"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 
14 กันยายน 2554
 
All Blogs
 

แนะนำเรื่องสั้น ของ เจียวต้าย ชุด เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา .. ผู้น่าสงสาร



เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

ผู้น่าสงสาร

" เพทาย "



ในสมัยก่อนคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนมากจะมีอาชีพค่อนข้างต่ำ และยากจนค่นแค้น ส่วนน้อยที่เข้ามาค้าขายเป็นเจ้าสัว แต่ทุกคนก็มีอาชีพ แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ และภาษา ซึ่งล้วนแต่ทำงานกันตัวเป็นเกลียว ไม่มีคนจีนนั่งขอทานเลย นอกจากจะมีนักดนตรีจีนคณะเล็ก ๆ สองหรือสามคนที่มีซอเป็นหลัก หรือคณะเชิดสิงห์โตเท่านั้น ที่จะเดินเรี่ยรายไป ตามหน้าร้านค้าของคนจีนด้วยกันเอง ในเทศกาลตรุษหรือสารทจีน

จนกระทั่งถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกที่เป็นพ่อค้าก็กลายเป็นมหาเศรษฐี ส่วนกลุ่มที่ทำมาหากินในระดับรองหรือระดับล่าง ส่วนใหญ่ก็มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ จนแทบจะไม่มีผู้ใดต้องลำบากยากแค้นเหมือนบรรพบุรุษอีกต่อไป เขาเหล่านั้นเดิมเรียกกันว่าลูกจีน แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นคนไทย เชื้อสายจีน

เขาเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความมัธยัสถ์ อดออมถนอมใช้ จนถึงปัจจุบันคนรุ่นที่สาม ก็ได้กลายเป็นไทยแท้และอยู่ในทุก วงการทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นจนถึงระดับบริหารประเทศ

ดังนั้นจึงมีผู้แสดงตนอย่างภาคภูมิใจว่า เขานั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ให้ได้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอมา อย่างมากมาย ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

ส่วนคนไทยที่เป็นไท้ยเป็นไทยนั้น ไม่ค่อยจะมีอะไรโอ้อวดสักเท่าใดนัก นอกจากจะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนในสิ่งต่าง ๆ จนต้องชุมนุมกันเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์กันอยู่บ่อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามสถานการณ์ ซึ่งมักจะก่อความรำคาญให้แก่ผู้บริหารบ้านเมืองอยู่เสมอ

นานมาแล้ว ผมเคยเห็นลูกจีนคนหนึ่งเป็นหญิง บิดามารดามีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ เธอผู้นั้นเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเด่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตอนเย็นที่เธอกลับจากเรียนหนังสือ ยังไม่ทันจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพียงดึงชายเสื้อสีขาวออกนอกกระโปรง สีดำเท่านั้น แม้แต่เข็มเครื่องหมายสถาบันก็ยังไม่ได้ปลดออกด้วยซ้ำไป เธอก็รีบเข้ามาช่วยบริการยกอาหารที่ลูกค้าสั่ง เก็บถ้วยชามไปให้คนล้าง ซึ่งเชื่อว่าเธอได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถม และเชื่อต่อไปอีกว่า ในการเรียนหลายปีที่ผ่านมา บิดามารดาของเธอคงไม่มีเวลาหรือความรู้พอที่จะช่วยเธอทำการบ้าน ดังเช่นที่พ่อแม่ทั้งหลายต้องทำอยู่ในเวลานี้ อย่างแน่นอน แต่เธอก็ได้สอบผ่านเข้าไปจนถึงมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง

เด็กอย่างนี้คงมีอยู่อีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในอาชีพที่มีเกียรติสูงแทบทุกสาขา ต่างกับเด็กไทยในสมัยนี้ ซึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้วก็เที่ยวไปเดินอยู่ในศูนย์การค้า พลาซ่า หรือเข้าบาร์เข้าผับไปเลย จึงมองเห็นแต่ชุดขาวดำเต็มไปหมด ทั้งที่มีเข็มและไม่มีเข็มเครื่องหมาย เมื่อรับปริญญากันมาทีละมากมาย ก็ต้องเดินหางานทำจนแทบจะชนกันตาย

