เชลย....ตอนสี่ ขณะที่จาคกำลังตื้นตันต่ออิสรภาพที่ได้รับ..มีใครคนหนึ่งได้เข้ามาตบที่บ่าเขาเบาๆ เขาหันขวับไปดู เห็น ภาพชายผมแดง หน้าตกกระ ตาสีฟ้า..ลางเลือนอยู่ในม่านน้ำตา..ก่อนที่จะรู้สึกตัวใดๆ เขาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของโมเนคเพื่อนรักที่คิดว่าล้มหายตายจากไปแล้ว และนี่คือครั้งแรกของสามปีแห่งความเป็นเชลย ที่เขาร้องให้จนสะอื้นฮักๆ
โมเนคมีสภาพไม่ต่างกับจาคมากนัก ซึ้ายังแย่กว่าเพราะต้องเดินกระเผลกเนื่องจากโดนซ้อม เขาเล่าว่า ได้พาตัวไปซ่อนหลบในโรงนอนที่ไกลหูไกลตา เพื่อจะรอรักษาตัวให้หาย และสรุปสั้นๆ ว่า "คุณอย่าไปรู้มันเลย ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เอาเป็นว่าตอนนี้เรารอดตายแล้ว..อย่างที่ผมบอกไว้ไงล่ะ?" พวกเพื่อนนักโทษช่วยกันตัดวงจรลัดไฟฟ้า เพื่อให้ประตูหน้าค่ายได้เปิดออก.. จาคและโมเนคคือสองคนแรกที่เดินออกไปสูดดมเอากลิ่นของอิสระภาพให้ฉ่ำปอด พวกนักโทษอื่นๆ ต่างไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน ต่างก็รอกองทัพรัสเซียมาช่วยในการปลดแอก แต่จาคและโมเนค ตัดสินใจไม่คอย เขาอออกเดินไปข้างหน้า จัดการปลดแอกให้กับตัวเอง ยามนั้นคือยามเช้า ที่คนทั้งสองออกเดินมาตามทาง ไอน้ำค้างยังคงอ้อยอิ่งเรี่ยเหนือพื้นดิน เสียงนกการ้องเพลงไพเราะรื่นหู จาครู้ดัว่าเขาทั้งสองคงเดินต่อไปไม่ได้ไกล เพราะกำลังวังชาแทบไม่มีเนื่องจากสองวันมานี้ อาหารยังไม่ได้ตกถึงท้อง.. หลังจากข้ามเนินลูกแรก ทั้งคู่ก็ต้องพบกับสิ่งมหัศจรรย์ นั่นคือ กองสัมภาระของทหารที่ทิ้งเรี่ยราดอยู่บนถนน ที่มีทั้ง รถบรรทุก รถมอเตอร์ไซค์ ปืน..และที่สำคัญคือ ม้าเทียมเกวียน ที่ทั้งจาคและโมเนครีบปีนขึ้นไปนั่ง..พลางคิดในใจขำๆ ว่า "ม้านี่ช่างมีบทบาทต่อชีวิตของเขามากพอดู นับตั้งแต่ตอนต้องกินเนื้อม้าตอนที่อดอยาก และต้องมาเข็นเกวียนแทนม้าตอนที่ย้ายค่ายมานี่ และตอนนี้..ได้ใช้ม้าในยามที่แทบจะเดินไม่ไหว.. ไม่กี่ไมล์ต่อมา เขาก็พบกับค่ายกักกันอีกค่ายหนึ่ง..ที่ไม่มีทหารหรือยามเหลืออยู่เช่นกัน..เขาเดินเข้าไปในประตูที่เปิดอ้าอยู่ ข้างใน มีกลุ่มพวกผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมเหลือแต่กระดูก และนี่เป็นครั้งแรกที่จาคได้พบกับมนุษย์ผู้หญิงในระยะเวลาสามปีมานี่ แค่เงาของเขาทั้งสองที่พาดผ่าน ผู้หญิงกลุ่มนั้นถึงกับหวาดผวา แต่พอมาเห็นเขาในชุดนักโทษทั้งหมดก็กรูเกรียวเข้ามารายล้อม นักโทษที่นี่ส่วนใหญ่คือชาวยิวจากฮังการี.. จาคประกาศว่า..ทุกคนเป็นอิสระแล้ว..เราได้รับการปลดปล่อยแล้ว..!! เสียงแปลข้อความได้ถ่ายทอดต่อๆ ไป..จากนั้น เสียงไชโยโห่ร้องได้ดังขึ้นอย่างกึกก้อง..บางคนทรุดตัวลงนั่งร้องไห้.. ข้างนอกค่ายไม่ไกลนักเป็นหมู่บ้าน ซึ่งเมื่อจาคและโมเนคได้เดินทางไปถึงที่นั่น ชาวบ้านเยอรมันต่างก็มองเขาเพราะสภาพที่โทรมผอมเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าที่รุ่งริ่ง..แต่ไม่มีใครสนใจที่จะพูดด้วย เพราะต่างคนต่างขมีขมันโยกย้ายของขึ้นรถลาก เพราะข่าวที่ว่ารัสเซียกำลังมานั้น สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนอย่างมากมาย จาคได้พบกับร้านขนมปัง เขาเดินเข้าไป หญิงสูงวัยที่กำลังเรียงขนมปังขึ้นหิ้งถึงกับต้องผงะหงาย ดวงตาเหลือกลานด้วยความตกใจที่เห็นคนทั้งสอง จาคถามขึ้นเบาๆ ว่า "คุณนายครับ ทหารไปไหนหมดขอรับ" "เขาหนีไปหมดแล้ว..