My grief ช่วงเดือนสองนี้ชีวิตจะหนักไปทางเศร้าสร้อย เพื่อนรุ่นพี่ที่รักมากคนหนึ่งจากไปปกระทันหันด้วยมะเร็งตับ พี่เขาป่วยมาสองสัปดาห์แล้ว แต่ไม่รู้เพราะว่ากลับไปดูแม่ที่ไม่ค่อยสบายเชียงใหม่แล้วก็เพิ่งกลับมา มารู้อีกทีก็ตอนที่โคม่าไปแล้ว....ทำอะไรไม่ถูก คนที่เคยโทรคุยกันทุกวัน จู่ ๆก็หายไปจากชีวิต พยายามบอกตัวเองว่าเขาไปดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ไม่ทรมาน ยังเหลือเราต่างหากที่ต้องต่อสู้ พยายามใช้วิธีหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโชดูจิตเพื่อถอนให้ออกจากความเศร้าให้เร็ว แต่บางทีมันก็ไม่ไหว ต้องปล่อยให้ความเศร้าครอบงำ. ดิ่งลึกลงไปและวนเวียนเสพมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แล้วก็ทำงานไม่ได้...ไม่อยากเขียนอะไร ใจนึกถึงแต่พี่เขา.... สวดมนต์ก็ภาวนาให้ได้เจอพี่เขา ถ้าวิญญาณมีจริงล่ะก็ มาเถอะ มารูปไหนก็ได้ เพราะอยากกล่าวคำอำลากับพี่เขา ทำอะไรก็เศร้าสร้อยไปหมด แต่พอเศร้ามาก ๆแล้วก็เริ่มคิดว่าทำไมต้องเศร้านักหนา เมื่อดู ๆ ไปความเศร้ามันมักจะมาตอนที่คิดถึงว่าเคยโทรไปหากันทุกวัน เวลาเรามีปัญหาหรือมีเรื่องสนุก ๆก็โทรไปหาพี่เขา เวลาเราคิดถึงใครสักคนก็โทรไปหาพี่เขา เศร้าเพราะสงสารว่าพี่เขาเจ็บปวดเพราะเขาเคยบอกว่าเขาไม่อยากเจ็บปวด เศร้าเพราะว่ารู้ว่าเขาถนอมรักชีวิตเช่นไรบ้าง และที่สำคัญเศร้าเพราะว่าคนคนนี้อยู่ในชีวิตของเราและอยู่มาวันหนึ่งไม่มีแล้ว ถ้าเช่นนั้น...ที่แท้แล้ว..ความเศร้าของเราคือความติดยึดหลงใหลกับตัวเราของเรามากกว่าอื่นใด ทำได้จนถึงกระทั่งขอพระให้ได้เจอพี่เขาเพื่อบอกลา เพราะสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ก็คือไม่ได้บอกลา ไม่เจอพี่เขาในตอนที่เขารู้ตัวเองว่าเป็นมะเร็ง และอาการเริ่มทรุดอย่างรวดเร็ว แม้เมื่อเขาโคม่าคิดว่าจะไปเยี่ยมก็ไม่ทันแล้ว พี่เขาสิ้นลมไปก่อน..... นี่ตกลงแล้วมันคือเรื่องค้างคาใจของเรา ความเศร้าก็เลยเป็นปัญหาของเรา...ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพี่เขาสักนิด มันเกี่ยวข้องกับเรา เราที่ยึดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเรา ทุกอย่างต้องมั่นคง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้..... คิดแล้วเลยพาลโกรธตัวเองว่ามันจะเศร้าอะไรกันนักหนา....วะ พอทำใจไม่ได้ก็กลับมาเศร้าอีก วนเวียนกันไปเช่นนี้อยู่หลายวัน แต่วันนี้คิดว่าดีขึ้นแล้ว..... และคงต้องเรียนเรื่องจิต เพื่อเตรียมตัวว่าสักวันหนึ่งมันคงมาถึงตาเรา เราจะได้ไม่ต้องมาหมกมุ่นกับความเศร้าเรื่องความตายของเราเอง....คิดว่านะ ตราบใดที่เขาอยู่ในในเรา
เขายังไม่หายไปไหน ยังอยู่ในความนึกคิด อยู่ในความระลึกถึง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และผลสำเร็จทุกอย่างที่เราลุกขึ้นมาทำทุกวัน โดย: นพดล IP: 210.213.44.13 วันที่: 13 เมษายน 2548 เวลา:14:12:31 น.
โทษทีครับ
ตราบใดที่เขายังอยู่ในใจของเรา โดย: นพดล IP: 210.213.44.13 วันที่: 13 เมษายน 2548 เวลา:14:15:09 น.
ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้ความรู้สึกดีขึ้นแล้ว จะมีบางทีที่นึกถึงก็เศร้านิด ๆค่ะ
โดย: daha (ดาหาชาดา ) วันที่: 23 เมษายน 2548 เวลา:11:34:29 น.
สวัสดีครับ
อย่างนี้ต้องอ่าน The Anatomy of Melancholy ของริชาร์ด เบอร์ตัน ผมก็อ่านก่อนนอนอยู่ทุกคืนครับวันละอวัยวะ ความเศร้าเป็นธรรมชาติของมนุษย์นะ และหากความเศร้านั้นเป็นบททดสอบในชีวิต คุณบุษน่าจะเป็นพวกมนุษย์ที่เกิดมาแล้วมี Higher Self แต่อย่าเพิ่งถามว่ามันเป็นอย่างไรแต่ใดเลย เอาเป็นว่าเกิดมาฃาตินี้เพื่อจะระลึก ตระหนัก และเป็นพวกทำกรรมให้สมดุลย์ได้เสมอกัน มาทีแรกก็ทักอย่างนี้ล่ะ จะเป็นไรไป โดย: O IP: 69.72.143.75 วันที่: 6 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:00:31 น.
Were you cross the world, my dear,
To work or love or fight, I could be calm and wistful here, And close my eyes at night........ -Dorothy Parker มาก่อนป้าอีก ดีใจแฮ่ะ ฮาฮา โดย: O IP: 67.15.76.232 วันที่: 6 พฤษภาคม 2548 เวลา:21:15:23 น.
หวัดดีทุกคนค่ะ ไม่ได้เข้ามานานเพราะงานเยอะมั่กมั่ก ขอบคุณทุกคนนะคะ
คุณโอ จ๋า คิดถึงจังเลย หนังสือทุกเล่มยังอยู่ดีเรียบกริบ ยกเว้น the world according to Garp ลากไปลากมาจนงอไปนิดหนึ่งแล้ว เห็นหนังสือทีไรส่งความคิดถึงไปให้ทุกที โดย: ดาหาชาดา วันที่: 6 มิถุนายน 2548 เวลา:18:14:39 น.
หวังว่า เจ๊ ยังคงเข้มแข็งนะครับ
ระลึกอยู่เสมอ โดย: อาพี IP: 61.91.117.243 วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:8:47:43 น.
คิดถึงอยู่เสมอเหมือนกันค่ะ อาพี
จะติดต่อได้ที่ไหนคะนี่ โดย: ดาหาชาดา วันที่: 25 กันยายน 2548 เวลา:1:03:22 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ที่บ้านเราเคยสอน
บอกว่า ถ้าเราตั้งใจ เค้าก็จะได้ยิน