นิทานชาวสวน ชุด สงครามเอเซีย นิทานชาวสวน (๒)
สวนสวรรค์
นอกจากน้องชายและลูกชายของครอบครัวใหญ่ บ้านตรงข้ามกับบ้านผม ที่มาเป็นเพื่อนกับผมแล้ว เจ้าลอน้องครูแล่ม ซอย ๕ ก็เป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง เขาแก่กว่าผมประมาณสองปี ดูเหมือนจะอายุเท่า อารีย์ เขาจะเป็นผู้นำของผมไปหาที่เล่นให้แปลกออกไป เช่นการกระโดดน้ำคลองที่เรียกว่าคลองท่อ ซึ่งเริ่มต้นจากท่าวาสุกรีข้างวัดราชาธิวาส ลอดถนนสามเสนเข้าไปในสวนสุนันทา เลี้ยวลดคดเคี้ยวอยู่ในนั้นพักหนึ่ง ก็ออกมาทางด้านที่เป็นโรงเรียนการเรือน และขยายขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตในปัจจุบัน
มาทะลุออกที่ถนนนครราชสีมา ที่ตัดผ่ากลางพระราชวังดุสิตไปจนถึงถนนประชาธิปไตย ที่ยาวไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ถนนราชดำเนินกลาง
ตรงที่โผล่ออกมาลอดถนนนครราชสีมานี้ เขาทำเป็นอุโมงค์ใหญ่แบบเปิด และอยู่นอกรั้วโรงเรียนการเรือนด้านหนึ่ง กับรั้วของสวนพุดตาน ซึ่งเป็นที่ตั้งพระที่นั่งวิมานเมฆ และพระที่นั่งอภิเษกดุสิต จนถึงปัจจุบัน จากราวสะพานซึ่งสูงจากพื้นน้ำไม่กี่เมตร เราก็โดดกันสนุกสนาน
ที่สำคัญคือเขื่อนสองข้างคลองก่อนถึงสะพาน เก่าชราชำรุดผุฟัง เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันทุกบ้าน คือกุ้งนาง และกุ้งก้ามกราม คงจะไม่ต้องสาบานใน พ.ศ.นี้ ว่ามีอยู่จริง ๆ เจ้าลอ เพื่อนอาวุโสของผมนี่แหละ เป็นนักจับกุ้งมือเซียนของสวนอ้อยก็ว่าได้ เมื่อเขาดำน้ำลงไปทุกครั้งที่โผล่ขึ้นมา จะต้องมีกุ้งติดมือมาด้วยทุกครั้ง บางทีก็มือละตัวด้วยซ้ำ ผมซึ่งยังว่ายน้ำไม่เป็นก็คอยเก็บกุ้งอยู่บนฝั่ง เอาผ้าขาวม้าของเจ้าลอห่อไว้ เอาไปเผาแบ่งกันกินทีหลัง
ที่ผมว่ายน้ำไม่เป็นแล้วไปโดดน้ำกับเขาได้นั้น เพราะก้นคลองช่วงนั้นเป็นที่ตื้น ประมาณน้ำท่วมหัวเท่านั้น โดดตูมลงไปแล้วก็ทะลึ่งขึ้นมา โผไปเกาะเขื่อนได้สบาย ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด สมัยนั้นผู้คนในสวนอ้อยซึ่งมีไม่มากนัก ต่างก็พากันเดินไปอาบน้ำที่คลองท่อนี้เป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายหญิงนุ่งผ้ากระโจมอก ถือขันใส่สบู่ซันไลท์ไปด้วย เมื่ออาบเสร็จแล้ว ก็นุ่งผ้าถุงเปียกผืนนั้น กระโจมอกเดินกลับบ้าน ฝ่ายชายไม่ค่อยมีผู้ใหญ่ ก็ไม่นุ่งกางเกงให้เรียบร้อย มักนุ่งแต่ผ้าขาวม้า
ที่ทำเช่นนั้นได้ ก็เพราะทั้งถนนราชวิถี และถนนนครราชสีมานั้น นาน ๆ จึงจะมีรถผ่านสักคันหนึ่ง แค่ข้ามถนนนิดเดียวก็เข้าเขตสวนอ้อย ที่มีแต่ชาวบ้านกันเอง เดินไปตามซอยที่ใช้เดินเท้าอย่างเดียว เหมือนบ้านสวนฝั่งธนบุรีเท่านั้น
ส่วนเด็กนั้นไม่ต้องพูดถึง เด็กชายไม่เคยสนใจเครื่องแต่งกาย มีกางเกงขาด ๆ ปุปะตัวเดียวก็พอแล้ว เวลาลงน้ำก็ถอดกางเกงกองไว้ พอขึ้นจากน้ำก็นุ่งกางเกงไปไหนต่อไหนได้สบาย แถมบางคนไม่นุ่งอะไรเลยอีกด้วย ส่วนเด็กหญิงเขาก็ทำตามผู้ใหญ่ คือนุงผ้าถุงตัวเดียว แต่ไม่ต้องกระโจมอก เพราะไม่มีอะไรมากกว่าหัวนมนิดเดียว ไม่เหมือนสมัยนี้
นอกจากงมกุ้งแล้ว เจ้าลอยังเป็นผู้นำในเรื่องอื่น ๆ อีก เช่นการกระโดดน้ำจากราวสะพานดูจะง่ายไป ลองโดดจากบนกำแพงวัง ที่คล่อมคลองดูบ้าง คลองท่อนี้ลอดท่อจากใต้ถนนนครราชสีมา เข้าไปในสวนพุดตาน ผ่านข้าง ๆ พระที่นั่งวิมมานเมฆ ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครรู้จัก เลี้ยวซ้ายไปลอดใต้กำแพงวังด้านถนนราชวิถี ลอดสะพานที่ข้ามถนนราชวิถี เข้าไปในกองพันทหารราบที่ ๓ เดิม ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ริมถนนพระรามที่ ๕ ไปบรรจบกับคลองสามเสนที่วัดแคสามเสน หรือวัดสวัสดิวารีสีมาราม
จากกำแพงของพระราชวังดุสิต ที่คล่อมคลองท่อ ตรงที่จะลอดถนนราชวิถีนี้แหละ ที่เป็นสนามทดสอบกำลังใจของเด็กสวนอ้อยในสมัยนั้น ว่าจะแน่แค่ไหน เพราะต้องไต่กำแพงขึ้นไปข้างบนสุดด้วยเท้าเปล่า โดยเหยียบปุ่มลายกำแพง และเอามือเหนี่ยวพาตัวขึ้นไปด้วยความลำบาก นั่งยอง ๆ พอหายเหนื่อยแล้วก็โดดตูมลงมาในน้ำ ซึ่งลึกกว่าทางด้านถนนนครราชสีมา แค่ความกว้างพอกัน
คนเก่งก็ใช้ท่าพุ่งหลาว ซึ่งคงจะมุดน้ำลงไปถึงพื้นดินก้นคลอง คนเก่งรองลงมาก็ใช้ท่าลูกมะพร้าว คืองอเข่าเอาสองมือประสานรัดไว้ใต้เข่า ให้ก้นต้านน้ำ จะได้ไม่จมไปลึกนัก คนที่ไม่เก่งเลยอย่างผม ก็เอามืออุดจมูกกลั้นใจ โดดลงมาตรง ๆ พร้อมกับหลับตาด้วย พอทะลึ่งขึ้นมาเหนือน้ำได้ ก็ตะกายเข้าหาขอบเขื่อนริมคลองอย่างเร็ว ก่อนที่จะจมลงไปอีก
เรื่องเล่นอย่างพิสดารนี้ยังมีอีก คือสมัยนั้นภายในสวนพุดตานเต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่น อยู่ทั่วไป เป็นไม้ผลต้นโต ๆ เช่นชมพู่ มะม่วง มะหวด และอะไรอีกหลายชนิดที่มีลูกกินได้ มันขึ้นอยู่ใกล้บ้านพัก หรือที่เรียกว่าตำหนัก ซึ่งรกร้างว่างเปล่าอยู่ เราเด็ก ๆ ก็เข้าไปวิ่งเล่นแล้วก็นอนพัก เพราะมีความร่มรื่นด้วยเงาไม้ แล้วก็เก็บผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขมพู่ ที่ไม่ต้องออกลูกตามฤดูกาล สีม่วงบ้าง สีชมพูบ้าง สีเขียวบ้าง มาแทะกินแก้หิว บางคนก็ปีนต้นขึ้นไปนอนกินอยู่บนคาคบไม้เสียเลย และที่พิสดารกว่านั้น ก็คือไม่เด็ดลูกชมพู่มากิน แต่กัดให้วิ่นแหว่งคาก้านอยู่เหมือนกระรอกแทะอย่างนั้น
ซึ่งการเล่นที่เกี่ยวกับการปีนป่ายแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีเด็กผู้หญิงมาร่วมวงด้วยเลย และสวนอ้อย สวนพุดตาน และสวนดุสิต ในสมัยนั้น จึงเป็นสวรรค์ของเด็ก ๆ รุ่นผม ที่น่าจะเรียกได้ว่า เป็นสวนสวรรค์เลยทีเดียว.