เพราะข่าวว่า รัสเซียกำลังจะมา ใครๆ ก็กลัวเพราะฮิตเล่อร์ไปทำเขาก่อน" "ผมต้องการขนมปังสักก้อน ขอความกรุณา" "รู้แล้วละว่าพวกคุณคงมาจากค่าย..เอาไปเถอะ หยิบไป" ทั้งสองหนุ่มหยิบขนมปังมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ..มันอร่อยราวกับอาหารทิพย์ มันเป็นขนมปังแท้ๆ ที่ไม่มีขี้เลื่อยเจือปน.. เขารวมรวมความกล้า ขอร้องหญิงชราคนนั้นว่า "คุณนายครับ ขอขนมปังเพื่อไปให้คนที่ค่ายได้ไหมขอรับ" "เอาซิ..เอาไปเลย เพราะฉันก็กำลังขนของออกจากเมืองเหมือนกัน" คนทั้งสองได้นำขนมปังขนขึ้นเกวียนไปแจกจ่ายให้กับนักโทษที่น่าสงสารเหล่านั้น และนักโทษที่นี่ก็เหมือนกับพวกที่อยู่ในค่ายที่แล้ว..กล่าวคือ ไม่มีใครกล้าออกไปไหน ต่างก็คอยกองทัพรัสเซียให้มาช่วยปลดแอก..
สองหนุ่มก็เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง คราวนี้เขาได้พบกับบ้านที่ไม่มีคนอยู่ เจ้าของได้ทิ้งถิ่นฐานหนีไปแต่ทิ้งข้าวของไว้เต็มบ้าน และนี่คือครั้งแรกที่จาคได้สัมผัสกับความเป็นบ้าน.. ในสภาพของเขาที่โทรมซีด เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหา แต่มายืนอยู่กลางบ้านที่สวยงาม ใต้หน้าต่างมีกระถางดอกไม้เรียงเป็นแนว หน้าบ้านมีสวนเล็กๆ ใต้ถุนมีที่เก็บอาหารทั้งเนื้อและผักกระป๋อง และเขาได้พบกับเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านหอมกรุ่น..ก่อนที่จะจัดการกับมัน เขาได้เข้าชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้านด้วย "สบู่หอม" และ "ผ้าเช็ดตัวผืนนุ่ม" และเสื้อผ้านักโทษหมายเลข 16013 นั้นเขาสลัดทิ้งมันไปอย่างไม่ใยดี เพราะ..มันเปรียบเสมือนกับประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำอันเลวร้าย จาครีบจัดบ้าน ชวนเพื่อนนักโทษมารวมอยู่ด้วย ในคืนแรกพวกเขากินอาหารกันอย่างเต็มคราบ ตบท้ายด้วยลูกกวาดที่ห่อในกระดาษสีสวยที่ไปค้นเจอมาได้ ต่อมาในวันเดียวกันนั้น...กองทัพรัสเซียก็เดินทางมาถึง เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็เข้าครอบครองพื้นที่ทั้งหมด และพวกทหารต่างมาแสดงความยินดีกับ พวกนักโทษเดนตาย..และบอกว่าจาคและเพื่อนจะอยู่ในบ้านนั้นานเท่าไหร่ก็ตามแต่ใจ คืนนั้นเป็นคืนแรกที่จาคได้นอนอยู่บนเตียงที่มีฟูกอันอ่อนนุ่ม..หมอนที่ยัดใส้ด้วยขนห่าน แต่เขาหลับไปได้แค่ครึ่งคืน..ก็ต้องลงมานอนกับพื้นตามความเคยชิน หลายวันต่อมา ปัญหาคือ สภาพภาวะขาดแคลนของอาหาร ที่ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันหมด พื้นที่ส่วนใหญ่ในเยอรมันนี ถูกบอมบ์จนเสียหายไปหมด ฮิตเล่อร์ฆ่าตัวตายหนีเวรไปแล้ว.. เหล่าบรรดาขุนพลคู่ใจก็กินยาตายตามไปมั่ง..ถูกจับมั่ง..หลบหนีไปมั่ง พวกสัมพันธมิตรได้จัดการแบ่งเยอรมันออกเป็นสี่ส่วนแบ่งการปกครองดูแลระหว่าง.. ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ อเมริกัน
