สอนอย่างไรให้ผู้เรียนเข้าใจและ เข้าถึงใจ ผู้เรียน
ถ้าหากวันหนึ่งเราต้องไปสอนคน จะต้องมีคำถามต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในใจอย่างแน่นอน
จะสอนอย่างไรให้เขาเข้าใจ ?
จะรับมือกับผู้เรียนเจ้าปัญหาได้อย่างไร ?
จะดึงความสนใจของผู้เรียนเอาไว้ตลอดชั่วโมงเรียนได้อย่างไร ?
วันนี้มีหนังสือที่ช่วยตอบคำถามเหล่านี้มาแนะนำค่ะ
สอนเก่ง สอนเป็นโดย Tetsuya Yasukochi
แปลโดย รศ. ดร.ศักดา ดาดวง
จำนวนหน้า 240 หน้า
สอนเก่ง สอนเป็น เล่มนี้แนะนำเทคนิคการสอนภาคปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง โดยครูผู้มีประสบการณ์ทำงานมากว่า 20 ปี และรักงานการสอนเป็นอย่างยิ่ง จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และสร้างบรรยากาศในการเรียนที่สนุกสนาน
แต่ละหัวข้อเป็นหลักปฏิบัติและตัวอย่างจากประสบการณ์จริงในการสอนของผู้เขียน เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการสอนในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการเรียนในห้องเรียน การสอนงาน การบรรยาย การฝึกอบรม
มาดูเนื้อหาของแต่ละบทกันค่ะ
บทที่ 1 การสอน คืออะไร บอกถึงบทบาทที่ผู้สอนควรเป็น สิ่งที่ผู้สอนควรทำให้ได้ รวมถึงเรื่องของมุมมองด้วย เรียกได้ว่าเป็น การเตรียมตัว ให้พร้อมก่อนที่จะไปสอนนั่นเองค่ะ อย่างเช่น บทบาทที่ผู้สอนควรเป็นมี 5 อย่างด้วยกัน ได้แก่ นักวิชาการ นักแสดง หมอดู ศิลปิน และหมอรักษาโรค
บทที่ 2 วิธีการสอนให้ผู้เรียนเข้าใจ กล่าวถึงเทคนิคต่าง ๆ ในการถ่ายทอดเนื้อหาการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ เช่น วิธีกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่จะสอน วิธีการอธิบายแบบเชื่อมโยงเหตุและผล วิธีเสริมความจำ วิธีการพูดให้น่าฟัง รวมไปถึงวิธีการเตรียมเอกสารประกอบการเรียน
บทที่ 3 วิธีการสอนเพื่อสร้างความกระตือรือร้น เป็นเคล็ดลับในการทำให้ผู้เรียนสนใจการบรรยาย ดึงดูดให้อยากเรียน และสร้างความกระตือรือร้น เช่น 7 วิธีดึงดูดใจให้อยากเรียน การสร้างแรงบันดาลใจ การฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การตำหนิที่ทำให้ผู้เรียนอยากเรียน เป็นต้น
บทที่ 4 วิธีการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละบุคลิก เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นในบทนี้จึงแนะนำวิธีสอนที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละประเภท อย่างเช่น ผู้เรียนที่ไม่เคยมีคำถามเลย ผู้เรียนที่ถามตลอดเวลา ผู้เรียนที่มักจะมีคำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะเก่งขึ้น ผู้เรียนประเภทที่สอนเท่าไรก็ทำไม่ได้ ผู้เรียนที่เชื่อมั่นในความคิดตนเองเป็นใหญ่
บทที่ 5 วิธีการสอนต่อหน้าฝูงชน แนะนำเทคนิคต่าง ๆ ในการสอนต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เช่น วิธีการวางเนื้อหาให้น่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ วิธีแก้อาการ ตื่นเวที วิธีการใช้สายตา วิธีการเขียนกระดาน และวิธีการเตรียมการนำเสนอด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
พูดถึงภาพรวมของหนังสือไปแล้ว ต่อไปลองมาดูตัวอย่างจากเนื้อหาบางหัวข้อกันสักหน่อยค่ะ
