เชลย....ตอนแปด
ในที่สุด พ่อก็ตกลงใจให้ฉันได้เข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย ซึ่งประสบการณ์ในช่วงนี้ นับว่าเป็นสาระอนุสรณ์สำคัญยิ่งในชีวิตเด็กผู้หญิงอย่างฉันทีเดียว
            เพราะนี่คือครั้งแรกที่จะได้มีการพบปะกับพวกเด็กผู้ชายในชั้นเรียน ไม่ได้หมายความถึงเรื่องรักๆใคร่ๆแบบชู้สาวหรอกนะ รับรองได้
            เด็กผู้หญิงในยุคนั้นยังยึดถือในเรื่องการรักษาพรหมจารีอย่างเคร่งครัด หากแต่มันเป็นเรื่องของการท้าทายความสามารถต่างหาก

            คุณจะต้องเข้าใจนะว่า เด็กผู้ชายในยุคนั้น เป็นที่รู้และยอมรับกันว่า คือผู้ที่เรียนมากกว่า อ่านหนังสือมากกว่า คิดได้ลึกซึ้งกว่า  มีอิสระไปไหนมาไหนได้มากกว่า..
            และนั่นเท่ากับว่า ฉันกำลังจะมีเพื่อนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ สนทนากันอย่างรู้เรื่องในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วรรณคดี หรือแม้กระทั่ง
            ช่วยกันสร้างสรร..กอบกู้สังคมความเป็นอยู่ที่แย่ๆของประชาชนให้กลับมาอยู่ดีมีสุขเหมือนเดิม..

            วิชาคำนวน  ฝรั่งเศส  ปรัชญา คือวิชาโปรดที่ฉันจดโน๊ตตามด้วยการเขียนชวเลขซึ่งสามารถอ่านถอดกลับไปมาได้อย่างไม่มีตกหล่น จนจำได้อย่างขึ้นใจ  ไม่ต้องมีการมาอ่านทบทวนกันใหม่
            เพื่อนคนหนึ่งที่มาหาถึงที่บ้านแต่เช้าทุกวันก่อนไปโรงเรียน  เพื่อให้ฉันช่วยสอนวิชาเลขคณิตที่ได้รับมาเป็นการบ้าน
            แม่แอบตั้งสมญาให้เธออย่างเย้าๆว่า "แม่หนูไอน์สไตน์"
            เธออ่อนในวิชานี้มาก..ซึ่งสร้างความหนักใจในการสอนทบทวนชี้แนะ ที่ต้องระวังคำพูดพอสมควร เพื่อไม่ให้เธอรู้สึก"แย่" ไปกว่าที่เป็นอยู่
            แต่ผลที่ได้ตอบรับกลับคืนมา คือ คำชมที่ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกสะอึก..นั่นคือ
            "นั่นซินะ..ทำไมพวกเธอชาวยิวถึงได้ฉลาดจัง"


            ฉันที่กำลังอยู่ในวัยเบิกบาน  สมองเต็มไปด้วยความคิดใหม่ๆ  และเต็มไปด้วยความเพ้อฝันที่จะออกท่องไปในโลกกว้างอย่างหลากหลาย
            เช่น..คิดอยากจะไปผจญภัยในรัสเซีย ไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในท้องไร่ท้องนา ต่อมาก็"พบรัก"กับชายผู้สูงส่ง จนสามารถนำมาเขียนหนังสือจนขายดิบขายดี

            ฉันอาจจะเป็นทนายความ หรือไปให้สูงกว่านั้น คือ ผู้พิพากษาผู้ซึ่งสถิตไปด้วยความยุติธรรม พร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมแก่คนธรรมดาสามัญที่ไม่มีทางสู้
            ความคิดเช่นนี้ได้สว่างวาบเข้ามา เมื่อตอนกระแสของคดี Phillipe Halsmann  กำลังมาแรง จนถึงขนาดใครต่อใครต่างเรียกขานว่าเป็นคดี Dreyfus แห่งออสเตรีย
            เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า นายฮัลสมันน์ และบิดา ได้ออกไปปีนเขา ที่อัลไพน์ ใกล้ๆกับเขต Innsbruck และ ตัวเขาไปเองได้ปีนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวพ่อนั้น เขาไม่เห็นแน่ชัดว่าอยู่ที่ตำแหน่งใด มองลงไปก็ไม่พบ..หากแต่มาพบอีกที ก็เมื่อเป็นศพที่ตกมา นอนแช่น้ำอยู่ในลำธารเบื้องล่าง..
            นายฮัลสมันน์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่จงใจฆ่าพ่อโดยที่ไม่มีหลักฐานใดๆมาประกอบ หากแต่ชาวออสเตรียนทั่วไปต่างพร้อมใจกันที่จะเชื่อ
            เนื่องจาก จำเลยคือ"ยิว" และพวกยิวนั้นได้ถูกตราหน้ามาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้วว่า เป็นไอ้พวกฆาตกรที่ต่างล้วนกลับชาติมาเกิด
            (เช่น จูดาห์ที่เป็นคนหักหลังพระเยชู)