โมเนคและจาคต่างมีความหวังอยู่สองอย่าง..นั่นคือ หนึ่ง..รักษาร่างกายให้แข็งแรง โดยการต้องหาแหล่งอาหารมาจุนเจือร่างกาย สอง..เมื่อแข็งแรงดีแล้ว..ก็ต้องออกตามหาครอบครัวที่กระจัดกระจาย และเมื่อข่าวมาเข้าหูว่า เมืองแฟรงค์เฟิร์ตฝั่งที่อเมริกาดูแลอยู่นั้น มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เขาและโมเนคลงทุนเดินทางด้วยเท้า และโบกรถจนไปถึงที่หมาย และที่นั่น ได้มีการจัดตั้งศูนย์ผู้อพยพ โดยใช้สถานที่ดัดแปลงมาจากค่ายทหาร ที่ศูนย์ได้ให้การบริการทุกอย่าง เช่นที่พัก อาหาร ยาและแพทย์ และที่สำคัญคือ มีการให้บริการหาคนที่สูญหายที่สามารถมาตรวจรายชื่อได้ทุกวัน ซึ่งจาคได้ลงทะเบียนตัวเองเอาไว้แล้ว.. แพทย์ได้ตรวจร่างกายของเขา และพบว่า ฟันทั้งปากเสียหมด เนื่องจากการขาดสารอาหาร ซึ่งต้องถอนออกถึงเจ็ดซี่ และส่วนสูงของเขาคือ ห้าฟุต เจ็ดนิ้ว..น้ำหนัก 80 ปอนด์ จาคจำได้ดีว่า เมื่อชั่งน้ำหนักครั้งสุดท้ายนั่นคือ ตอนที่อายุ 12 ที่เขาอาจจะไม่สูงเท่านี้ แต่น้ำหนักของเขาตอนนั้นคือ 110 ปอนด์ ไม่นานโมเนคก็ได้พบกับพี่ชายทั้งสอง ที่คนหนึ่งได้รอดตายมาจากค่ายนรก อีกคนหนึ่งได้พลัดเข้าไปในรัสเซียและสมัครเป็นทหารมารบกับเยอรมัน ก่อนที่พวกเขาจะมาร่ำลากับจาคเพื่อที่จะออกไปจากแฟรงค์เฟิร์ตนั้น..ทั้งสองเต็มไปด้วยความรักและอาลัย เพราะเท่าที่มีชีวิตเหลือรอดมาถึงนี่ โมเนคนับว่ามีบุญคุณกับจาคไม่น้อย.. จาคได้ย้ายออกจากที่พักในศูนย์ เขาได้มาแบ่งห้องเช่าในบ้านของหญิงเยอรมันที่ต้องเลี้ยงลูกเล็กและแม่ที่ชรา ส่วนสามีของเธอออกไปแนวหน้าและสูญหาย จาคได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระเช่น ช่วยซักผ้า และแบ่งบัตรอาหารที่ได้มาจากศูนย์ลี้ภัย "เขาทั้งหมดน่าสงสารมาก เธอต้องเลี้ยงทั้งบ้านอีกทั้งในยามนั้นไม่มีใครสงสารชาวเยอรมันเลยแม้แต่น้อย ผมก็หวังว่า สักวันหนึ่งสามีเขาคงจะกลับมา"
ข้อปฏิบัติสำหรับชาวฮิบรู สัตว์ที่กินได้และไม่ได้ พระเจ้าตรัสว่า บรรดาสัตว์ที่เราสร้างแล้วมอบให้เป็นอาหารของเจ้า และเจ้ากินสัตว์นี้ได้คือ สัตว์มีเท้าแยกเป็นกีบด้วยบดเอื้องด้วย แต่ถ้ามีลักษณะอย่างเดียว ไม่ครบทั้งสองอย่าง กินไม่ได้ เช่น อูฐ เท้ากีบไม่ผ่า แต่บดเอื้อง หรือหมู เท้ากีบผ่า แต่ไม่บดเอื้อง กินไม่ได้ มันเป็นสัตว์ไม่สะอาด อย่ากิน อย่าถูกต้อง สัตว์น้ำที่มีครีบต้องมีเกล็ดด้วย กินได้ ถ้าไม่มีหรือไม่ครบ กินไม่ได้ มันเป็นสัตว์น่ารังเกียจ สัตว์ฟ้าที่กินไม่ได้ เช่น นกอินทรี นกตะกรุม เหยี่ยว กา แร้ง นกกระจอกเทศ ห่าน นกช้อนหอย นกขาบ นกกระสา ค้างคาว มันน่ารังเกียจ สัตว์ที่เลื้อยและคลานด้วยเท้าทั้งสี่ กินไม่ได้ น่ารังเกียจ เช่น เห็น หนู เ_ย ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งจก จิ้งเหลน แย้ งู สัตว์ที่มีเท้ามาก เช่น กิ้งกือ สัตว์มีปีกและคลานด้วยเท้า กระโดดได้ ก็กินได้ เช่น จักจั่น ตั๊กแตน จิ้งหรีด อย่าถูกซากสัตว์ จะเป็นมลทิน อย่ากินเลือด ให้ปุโรหิตหรือผู้บูชาประพรมเลือดบนที่บูชา อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ตายเอง หรือถูกสัตว์อื่นกัดตาย เพราะเป็นมลทิน อย่าผสมสัตว์ให้มีลูก อย่าหว่านพืชปนกันในนา อย่าใช้เสื้อผ้าป่านปนขนแกะ เมื่อปลูกต้นไม้มีผล ในระหว่าง 3 ปี ไม่ให้กินผล ในปีที่ 4 ให้ถวายพระเจ้า ในปีที่ 5 เจ้าจึงกินได้ อย่ากินเนื้อสัตว์ที่มีเลือด อย่าใช้เครื่องราง อย่าดูฤกษ์ยาม อย่าตัดผมหรือหนวดให้กลม อย่ากรีดเนื้อเพราะคนตาย อย่าสัก อย่าให้ลูกหญิงเป็นคนชั่ว อย่าแสวงหาทางของหมอผีและแม่มด คนทรงผีและแม่มดต้องฆ่าเสีย ผู้ใดด่าแช่งพ่อแม่ ต้องฆ่าผู้นั้น อย่าใช้เครื่องชั่งที่ไม่เที่ยง