บทบาทต่าง ๆ ของผู้สอนที่กล่าวถึงในบทที่ 1 นั้น หลาย ๆ คนก็อาจจะพอจะนึกภาพออกได้ใช่ไหมคะว่าแต่ละบทบาทเป็นอย่างไรบ้าง แต่บทบาทหนึ่งที่คงจะทำให้หลายคนสงสัยว่า เอ๊ะ ! มันเป็นยังไงนะ ? ก็คงเป็นบทบาท
หมอดู อย่างแน่นอน
บทบาทหมอดูของผู้สอนในหนังสือเล่มนี้ หมายความว่า ผู้สอนมีหน้าที่ต้องดูแลเรื่อง กำลังใจ ให้กับผู้เรียนด้วย โดยต้องทำให้ผู้เรียนมั่นใจว่า ต้องประสบความสำเร็จแน่ ๆ ! ซึ่งเป็น
การคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความสำเร็จ เพื่อให้ความรู้สึกมั่นใจนี้ฝังลึกอยู่ในใจของผู้เรียน
อย่างเช่น ในกรณีที่ผู้เรียนมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้สอนในฐานะผู้ให้คำปรึกษาต้องขจัดความรู้สึกกังวลและลังเลของผู้เรียนด้วยคำตอบว่า ไม่มีปัญหา หรือ ไม่เป็นไร ทันที
มาดูอีกสักเทคนิคหนึ่งเป็นตัวอย่างนะคะ
เมื่อถามผู้เรียนว่าเข้าใจไหม แล้วคำตอบที่ได้คือ เข้าใจครับ ก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปล่อยผ่านไป เพราะอาจจะเป็นเพียงการตอบตามมารยาทก็ได้ ! ถ้าลองให้ผู้เรียนทำข้อสอบวัดความรู้อาจจะทำได้เพียงแค่ 20-30%
ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดการเรียนในแต่ละวันหรือก่อนที่จะเริ่มเรียนในครั้งต่อไป จึงต้องทดสอบผู้เรียนเพื่อค้นหาว่าผู้เรียน รู้และเข้าใจจริงหรือไม่ ? เรื่องไหนรู้และเข้าใจ แต่เรื่องไหนไม่รู้ไม่เข้าใจ
80% ของคำถามในแบบทดสอบจะเกี่ยวข้องกับบทเรียนที่ได้บรรยายไป และอีก 20% ของคำถามจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ ประมวล และสังเคราะห์เนื้อหาที่ได้เรียนไป จึงจะตอบได้
ผู้เขียนแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ และการทดสอบแบบสั่งสม
1. การทดสอบแบบเป็นครั้ง ๆ เป็นการทดสอบในขอบเขตเนื้อหาที่สอนในครั้งเดียว ไม่รวมถึงเนื้อหาที่เคยสอนไปในครั้งก่อน ๆ
2. การทดสอบแบบสั่งสม รูปแบบจะเป็นดังนี้ค่ะ
ครั้งแรกบรรยายเรื่อง A
ครั้งที่ 2 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบเนื้อหา A ที่สอนไปเมื่อครั้งที่แล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง B
ครั้งที่ 3 ตอนต้นชั่วโมงจะทดสอบทั้งเนื้อหา A และ B ที่สอนไปแล้ว แล้วจึงบรรยายเรื่อง C
ครั้งที่ 4 ตอนต้นชั่วโมง จะทดสอบเนื้อหาทั้ง A, B และ C
...
ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้ความรู้สั่งสมเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อย ๆ
แม้ว่าการทดสอบแบบสั่งสมความรู้จะทำให้ปริมาณเนื้อหาที่ต้องทบทวนมีมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับผู้เรียน แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำค่ะ เพราะประโยชน์ของการทดสอบแบบนี้ก็คือ ทำให้ได้ทบทวนเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนไปอยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง
ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ โปรดติดตามอีกหลาย ๆ เทคนิค แนวคิด แนวทางที่น่าสนใจ เพื่อการสอนที่สมบูรณ์ทั้งการพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้เรียนและความสุขความสนุกสนานในการเรียนในเล่มจริงค่ะ
========================================
เชิญชมหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. ได้ที่
เว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท.