รีวิว “ราชินีศุภยาลัต” จากเสรี่ยงทองสู่เกวียนเทียมวัว



ราชินีศุภยาลัต จากนางกษัตริย์สู่สามัญชน
ชื่อผู้แต่ง : ฟีลดิ้ง-ฮอลล์, แฮโรลด์
ชื่อผู้แปล : สุภัตรา ภูมิประภาส และสุภิดา แก้วสุขสมบัติ
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน

คำโปรย

โลกขนานนามเธอว่า...ราชินีเลือดเย็น แล้วโยนข้อหา “ต้นเหตุ” แห่งการเสียแผ่นดินสิ้นเอกราช

แต่ในแวดล้อมของผู้คนที่เคารพเทิดทูน รักและภักดี เธอคือมิพญา ราชินีผู้อยู่เหนือสตรีอื่นใด

พระนางศุภยาลัตคือตัวละครหน้าเก่าในแวดวงประวัติศาสตร์พม่าและอาณานิคมศึกษา นับแต่ราชอาณาจักรพม่าตอนบนถูกจักรวรรดิอังกฤษเข้ายึดครอง ประดาข้อมูลและความรับรู้ต่างๆ เกี่ยวกับพระนางยังคงเข้มข้นและน่ากังขามาจนถึงปัจจุบันนี้ ถือเป็นบุคคลผู้น่าค้นหาในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ควรค่าแก่การค้นคว้าอย่างยิ่ง

เล่มนี้จะเรียกว่าเป็นชีวประวัติก็ไม่เชิง เพราะไม่ได้กล่าวถึงชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย จะเรียกประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่ เนื้อหายังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ข้อสันนิษฐานเพียงพอ เอาเป็นว่า เล่มนี้ออกแนวเรื่องเล่า เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ก็แล้วกันค่ะ

หากใครไม่รู้จัก “ราชินีศุภยาลัต” ก็ขอเล่าคร่าวๆ ดังนี้

ราชินีศุภยาลัต คือ ราชินีแห่งพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งพม่าค่ะ

เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระนางค่อนข้างมีสีสันมากทีเดียว ในช่วงที่พระบิดาแห่งพระเจ้าธีบอเสด็จสวรรคต ภายในพม่าแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าสนับสนุนบุตรคนนั้นคนนี้ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน (ดูเหมือนพระองค์จะไม่ได้ตั้งรัชทายาท คือ จริงๆ ตั้ง แต่ดันตายเสียก่อนแล้วก็ไม่ได้ตั้งใครอีก) แต่ทีนี้ตัวละครสำคัญก็คือ มารดาของเจ้าหญิงศุภยาลัตนี่แหละ ที่สามารถฉวยโอกาสได้เร็วที่สุด นั่นคือ การสนับสนุนพระเจ้าธีบอให้ขึ้นเป็นกษัตริย์

พระเจ้าธีบอซึ่งเคยอยู่ในร่มโพธิสมภาร บวชเรียนแต่เล็กแต่น้อย แล้วก็เป็นคนเรื่อยๆ ง่ายๆ จึงเป็น candidate ชั้นดีที่จะถูกยกให้เป็นตุ๊กตาเพื่อให้พระนางชักใยโดยการให้แต่งงานกับลูกสาวทั้งสามคน แล้วลูกสาวก็ทะเยอทยานเหมือนแม่ แต่คนที่มีพลังที่สุดที่สามารถครอบงำความคิดของพระสวามีได้ นั่นคือ ราชินีศุภยาลัต ธิดาองค์กลางนั่นเอง

สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือ การสังหารหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ ที่อาจจะกลายเป็นกบฏซึ่งมีพิษภัยต่อราชบัลลังก์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว เขย สะใภ้ ไม่เว้นแม้แต่หลานก็ถูกจัดการเรียบ (แต่เหลืออยู่ 2 คนที่หลบหนีได้)

เป็นคืนที่พิสดารมาก มีวงมโหรีเล่น 3 วัน 3 คืน (มั้ง คือ ออกแนวทำให้ดูมีสีสัน แต่จริงๆ กี่วันไม่รู้จิ) เพื่อกลบเสียงการสังหารหมู่ครั้งนี้ ชาวบ้านได้แต่ขวัญผวาเพราะวงมโหรีใช่ว่าจะเล่นดังได้ตลอดเวลา บางจังหวะก็มีแผ่วบ้าง แล้วมีเสียงของคนถูกฆ่าดังขึ้นมา ซึ่งว่ากันว่าพระเจ้าธีบอไม่รู้เรื่องนี้ คนที่เป็นคนจัดการน่าจะเป็นพระมารดากับลูกสาวสมรู้ร่วมคิดกันจัดการเสี้ยนหนามของตน