บัญญัติสำหรับปุโรหิต 1. อย่าทำตัวให้เป็นมลทินด้วยศพคนตาย 2. อย่าโกนหัว อย่าตัดหนวด 3. เป็นคนบริสุทธิ์ 4. ต้องมีเกียรติสูง 5. มีภรรยาเป็นหญิงพรหมจารี 6. เผ่าพันธุ์ของปุโรหิตผู้พิการจะปฏิบัติพระเจ้าไม่ได้
อันนี้แถม บัญญัติ 10 ประการ (Ten Commandmends) คือ 1. เจ้าจงอย่ามีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเรา 2. เจ้าจงอย่าสร้างรูปเคารพสำหรับคนเป็นสัณฐานรูปใดๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้า อากาศเบื้องบน หรือแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้ ปฏิบัติรูปนั้นๆ ด้วยเราคือ ยะโฮวาฮ พระเจ้าเบื้องบน ของเจ้า เป็นผู้หวงแหน ให้โทษของบิดา ซึ่งชังเราติดถึงลูกหลาน กระทั่ง 3-4 แต่แสดงกรุณาต่อผู้ที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราหลายพันชั่วอายุคน 3. อย่าออกนาม ยะโฮวาฮ พระเจ้าของเจ้าเปล่าๆ ด้วยผู้ที่ออกนามของพระองค์ท่านเล่นเปล่าๆ นั้นพระเจ้าจะไม่ปรับโทษก็หามิได้ 4. จงนับถือวันสะบาโต (Sabbath day) คือ วันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานของเจ้าให้เสร็จใน 6 วัน (ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์) แต่วันที่ 7 เป็นวันสะบาโตของพระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นจงอย่าทำงานใดๆ คือเจ้าเองหรือบุตรธิดาของเจ้า หรือทาสของเจ้า หรือบรรดาสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกผู้อาศัยอยู่ข้างในประตูเมืองของเจ้า ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าได้สร้างฟ้าแผ่นดิน และทะเล และทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่ทั้งปวงนั้น พระองค์ทรงเหนื่อยมาก จึงทรงพักในวันที่ 7 เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงอวยพรแต่วันสะบาโต และทรงถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์ 5. จงนับถือพ่อแม่ของตน เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานอยู่บน แผ่นดินที่พระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ประทานแก่เจ้า 6. อย่าฆ่าคน 7. อย่าล่วงประเวณีในลูกเมียของเขา 8. อย่าขโมย 9. อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้านของเจ้า 10. อย่าโลภอยากได้เรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภอยากได้เมียของเพื่อนบ้าน หรือทาสของเขา โค ลา ของเขา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ของเพื่อนบ้านนั้น
วันหนึ่งที่เขาแวะไปที่ศูนย์เพื่อที่จะตรวจหารายชื่อและขอรับบัตรปันอาหาร สายตาเขาไล่ไปตามรายชื่อ และพบกับชื่อของ Arek Mandelbaum ซึ่งเขาตื่นเต้นมาก ตามหาชายคนนั้นจนเจอ ปรากฏว่า เขาคือลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะปู่คือพี่น้องกันแท้ๆ อเรคเล่าว่า พี่ชายของเขา โรเบิร์ตที่ถูกส่งไปตัวไปค่ายก็รอดชีวิตเช่นกัน และ อาซิคมันด์ น้องชายคนเล็กของพ่อจาคยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์ผู้ลี้ภัยในเมืองมิวนิค ข่าวนี้ทำให้จาคตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การเดินทางที่จะไปหาถึงมิวนิคนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะถนนหนทางเละเทะเพราะร่องรอยของระเบิด รถไฟที่ยังใช้การได้มีไม่กี่ขบวน..