            เมื่อนายฮัลสมันน์ผู้เคราะห์ร้ายได้ปฏิเสธในทุกข้อหา พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองคือผู้บริสุทธิ์ คนสอนศาสนาบางคนถึงกับกล่าวโทษพร้อมสาบแช่ง
            ให้เขาต้องโทษถึงกับตกนรกหมกไหม้มากกว่าที่จูดาห์ได้รับเสียอีก ในฐานที่จับได้แล้วยังบังอาจโกหก
            ตำรวจบางคนก็เล่าว่า วิญญานของผู้พ่อได้มาปรากฏร่างให้เห็น และ ชี้ตัวไอ้ลูกชายทรพี ราวกับลอกเรื่องเทพนิยายที่กษัตริย์แฮมเลทที่ออกมาปรากฏร่างกล่าวโทษพระโอรสอย่างไรอย่างนั้น



            ฟิลลีป ฮัลสมันน์ ได้ถูกส่งตัดสินว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา โดยต้องโทษไปทำงานเป็นกรรมกรแบกหามถึงสิบปี เขาสู้อดทนได้ถึงสองปี
            นาย Thomas Mann ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ได้ออกมาช่วยวิ่งเต้นรื้อฟื้นคดี และ เป็นอันว่าเขาหลุดพ้นจากการต้องโทษที่เหลือ
            ซึ่งนายฮัลส์มันน์ได้ขอเดินทางออกนอกประเทศไปยังโลกใหม่ คือประเทศอเมริกา ที่ซึ่ง..ต่อมา เขาได้ทำงานไต่เต้าจนป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียง..
            คดีนี้..คือตัวอย่างที่จุดประกายความสนใจให้กับฉันอย่างมากมาย จนคิดฝันวาดภาพของตัวเองขณะที่บั่งบัลลังค์ และจะไม่ยอมให้ผู้บริสุทธิ์คนใดต้องได้รับโทษอย่างไม่เป็นธรรม..

            ฉันเคร่งครัดในเรื่องเรียนมาก ไม่เคยหลุดไปจากตาราง นอกจาก..เรื่องพละศึกษาที่เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง แต่ไม่มีใครมาสนใจนักหรอก เพราะใครๆต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
            เด็กสาวตัวเล็กๆน่ารักน่าเอ็นดูอย่างฉันไม่สมควรมีรูปร่างที่แข็งแรงบึกบึนอะไรกันหนักกันหนา

            ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า..พวกผู้ชายต่างก็พากันรุมจีบกันเป็นแถวๆ
            อย่างรายพ่อรูปหล่อ  อันโทน ไรเดอร์ ที่นับถือศาสนาคาทอลิค ที่พยายามคอยสบตาในทุกที่ทุกโอกาส
            หรือ รูดอล์ฟ กิสคา ที่แสนโก้เก๋  ก็แอบเรียกฉันว่า "แม่เทพธิดาผู้ทรงเสน่ห์" อีกทั้งมาขอคำมั่นสัญญาว่า เราจะแต่งงานกันทันทีเมื่อเรียนจบ
            ฉันก็แกล้งตอบตกลงไป
            แต่มีข้อแม้ว่า..ตอนนี้ทุกอย่างจะต้องถูกเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอดก่อน  เพราะรู้ดีว่า ขืนความลับนี้รั่วไหลหลุดไปรู้ถึงหูพ่อเข้า
            ว่า..มีชายหนุ่มที่ไม่ใช่"ยิว"มาขอฉันแต่งงานแล้วละก้อ ความหวังที่จะได้เรียนต่อถึงขั้นมหาวิทยาลัยเป็นอันว่าพังทะลายลงอย่างแน่นอน
            เพราะพ่อไม่มีวันยอม..
            อีกทั้ง สำหรับตัวฉันเองแล้ว..เรื่องการเรียนต่อในระดับสูงสุดนั้น สำคัญกว่า ผู้ชายหน้าไหนทั้งสิ้น !!


