เนื่องจากอยู่เฉยๆ กับวงจรชีวิตแบบเดิมๆ
กิน เรียน นอน เล่นเนต
เลยได้แต่พูดว่าไม่มีอะไรจะอัพบล๊อก
พอได้ออกไปทำอะไรบ้างก็เลยเริ่มจะมีเรื่องมาอัพแระค่า ท่านผู้ชมคะ
เมื่อวานตอนบ่าย แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์เฝ้าห้องเช่นทุกวัน
สาวน้อยเจ้า้โปรแกรมก็เ็สนอโปรแกรมสุดโรแมนติกยามบ่าย
ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่เขาเซียงซานกัน
เขาเซียงซานเป็นที่ท่องเที่ยวสำคัญของปักกิ่งอีกที่หนึ่ง
เนื่องมาจากขี้เกียจพิมพ์ จึงก๊อบมาให้อ่าน
เซียงซาน (香山) อยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 20 กิโลเมตร ภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญและโด่งดังก็เนื่องมาจาก ความเป็นสถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิจีนตั้งแต่ราชวงศ์ จิน หยวน หมิง จนมาถึงราชวงศ์หลังสุดคือ ชิง โดยในรัชสมัยของ เฉียนหลงฮ่องเต้ การก่อสร้างพระตำหนักและเก๋ง เพื่อชมทิวทัศน์ขององค์จักรพรรดิได้ขับให้ภูเขาแห่งนี้ให้มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ ช่วงเวลาของการชมใบไม้แดงแบบสมบูรณ์ที่เซียงซาน ในแต่ละปีนั้นนับว่าสั้นมาก คืออยู่ที่ราว 2-3 สัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับว่าอากาศในแต่ละปีเป็นเช่นไร ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้ นักท่องเที่ยวหลายคนผิดหวัง บ้างไปเร็วเกินก็มีโอกาสเพียงได้เห็นใบไม้แดงตัดกับใบไม้เหลือง-เขียวเล็กน้อย แต่หากไปช้าก็ถือว่าเสียเที่ยว เพราะไม่พ้นได้แต่เดินชมกิ่งไม้แห้งๆ
เกือบทุกปีที่เซียงซาน ในช่วงเวลาที่ใบไม้แดงนี้จะมี เทศกาลใบไม้แดง (香山红叶文化节) ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้ชมใบไม้แดงแล้ว ยังมีโอกาสได้เดินเล่นตามถนนขึ้นสู่ประตูทางเข้า โดยตลอดสองข้างทางนั้น มีการขายของที่ระลึก อาหาร ขนมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น สายไหม เนื้อแพะ-นกกระจอกทอด ปอเปี๊ยะ (ชุนจ่วนร์:春卷) มันเผา ข้าวโพดปิ้ง นอกจากนี้ยังเพิ่มสีสันด้วย ศิลปินริมทางที่มาตั้งเก้าอี้รับจ้างวาดรูปเหมือน อีกหลายเจ้า์จริงๆก็กะจะไปหลายรอบละค่ะ
เพราะอยู่ปักกิ่งมานานนม ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย
แต่ความขี้เกียจก็ชนะทุกที เลยไม่ได้ออกไปไหน
เวลาคนถามก็อายเหมือนกัน ห่ะห่ะ
หอที่อยู่ก็ดันมีรถเมล์ตรงถึงที่...ใกล้โคตร..
แต่ก็นะ...กว่าจะได้มา
ก็ถือว่าเป็นแพลนที่ดี...เป็นความคิดที่ดีสำหรับวันว่าง
แต่จากที่กล่าวไปแล้วว่า
เวลาที่คนเค้าไปเที่ยวกัน คือ ปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน
อุตริไปกลางธันวา
ก็
ก็
ก็
ก็หนาวตายสิครับท่าน
เมื่อวานเว็บ msn บอก อุณหภูมิทั้งวันอยู่ที่ -1 ถึง -8 องศาเซลเซียส
แค่เดินจากป้ายรถเมล์ไปเที่ประตูทางเข้า (แปดร้อยเมตรครับพี่น้อง)
จมูกก็เริ่มแดง...ที่สำคัญที่สุด
เท้าในรองเท้าผ้าใบ....มันแข็งจนเจ็บไปหมดเลย
เดินๆไปก็คิดอยู่ว่า...เอ...นิ้วเท้าตูจะหลุดมั้ยฟะนี่
ออกเดินทางประมาณเกือบสามโมง มีแดดประมาณห้าโมงเมืองไทยได้
ถึงหน้าประตูสามโมงครึ่ง แดดหมด
เฮ
แปะรูปคั่นดีกว่า...เดี๋ยวคนอ่านเซ็ง
สาวๆร่วมคณะเดินทาง
มีแดดมันก็หนาวอยู่แล้ว
ไม่มีแดดก็เลยยิ่ง่หนาวขึ้นไปอีก
หลังจากจ่ายตังค์ค่าเข้าคนละสองหยวนครึ่ง(บัตรนักเรียนช่วยชีวิตไว้อีกสองหยวนครึ่ง..ซึ่งก็คือสิบสองบาทครึ่ง)
เราก็เริ่มแก้หนาวด้วยการเดิน
สาวเจ้าของทริปดันมาบอกทีหลังว่า ชีนึกว่าเซียงซานเป็นภูเขาลูกเดียวโด่ๆ
เดินไป ขึ้นๆ ก็ถึงเลย
อ่ะ...คุณน้อง...ไหนบอกหาข้อมูลมาละงายล่าววววววว
ภูเขามันก็ต้องต่อๆกันละมันก็ต้องสูงๆสิค้า
ความสูงห้าร้อยห้าสิบเจ็ดเมตรนี่มันก็ใช่ย่อยน้า
ชาวคณะก็พากันเดินขึ้นไป จริงๆมันมีรถกระเช้าไปถึงยอด
แต่รถมันอยู่ไหนไม่รู้ เดินหาก็ไม่เจอ
พอเดินไปสูงๆละจึงรู้ว่า....มันอยู่อีกฟากนึงของเขา
แต่ว......
