งรีดเรียบแข็ง ขาวสะอาด ยามจะโอบจะอุ้มหลานสาวตัวน้อยก็เต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ เพราะเธอเกรงไปว่าจะทำให้สกปรก ที่สำคัญ เธอสามารถดื่มเบียร์ได้ทั้งวัน ยามหลับ.มีกรนสนั่นหวั่นไหว ที่แน่มาก..คือ ทั้งๆที่หลับขนาดนั้น ผ้ากันเปื้อนยังไม่มีการยับย่น เธอทำให้ฉันได้ระลึกถึง....โรงงานที่อัสเชอร์สเลเบนในยามฤดูหนาวที่มีหิมะตก ที่ดู ขาวโพลน สวยงามเป็นระเบียบ แต่ข้างในนั้น คือค่ายแรงงานนรก เหี้ยมเกรียม น่าสะพรึงกลัว วันหนึ่งที่ฉันกลับเข้ามาในบ้าน พบว่า เธอได้หอบเสื้อผ้า..กลับไปแล้วอย่างไม่มีการร่ำลา สั่งเสียใดๆ ฉันได้แต่กอดแม่หนูแอนเจล่าไว้แนบอก กระซิบบอกเธอว่า..ไม่เป็นไรนะลูกนะ ย่าเขาไม่รักก็ไม่ต้องเสียใจ หนูยังมียาย..มีน้า..รออีกหน่อยเถิด รอให้สงครามเลิก พวกเขาก็จะออกมาจากโปแลนด์ กลับมาหาเรา ยายจะได้จูบได้กอดหนูให้ชื่นใจ" เปปปิเคยเล่าเสมอว่า ยิ่งสงครามทวีความเข้มข้นขึ้นมากเท่าไหร่ พวกนาซียิ่งโหดร้ายขึ้นมากเป็นเงาตามตัว ฝ่ายโปรปะกันดาของรัฐบาลพยายามบอกประชาชนว่า "ทีเด็ด"ของสงครามนั้น เยอรมันยังมีอยู่ นั่นคือ อาวุธลับร้ายแรง จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่า ไม่นานก็จะมีการนำมาใช้ แต่..จนแล้ว..จนรอด เกสตาโปเริ่มออกทำการจริงจังกับพวกที่เอาใจออกห่างจากท่านผู้นำ เช่นพวกที่หลบหนีทหาร...จะถูกยิงทิ้งทันที ไม่ว่าพบที่ไหน หรือ การเข้ารื้อค้นตามโรงนา หรือ ตึกร้างต่างๆ ไหนจะยังตามคดีของพวกแม่ม่ายผัวตายในสงครามที่หันมาคบค้ากับนักโทษแรงงานต่างชาติอีกเล่า เท่ากับว่า ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ผู้คนต้องถูกฆ่าตายวันละหลายๆศพ ด้วยข้อหาเล็กๆน้อยๆ เช่นลักขโมย หรือ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามนโยบาย ในที่สุด..ก็มาถึงคราวของเวอร์เน่อร์ที่ถูกเรียกเข้าประจำการ ในวันที่ หนึ่ง กันยายน 1944 นี่คือหนทางรอดสุดท้ายของนาซีเข้าไปทุกขณะ ที่ต้องเกณฑ์คนไม่สมประกอบทั้งหลายออกศึก และอีกไม่นานก็คงถึงคราวของเด็กชาย เด็กหญิง ที่ต้องถูกเกณฑ์ให้ไปตาย เวอร์เน่อร์ได้ไปรายงานตัวในวันที่สาม พร้อมทั้งได้ถอนเงินออมของเราจากธนาคารร่วมหมื่นมาร์คไว้ติดตัวไปด้วย เขาว่า หากตกระกำลำบากอย่างไร จะได้ใช้เงินนี้ซื้อช่องทางหลบหนีออกมาได้ ฉันก็ไม่ได้มีปากเสียงอะไรในเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยๆทางโรงงานอาราโดก็ยังจ่ายเงินเดือนให้ตลอดไปทุกเดือน ก่อนไป เขาดึงตัวฉันเข้าไปกอด และ สั่งเสียว่า... "ฟังนะ ที่รัก เวลาที่คุณไปที่ร้านขายยา เพื่อที่จะซื้อนมให้ลูกละก้อ อย่าตกใจนะที่พวกเขาจะเข้ามาพูดคุยกับคุณอย่างสนิทสนม หรือ นิยมชมชื่นคุณราวกับเป็นวีรสตรี เพราะ ผมไปเล่าให้พวกเขาฟังว่า คุณน่ะ ต้องเสียลูกไปแล้วถึงสามคนในยามแร้นแค้นของสงครามนี่ นี่ก็คือ คนที่สี่ ที่คุณต้องเลี้ยงดูให้ดีที่สุด เพื่อให้มีชีวิตอยู่สืบไป" ได้ฟังข้อความดังนั้น ฉันก็อดขำไม่ได้ เพราะ นายเวอร์เน่อร์ สามีตัวดีของฉันนี่ เป็นคนที่จิตใจดีก็จริงอยู่ แต่เรื่องที่จะให้พูดความจริงตามประสาชายชาตินาซีนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย หากแต่ก่อนออกไปยังแนวหน้า..นาซีได้ทำการฝึกให้กับทหารรุ่นใหม่ที่ทุกคนต้องไปค้างคืนประจำการที่ค่ายทหาร เวอร์เน่อร์สามารถหาสาเหตุขี่จักรยานกลับมาทานอาหารเย็นที่บ้านได้เสมอ เชื่อว่า..การโกหกชนิดบรรลัยโลกได้มีการสร้างขึ้นทุกวันอย่างแน่นอน จะเป็นอะไรก็ตามที..แต่ที่แน่ๆคือ เขาเกลียดการใส่เครื่องแบบทหารมาก เพราะนั่นมันคือความหมายว่า เขาเป็นผู้ที่ต้องรับฟังคำสั่งเสมอไป เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆที่ค่ายทหารมากมาย และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อจนเกินเหตุในบางครั้ง อย่างเช่น มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเรียกเข้าประจำการเช่นกัน เขาคนนี้..อยากให้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานนั้นตั้งครรภ์ก่อนที่ เขาจะจากไปในแนวหน้า แต่หาที่ร่วมหลับนอนไม่ได้ เวอร์เน่อร์รีบเสนอห้องรับรองแขกเล็กๆในอพาร์ตเม้นต์ของเราให้ทันที แถมพามาถึงบ้านแบบจู่โจมที่ฉันไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวติด รู้สึกใจหายครามครัน..กริ่งเกรงไปว่า หากเขาเกิดเป็นสาวกท่านผู้นำแบบถอดใจแล้วละก้อ เราอาจอยู่ในฐานะลำบากเพียงถ้าเขาเกิดสงสัย หรือผิดสังเกตในตัวฉันขึ้นมา ฉันออกไปนั่งเล่นข้างนอกกับลูก ปล่อยให้แขกทั้งสองได้มีความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ สมองได้แต่นึกเป็นห่วงเรื่องต่างๆนานา เช่น เกิดเขาสังเกตเห็นวิทยุที่หน้าปัทม์หยุดอยู่ที่สถานีต่างประเทศเข้าล่ะ.. หรือ..เรื่องที่เราไม่ได้ติดรูปของท่านผู้นำแบบเอิกเกริกอย่างชาวบ้านชาวช่อง..ยิ่งคิดฉันยิ่งโทษพ่อเจ้าประคุณสามีตัวดีนั่น ที่ไม่ได้เป็นห่วงในสวัสดิภาพของฉันเอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละ..เขาจะมาห่วงอะไร ถ้ามีคนจับได้ เขาก็ต้องแก้ตัวว่า ไม่รู้เรื่อง และ แถมจะพาลพาโลว่าถูกฉันหลอกเข้าด้วยอีกคน คนที่ต้องมารับเคราะห์เต็มๆนั่นก็ไม่มีใครที่ไหน นอกจาก ฉันกับลูกเพียงสองคน.. แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนลาจาก..เขาสองคนนั่นได้เข้ามาขอบอกขอบใจฉันอย่างใหญ่โต และไม่มีใครเห็นสิ่งปรกติใดๆอย่างที่หวาดไว้ ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยและอยากรู้อยู่เสมอว่า..การผลิตลูกของพวกเขาในครั้งนั้นได้ประสบความสำเร็จหรือไม่..? ช่วงใกล้คริสต์มาส หน่วยของเวอร์เน่อร์ส่วนใหญ่จะต้องออกสู่แนวหน้าตะวันออก(คือรัสเซีย) แต่..