            ในชั้นเรียนที่มีนักเรียนถึง 36 คนนั้น มีเพียงสาม ที่เป็นยิว, มี สเตฟี คานาเกอร์, เอมม่า มาคัส, และ ฉัน
            วันหนึ่งมีคนมีขีดข้อความบนโต๊ะของเขาทั้งสองว่า..
            "ไอ้พวกยิว ออกไป..กลับไปปาเลสไตน์ซะไป๊.."
            แต่บนโต๊ะของฉัน..ไม่มีใครมาเขียนอะไร  เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า เด็กหญิงสองคนนั่นเป็นยิวที่มาจากโปแลนด์ที่ดูเป็นยิวอย่างเต็มตัว มากกว่าฉันที่เป็นยิวในออสเตรีย
            นั่นคือปีพ.ศ. 1930

            เอมม่า มาร์คัส เป็นคนที่ถือลัทธิไซออนิสต์ เป็นลัทธิที่ครั้งหนึ่งพ่อเคยยอมให้พวกนี้เข้ามาใช้ร้านของเราเป็นที่พบปะ ชุมนุมกิจกรรม
            และ ได้รับการขยายความให้ฟังถึงเรื่อง
            ความมุ่งมั่นลัทธิในการที่จะก่อร่างสร้างรัฐของชาวยิวในพื้นแผ่นดินอันที่เคยเป็นของพวกเราแต่ดั้งเดิมในประเทศปาเลสไตน์
            พ่อเอง..ยังบอกว่า มันเป็นเรื่องของความฝันลมๆแล้งๆในอากาศ ชาตินี้ไม่มีวันเป็นไปได้

            แต่..ต่อมา..เป็นเพราะกระแสกดดัน  ทั้งในการเหยียดหยาม และ ต่อต้านที่มีอยู่ล้อมรอบ พวกชาวยิวรุ่นใหม่ๆจึงกลับมานิยมและผลักดันลัทธิไซออนิสต์ให้มีความเป็นไปได้อีกครั้ง
            หนึ่งในนั้น คือ ฮันซี่ แม่น้องสาวคนเล็กสุดที่รักของฉันนั่นเอง  ฮันซี่ได้เข้าร่วมกลุ่มกับ ชมรมฮัสโชเมอร์ ฮัทแซร์ ซึ่งเป็นไซออนิสต์สังคมนิยม ที่เธอได้มุ่งมั่นถึงขนาดยอม
            ปวารณาตัวเข้าเรียนขั้นปลุกระดม ในการเตรียมพร้อมที่จะเข้าอยู่ในกลุ่มพลังชนรุ่นแรกสู่อิสราเอล



            สเตฟี คานาเกอร์ เป็นผู้ที่นิยมซ้าย เช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ
            ในวันเสาร์ที่สำคัญที่มีการจัดชุมนุม..ฉันถือเป็นโอกาสขออนุญาตพ่อเพื่อที่นำมาเป็นการ"อ้าง"ว่า
            อยากจะไปร่วมเข้าสังเกตการณ์ ฟังคำปราศรัยของพวกซ้ายจัด..ที่จะออกมาแถลงการณ์ตอบโต้กับ
            รัฐบาลคาทอลิค ดีโมแครตอย่างเผ็ดร้อน..
            แต่แท้ที่จริงแล้ว..ฉันมีนัดจะไปเที่ยวที่ปาร์คกับ
            รูดอล์ฟ กิสคา ต่างหาก
            กลับมา..พ่อถามว่า "ไปฟังอภิปรายต่อต้าน..เป็นไงบ้างล่ะ?"
            "ยอดเยี่ยมเลยค่ะ พ่อ " ฉันรีบเล่าต่ออย่างตื่นเต้นว่า..มีลูกโป่งสีแดงประดับประดาเยอะแยะ ใครๆก็ต่างถือธงสีแดงในมือ พวกนักศึกษาฝ่ายซ้ายต่างก็พากันร้องเพลงปลุกใจ มีดนตรีด้วยค่ะพ่อ ทั้งกลอง..... และ...เอ๊ะ..ทำไมหรือคะพ่อ...?"
            เสียงพ่อเอ็ดตะโรสวนมาลั่น แม่รีบเอาผ้ากันเปื้อนปิดหน้า แอบหัวเราะกิ๊กกั๊ก
            "ก็มันไม่มีการชุมนุมกันน่ะซิ..รัฐบาลประกาศสั่งเลิก..ห้ามการอภิปรายใดๆทั้งสิ้น"
            และนั่นหมายถึงว่า ฉันต้องไปขังตัวอยู่บนห้อง
            เล่นหมากรุกฆ่าเวลากับฮันซี่แม่น้องรัก อีกทั้งยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ทำไม๊..รัฐบาลถึงต้องออกมาห้ามการชุมนุมของสเตฟี่และพี่ชายของเธอ