ทางขึ้นลงสะดวกสบายดีค่ะ เป็นทางลาดหินราดซีเมนต์วกไปตามเขา
เดินขึ้นจริงๆก็ไม่เหนื่อยมาก
แต่มันหนาวอ่ะ
พอเดินไปถึงจุดชมวิว...ซึ่งคาดเอาเองว่า น่าจะถึงครึ่งเขาแระ
ก็มีการหยุดพักถ่ายภาพกันเล็กน้อย
เวอร์ชั่นแอบถ่ายลิงสองตัว
เค้ามีไว้ออกกำลังกาย...มันก็ไปปีนเล่นกันซะงั้น
(นินทาๆ...โฮ่ๆ)
สงสัยคงเพราะอยู่เฉยๆ ยิ่งหยุดตรงนั้นยิ่งรู้สึกว่าหนาว
พอถามกันว่าจะขึ้นต่อมั้ย
หนูยกมือคนแรกเลย.....ม่ายขึ้นแร้วววววววววววววววว
ก็มันมืดลงๆ หนาวก็หนาว
ตูไม่สุนทรีแล้ว...ตูจากล๊าบบบบบ
สรุปว่าทริปนี้ ก็ไปดูพระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันออกแทน
เพราะเขาบังดวงอาทิตย์ไปละ...ละขึ้นไม่ถึงยอด
เลยอดดู
ฮา
รูปสาวๆระหว่างทางลง: ชอบรูปนี้ว่ะทรายเอ๊ย
ขาลงสงสัยข้าพเจ้าเมาเซียงซาน
น้องสาวในกรุ๊ปเปิดเพลงจากมือถือ...เจ๊เลยทั้งร้องทั้งเต้นลงเขาซะงั้น
คนจีนส่องตรึม
ตูไม่สน เพลงเพราะ อารมณ์ให้ ถือว่าเปิดคอนเสิร์ตลละกาน
"ม่ายช่ายปู้ชาย....ม่ายช่ายปู้ชาย...โว้วโววเย่เย้"
ข้าพเจ้ายามเมาบรรยากาศน่ากลัวยิ่งนัก...รับไม่ได้กรุณาอย่าเข้าใกล้
ไปขึ้นเขา...ก็ต้องถ่ายรูปมุมจากบนเขามั่งเนาะ
ก่อนนั่งรถเมล์กลับหอก็แวะกินข้าวซะหน่อย
ร้านใหญ่ร้านโตไม่รู้เป็นอะไร..ไม่สนใจ
มานั่งกินร้านซาลาเปากะจึ๋งน้อยขนาดสองโต๊ะเล็ก
คือหนึ่งร้านนั่งได้แปดคนอ่ะค่ะ
คีบตะเกียบก็ลำบากโคตร...เพราะมือแข็ง
ไม่สามารถควบคุมมือตัวเองได้เลย(ต๊าย..ถ้าเปลี่ยนมือเป็นหัวใจประโยคนี้จะเน่าขนาดไหนเนี่ย)
กินซาลาเปาเลยต้องเอาตะเกียบจิ้มเอา
เด็กๆพวกนี้ก็กินน้อยกันจริง
เราเลยต้องกลับมานั่งกินขนมเองที่ห้องอีกที
โห่...ไม่อิ่มนี่หว่า
เฮ้ย...ตั้งใจเขียนบล๊อกนำเที่ยว...ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้อ่ะ
เอิ่ม....
งั้นจบละดีก่า
เจอกันใหม่วันหลัง
เอาเพลงไปฟังเพลงนึง
ไม่คิดถาม ของ เฉลียง
มีเพลงนี้ในคอมมาประมาณชาติเศษ...เพิ่งรู้สึกว่ามันเพราะมากกกกกกกกกก
เฮ้อ...
"ฉันไม่เคยคิดถาม ว่ารักฉันอยู่บ้างไหม รู้ดีอยู่ในใจ แน่แท้เธอไม่แลเหลียว"
ได้ข่าวว่าบ้านเราเริ่มเย็นๆลงบ้างแล้ว
ฟังตอนเย็นๆ ครึ้มๆ กินขนมไปด้วย...รื่นรมย์ดีน้อ
(ทำไมต้องกินหนมไปด้วย?????)
รูปในบล๊อกขอได้รับความขอบคุณจาก
กล้องน้องทราย