แต่ อุปสรรคแค่นั้นไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ จาคดั้นด้นไปพบกับอาสุดที่รักพร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติ..อาเล่าว่า "อาได้ถูกส่งตัวไปที่ค่ายนรกเอ๊าช์วิทซ์ก่อน..และย้ายไปที่ สตุทท์ฮอฟ ที่นั่น..อาได้ทราบว่า พ่อของหลานได้สิ้นใจในวันที่อาไปถึงนั่นเอง น่าเสียดายจริง เพราะอีกเดือนเดียวเราก็ได้รับอิสรภาพ" จาครับฟังด้วยความตื่นตะลึง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งสูญเสียพ่อไป และกว่าจะทำใจยอมรับได้เป็นเวลาที่นานแสนนาน และการติดตามหาสมาชิกที่เหลือของครอบครัวยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง.. วันหนึ่งขณะที่เขาเดินอยู่ในอาณาบริเวณของศูนย์ เขาได้ยินเสียงของสตรีคนหนึ่งที่คุ้นหูอย่างเหลือเกิน แต่เธอผู้นั้นได้เดินขึ้นอาคารไป มิทันได้เห็นหน้าค่าตา เขาจึงต้องรอ จนกว่าเธอจะกลับลงมา.. และเมื่อเวลานั้นมาถึง..ทั้งสองก็โผเข้ากอดกันแน่น.. น้าฮินดา น้องสาวคนเล็กของแม่ ที่เคยมาพักอยู่กับครอบครัวของเขาทีละนานๆ ในบ้านที่กาดิย่า น้าฮินดาได้ถูกส่งตัวไปที่ค่ายเอ๊าชวิทซ์ หลังจากที่สามีเธอได้ไปอยู่ที่นั่นก่อนถึงสองปี.. "ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า..คุณหนูอย่างน้าฮินดา คนที่ไม่เคยต้องทำอะไรเลยในชีวิต จะเอาตัวรอดได้จากค่ายนรก แต่พ่อ..ที่เก่งราววีรบุรุษกลับเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวงและลิขิตจากฟ้าจริงๆ "
ทันทีที่จาคสามารถจัดการเรื่องเดินทางได้ เขารีบเดินทางไปยังประเทศโปแลนด์อันเป็นที่รัก เพื่อสืบหาญาติที่เหลือ การเดินทางของเขานั้นเป็นไปถึงสามครั้ง เพราะต้องไปมาระหว่างเยอรมันเพื่อการติดตามเรื่องรายชื่อกับศูนย์ และ ขอรับการช่วยเหลือจากสภากาชาดและยูเอ็น.. แต่การเดินทางไปโปแลนด์แต่ละครั้งนั้น ช่างยากเย็นแสนเข็ญ เพราะทางรถไฟยังเดินไม่ได้สะดวก สะพานขาด แต่ละขบวนการเดินทางมีผู้โดยสารแออัดยัดเยียด นั่งกันแม้บนหลังคา..พอถึงช่วงสะพาน ผู้โดยสารทั้งหมดต้องเดินลงลุยน้ำในลำธาร เพื่อจะไปขึ้นรถไฟขบวนที่มารับจากอีกฟากหนึ่ง.. เมืองกาดิย่า ยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีการบอมบ์ใดๆ เกิดขึ้นถึงแม้ว่าฮิตเล่อร์จะใช้ตรงนี้เป็นท่าเรือ หากแต่บ้านที่เขาอยู่นั้น ข้าวของถูกขโมยหายเกลี้ยง โรงงานปลากระป๋องของพ่อรัฐบาลก็เข้ามายึดกิจการ เมืองที่ปู่อยู่..บ้านที่มีระเบียงที่เขาเคยออกมายืนดูการเคลื่อนขบวนของกองทัพนาซี ถามถึงปู่..ชาวบ้านตอบว่า พวกนาซีเข้ามากวาดต้อนชาวยิวไปกว่าสองพันคน โดยที่เอาไปยิงทิ้งนอกเมือง และโยนศพใส่หลุมฝังหมู่..แต่เนื่องจากกระสุนนัดเดียวบางครั้งไม่ได้ทำให้คนตายในทีเดียว ข่าวว่า หลุมฝังศพนั้นมีการเคลื่อนไหวถึงสองวันกว่าจะหยุด.. ในหมู่บ้านที่พี่ยาจาไปช่วยเลี้ยงลูก ให้กับน้าสาว น้าเขยนั้น ชาวบ้านเล่าว่า พวกนาซีมาเกณฑ์ไปทุกคนตอนต้นปี 1942 ยกเว้นพี่ยาจา เพราะ เธอต้องเลี้ยงเด็ก แต่ตอนปลายปี..