ผมจึงเกิดความชื่นชมอย่างมาก เมื่อได้เห็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่เธอนั่งรถเก๋งคันเล็กสีแดงสด ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ขณะที่ผมเพิ่งเดินออกไปหาซื้ออาหารหวานคาวใส่บาตร เธอจะยื่นหน้าจากรถออกมาสั่งซื้อข้าวและแกง ใส่ถุงหลายอย่าง คงจะนำไปรับประทานยังที่ทำงาน แต่เมื่อกลับมาตอนเย็นค่ำ เธอก็จะต้องช่วยแม่ขายข้าวและแกงถุง เช่นเดียวกับเจ้าที่ออกขายเมื่อตอนเช้า โดยแทบจะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จากชุดสาวสำนักงานเลย

กิริยามารยาทของเธอขณะที่ขายของ ก็คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเป็นมืออาชีพ และเป็นกันเองกับลูกค้า ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก เพราะไม่ได้ฝืนทำ ผมจึงมักจะสะสมถุงพลาสติกที่สะอาดและยางเส้นที่ใช้รัดปากถุง เอาไปให้เธอบ่อย ๆ ซึ่งเธอก็แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ และมักจะคิดราคาลดให้เป็นพิเศษเมื่อผมซื้ออาหารถุงของเธอ ซึ่งผมก็ต้องขอร้องไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะผมไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนในการเอื้อเฟื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากเพื่อสนับสนุน การกระทำความดีของเธอเท่านั้น

ในการเดินเข้าออกหมู่บ้านของผมนั้น ผมมักจะพบเห็นคนขอทานอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน บนสะพานลอย และตามสี่แยกเล็ก ๆ ของซอยภายในหมู่บ้าน ทั้งคนพิการทางตา ซึ่งตั้งวงดนตรีมีเครื่องขยายเสียง ที่ดังจนก่อความรำคาญให้แก่ผู้อยู่ใกล้เคียง มากกว่าที่จะชวนฟัง บางทีก็มีออร์แกนเล็ก ๆ ตัวเดียวดีดไปร้องไป หรือชายดีดหญิงร้อง สุดท้ายใช้การเป่าใบไม้ให้เป็นเพลงก็ยังมี

ส่วนที่พิการอย่างอื่นนั้น ส่วนใหญ่จะขออย่างเดียว บางทีก็ชอบนั่งหรือนอนตากแดด เพื่อให้ดูน่าสงสารมากขึ้น อีกหลายรายที่ชอบอุ้มทารก หรือปล่อยให้คนหนึ่งนอนคนหนึ่งนั่งเล่นดินทราย ซึ่งว่ากันว่าเป็นขบวนการที่มีผู้ควบคุม เอารถมาส่งในพื้นที่และรับกลับด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาเอง ขบวนที่ว่านี้เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว

แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นหญิงอายุค่อนข้างชราแล้ว นุ่งผ้าถุงเรียบร้อย สวมเสื้อที่ดูดี แต่มีลักษณะเป็นคนชนบท ชอบนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงหัวมุมซอยเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ลักษณะไม่น่าจะใช่คนขอทาน ผมไม่ทราบว่าแกมาจากไหน ดูคล้ายกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่มานั่งรอรับลูกหลาน ซึ่งกลับจากโรงเรียนอนุบาลประเภทที่มีรถรับส่งมากกว่า สายตาที่มองดูรอบ ๆ กายอย่างเหม่อลอยนั้นชวนให้น่าสมเพช

เวลาผมเดินผ่านแกจะมองตามผม ด้วยสายตาเศร้า ๆ เช่นนั้นเสมอ ทำให้ผมนึกถึงคนชราที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ไม่สามารถจะทำมาหากินอย่างอื่นได้ นอกจากรอความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตเป็นกุศล ช่วยบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ พอหาอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น

ผมไม่ค่อยได้พบแกทุกวัน แต่วันหนึ่งเห็นแกเอามือวางแบอยู่บนหัวเข่าที่นั่งชันอยู่ข้างหนึ่ง โดยไม่พูดว่าอะไร ผมจึงควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง ใจก็คิดว่าไม่น่าจะให้เพียงบาทเดียว เพราะไม่ได้เห็นภาชนะอื่นใดที่จะใส่เงิน เหมือนคนอื่น พอดีเจอเหรียญห้าบาท ก็ใส่ลงในฝ่ามือนั้นแล้วก็รีบเดินเลยไป