เมื่อพระเจ้าธีบอครองราชย์ พระชันษาอยู่ที่ประมาณ 20 ปีเท่านั้น ชีวิตอยู่ในวัง ไม่เคยออกสู่โลกภายนอก ในเวลาที่บ้านเมืองต้องตั้งรับกับศึกนอกอย่างพวกอังกฤษ สตรีที่ยึดครองวังก็เสพสุขกับอำนาจที่มีโดยไม่ได้รู้เลยว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไร บรรดาขุนนาง เสนาบดีก็โกงกินสารพัด เงินที่ให้แก่กองทัพก็หายไปกับกลีบเมฆ เงินที่ใช้บริหารประเทศไปอยู่ในมือขุนนางให้ได้เสพสุข แต่ถึงอย่างนั้นพระนางศุภยาลัตก็ยังเชื่อว่าพม่าแข็งแกร่งที่สุด

จนกระทั่งกาลมาถึงจุดแตกหักที่อังกฤษเตรียมทำสงคราม พม่าภายใต้การตัดสินใจของพระนางศุภยาลัตก็ยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวทำสงครามกับอังกฤษ แล้วผลสุดท้ายก็เป็นที่รู้กันว่านับตั้งแต่นั้น พม่าก็ไม่มีกษัตริย์อีกต่อไป ทั้งพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตถูกเนรเทศออกจากประเทศแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย ส่วนบ้านเมืองของพม่าก็ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษไปครึ่งค่อนศตวรรษ

จากเรื่องนี้ พระนางศุภยาลัต จึงถูกชี้หน้าจากทุกคนว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อาณาจักรพม่าล่มสลาย อาการคล้ายๆ กับที่ชี้หน้าซูสีไทเฮายังไงยังงั้น มือของสตรีที่ไม่ต่างจากกบในกะลาแต่ผยองตนเองเสมือนอึ่งอ่างเป็นคนที่นำพาบ้านเมืองไปสู่จุดจบที่น่าเศร้า ชื่อเสียงในความโหดเหี้ยมที่ประกอบไปด้วยความเขลาของราชินีศุภยาลัตขจรขจายไปไกล

แต่หนังสือเล่มนี้ ต่างจากเรื่องเล่าข้างบน เพราะเป็นเรื่องที่เล่าโดยผ่านมุมมองของนางกำนัลที่อยู่รับใช้ราชินีศุภยาลัต ไม่ใช่จากปากของคนนอกที่มองพระนางเช่นศัตรู

นางกำนัลผู้นี้มีหน้าที่มวนบุหรี่ให้กับพระนางศุภยาลัต เข้ามาทำงานตอนอายุประมาณ 9 ปี แล้วก็จากพระนางศุภยาลัตตอนประมาณ 13 ปี ด้วยความที่เป็นเด็ก ทำให้หลายครั้งได้มีส่วนร่วมอยู่ในการประชุมขุนนางครั้งสำคัญๆ เดาว่าพวกผู้ใหญ่คงไม่ค่อยสนใจอะไรเพราะเด็กคงไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว นางกำนัลคนนี้จึงเป็นปากคำที่น่าสนใจยิ่งสำหรับหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ขึ้นหลังจากที่พม่าเสียเมืองได้ประมาณ 14 – 15 ปี ในความทรงจำของคนก็คงมีอะไรตกหล่นอยู่พอสมควรแหละ

จากมุมมองเดิมที่เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ทะเยอทยานกระหายอำนาจ แต่หนังสือเล่มนี้ ให้มุมมองเหตุผลของการกระทำของพระนางศุภยาลัตคือ

ผัวข้า...ใครอย่าแตะ!