            เล่ามาถึงตรงนี้ คุณคงมองภาพออกว่า ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องเนื้อหาของการเมืองกะเขาเลยสักนิด
            แต่..กิจกรรมเรื่องการเมืองต่างหากที่เป็นเรื่องสนุกสำหรับฉัน..เพียงเพื่อจะได้พาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มเด็กฉลาดๆ

            ตอนที่ ฉันและมิมี่ พากันเข้าไปร่วมในกลุ่มสังคมนิยมตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ไม่ใช่เพราะมีอุดมการณ์อะไรกับเขาหรอก เพียงแต่อยากที่จะได้มีเพื่อนใหม่ๆ และ มีการสอนร้องเพลงปลุกใจ รวมไปถึงการที่จะได้พบปะกับเด็กผู้ชายที่เก่งๆจากโรงเรียนอื่นๆ เช่น
            ลุคค์เบรียส  โคห์น ผู้ซึ่งหมายมั่นที่จะเป็นนายแพทย์
            หรือ จอลลี่  ซิค ผู้ซึ่งอยากจะเล่นแต่สกีไปจนตลอดชีวิต
            หรือ วูฟกัง โรเมอร์ ที่มีเสน่ห์
            มาถึง โจเซฟ โรเซนเฟลด์ อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่นๆว่า" เปปปิ"

            เปปปิ แก่กว่าฉันเพียงหกเดือน แต่เรียนสูงกว่าชั้นหนึ่ง และมีทีท่าเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ด้วยรูปลักษณ์ที่จัดว่า สูงผอม เพรียว  และด้วยวัยเพียงสิบแปด ศรีษะของเขาก็เริ่ม
            "ส่อแวว"ว่าจะหัวล้านต่อไปในกาลข้างหน้า
            แต่เขามีดวงตาสีฟ้าที่สดใส อีกทั้ง รอยยิ้มแบบเอียงอายน่ารัก
            เขาเป็นคนติดบุหรี่ แต่ก็เป็นคนฉลาด หลักแหลมเกินใครๆ

            ในขณะที่เราได้เต้นรำด้วยกัน ฉันได้แต่คุยฟุ้งถึงแต่เรื่องละครของ Arthur Schnitzler จนเขาแทบหูดับ
            จนในที่สุด เขาได้มากระซิบบอกว่า
            "เสาร์หน้า เวลาสองทุ่ม ออกไปพบกันที่ปาร์ค
            ถนนเบลเวเดียร์นะ"
            "ได้เลย แล้วเจอกันนะ" ฉันกระซิบตอบก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปเต้นวอลทซ์กับ..ซิค..กับโคห์น..กับอันโทน..กับวูฟกัง..และกับรูดอล์ฟ



            พอถึงวันเสาร์ที่นัด ฉันกลับชวนวูฟกังไปช้อปปิ้ง..เผอิญฝนเจ้ากรรมเกิดตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนื้อตัวเปียกโชกไปหมด
            วูฟกังจึงชวนไปที่บ้าน..แม่ของเขา คุณนายโรเม่อร์ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก มีอัธยาศัยงดงามที่สุดคนหนึ่งที่ฉันเคยได้รู้จักมา เธอมาช่วยเช็ดผมให้จนแห้ง
            และ ทำสตอว์เบอร์รี่ราดครีมให้ทาน  พอคุณโรเม่อร์ ผู้พ่อ , คุณลุงฟีลิคซ์ พร้อมกับ อิลเซ่ น้องสาวของวูฟกัง กลับมาถึง
            ทันที่ที่เธอได้สลัดน้ำฝนออกจากร่มในมือ
            เธอก็จัดแจงเลื่อนพรมอออกจากพื้นห้อง ลากเครื่องเล่นจานเสียงออกมาไข ใส่แผ่นเพลงสวิงสุดฮิต..
            และเราทั้งหมดก็ออกเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