หลังจากนั้นถ้าผมเจอแกอีกก็ให้เหรียญห้าบาท หรือกำเศษเหรียญบาทให้ไปโดยไม่ได้นับ ผมก็ไม่ทราบว่าแกจะมีรายได้วันละเท่าไร เพราะที่ตรงนั้นไม่ใช่ทางที่จะมีผู้เดินผ่านมากมาย แต่เป็นทางที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ นาน ๆ จึงจะพบแกสักครั้ง ทุกครั้งที่เจอก็ไม่ได้ยินคำขอ และไม่ได้มีคำขอบคุณ ออกจากปากของแกเลยสักครั้งเดียว มีแต่แววตาเท่านั้นที่บอกถึงความรู้สึก

ยิ่งบางครั้งผมมีแต่เหรียญสิบบาท และตัดใจส่งให้ไป แกจะเงยหน้าสบตาผม และมีแววของความตื่นเต้นยินดีปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน

วันนี้เมื่อผมกลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอผ่านบริเวณที่ว่าก็มองเห็นหญิงชราเจ้าเก่านั่งอยู่อย่างเคยแต่ไกล ผมจึงควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชิน แต่ปรากฎว่าไม่มีเศษเหรียญอยู่เลย เพราะควักจ่ายค่ารถเมล์ไปจนหมดสิ้นแม้แต่เหรียญสลึง ครั้นเปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็มีธนบัตรใบละยี่สิบบาทเหลืออยู่เพียงใบเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเดินมาถึงตัวแกแล้ว จึงตัดใจยัดธนบัตรใบนั้นใส่ลงในฝ่ามือ แกเงยหน้าขึ้นมองดูผมเหมือนจะไม่เชื่อใจ ผมยิ้มให้แล้วก็ขยับจะเดินเลยไป

ก็พอดีมีรถเก๋งขนาดใหญ่สีดำวาววาม แล่นเฉียดเข้าซอยมา แกรีบเก็บธนบัตรยัดใส่ชายพกอย่างเร่งร้อน แล้วรีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกจากที่นั้น รถเก๋งคันนั้นก็เบรคหยุดลงตรงหน้า ประตูรถเปิดออกโดยแรง แล้วก็มีเสียงดังลั่นซอย

" ต๊าย...คุณแม่ มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ "

รู้สึกว่าหญิงชราตกใจงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันจะทำอย่างไร เจ้าของเสียงก็ก้าวลงมาจากรถ จากเครื่องแต่งตัวและเครื่องประดับครบครัน แสดงถึงฐานะอันสูงส่งของเธอผู้นั้น ทำให้ผมพลอยตกตลึงไปด้วย

" เย็นค่ำแล้วมาเดินอยู่ได้ เดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ถูกหรอก ไปขึ้นรถเถอะ หนูจะไปส่ง "

ว่าแล้วเธอก็จูงมือหญิงผู้เป็นมารดาให้ก้าวขึ้นนั่งบนรถด้านหลัง แล้วหันมาหาผมซึ่งยืนเบิ่งอยู่ อย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำตนอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น

" คุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ ทำอะไรไปไม่ค่อยรู้ตัว นี่เอามาพักอยู่กับหลานสาว เพราะที่บ้านต้องออกไปทำงานกันหมด ไม่มีใครดูแล คนใช้ก็หายาก "

ผมคงจะยิ้มอย่างแหยเต็มที เธอจึงพูดต่อโดยไม่สนใจ

" เห็นเขาว่าชอบออกมาเดินเล่นบ่อย ๆ แล้วก็กลับบ้านไม่ค่อยจะถูก ต้องออกมาตามกันอยู่เสมอ ห้ามก็ไม่ฟัง พอเผลอก็ออกมาทุกที เคราะห์ยังดีที่ไม่ไปไกล หรือขึ้นรถเมล์ไปถึงไหน ๆ ละก็ยุ่งกันใหญ่แน่ "

ผมก็ยังคงเป็นเบื้ออยู่อย่างเดิม

" นี่หนูจะมาเยี่ยมน่ะค่ะ ก็เจอเข้าพอดี ถ้าคุณลุงเจออีกกรุณาพาไปส่งบ้านด้วยนะคะ ไม่ไกลหรอกค่ะ บ้านสีเขียวหัวมุมแยกหน้านี้เอง "

และโดยไม่สนใจฟังว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา เธอก็ขึ้นรถ ขับออกไปจากที่นั้น ผมมองตามท้ายรถไปไม่ไกล ก็เห็นเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังที่เธอชี้บอก

ผมก้าวเดินไปทางบ้านผม ซึ่งเป็นคนละทางกับบ้านนั้น ความคิดหลายอย่างประดังขึ้นมาในใจ นึกถึงหญิงชราผู้น่าสงสาร แต่แม้จะช่วยตนเองไม่ค่อยได้ ก็ยังดีที่มีลูกหลาน คอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้งอย่างที่ผมคิด

ส่วนผมนั้นแม้จะช่วยตนเองได้ แต่ขณะนี้ก็ไม่เหลือเงินติดตัวเลย และที่สำคัญก็คือ อีกตั้งสองวัน กว่าเงินบำนาญจะออก.