เรื่องเริ่มจากเจ้าหญิงศุภยาลัตรักพระเจ้าธีบอมาตั้งแต่ตอนที่ยังทรงผนวชอยู่ บางครั้งก็ไปทำบุญ ส่งของคาวของหวานให้ ไม่ได้นึกถึงว่าพระเจ้าธีบออาจจะเป็นกษัตริย์ในอนาคต (เพราะเอาเข้าจริง จากลำดับชั้น จากความสามารถ พระเจ้าธีบอคือม้านอกสายตาสุดๆ) แต่จนเมื่อมารดาของเจ้าหญิงยกพระเจ้าธีบอขึ้นเป็นกษัตริย์ นั่นแปลว่าจะต้องสมรสกับพี่สาวของเจ้าหญิง (เจ้าหญิงศุภยาลัตเป็นลูกสาวคนรอง) แต่เพราะความรักนั่นแหละ ทำให้ทำทุกอย่างจนสุดท้ายได้ครองคู่กับพระเจ้าธีบอในที่สุด แต่ยังไม่ใช่ในฐานะราชินีเพราะพระเจ้าธีบอในตอนนั้นยังไม่ผ่านพิธีราชาภิเษก เลยต้องยอมให้แต่งงานกับพี่สาว แต่พี่สาวก็เหมือนเป็นตุ๊กตา แต่งเสร็จก็หมดประโยชน์ เลยให้กลับบ้านไป ทุกคนในวังจึงรู้กันว่าราชินีศุภยาลัตต่างหากคือ ราชินีตัวจริงของแผ่นดินนี้

ทุกอย่างที่พระนางทำหลังจากนี้ มีเหตุผลแค่ 2 อย่างเท่านั้น

1. สตรีใดอย่าได้คิดจะแย่งพระเจ้าธีบอจากพระนาง

2. ใครก็ตามที่ทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าธีบอสั่นคลอน มันต้องถูกกำจัด

เพราะงั้นความเหี้ยมโหดใดๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากความรู้สึกรักและหวงแหนอย่างแรงกล้าของพระนาง นางกำนัลไม่ได้ปฏิเสธความดุกร้าวของพระนาง ราชินีศุภยาลัตเหี้ยมโหด แต่เฉพาะกับคนที่เป็นภัยต่อพระเจ้าธีบอ หรือเป็นภัยต่อหัวใจของพระนางเท่านั้น และความกร้าวนี้ แม้แต่มารดา พี่สาวหรือน้องสาวก็ไม่ได้ยกเว้น

เราเคยมีภาพที่มองว่าสี่แม่ลูกครองงำพระเจ้าธีบอ แต่จริงๆ แล้ว เจ้าหญิงองค์ใหญ่ถูกจับให้อภิเษกเพื่อโบราณราชประเพณี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร ส่วนน้องสาวนี่ยิ่งซวย เหตุมันเกิดจากพระมารดาของพระนางยังคงต้องการมีอิทธิพลต่อบัลลังก์กษัตริย์ (ไม่งั้นไม่ยกพระเจ้าธีบอขึ้นเป็นกษัตริย์หรอก) แต่หมากที่คาดไม่ถึงคือ การที่ลูกสาวคนรองของตัวเองเป็นไม้กันหมา ไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับบัลลังก์ได้ พระมารดาเลยต้องใช้แผนอื่น

แผนที่ว่าคือ จะไปดึงเจ้าชายที่รอดจากการสังหารหมู่มาเป็นกษัตริย์ และเพื่อจะได้มีอำนาจต่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ ก็ตั้งใจว่าจะให้ลูกสาวคนเล็กแต่งงานกับเขา (เจ้าหญิงใหญ่ เจ้าหญิงรองแต่งให้กับพระเจ้าธีบอไปแล้ว) แต่พระราชินีศุภยาลัต แก้เกมโดยการเอาน้องสาวมาแต่งงานเป็นเมียของธีบออีกคนหนึ่งเพื่อตัดหมากในมือของมารดา ดังนั้น ต่อให้ยกใครขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ตาม พระมารดาจะไม่เหลือตัวช่วยที่ทำให้อำนาจของบัลลังก์มาอยู่ในมือได้อีก เจ้าหญิงพระองค์เล็กเลยต้องเป็นเมียพระเจ้าธีบอแบบกล้ำกลืนด้วยวิธีนี้ (เพราะราชินีศุภยาลัตก็เล่นงานน้องสาวที่ถือว่าแย่งเวลาผัวไปจากตนเหมือนกัน ต่อให้ตัวเองเป็นคนยกน้องสาวให้ผัวตัวเองก็ตาม)