เวอร์เน่อร์ที่ท่าทางฉลาดเฉลียวกว่าคนอื่นๆทั้งที่ดวงตาใช้ได้ข้างเดียวนั่นก็เถอะ ถูกส่งไปยังแฟรงค์เฟิร์ตเพื่อเรียนหลักสูตรเพิ่มเติมพิเศษในฐานะที่ได้รับเลือกให้เป็น"นายทหาร" ก่อนที่เขาจะเดินทางออกสู่แนวหน้าเพียงอาทิตย์เดียว เขาขอให้ฉันเดินทางไปพบและอยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุด ซึ่งฉันต้องนำแม่หนูแอนเจล่าไปฝากไว้กับเพื่อนบ้าน มาดาม ไฮล์ดี้ ชเลเกล ที่โรงแรมเล็กๆที่ไปพักในแฟรงค์เฟิร์ตนั้น ความจริงคือบ้านส่วนตัวที่เจ้าของนำออกมาแบ่งห้องให้ทหารและครอบครัวเช่าชั่วคราว และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า พวกเขาจะให้เกียรติกับเหล่าบรรดาของเมียทหารอย่างสูงสุดเท่าเทียมกับวีรสตรีเช่นนั้นเชียว และเมื่อฉันได้พบกับเวอร์เน่อร์ในเครื่องแบบทหารเต็มยศต่อหน้าต่อตานั้น ความรู้สึกประดังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกว่า อยากจะขำกลิ้ง หรือ อยากจะลมจับกันแน่ ที่คอเสื้อนั่นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เครื่องหมายทองเหลืองที่มันวับนั่นช่างอุบาทว์ตามอย่างไม่มีอะไรเทียบ ไอ้นกอินทรีย์ ไอ้เครื่องหมายสวัสดิกะที่สร้างมาเพื่อที่จะครองโลก..... เขาปราดเข้ามาพร้อมที่จะโอบกอดแนบทรวงอก..แต่ฉันได้เบี่ยงตัวขืนอย่างสุดฤทธิ์ เพราะไม่สามารถทำใจให้เข้าใกล้ไอ้เครื่องแบบเพชฆาตนี่ได้ จนกว่าเขาจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่..เราจึงได้นั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่สามารถจะสร้างความรื่นรมย์ให้กับบรรยากาศได้มากที่สุด คุณผู้ฟังต้องเข้าใจในสถานะการณ์ของตอนนั้นว่า..ชาวเยอรมันบางคนที่ต้องออกไปแนวหน้านั้น หลายคนเครียดจัดถึงขนาดยอมฆ่าตัวตาย บางคนคิดที่จะผูกคอตาย แต่เชือกดันเปื่อยเกินการ ขาดผึงลงมาเสียก่อน เจ้าหมอนี่เลยคิดที่จะกระโดดน้ำตาย..แต่พอกระโดดตูมลงไป กางเกงที่ใช้ผ้าที่มีส่วนผสมของเศษเปลือกไม้ทอนั่นก็บวมขึ้นมา..พาตัวเจ้าของกางเกงลอยฟ่องขึ้นเหนือน้ำ ราวกับเป็นแพชั้นดี สรุปว่า..เจ้านี่เลยต้องกลับมากัดฟันอยู่ต่อไป มาตายสมใจก็คือ อดตาย..เพราะรับส่วนแบ่งปันอาหารได้ไม่เพียงพอ... แต่จะว่าไป..ส่วนที่ตลกอย่างเศร้าที่สุดของชาวเยอรมัน คือ จดหมายที่ส่งมาจากเวอร์เน่อร์ ว่า..ยามที่ได้เดินทางออกไปสู่แนวหน้านั้น กองทัพของเขาได้สวนกับทหารที่หนีทัพกลับมานับพันๆคน พวกเขาต่างตะโกนบอกกันว่า..สงครามใกล้จะถึงที่สุดแล้ว..เราแพ้อย่างย่อยยับ.. เขาลงท้ายว่า...เอาใจช่วยผมด้วยนะ ที่รัก !!! วันหนึ่ง...หลังจากปีใหม่ผ่านไปไม่นาน ฉันได้ยินเสียงประหลาด กุกกักอยู่ที่ชั้นบน ตรงส่วนที่ว่างที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งเพิ่งย้ายออกไป แต่..เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ธุระของตัวเองจึงไม่ใส่ใจ หากแต่..ไม่กี่วันต่อมา..ตำรวจได้กรูกันมาที่หน้าห้องของฉัน... "เฟรา เวทเตอร์ ...เปิดประตูเดี๋ยวนี้ นี่คือตำรวจ " เพียงแว๊บแรก ฉันได้คิดไปถึงว่า คงเป็นเพราะคู่หนุ่มสาวที่เคยมาขอใช้สถานที่นั้นไปแจ้งความเอาเข้าแล้ว.. หรืออาจเป็นเพื่อนบ้านคนใดคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงจากบีบีซีในวิทยุ หรือ...หรือ... โอย...ฉันจะทำอย่างไรดี...??? แต่..ฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องเปิดประตูรับหน้า "อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย..เรามากันนี่เพราะเชื่อว่า ห้องที่อยู่ชั้นบนของคุณนั้น อาจมีทหารหนีราชการแอบมาหลบซ่อนตัวอยู่เมื่อคืนนี้ คุณได้ยินเสียงอะไรข้างไหม?" ฉันแอบถอนหายใจยาว...โล่งอกไปที "ไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ หลับสนิท" "งั้นฝากเป็นหูเป็นตาด้วยนะครับ หากได้ยินหรือเห็นสิ่งผิดปรกติอะไรละก้อ กรุณาแจ้งด้วย" "ค่ะ ด้วยความยินดี" พวกเขาโค้งคำนับให้อย่างงาม ก่อนที่จะลาจากออกไป... สถานีบีบีซีได้กระจายข่าวเป็นระยะ และในเย็นวันหนึ่ง ผู้ออกรายการคือ Thomas Mann นักประพันธ์รางวัลโนเบล (หนังสือชื่อดังอย่าง The Magic Mountain และ Death in Venice) ธอมัส มานน์ ได้อยู่ในคาลิฟอร์เนีย เป็นผู้ที่ต่อต้านนาซีขนานแท้ และครั้งนี้คือครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสได้ยินเสียงของเขา... "สวัสดี ชาวเยอรมันที่กำลังรับฟังอยู่... ถ้าสงครามคราวนี้ได้ถึงจุดสิ้นสุด แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่า ทุกอย่างจะจบสิ้นตามไปด้วย สิ่งแรกที่กำลังจะตามมา..นั่นคือ การเอาผิดต่อพวกอาชญากรสงคราม จากอาชญากรรมที่พวกเขาได้ก่อขึ้นมา โดยที่พวกประชาชนอาจไม่เคยได้รับทราบมาก่อน เพราะ พวกเขาได้ปิดหูปิดตาประชาชนให้โง่งมมาอย่างช้านาน หรือ อาจเป็นเพราะว่า พวกท่านเองได้มีส่วนช่วยด้วยการไม่ยอมรับรู้ เพื่อที่จะสนองจิตใจอันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวโดนสันดานของมนุษย์ก็เป็นได้....สำหรับพวกท่านที่กำลังฟังเราอยู่ ...ฟังให้ดี..ว่า..ที่ เมดาเนค (Maidannek, Lublin ที่ Poland) หรือที่เรียกว่า ค่ายกักกันนั้น มันไม่ใช่ค่ายกักกันธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่มันคือ ค่ายนรกที่ฆ่าคนทิ้งรายวัน มันมีตึกที่สร้างด้วยหิน..ทำเป็นโรงงานที่มีปล่องไฟ..นั่นคือ สถานฌาปนกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชาวยุโรปกว่าห้าแสนคนที่มีทั้ง หญิง ชาย เด็ก ต่างถูกฆ่าให้ตายด้วยยาพิษ และถูกส่งเผาให้เป็นผุยผงวันละกว่าพันคน ปล่องไฟของโรงงานนรกนี่จะส่งควันสู่ท้องฟ้าอย่างไม่มีวันหยุดวันหย่อน... กองทัพปลดแอกของสวิสได้รายงานมาว่า..ค่ายกักกันที่เอ๊าชวิทซ์ และที่ เบิร์คเนา นั้นมีการทารุณแบบไม่น่าเชื่อต่อสายตาว่าจะมีขึ้นมาในโลก เศษกองกระดูกมนุษย์ท่วมเป็นภูเขาเลากา เฉพาะในเยอรมัน..ยิวจำนวนหนึ่งล้านเจ็ดแสนกว่าคนได้ถูกฆ่าตายอย่างทารุณนับตั้งแต่ เดือน เมษายน 1942 จนถึงเดือน เมษายน 1944...." โอย...ไม่จริง...ไม่จริงงงงง....ไม่เชื่อ...เอาที่ไหนมาพูด...พอ พอเสียที...หยุดพูด.....(ฉันอื้ออึงกับตัวเอง ราวกับคนบ้าคลั่ง) แต่เสียงของ ธอมัส มานน์ ยังดำเนินต่อไป...ว่า "กองชิ้นส่วนที่เหลือ หรือ ที่จมดินอยู่จะถูกรื้อเก็บขึ้นมา และจะส่งพวกเขากลับไปฝังในผืนแผ่นดินเยอรมัน..." โอย...แม่จ๋า...แม่อยู่ไหน...??? "เราจะบอกท่านว่า..อะไรได้เกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้นบ้าง มันคือ การยิงทิ้ง การทรมานอย่างทารุณ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแนวรัสเซีย ที่ไม่ละเว้นแม้แต่เด็กเล็ก.." ฉันนิ่งขึงตะลึงอยู่เป็นนาน จนกระทั่งเสียงร้องจ้าของแอนเจล่าได้ดังขึ้นมา ฉันก็ยังไม่สามารถทรงตัวให้ลุกขึ้นมาได้ ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมด.. เสียงของแอนเจล่าเริ่มหวีดดังขึ้น ซึ่งฉันเองก็อยากจะส่งเสียงหวีดตาม...หากแต่..มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากกระแสความคิดที่มองเห็นแต่ภาพมารดาผู้เป็นที่รัก ในยามที่ดีใจ หัวเราะสนุกสนาน ให้ความอบอุ่นต่อลูกๆ แล้วจะมากลายเป็นเถ้าถ่านอย่างปัจจุบันทันด่วนได้อย่างไร...ยิ่งคิด ก็ยิ่งใกล้บ้า... มาถึงตรงนี้ ..สำนวนที่เรียกพวกยิวที่หลบซ่อนอยู่ว่า "ยู-โบ๊ท" นั้น ช่างตรงใจเสียจริงๆ เพราะฉันรู้สึกตัวได้ถึงความเป็นยู-โบ๊ท ก็ในคราวนี้เอง.. มันช่างอึดอัดเหมือนลอยล่องอยู่ใต้ทะเล ที่ไม่รู้ว่าจะถึงจุดจบเมื่อไร และ คนที่อยู่รอบกายต่างก็คือศัตรู ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน หรือ พ่อค้าแม่ค้า ที่ต่างก็พร้อมจะสนองนโยบายของฮิตเล่อร์ในการช่วยกำจัดยิวด้วยกันทั้งนั้น ฉันไม่รู้ตัวเลยว่า นั่งจมอยู่กับตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ก็นานพอ...จนแอนเจล่าร้องจนหลับไป... วันต่อๆมาที่ผ่านไปจนเป็นอาทิตย์ ความรู้สึกของฉันวนเวียนอยู่แต่กับแม่..จนฝันถึงออกบ่อยๆ บางครั้งเหมือนกับว่าแม่มาอยู่ด้วยใกล้ๆ บทโคลงกวีที่เคยอ่านให้กับปู่ในวันเกิดสมัยเมื่อยังเป็นเด็กๆ ได้กลับคืนมาสู่ความจำอีกครั้ง... ยามที่แอนเจล่าหัดคลานได้..ฉันได้ยินเหมือนเสียงของแม่ที่ปรบมือให้ และ บอกว่า.. "เก่งจริง..หลานยาย..เห็นมั๊ย..อีดิธ อีกหน่อยต่อให้สะพานที่บ้านตาทวดที่สต๊อคเคโร(Stockerau)นั่นก็วิ่งปร๋อ.." |
บทความทั้งหมด
|