##########

จาก นิตยสารทหารปืนใหญ่
ตุลาคม ๒๕๔๔


โดย: เจียวต้าย วันที่: 14 กันยายน 2554 เวลา:6:22:16 น.




 

Create Date : 14 กันยายน 2554
14 comments
Last Update : 14 กันยายน 2554 8:52:05 น.
Counter : 605 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ

ฮ่าๆๆๆ แค่อยากเห็นสีหน้าตื่นเต้นของคนชราหนึ่งคน
ใจดียอมให้เงินใบสุดท้ายกับเขา
โดยตนเองไม่มีเงินถึงสองวัน
ช่างคิดนะคะ พี่ห่อเจ้าขา

ชีวิตนี่มันหลากหลายเหลือเกิน

เคยอ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวหญิงชรา ที่ยังแข็งแรง
ออกไปขายของที่ตลาดทุกวัน
จำรายละเอียดไม่ได้ ว่าเป็นของใช้ หรืออะไร
ที่พอเย็นลง ลูกชายก็จะขับรถเบนซ์มารับ
ที่ทำเช่นนั้น เพราะเหงา


นาถสงสัยว่า หญิงสาวขับรถคันเล็กสีแดง ทำไมไม่เก็บอาหารร้านตนไว้อุ่นรับประทาน

หรือขายดีจนหมด หรือเบื่อรสเดิมๆ หรือกลัวจะเสียบูดเน่าก่อนถึงมื้อกลางวัน หรือ..หรือ...


คนจีนก่อร่างสร้างตัวได้ เพราะอดทน อดออม อดกลั้น อดไปหมด

ก็ขนาดก้อนกินแช่น้ำเกลือแขวนไว้ แล้วลูกๆทานข้าวต้มเปล่า
คนไหนมองก้อนหินนานๆ ก็จะโดนดุ ว่าอย่ามองนาน
เดี๋ยวก้อนหินจืดหมด...

 

โดย: nart (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 9:14:18 น.  

 

ที่จริงยังไม่หมดเรื่องคุย
มีโทรศัพท์มา คุยนาน พวกเบิกบานบำนาญมากละมีสุขจริงๆ


คนจีน ขายอาหาร หน้าบ้านคนไทย คนไทยก็ซื้ออาหารคนจีนที่มาเช่าขายหน้าบ้านทาน สบายดี

ขายไปไม่นาน ก็ซื้อบ้านคนไทยได้

คนไทยมีที่มรดกปู่ย่าตาทวดหาไว้ให้
หากินสืบมื้อไปวันๆ ไม่มีปัญญาพัฒนาผืนดินอันอุดม ให้เป็นทองคำ

ได้แต่ปลูกพริก ผัก ไปขายกำละสามบาทห้าบาท ขายแค่พอได้กินสืบมื้อ

ต่อมาขายที่ให้คนจีนทำหมู่บ้านจัดสรร
ต่อมาก็เป็นลูกจ้าง ทำงานในหมู่บ้านจัดสรร เช่น รปภ.จนถึงรับจ้างทั่วไป และกวาดถนน

บ้านญาติเป็นร้านขายอาหารในตลาด ตจว. มีอาหารหลากชนิด ลูกๆ หลานๆ และลูกจ้างทำงานกันมือระวิง

จนสายลูกค้าวาย จึงจะได้ทานอาหารมื้อแรก
ทานอยู่ก็มีคนมาซื้อตลอดเวลาแต่คนบางลง ก็ลุกไปขาย แล้วกลับมาทานจนอิ่ม

ทำแต่งาน งาน งาน
ครั้นตรุษจีน พ่อแม่แต๊ะเอีย ให้เงินให้ทองคำ ไปเที่ยวเมืองนอกกันสนุกสนาน
แล้วก็กลับมาเหนื่อยต่อไป

หนุ่มไทย รับจ้างขนผักในตลาด รถเข็นสองล้อ มีที่จับสองข้าง
บรรทุกของหนัก วิ่งส่งร้านโน้น ร้านนี้
พอได้เงิน ก็วิ่งมาร้านขายอาหารนี้ "เซี่ยงชุนก๊ง"
ดื่มกรึ๊บ เอามือปาดที่ปากเช็ดกับขากางเกง
แล้วก็ไปวิ่งขนผักต่อ พอได้เงิน ก็เวียนมา "กรึ๊บ"
แทนที่สามสี่กรึ๊บนั้น จะเป็นค่าข้าวผัด ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ข้าวต้มเครื่อง ฯลฯ

นี่แหละคน ที่เป็นคนเหมือนกัน แต่ต่างความคิด ต่างความขยัน
ต่างความอดทนและความพยายาม...