พวกนั้นกลับมาอีกครั้ง..คราวนี้มีการเกณฑ์ระลอกสอง ซึ่งพี่ยาจามีทางเลือกสองทางคือ ทิ้งเด็ก แล้วไปอยู่ค่ายกักกัน ไปเป็นแรงงานทาส หรือ ไม่ทิ้งเด็ก แต่ทั้งคู่จะต้องถูกส่งเข้าห้องรมแกส ซึ่งเธอเลือกประการหลัง..คือ อุ้มเด็กเข้าไปตายด้วยกัน ตอนนั้น พี่ยาจาของเขาอายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น.. เส้นทางสุดท้ายในการตามหาญาติของเขาคือ หมู่บ้านลุงที่เขา แม่ และน้อง เคยไปอาศัยอยู่ ความจริงที่เขาได้รับนั่นก็คือ.. ในวันนั้น วันที่เขาได้ถูกคัดตัวไปรวมกับชายหนุ่มคนอื่นๆ เพื่อเข้าค่าย..แม่ จาคอบและครอบครัวของลุงถูกทิ้งไว้ในโรงเบียร์ถึงสามวันโดยที่ไม่ได้กินอาหารหรือน้ำ และในวันที่สามนั้นเอง ที่ทุกคนถูกต้อนให้เดินไปถึงสี่ไมล์..เพื่อจะขึ้นรถไฟไปยังค่ายนรกเอ๊าซวิทซ์ การเดินทางใช้เวลาเพียงครึ่งวัน เชื่อว่า..แม่และจาคอบถูกส่งตัวเข้าห้องมรณะในบ่ายวันเดียวกันนั้น.. จาครู้อยู่แก่ใจดีว่า..แม่คงไม่ยอมปล่อยมือไปจากจาคอบอย่างแน่นอน แม้จะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต..!! จนบัดนี้หรือบัดไหน จาคก็ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครอบครัวไปอย่างโหดร้ายและทารุณ..ไม่ว่าจะไปไหน เขาชอบมองคน..มองหาคน.. เผื่อว่า อาจจะมีใครบางคนที่ให้ข้อมูลผิดพลาด เขาบางคนอาจยังไม่ตาย..อาจมีรอดชีวิตออกมา.. แม้กระทั่งกาลเวลาผ่านมาห้าสิบกว่าปีนี่แล้ว..จาคยังไม่เลิกการมองหา..!! เขาพูดออกมาจากหัวใจว่า "ใครเล่าจะลืมความทุกข์ระทมได้ มันตามหลอกหลอนไปในทุกขณะจิต สมองผมวนเวียนไปด้วยคำถามต่างๆ นานา เช่น..ถ้าพ่อรู้ว่าเพียงอีกเดือนเดียว เราจะมีอิสระ พ่อจะทนอยู่รอหรือไม่? ถ้าพี่ยาจายอมทิ้งเด็ก..ทุกวันนี้พี่อาจจะยังมีชีวิตอยู่..หรือ..ในตอนที่ประตูห้องมรณะนั่นได้ปิดลง..แม่กำลังคิดอะไรอยู่.. มันไม่มีอะไรเหลือสำหรับผมในยุโรป..ผมอยากจะหนีมันไปให้ไกลแสนไกล ทุกที่มีแต่ความเลวร้ายสุดที่จะทน ผมไม่เหลือใครเลย ครอบครัวที่เคยอบอุ่นต้องมาแตกสลาย ด้วยน้ำมือของฮิตเล่อร์และพวก ถ้าผมรู้สักนิดว่า จะเหลือชีวิตรอดออกมาแล้วต้องมาเจอกับความสูญเสียขนาดนี้..ผมคงไม่ทนมาถึงวันนี้หรอก" หนึ่งปีหลังจากที่ทุกคนได้รับอิสรภาพ จาคได้เตรียมเอกสารพร้อมสำหรับการเดินทางไปสู่แผ่นดินใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากประธานาธิบดี แฮร์รี่ ทรูแมน ได้ออกกฏหมายเข้าเมืองว่าด้วยนักโทษที่รอดจากค่ายนรก สามารถเดินทางไปอยู่อเมริกาได้ด้วยโควตาถึงหนึ่งหมื่นคน ในเดือนมิถุนายน 1946 จาคและเพื่อนๆ นักโทษอีก 600 คนได้เดินทางโดยเรือของกองทัพเรือสหรัฐข้ามมหาสมุทรแอทแลนติค ในกลุ่มของเขา มี อเรค โรเบิร์ต อาซิคมันด์ ทั้งหมดพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย เมื่อถึงที่ท่าเรือ นิวยอร์ค สมาคมชาวยิวได้มาต้อนรับ และได้จัดสถานที่ให้อยู่ในรัฐแคนซัส แต่ละคนได้รับเงินติดกระเป๋าคนละ ห้าเหรียญ พร้อมทั้งตั๋วรถไฟ.. จาคได้ทำงานแทบในทันทีที่ไปถึง..คือการเป็นภารโรงทำความสะอาดในห้างขายเสื้อผ้า.. ทั้งหมดรวมกันเช่าบ้านอยู่ พอมีเวลากลางคืนก็ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สมาคมยิว ในปี 1952 จาคได้เปลี่ยนไปเป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว..เขาสู้ยอมทำงานหนัก ตั้งหน้าตั้งตา เก็บเงิน จนสามารถนำน้าฮินดาและครอบครัวของเธอมาอยู่ด้วยกัน สิบปีต่อมา..จาคได้กู้เงินเพื่อมาซื้อห้างที่ทำงานอยู่ และเปลี่ยนไปเป็นบริษัทนำสินค้าเข้าในภายหลังจนได้รับความสำเร็จ เขาได้แต่งงานกับคราวเดีย ปัจจุบัน..มีลูกเจ็ดคน หลาน สิบสอง ในการเดินทางเพื่อธุรกิจ..จาคได้พบปะกับโมเนคเป็นครั้งเป็นคราว เพราะโมเนคได้ย้ายมาอยู่อเมริกาในปี 1950 ที่นิวยอร์ค เขาแต่งงานกับ เอริกา มีลูกชายสองคน และไม่เคยกลับไปยุโรปอีกเลย..และถึงกับประกาศว่า "จ้างให้ล้านนึงก็ไม่ไป" จาคและโมเนคยังคงติดต่อกันอย่างเสมอๆ เพราะ ทั้งสองถือว่าต่างเป็นเพื่อนตายของกันและกัน..
ครั้งหนึ่งที่จาคได้ไปร่วมในกิจกรรมพบปะนักโทษเดนตายค่ายนรก..มีคนได้มาบอกเขาว่ามีคนอยากจะพบ เมื่อเขาไปตามนั้น ปรากฏว่า เขาคนนั้นคือ ซาเลค เพื่อนนักโทษที่เขาเคยให้บัตรอาหาร ชาเลคได้โอบกอด พร้อมทั้งพูดว่า.."ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารที่คุณจุนเจือ ผมอาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ขอบคุณมากจาคเพื่อนรัก" อาซิคมันด์ แต่งงาน มีลูกสาวสองคน และเป็นเจ้าของตลาดของชำเล็กๆ มาเกษียณเมื่อปี 1999 เมื่ออายุได้ 89 ปี และปีนั้น จาคได้พาอาซิคมันด์ไปโปแลนด์เป็นครั้งแรกหลังสงคราม ทั้งสองอาหลานต่างไปเยี่ยมอนุสรณ์สถานที่ที่บรรพบุรุษถูกฆาตกรรม รวมทั้งค่ายเอ๊าชวิทซ์ที่ปัจจุบันกลายเป็นมิวเซียม ที่เขาต้องตอบคำถามใครๆ เสมอ..ว่า..ทำไมพวกยิวถึงไม่มีการขัดขืนต่อสู้ ทำไมจึงได้ยอมให้เขาฆ่าอย่างง่ายดาย "ความจริงแล้ว..พวกเราได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง หากแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ได้มีการเตรียมแผนการมาดี..เริ่มตั้งแต่การเหยียดผิวทีละนิด จากนั้นก็จำกัดสิทธิ..และเลยมาเป็นการสังหารหมู่ ทุกคนต่างก็คิดว่า ฮิตเล่อร์คนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มาก และถ้ารุนแรงจนเกินไปนัก..ชาวยุโรปอื่นๆ คงทนดูไม่ได้ จะต้องยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอน " คนที่รอดมาหลายๆ คน ไม่อยากจะเล่าเพื่อทบทวนความหลังที่โหดร้าย..เพราะพวกเขาอยากจะลืม..มันเป็นความปวดร้าว อย่างผมเนี่ย ทุกวันนี้ผมยังเป็นคนที่นอนหลับยาก ฝันร้ายถึงเมื่อสมัยอยู่ในค่าย ทั้งหนาว ทั้งหิว.. บางทีผมก็ฝันว่าผมตายไปแล้ว ถูกยิงบ้าง ตกหน้าผาตายบ้าง.. แต่เมื่อผมตื่นมา มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษสุดที่ได้รอดมาจากเหตุการณ์ร้ายๆ นั่นได้ และนี่คือเหตุผลที่ผมอยากจะเล่า อยากจะพูดให้คนเข้าใจได้รู้ซึ้งถึงว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเราชาวยิว เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำให้กับผู้สูญเสียทั้งหมดในครอบครัวของผม"