จากมุมมองของนางกำนัล ภายในวังสงบสุขมาก เป็นโลกปิดที่ไม่รู้อะไรในโลกภายนอกเลย ยังเล่นทำกับข้าว เล่นซ่อนหากันอยู่ในรั้ววังในขณะที่เหตุการณ์บ้านเมืองภายนอกมันเริ่มตึงเครียดขึ้นแล้ว

ดูเหมือน ‘หูตา’ ของพระนางศุภยาลัตจะอยู่ภายในอาณาจักรมากกว่า คือ ใครก็ตามที่จะมาแย่งบัลลังก์เทือกๆ นั้นน่ะ แต่อาจจะไม่มีสายที่ช่วยเหลือในเรื่องการเมืองนอกอาณาจักรเลย ไม่เคยเห็นว่าอาวุธของอังกฤษเป็นแบบไหน ไม่เคยเห็นทหารของตนเองว่าสู้รบอย่างไร

แม้กระทั่งนำพลออกรบแล้ว ข่าวจริงไม่จริงที่มาสู่พระราชวังก็ไม่อาจยืนยันได้ บางครั้งแม่ทัพที่พ่ายแพ้ก็ส่งข่าวลวงมาบอกว่าตนเองชนะเพื่อไม่ให้ตนเองถูกลงโทษ กลายเป็นว่าพระนางกลับต้องหลอกเด็กเล็กๆ มาถามว่าพ่อแม่พูดยังไงบ้างเพราะรู้ว่าพวกขุนนางหรือข้าราชบริพารไม่กล้ากราบทูลความจริงกับตน แต่สุดท้ายพระนางก็ยังเลือกทำหน้าแช่มชื่นกับพระสวามีว่าอาจจะมีข่าวดีในเรื่องการสู้รบ

จริงๆ แล้วทั้งคู่ก็คือเด็ก เด็กที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ทิฐิที่นึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ใดทำให้ก้าวพลาด ไม่ฟังคำทัดทานจากเสนาบดีหรือขุนนาง แล้วสุดท้ายก็พบกับจุดจบ

กระนั้น คำพูดของพระราชินีที่มีต่อนางกำนัลหลังจากรู้ว่ากองทัพอังกฤษมาจ่อคอหอย ก็คือ ให้พวกกำนัลหนีไป ใครที่มีที่ไปก็ให้ไปจากวังนี้เสีย เพราะตอนนี้พระนางคุ้มครองไม่ได้อีกแล้ว

มุมมองของนางกำนัลที่มีต่อพระนางศุภยาลัต คือ ความนับถือ ความเลื่อมใส ความกลัว ความรัก เพราะไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเขียนถึงพระนางในแง่โหดร้ายแค่ไหน แต่สำหรับนางกำนัลผู้นี้ พระนางก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่รักสามียิ่งกว่าสิ่งใด ที่ต้องดำรงตนท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรดที่หมายตาบัลลังก์พม่า แต่ก็ยังคงมีความเป็นเด็ก ยังคงหาอะไรเล่นสนุกๆ หรือยังเอ็นดูต่อข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิดมาตลอด

นอกจากนี้คือ ตัวแทนของสตรีที่เกลียดเรื่องนอกใจของสามีอย่างที่สุดของที่สุด และบางครั้งก็ช่วยเหลือสตรี (ส่วนมากนางกำนัลที่แต่งงานออกจากวังไป) ที่ถูกสามีไปมีคนอื่นโดยการลงโทษบ้างอะไรบ้าง ถ้าดูในแง่มุมนี้ เหล่านางกำนัลจะรักพระนางก็ไม่แปลกเพราะคนที่อยู่ในความคุ้มครองของพระนาง จะได้รับการปฏิบัติดีกว่าใคร ในทางกลับกัน ถ้าเป็นศัตรูกับพระนาง ก็ถูกฟาดฟันแบบถึงพริกถึงขิงเหมือนกัน

ในตอนท้ายที่สุด นางกำนัลผู้นี้เล่าให้ฟังว่า พระนางศุภยาลัตตีอกชกหัวตัวเอง เสียใจอย่างยิ่งที่ตนเองเป็นคนนำภัยมาสู่พระสวามี นำมาสู่บ้านเมือง จนเมื่อนางกำนัลจำเป็นต้องหนีออกนอกวัง ได้พบพระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยาลัตอีกทีไกลๆ เมื่อทั้งคู่ถูกจับใส่เกวียนที่ชาวบ้านไว้ใช้ขนของ นำสู่ท่าเรือเพื่อเดินทางออกจากพม่าไป เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ของพม่า และเป็นครั้งสุดท้ายที่นางกำนัลผู้นี้ได้พบกับนายเหนือหัวของตนเช่นกัน