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 9:30:56 น.  

 

วันนี้ ได้งานแล้ว ๒ จาก ๕๐ คือเรื่องหมอดู ดร.ซี กะเรื่องสั้นท่านเจียวต้าย

ขอลาไปเป็น บก.กรองข่าวก่อนนะคะ
วันนี้ยังอยู่อันดับ ๑ ค่ะ แต่มี ทีวีออนไลน์ แหกโค้งแซงซ้ายที่ ๒ ซึ่งผลัดกับนาถ หล่นปุ๊ไปไกล

คนนี้ซิมาแรง...สัญชาตญาณบอก...ฮัม

 

โดย: นาถ (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 9:36:11 น.  

 


วันก่อนลูกชายถามเหมือนกันค่ะ ว่า อัลไซเมอร์คืออะไรแม่ หนูบอกว่าสมองเสื่อม แล้วอธิบายต่ออีกหน่อยพอที่เด็ก 8 ขวบจะเข้าใจได้...เหมือนไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยนะคะ คนป่วยก็น่าสงสาร ญาติพี่น้องที่ดูแลก็ต้องเข้าใจคนป่วยด้วย ถ้าคนเราไม่ป่วยน่าจะดีนะคะ ทุกคนคงอยากจากโลกนี้ตามอายุขัย...มากกว่านะคะ




 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 14 กันยายน 2554 14:21:36 น.  

 

น้องหนูคะ


เน็ท.อืดมาก เรียกไปหาใคร ยักแย่ยักยัน
เปิดไม่เต็มหน้าสักที
พี่นาถ ปิด - เปิดเครื่องหลายรอบแล้วค่ะ

ยังตอบเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมในบล็อกไม่ได้เลยค่ะ
ตอนแรกนึกว่าเป็นคนเดียว
เห็นน้องหนูก็เป็น แสดงว่า เป็นทั่วไป


ที่นั่งจิ้มอยู่ทุกวันนี้
ก็เพราะกลัวเป็นอัลไซเมอร์นี่แหละค่ะ

บางทีเปิดมาแล้ว งงงง...กลัวค่ะ

 

โดย: nart (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 14:50:58 น.  

 


ถ้วนหน้าค่ะ พี่นาถ หนูก็เปิด-ปิดไปหลายรอบแล้วค่ะ เป็นที่บล็อกแก๊งค์อย่างเดียวค่ะ หนูไปที่ือื่นก็ยังได้อยู่


หนูว่าช่วยได้จริงๆ นะคะพี่นาถ เหมือนได้เ่ล่น ได้ทำอะไรใหม่ๆ ทุกวัน นะคะ




 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 14 กันยายน 2554 16:50:34 น.  

 

ขอบคุณน้องหนูมาก อุตส่าห์กลับมาตอบ
พี่นาถเล่นอยู่ที่เดียวนี่แหละ
ไปที่อื่น ก็ไม่รู้จักใครค่ะ

ขืนไม่เล่นบล็อก
ก็คงจะนอนดูหนังเกาหลังทั้งวันทั้งคืน
จะอาการหนักกว่านี้อีกค่ะ

เมื่อกี้ทานอาหารรอบสอง นับมื้อไม่ถูก ฮ่าๆๆๆ

น้ำพริกกะปิ ที่ใช้กะปิดี ใส่กุ้งแห้งดี และมะอึก
อร่อยมากๆ มีแตงกวา มะเขือเปราะ สามอย่าง
และทวดปลาทู ทอด กับต้มเลือดหมู ที่มีตับและกระเพาะมากๆ

อร่อยสุดใจ ดื่มน้ำดำตาม พอพูดถึงตรงนี้
ก็นึกได้ว่ามีกล้วยปิ้งเหลืออีก ๓ ใบ

เดี๋ยวไปชิ้งสัก ๓๐ วิ พอร้อนๆ...