#############
โดย : เจียวต้าย วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา: 20:59:50 น.
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2556 21:53:00 น. |
|
17 comments
|
Counter : 817 Pageviews. |
|
|
สนุกค่ะ มองเห็นภาพชัดเจน
อยากกินกุ้งแม่น้ำเผา ก้ามใหญ่ๆ เวลาดึงออกมาจากกล้าม เป็นยวงยาวๆ หวาน
คนเดินไปอาบน้ำที่คลอง ถือสบูซันไลท์ไปด้วย ไม่หอมเลย ที่จริงเอาไว้ซักผ้าค่ะ
สมัยนั้น มีสบู่ตรานกแก้วแล้วค่ะ และมีสบู่ลายๆ สีน้ำเงินหม่นๆ ปนขาว ก้อนเล็กและบางกว่าซันไลท์ ที่บ้านนาถขาย รู้สึกว่าไว้ใช้ซักผ้าค่ะ แต่ที่บ้านไว้ใช้ขัดหม้อ ใช้กับฝอยเหล็ก หากไม่สะบัดน้ำตอนล้างออกให้หมด ก็จะเป็นสนิมค่ะ
คุณป้ากับพี่ปู่ทัน น้องหนูเคยเห็นไหมคะ สาวเค็งน่าจะเคยเห็นนา
ในวังสมัยก่อน มีคลองเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปได้ติดต่อกัน นับเป็นกำไรชีวิตของพี่ปู่โดยแท้ ผังเมืองละแวกเขตดุสิตนี่ พี่ปู่รู้แจ้งแทงตลอด เรื่องนี้ นับได้ว่ามีค่ายิ่ง ดีจริงๆ เลย ที่กรุณานำมาลงให้อ่านกัน นำมาไว้ที่ ๑๓๑ คนอื่น จะได้อ่านด้วยได้นะคะ
นึกขำท่ากระโดดน้ำของพี่ปู่ค่ะ
แล้ว แหม ทะเล้นกันจริง แทะชมพู่พอแหว่ง ก็มันเยอะนะคะ เข้าใจเลยค่ะ
ลุงนาถ มีสวนแตงโมชั้นดี ไปได้พันธุ์มาจาก ม.จ.กฤษดากร ทรงประทานให้เกษตรกรที่ตั้งใจ แตงโมบางเบิด มาปลูกที่โคราชช่วงชนบทออกมา อากาศเย็นๆ แตงโมงามมาก ผ่าลูกใดไม่แดง ก็โยนทิ้ง ก็มันมาก
และนาถก็เหลือร้าย ใช้ช้อนหมุนเป็นกลมๆ กินแต่ตรงที่ไม่มีเม็ดค่ะ เฮ้อ เด็กบ้า...
เป็นเด็ก ช่างไม่กลัวที่จะเข้าไปแถวตำหนักต่างๆ นะคะ ชาววังบางกะตุ๋ย เขาเห็นองค์นั้นองค์นี้ ทรงดำเนินสใบปลิวว่อนกันทั่ววัง .... บรื๋อ