            สักพัก..ก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยลักษณะที่เปียกชุ่มไปทั้งตัว..เขาคือ เปปปิ โรเซนเฟลด์ เขามองมาที่ฉันและเอ่ยว่า
            "ผู้หญิงคนนั้น ตกลงกับผมไว้ว่าเรานัดเจอกันที่ปาร์คถนนเบลเวเดียร์  เธอปล่อยให้ผมยืนคอยจนขาแข็งตั้งชั่วโมง ทุเรศชมัด..
            ความจริงที่แม่ผมพูดก็ถูกนะ..ว่าพวกผู้หญิงมักไม่เข้าท่าอย่างนี้ทุกคนเลย"
            เขายืนจ้องเขม็ง ท่ามกลางการเต้นรำและเสียงเพลงก็ยังคงดำเนินต่อไป ฉันรีบกล่าวขอโทษอย่างอ่อนหวาน อ้างว่า ลืมไปจริงๆ
            "มะ..งั้นมาเต้นรำกับผมซิ..แล้วผมจะบอกว่าผมกำลังโกรธคุณมากขนาดไหน"

            วันรุ่งขึ้นต่อมา เด็กชายนามว่า ซูริ เฟลล์เน่อร์ ได้นำจดหมายมายื่นให้ถึงบ้าน  จดหมายฉบับนั้นลงชื่อโดยวูฟกังและเป๊ปปิ ข้อความว่า
            เขาทั้งสองต้องการคำตอบจากฉัน ว่าจะเลือกระหว่างคนไหน ซึ่ง เขาต่างก็พร้อมที่จะรอรับคำตอบอย่างลูกผู้ชายที่ฉันเลือกใคร..
            อีกคนหนึ่งก็จะยอมหลีกทางให้อย่างโดยดี
            คำตอบที่ฉันเขียนตอบลงไป นั่นคือ เลือกวูฟกัง โดยการส่งคืนไปทางทูตหัวใจตัวน้อยคนเดียวกับที่นำจดหมายมา

            สองสามอาทิตย์ต่อมา..ฉันและครอบครัวได้ไปพักผ่อนภาคฤดูร้อนที่ภูเขาตามเคยเช่นทุกปี ลืมไปสนิทว่า ได้ตอบ"รับรัก"ไว้กับวูฟกัง
            โชคดีเหลือเกิน ที่เขาก็"ลืม"เรื่องนี้เช่นกัน..!!



            ในปีสุดท้ายของการศึกษาที่ฉันต้องไปค้นหาตำราของ Nietzsche เพื่อมาประกอบการเขียนเรียงความ จึงต้องไปที่หอสมุดแห่งชาติ
            และขากลับต้องแวะรับมิมี่ เพื่อกลับบ้านด้วยกัน
            จู่ๆ เป๊ปปิก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบราวกับแมว
            เขายิ้มอายๆเหมือนเคยก่อนที่จะยื่นมือมาช่วยถือตำรา และ ถือโอกาสเข้ามาเดินเคียงข้าง
            "คุณเคยมาที่หอสมุดฯนี่หรือเปล่า" เขาชวนคุย
            "ไม่เคยเลย"
            "งั้นดีเลย..ผมไปที่นั่นบ่อยๆ เพราะได้สมัครเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย และขอบอกว่า ข้างในกว้างขวางใหญ่โตนัก  ถ้าคนไม่ไม่เคยมาหรือไม่รู้จักละก้อ หลงแน่นอน ให้ผมช่วยพาคุณไปจะดีกว่า"