เป็นหนังสือที่แนะนำให้อ่าน โดยเฉพาะคนที่เคยอ่าน “พม่าเสียเมือง” หรือรู้ประวัติศาสตร์พม่าจากหนังสืออื่นๆ ของไทยมาก่อนจะยิ่งให้มุมมองที่น่าสนใจเป็นพิเศษค่ะ



Create Date : 24 ธันวาคม 2558
Last Update : 24 ธันวาคม 2558 15:42:49 น.
Counter : 8779 Pageviews.

5 comments
  

มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

เล่มนี้ผมเห็นโปรโมทในเฟสบุ๊คส์เยอะเหมือนกัน ผมติดตามเพจของมติชนอยู่ด้วยนเลยเห็นเล่มนี้บ่อย แต่ผมไม่ได้สนใจเลยเพราะไม่รู้จักว่าราชินีศุภยาลัตคือใคร รู้แต่ว่าเป็นชาวพม่าเท่านั้นเองครับ

เห็นว่ามีจัดสัมนาเรื่องเกี่ยวกับราชินีศุภยาลัตนี่ด้วยครับ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจไปฟังเพราะไม่รู้เลย แต่พอมาอ่านในรีวิวนี้แล้วกลับสนใจขึ้นมาทันทีเลยครับ จขบ. รีวิวได้ยอดเยี่ยมมาก อ่านรีวิวนี้แล้วรู้เลยว่าหนังสือเล่มนี้ดีอย่างไร

ชอบครับ (ชอบรีวิวนี้+หนังสือราชินีศุภยาลัต)

อิอิ

โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 25 ธันวาคม 2558 เวลา:16:57:31 น.
  
@ คุณอาคุงกล่อง -- ขอบคุณที่มาเยี่ยมกันนะคะ แล้วก็ดีใจที่ชอบรีวิวนี้ค่ะ ^^
โดย: peiNing วันที่: 27 ธันวาคม 2558 เวลา:10:21:33 น.
  
ประวัติศาสตร์นี่เปลี่ยนคนเล่า เรื่องราวก็ฉีกไปคนละทิศเลยนะ เวลาชาติล่มสลายมักจะโทษผู้หญิงอยู่เรื่อย ได้เห็นมุมมองแบบนี้บ้างน่าสนใจดี ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ พี่ไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์พม่ามาก่อน อ่านแล้วเห็นเป็นฉากๆ =D จะว่าไปก็แปลกที่เรารู้ประวัติศาสตร์ฝรั่งมากกว่าอาเซียนด้วยกันเอง จำได้ว่าตอนไปอินเดีย ไกด์บอกว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่ามาตายที่อินเดีย ส่วนกษัตริย์องค์สุดท้ายของอินเดียก็ไปตายที่พม่า ยังรู้สึกทึ่งอยู่เลย
โดย: Froggie วันที่: 29 ธันวาคม 2558 เวลา:20:26:17 น.
  
พี่กบ -- พอดีเห็นพี่กบเคยบอกว่ารอรีวิวเล่มนี้ (ใช่ป่าวหว่า) ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ ^^

จริงๆ ในวังของประเทศไหนๆ ผู้หญิงก้าวก่ายอยู่แล้วล่ะ แต่มากน้อยแค่ไหน ออกหน้าออกตาแค่ไหนมากกว่าค่ะ แต่เห็นด้วยเรื่องที่เรารู้ประวัติศาสตร์ตะวันตกมากกว่า เพราะหนิงก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ

ทั้งคู่ถูกเนรเทศไปที่อินเดียและตายที่นั่น ส่วนพระมารดาของพระนางศุภยาลัตยังได้อยู่ที่พม่า แล้วก็มีหลุมศพที่นั่นด้วยค่ะ
โดย: peiNing วันที่: 30 ธันวาคม 2558 เวลา:0:03:45 น.
  
ใช่แล้วจ้า รอรีวิวอยู่ เขียนได้สมใจที่รอคอยเลย ไว้เจอหนังสือหนุกๆ หนิงก็มาแนะนำกันอีกน้า
โดย: Froggie วันที่: 30 ธันวาคม 2558 เวลา:13:39:24 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Peining.BlogGang.com

peiNing
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]

บทความทั้งหมด