 

โดย: nart (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 17:12:08 น.  

 

เด็กสาวที่ขับรถเก๋งสีแดงนั้น เธอคงจะต้องการอาหารที่สุกใหม่ไปฝากเภพื่อนฝูงที่สำนักงานก็ได้ครับ
เพราะตอนเช้าแมของเธอยังไม่ได้เข็นรถออกมาขาย
ต่อมาพอฟองสบู่แตก รถเก๋งสีแดงก็หายไป แต่ยังทำงานอยู่
ต่อมาเธอก็มีครอบครัวและแม่เธอก็เลิกขายข้าวแกงเพราะป่วยเป็นเบาหวานครับ

คนจีนที่ไม่ได้เป็นเจ้าสัว เขาจะมีกติกาว่าเขาจะกินดีปีละวันเดียว คือวันตรุษจีนครับ อีก ๓๖๔ วันเขาจะทำงานเก็บเงิน พอเขาแก่ตัวลงเขาก็มีเงินเก็บให้ลูกเขาสืบทอดอาชีพนั้นต่อไปครับ

วันนี้ผมออกไปนอกบ้านทั้งวัน เพิ่งกลับมาเมื่อเย็น จึงไม่เจออุปสรรคจากพันทิปครับ
เห็นเขาว่าวันศุกร์จะปิดแก้ไขครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 14 กันยายน 2554 17:36:26 น.  

 

คุณสายหมอกและก้อนเมฆครับ
คนแก่ที่ตายโดยไม่ต้องป่วยนั้นมีน้อยเหลือเกินครับ
อดีตผู้บังคับบัญชาของผม อายุถึง ๙๗ ปี สุดท้ายก็ต้องผ่าตัดกระเพาะ แล้วก็ไม่ได้กลับบ้าน ครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 14 กันยายน 2554 17:41:02 น.  

 

ดีจังที่พี่ห่อ ออกนอกบ้านบ่อยๆ
ได้เปลี่ยนอิริยาบท เปลี่ยนสถานที่
ได้สูดอากาศที่ใหม่ๆ ได้เห็นคนหน้าใหม่ๆ
ดีด้วยประการทั้งปวง
ทำไมนาถขี้เกียจจัง ไม่อยากออกไปไหนเลยค่ะ

หากวันศุกร์เขาจะซ่อมจริง
จะได้นัดคนทำปลวกเสียทีค่ะ ผลัดเขามานานแล้ว
ไปไหนดีหนอ...

 

โดย: nart (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 18:13:01 น.  

 

ผมไปดูระดับน้ำที่ท่าพระจันทร์ครับ
เขาว่าเวลาเช้ามืด กับเวลาค่ำน้ำขึ้นเต็มที่
ทางท่าพระจันทร์เดินลงไปท่าเรือทำสะพานไว้สูงเท่ากับคันกั้นน้ำเลยครับ

พรุ่งนี้เสนอเรื่อง เพื่อนเก่า ครับ.

 

โดย: เจียวต้าย 14 กันยายน 2554 19:42:00 น.  

 

น่าจะถ่ายรูปมา
แล้วเขียนสั้นๆ ลงบล็อกนะคะ

 

โดย: nart (sirivinit ) 14 กันยายน 2554 20:29:53 น.  

 

เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

เพื่อนเก่า

" เพทาย "

เช้าวันหนึ่ง เสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของผมได้ดังขึ้น ขณะนั้นผมกำลังยุ่งอยู่กับเอกสารปึกใหญ่ตรงหน้า จนไม่อาจจะละมือเอื้อมไปรับโทรศัพท์ได้ เจ้าลูกน้องของผมที่นั่งโต๊ะติดกัน จึงต้องลุกขึ้นมารับสาย ครู่หนึ่งก็หันมาบอกว่า มีญาติของผมมารออยู่ที่ห้องอาหารของหน่วยงาน ผมให้เขาถามชื่อแซ่ดูก่อน เขาบอกว่าชื่อ ยุทธ มีธุระสำคัญต้องการพบด่วน ผมดูเวลาแล้วเห็นว่าจวนเที่ยง ก็บอกให้เขารอสักครู่ เดี๋ยวจะลงไปหา

ยุทธเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบกับผม เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ พร้อมกับนักเรียนรุ่นนั้นทั้งหมด ๑๐๘ คน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกองร้อยสี่หมวด เฉพาะหมวดที่ ๑ กองร้อยที่ ๑ ซึ่งผมอยู่ด้วยกันเกือบสามสิบคนนั้น ต่างก็สนิทสนมกันเป็นอันดี เพราะได้กินนอนเรียนเล่น ร่วมกันมาเป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม แต่ที่ใกล้ชิดกันมากจนจำพฤติกรรมของแต่ละคนได้ดี และยังคบหาสมาคมกันต่อมา หลังจากออกรับราชการแล้วอีกหลายปี ก็มีอยู่หลายคน

คนหนึ่งเป็นลูกชาวสวนทางฝั่งธนบุรี พอได้ลาพักกลับบ้าน ในวันเสาร์อาทิตย์ ก็เอาผลไม้ในสวนกลับมาฝากเพื่อน ให้นอนกินกันในมุ้งเวลาเป่าแตรนอนแล้ว มันตื่นเต้นหวาดเสียวดี โดยเฉพาะชมพู่แก้มแหม่ม เวลากัดกินเสียงมันดังก้องในรูหูจนขนลุก กลัวจะได้ยินไปถึงสิบเวร แล้ว จะต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกันในตอนดึก

ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งมักจะหาเรื่องเถียงกับครูฝึก จนถูกกักงดลาเสาร์อาทิตย์แทบทุกเดือน เวลาที่อยู่เฝ้ากองร้อย ก็เอามุ้งของเพื่อนลงไปช้อนปลาในคูหน้ากองร้อย เอามาย่างมาปิ้งกินเป็นอาหารว่าง โดยอ้างว่าช่วยซักมุ้งให้เพื่อน

อีกคนเป็นหัวหน้าตอน เพราะเป็นนักกล้าม เดินข้อกางหุบไม่ลง เมื่อออกรับราชการได้บรรจุอยู่ในกรุงเทพ พอเขาจะย้ายไปอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ก็ทำท่าจะขอลาออก เพราะเป็นเด็กกรุงเทพไม่เคยเห็นบ้านนอก ผมก็ต้องปลอบใจว่าให้ลองไปดูก่อน พอไปอยู่เข้าจริง ก็มีช่องทางทำมาหารายได้พิเศษ ด้วยการหาโฆษณา เข้าสถานีวิทยุกระจายเสียงประจำจังหวัด เลยติดใจอยู่มันเสียเกือบยี่สิบปี มีบ้านให้ฝรั่งเช่าหลายหลัง มีฐานะมั่นคงมาก

พอนายจะย้ายเข้ากรุงเทพ ก็ไม่ยอมกลับอีกเข้าขั้นหนีราชการ ผมกับเพื่อนอีกคน ก็ต้องไปตามให้ช่วยเซ็นชื่อในใบลาออกให้ที จึงเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญกิน จนถึงบัดนี้ เพราะสุดท้ายบ้านหลายหลังนั้นก็เปลี่ยนเจ้าของไปสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุใด

แต่ยังดีกว่าอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่นักกล้ามแต่ก็หล่อล่ำ สูงขาวราวกับ มิตร ชัยบัญชา พอสำเร็จออกรับราชการใหม่เอี่ยม มีคนมาชักจูงไปแสดงหนังไทยในยุคนั้น หนแรก ๆ ก็หลบงานไปถ่าย เป็นตัวประกอบ ต่อมาติดใจเลยลาออกไปเป็นนักแสดงเต็มตัว เพราะนายทุนเขาให้เป็นพระเอก ต้องเข้าฉากตลอดเรื่อง แต่น่าสงสารที่เป็นพระเอกได้เพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ก็หายจ้อยไปเลย

อีกคนหนึ่งเป็นคนซื่อ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ไม่เคยกลัวใคร ชอบมีเรื่องกับเพื่อน ๆ อยู่เสมอ พอถึงชั่วโมงพละศึกษา ก็ขออนุญาตครูฝึกสวมนวม ต่อยกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้ากันอยู่ ถึงแม้จะตัวใหญ่กว่าก็ไม่กลัว ต่อยเสร็จแล้วหน้าตาแดงปากแดงเลือดกลบ ก็ยังหัวเราะเฉย และไม่อาฆาตจองเวรต่อไป

ส่วนยุทธนั้นเวลาเรียนนั่งโต๊ะติดข้างหลังผม ชอบคุยชอบถามอยู่ทุกวิชา แม้กระทั่งเวลาสอบ จนจะถูกครูลงโทษเอาหลายหน พอถึงเวลากินข้าวที่โรงเลี้ยงเพื่อนก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าแถวใกล้ ๆ เพราะเขากินกับเร็ว วงละสี่คน เขาจ้วงแพล็บเดียวก็หมด ต้องกินข้าวคลุกน้ำปลา มีแต่ผมซึ่งเลื่อนไปเลื่อนมาก็ตรงกับเขาแทบทุกที แต่เขาก็ไม่เคยเหลือกับข้าวไว้ให้ผมเหมือนกัน