คนที่ผ่านเหตุการณ์นี้มา มักมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายด้วยกันทั้งนั้น กล่าวคือ มีอาการจิตผวา ประสาทหลอน ส่วนทางร่างกาย ในกรณีของจาคจัดว่ายังน้อย ที่เป็นแต่โรคข้อ กระดูก และปวดสันหลัง เขาบอกว่า "แทบไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าร่างกายคนเราจะมีความทนทานต่อความทุกข์ทรมานได้ถึงเพียงนั้น..เช้าวันหนึ่งไม่นานมานี้ ผมจะออกไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่ลานจอดรถ ผมยังต้องเตรียมใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ หมวก ถุงมือ อีกใจหนึ่ง..ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อก่อนครั้งที่เป็นนักโทษ ที่ผมมีเพียงเครื่องแบบบางๆ แต่ออกไปทำงานอยู่กลางหิมะเป็นวันๆ ทำไมยังทำได้..? แต่ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนั่นคือ สุขภาพจิต..เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ทุกครั้งที่จาคผ่านไปโรงเรียนในสมาคมยิว เห็นเด็กที่กำลังเดินเรียงแถวตามคุณครู เขามักเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึง ตัวเนื้อสั่นเทาทุกครั้ง.. มันทำให้เขามองย้อนไปเห็นภาพในอดีตที่พวกนาซีได้จับเด็กเดินเรียงแถวเข้าสู๋ห้องมรณะ คนส่วนใหญ่คิดว่า เวลาที่ผ่านไปความจำอาจจะลบเลือน ซึ่งมันไม่เป็นความจริง เพราะยิ่งแก่ตัว ยิ่งสมองว่าง มีเวลาคิดถึงความหลังอันระทมทุกข์ อีกทั้งพยายามแจกแจงถึงรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ผมรู้ว่า อาการเช่นนี้ได้เกิดกับทุกคน เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีบาดแผลในใจทั้งนั้น..บางคนไม่เคยยกโทษให้ตัวเอง เช่นรายหนึ่ง ความหลังของเขาเหมือนๆ กับของผม คือ เมื่อครั้งที่ต้องถูกแยกแถวซ้ายหรือขวา เขาและน้องถูกแยกจากพ่อแม่ เขาเข้าใจว่า พ่อแม่คงจะได้รับการปลดปล่อย จึงส่งน้องไปยืนข้างหลัง แต่แล้ว กลายเป็นว่า ทั้งหมดได้ถูกส่งเข้าห้องรมแกส ทุกวันนี้ เขายังเสียใจไม่หาย และ..ไม่เคยอภัยให้ตัวเอง เรื่องแบบนี้ได้เกิดขึ้นในทุกครอบครัว.. แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ผมไม่เคยปล่อยให้ฮิตเล่อร์มาเอาความเป็นมนุษย์ของผมไปย่ำยี ไม่ว่าเขาจะว่าว่าพวกเราเป็นเศษเดนมนุษย์ขนาดไหน ผมไม่เคยปล่อยให้มันมาทำร้ายจิตใจได้ เพราะผมรู้ดีว่า ผมเป็นใคร.. ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาเช่นใด และ ผมไม่เคยปล่อยให้โมหะจริตมาครอบงำจนถึงขนาด "เกลียด" ใครต่อใครได้ ทั้งๆ ที่..สิ่งที่ได้เกิดกับผมนั้น..มันสามารถสร้างความ "เกลียด" ได้อย่างมหาศาล แต่..ผมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการรู้จักให้"อภัย" พระเจ้าเบื้องบนได้ให้อำนาจมนุษย์อย่างเหลือล้น อำนาจนั้น คือ การเลือกได้ว่าจะเป็นคนดี หรือ คนเลว และ..เมื่อมีคนเลือกที่จะใช้อำนาจในการเป็นคนเลว..มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนดีอื่นๆ ที่ต้องร่วมใจกันป้องกันและหยุดยั้ง และถ้าเราทำได้......................ก็จงถือว่า นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะมาซึ่งสันติสุขแห่งมวลมนุษยชาติ !!
******** บทสรุปจำนวนยิวและยิบซีที่ตกเป็นเหยื่อของนาซี
500,000 คือ กลุ่มยิบซี ที่จัดว่าเป็นจำนวน 1/3 ของประชากร 11 ล้าน คือ ผู้ที่เสียชีวิตในค่ายกักกัน 6 ล้าน คือ ยิวในยุโรป (จากยอดของยิวทั้งหมด 8.6 ล้านคน) 3.5 ล้าน คือ ยิวในโปแลนด์ (ที่มีเหลือรอดเพียงไม่ถึง 10%)
|
บทความทั้งหมด
|