            และเราก็พากันเดินคุยกันไปตามทาง..ที่ผ่านวัง..ผ่านสวนสาธารณะที่ลานเต็มไปด้วยนกพิราบ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงบอกเวลาจากหอนาฬิกา
            "งานที่ฉันทำนั้น ยาว..ค่อนข้างยุ่งยาก ที่ต้องใช้บทสรุปของเหล่าผู้รู้เช่น Karl Marx และ Sigmund  Freud"
            " แล้วของ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ล่ะ คุณไม่สนใจหรือ?"
            "ตานั่นน่ะเหรอ..เค้าไม่ใช่อัจฉริยะนี่..เค้าเป็นเพียงคนบ้าที่ชอบแหกปากปาวๆต่างหาก"
            "นั่นซิ..แต่มันคงเป็นเพราะยุคนี้ ที่ประชาชนยังแยกไม่ออกหรอกว่า อะไรคืออัจฉริยะ อะไรคือบ้า.."
            "ไม่จริงหรอกกระมัง เพราะฉันได้อ่านหนังสือ Mein Kampf ที่เขาเขียน กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ Alfred Rosenberg ขนาดฉันเป็นคนที่ไม่ลำเอียงในด้านความคิด..ยังคิดว่า ก่อนที่จะเขียนอะไรหรือ โจมตีใคร ก็น่าจะมีข้อมูลให้ครบทุกด้านเพื่อเป็นความยุติธรรม พออ่านไป อ่านไป จึงพอมองออกว่า ไอ้หมอนี่มันปัญญาอ่อน
            คิดได้แค่การใส่ความว่า ชาวยิวคือผู้ที่ทำให้สายเลือดของชาวอารยันได้แปดเปื้อน และเป็นพิษ จนกระทั่งเยอรมันต้องแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.. คนมีความคิด มีสมอง ใครจะไปเชื่อคนหน้าโง่อย่างฮิตเล่อร์
            อีกหน่อยก็เขาก็ต้องสลายตัวไป"
            "อ๋อ..อย่างพวกแฟนเก่าๆของคุณอย่างงั้นซิ?" เปปปิรีบยิ้มรับ..ฉวยโอกาสเย้าเล่นอย่างได้ที


            พอตกบ่าย..เราแวะพักจิบกาแฟ และชิมเค้กอร่อยๆ ดังที่ใครต่อใครในยุคนั้นนิยมกัน  เขาคุยถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ฟังมากมาย เช่นเรื่องการเรียน เหล่าคณาจารย์
            และอนาคตที่เขาหวังว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมาย

            จากมุมหนึ่งของกลางสวนสาธารณะถนนเบลเวเดียร์
            ดูงามจัด..ยามแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบยอดหลังคาโบสถ์นั้นเปล่งประกายแวววาว
            เปปปิไม่ได้สนใจฟังว่าฉันได้กำลังพูดว่ากระไร
            หากแต่เขาชะโงกหน้ามาใกล้ จนสามารถยื่นปากมาจุมพิตฉันได้อย่างบางเบา..
            ความรู้สึกนึกคิดหยุดชะงักกึกราวกับสมองเป็นอัมพาต..
            วางหนังสือในอ้อมแขนลงกับพื้น ก่อนที่จะรวบตัวฉันเข้าไปจูบอย่างจริงจังและดูดดื่ม..
            สรุปว่า..บ่ายนั้นเราไม่ได้ไปที่หอสมุดตามที่ตั้งใจไว้ และ ฉันลืมไปสนิทด้วยซ้ำเลยว่า ต้องแวะไปรับมิมี่ตามนัด
            (ซึ่งเธอไม่เคยยกโทษให้เลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยไปหลายปีแล้วก็ตาม)
            และแล้ว..สิ่งที่ เปปปิ  โรเซนเฟลด์ ได้กล่าวไว้ก็เป็นความจริงในไม่นานต่อมา..ที่ว่า..เหล่าบรรดาแฟนๆเก่าของฉันก็ได้อันตรธานหายวับไปจนหมดสิ้น !!

            *******ที่พูดถึง  คดีของ Dreyfus นั้น เลยจะมาขยายตรงนี้ค่ะ

            Alfred Dreyfus เป็นทหารฝรั่งเศสยศร้อยเอกที่มีเชื้อสายดั้งเดิมเป็นยิวจากแคว้นอัลสาซ  รับราชการในปี 1894 และต้องสงสัยว่าเป็นสายลับให้กับเยอรมัน
            เนื่องจากที่เขาเป็นยิว และทำงานอยู่ในหน่วยงานข่าวกรอง
            จึงมีการกล่าวโทษและมีการสร้างหลักฐานว่า ลายมือของเขานั้นตรงกันกับในเอกสารลับที่ค้นพบได้ในตระกร้าขยะของหน่วยงานในกองทัพเยอรมัน
            ไม่ว่าเขาจะอ้างตัวว่าบริสุทธิ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ ศาลทหารก็ได้ตัดสินให้เป็นผิดในฐานะกบฏขายชาติ  ถูกถอดยศ ถูกส่งตัวไปจองจำที่ Devil's Island ที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของอเมริกาใต้
            จากนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ใช้กรณีนี้โจมตีพวกยิวอยู่ตลอดเวลา