สมัยที่มีเสือพรานไปรบในประเทศที่สาม เขาก็อาสาสมัครไปด้วย แต่ก็ไม่เห็นรวยกลับมาเหมือนคนอื่นเขา มีแต่อาการของคนติดสุราเรื้อรัง เขาบอกว่าอยู่ท่ามกลางความตาย มันก็ต้องกินเหล้าย้อมใจให้กล้า ตอนหลังได้ข่าวว่านายขอลาออกจากราชการ จึงไปบวชอยู่ที่วัดแถวบ้านเกิด แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวสึกเดี๋ยวบวช และชอบแวะเวียนมาให้ผมได้ทำบุญอยู่บ่อย ๆ เขาบอกว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีของเขา เขาไม่รู้จะไปหาใคร เขาก็ต้องมาหาผม ผมก็ปวารณาตัวว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกกันได้ เขาก็บอกว่าไม่ช่วยเพื่อนก็หมาละวะ แต่ลงท้ายก็หายหน้าไป

ตัวผมเองนั้นต่อมาก็ได้เข้าทำงานอยู่ในวงการโทรทัศน์ หลายปีเข้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น พอลืมตาอ้าปากได้บ้างไม่ถึงกับซื้อรถเก๋งหรือผ่อนบ้านอย่างคนอื่นทั้งหลาย

เมื่อปีก่อนพระยุทธก็มาหาผมถึงที่ทำงานแห่งนี้ บอกว่าเลิกดื่มเหล้าได้เด็ดขาดแล้ว จึงกลับมาบวชใหม่ ตั้งใจจะไม่สึกอีกแล้ว ผมเห็นใบหน้าผ่องใสมีน้ำมีนวล ไม่มีเค้าเดิมที่เมาทั้งวัน จึงเที่ยวตามเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสามคน มาพบที่ห้องอาหารของที่ทำงาน เพื่อช่วยอนุโมทนา เราจัดอาหารเพลมาถวาย แล้วก็ร่วมใจกันบริจาคปัจจัยไปรวมหลายร้อยบาท

แต่เมื่อผมลงจากห้องทำงาน มาพบเขาในคราวนี้ เขากลับไปเป็นยุทธ คนเดิมอีกแล้ว ใบหน้าบวมฉุ ดวงตาแดง น้ำตาฉ่ำ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมอซอเต็มที ผมชะงักพูดทักทายไม่ออก รีบควักกระเป๋าเงินออกมา หยิบธนบัตรในละห้าสิบบาทส่งให้ แต่เขาไม่ยอมรับ แถเข้ามาใกล้แล้วตะคอกว่า

"อะไรกันวะ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาหาทั้งที ให้แค่ห้าสิบก็หมาละวะ"

ผมจึงเปลี่ยนใจยัดธนบัตรใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็บอกลา

"ขอโทษทีวะเพื่อน เราลางานแล้ว จะไปเยี่ยมแม่ยายป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลว่ะ"

ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวออกจากที่ทำงานไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเพื่อนอีกเลย ได้ยินแต่เสียงเอ็ดตะโร เกี่ยวกับแม่ ๆ อยู่เบื้องหลังฟังไม่ถนัด

ใครจะว่าใจดำก็ยอม ผมอายลูกน้องสาว ๆ ที่กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่นั่นเต็มที.


###########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๔

 

โดย: เจียวต้าย 15 กันยายน 2554 8:34:12 น.  

 


เห็นด้วยกับพี่นาถค่ะ

หนูว่าคุณลุงเก็บรายละเอียดได้แม่นมาก จริงๆ ก็นึกภาพตามทุกครั้ง..แต่ถ้ามีภาพประกอบนิดหน่อย สมบูรณ์แบบเลยนะคะเนี่ย...

แม่หนูเป็นเก๊าท์ค่ะพี่นาถ ต้องงดผักสดกับน้ำพริกหลายชนิดเลยค่ะ นี่ก็ใกล้กินเจแล้ว ไมู่รู้จะเก๊าท์กำเริบอีกหรือป่าวค่ะเนี่ย...

 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 15 กันยายน 2554 13:13:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.