            แต่ต่อมาก็ได้พวกที่สำนึกผิดพยายามอออกมาปกป้องและพยายามรื้อฟื้นคดีให้ความเป็นธรรมกับเขาใหม่ แต่..ไม่เป็นผลสำเร็จ
            จนกระทั่ง..Emile Zola  นักประพันธ์ชาวยิว ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล ได้เขียนบทความเรื่องราวในของเขา ชื่อว่า “J’accuse!”
            อีกทั้งเขียนบทความเปิดเผยการใส่ใคล้ของกองทัพฝรั่งเศสในการ"จับแพะ"
            จนมีการปลุกกระแสให้สอบสวนย้อนหลัง
            ในที่สุดก็พบว่า..มีการสร้างพยานและหลักฐานเท็จโดย  lieutenant colonel Hubert Henry
            ซึ่ง นายพันโท  ฮิวแบรต์ อองรี ได้ฆ่าตัวตายหลังจากที่การสอบสวนเสร็จสิ้น

            ในเดือนกันยายน 1899  ประธานาธิบดีได้ออกมาให้การนิรโทษกรรมแก่  Dreyfus หากแต่ยังมิได้อนุญาตให้นำตัวกลับมายังฝรั่งเศส
            จนกระทั่ง ปี 1906  สิบสองปีหลังจากความทนทุกข์ทรมาน เขาจึงได้กลับมาพร้อมกับการคืนยศของทางราชการ



            ไม่ว่าจะไปไหน..เปปปิมักจะว้อบแว้บอยู่ในรัศมีใกล้ๆไม่ว่าจะในชั้นเรียน ห้างร้าน หรือ ตามคาเฟ่  ถึงแม้จะไม่เห็นตัว แต่ฉันรู้สึกได้ถึงประสาทสัมผัส เช่นบางครั้งรู้สึกเย็นๆที่หนังศรีษะ หรือ ที่หลังท้ายทอย
            และเมื่อหันไป..เขามักอยู่แถมนั้นและจ้องมองมาเสมอ
            เขาไม่ใช่คนที่ชอบเจ๊าะแจ๊ะ  พูดจาเป็นงานเป็นการ
            นี่คือสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเขามากกว่าใครๆเพราะชื่นชมในความเป็นผู้รู้ของเขาที่สามารถคุยและปรึกษาได้ทุกเรื่อง และเชื่อว่าเขาคือคนที่"ใช่"เลย
            ซึ่งไม่นาน ฉันก็ตกหลุมรักเขาอย่างหมดใจ ไม่เคยคิดถึงใครอื่น..

            รูดอล์ฟ กิสคา ชายที่ฉันเคยให้สัญญาว่าจะแต่งงานด้วยในสมัยเด็กๆนั้น..จดหมายมาว่า..บัดนี้เขาได้ไปเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในเชคโกสโลวาเกีย และ กำลังจะเข้าร่วมขบวนการพรรคนาซีของ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ผู้ซึ่งเขาเลื่อมใสว่า ทุกอย่างที่นายอดอล์ฟพูดมาคือความจริงทั้งหมด รวมทั้งเรื่อง"ยิว" ดังนั้น เขาจึงขอคืนสัญญาที่เคยทำกันไว้..
            ฉันรีบตอบกลับไปด้วยความยินดี





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:27:17 น.
Counter : 816 Pageviews.

0 comments
แมงลัก unitan
(23 ส.ค. 2567 06:47:35 น.)
ทำไมต้องจดสิทธิบัตร และ ข้อดีข้อเสียของการจดสิทธิบัตร ปัญญา Dh
(9 ส.ค. 2567 19:28:53 น.)
Vehicle cyberlearn
(8 ส.ค. 2567 11:35:42 น.)
เครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียนสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่ ปัญญา Dh
(9 ส.ค. 2567 04:15:34 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Wiwanda.BlogGang.com

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]