"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
แนะนำเรื่องสั้นของเจียวต้าย ชุดเรื่องธรรมดาของคนธรรมดา .. ครูคนสุดท้าย



เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

ครูคนสุดท้าย

"เพทาย"




ครูคนแรกของผมที่สอนชั้นประถม ในโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินนอก จนกระทั่งย้ายมาตั้งที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ แล้วก็ยังใช้ชื่อเดิมนั้น ท่านเป็นหม่อมหลวง เป็นครูผู้หญิง ซึ่งผมจำเค้าได้ราง ๆ ว่าท่านเป็น สาวสวยมากคนหนึ่ง เห็นได้จากการแสดงละคร ในงานอะไรก็จำไม่ได้ของโรงเรียน ท่านได้แสดงเป็นนางเอก คู่กับพระเอกซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเอง

แต่ที่จำได้แม่นยำอย่างยิ่งก็คือครูใหญ่ ซึ่งท่านเป็น หม่อมราชวงศ์ เพราะเป็นบิดาของครูน้อยสองคนพี่น้องที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นเอง ท่านเคยทำโทษผมเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้ว ท่านพยากรณ์ไว้ว่า หน้าอย่างผมนี่ทำอะไรก็ไม่ทันคนไม่ทันกินตลอดชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงดังที่ท่านว่าเสียด้วย

ครูชั้นมัธยมต้นของผมที่โรงเรียนวัดสมอรายนั้น บังเอิญท่านเคยเป็นครูใหญ่ ที่โรงเรียนประจำจังหวัดกระบี่ ซึ่งขณะนั้นพ่อของผมเป็นศึกษาธิการจังหวัดอยู่ และตัวผมเองก็เกิดที่บ้านพักของท่าน โดยมีภรรยาของท่านเป็นผู้ทำคลอดด้วย

เมื่อแม่พาผมไปฝากเข้าเรียน ท่านจึงรับเป็นธุระจัดการให้ตลอด โดยแม่ผมไม่ต้องยุ่งเลย และเมื่อท่านได้เป็นครูประจำชั้น ตลอดเวลา ๓ ปีในชั้นมัธยมปีที่ ๑ - ๓ ท่านก็กวดผมทั้งวิชา ความรู้และความประพฤติ จนก้นของผมและเพื่อนร่วมชั้นน่วมไปตาม ๆ กัน อาจจะเป็นเรื่องแปลกที่ครูในสมัยนั้น มักจะเลื่อนชั้นสอนตามนักเรียนจนจบประโยคมัธยมต้น หรือ มัธยมปลาย แล้วจึงย้อนกลับมาสอนชั้นแรกอีก

ส่วนผลการเรียนนั้น ชั้นมัธยมปีที่ ๒ ก่อนจะถึงเวลาสอบไล่ ก็ได้เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา ญี่ปุ่นบุกผ่านประเทศไทยไปตีมาลายูและสิงคโปร์ บานปลายออกไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกเราก็ได้เลื่อนชั้นโดยไม่ต้องสอบ ขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๓

ถึงเดือนตุลาคมเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ จนเรือเอี้ยมจุ๊นสามารถขึ้นมาแล่นบนถนนสามเสนได้อย่างสบาย และต้องนั่งเรือไปวางพวงมาลาที่พระบรมรูปทรงม้า เมื่อน้ำแห้งลงพวกเราเลยสอบผ่านได้โดยไม่ต้องถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์

ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ผมผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิวเต็มที พอถึงชั้นมัธยมปีที่ ๕ สงครามดุเดือดขึ้นนักเรียนไม่เป็นอันเรียน เพราะต้องวิ่งลงหลุมหลบภัยทางอากาศไม่เว้นแต่ละวัน จึงต้องปิดโรงเรียน ให้ประชาชนอพยพไปอยู่ในต่างจังหวัดที่ไม่มีจุดยุทธศาสตร์ แต่ความจริง
ดูเหมือนทางราชการ จะเตรียมต่อสู้กับญี่ปุ่นมหามิตรให้ถนัดมือมากกว่า

ตัวของผมเอง ไม่ได้อพยพไปไหนเลยเพราะเป็นชาว
กรุงเทพทั้งตระกูล ต้องนอนดูเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสัมพันธมิตร ที่แห่กันมาทิ้งระเบิด คืนแล้วคืนเล่า วันแล้ววันเล่า จนสะพานพุทธยอดฟ้าพัง โรงไฟฟ้าวัดเลียบราบเรียบไป แล้วปล่องโรงไฟฟ้าสามเสนก็โค่นลงมากองกับพื้น จนถึงสะพานพระราม ๖ ที่ลูกระเบิดเวลา ส่งเสียงเสทือนเลื่อนลั่นทั้งคืน รุ่งเช้าก็เห็นช่วงกลางหักลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา

แล้วอยู่ ๆ สงครามก็สงบลง โดยปัจจุบันทันด่วนแทบไม่ทันได้เตรียมตัวยินดี ผมจึงได้กลับ มาเข้าเรียนโรงเรียนเดิม ในชั้นมัธยมปีที่ ๖ และพอถึงปลายปีก็สอบตกอย่างไม่เป็นท่า เพราะเรียนกระพร่องกระแพร่งมาตลอดปี มัวแต่ไปเที่ยวเร่ขายขนมเลี้ยงท้อง ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะพอกิน
ผมต้องออกจากโรงเรียน เพราะไม่มีค่าเทอมเรียนต่อ ไปสมัครสอบโรงเรียนจ่าทหารเรือก็ตกว่ายน้ำ เคราะห์ดีที่มีญาติเป็นใหญ่อยู่ที่กรมพาหนะทหารบก จึงได้รับการช่วยเหลือให้เข้าเป็นลูกจ้างใช้แรงงานตั้งแต่อายุเพียง ๑๕ ปี ตัวเล็กนิดเดียว ผมบนหัวยังเกรียนอยู่ จนมีผู้ทักว่าใครเอาลูกมาทำงานด้วย

คราวนี้ผมจึงมีครูมากมาย หลายคน เพราะทำอะไรกับเขาไม่เป็นเลย

ครูคนหนึ่งสอนให้เข็นถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร จากท่าเรือ วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ที่เรียกว่าท่าตาแหน ซึ่งต้องออกเสียงว่าตาแหน ไม่ใช่ ตาแหน เอ...เขียนไม่ถูก หมายความว่า หอ นอ แอ แหน ไม่ใช่ หอ แอ นอ แหน

เอาเถอะไม่ถูกก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก

ถังน้ำมันที่ว่านั้นไม่ใช่ถังเปล่า แต่เป็นถังที่มีน้ำมันเต็ม ๒๐๐ ลิตร เข็นไปตามถนนขรุขระที่ยังไม่ได้ลาดยาง จากท่าเรือเข้าไปในคลัง ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารขนส่งเดี๋ยวนี้ โดยมีไม้กระดานแผ่นเดียวรองพื้นเป็นเครื่องทุ่นแรง ครูสอนวิธีออกแรงแต่น้อย ให้ถังเลี้ยงตัวอยู่บนแผ่นกระดาน ในระหว่างที่กลิ้งไป จะได้ไม่เกิดความฝืด

พอมีความรู้ความชำนาญ ก็เลื่อนขั้นไปเข็นถังจาระบี ที่มีขนาดเดียวกัน แต่ดูเหมือนน้ำหนักจะมากกว่าน้ำมันถึงเท่าตัว

สมัยนั้นสิ้นสงครามใหม่ ๆ กรมพาหนะทหารบก ย้ายสิ่งอุปกรณ์จากคลังต่างจังหวัดเข้ามาเก็บยังที่ตั้งปกติ ที่เรียกว่าคลัง พน.๓ เกียกกาย ครูอีกคนหนึ่งก็สอนให้รู้จักวิธีแบกลังไม้ ขนาดกว้างยาวเท่ากับปี๊บน้ำมันก๊าด ๒ ใบเรียงกัน ซึ่งเป็นลังบรรจุเครื่องอะไหล่รถยนต์ ที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กเต็มลัง แต่คราวนี้แม้จะรู้แล้วก็ทำไม่ได้เพราะแบกน้ำหนักของมันไม่ไหว ต้องคอยช่วยกันกับคนงานตัวเล็ก ๆ สองคนยกขึ้นบ่าผู้ใหญ่ให้แบก ไป และช่วยเขานับจำนวนสิ่งอุปกรณ์เหล่านั้น ขนเข้าไปเก็บในคลัง จึงทำให้รู้จักชื่อชิ้นส่วนของรถยนต์มากมาย โดยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนในเครื่องยนต์

ครูคนถัดไปก็สอนให้รู้จักวิธีร้อยโซ่มัดยางรถยนต์ที่เก็บอยู่ในคลัง อาศัยที่เป็นเด็กตัวเล็ก เขาก็สอนให้คลานเข้าไปในช่องว่างกลางวงของยางรถยนต์บรรทุก ที่เรียงกันเป็นแถวเป็นแนว แล้วลากเอาสายโซ่เส้นเกือบเท่าข้อมือของตนเอง จากด้านหลังออกมาด้านหน้าเพื่อใส่กุญแจ ไม่ให้มันแตกแถว หรือสูญหายไปได้ กว่าจะเรียบร้อยเป็นแถวเต็มห้องคลัง หัวเข่าก็ดูเหมือนจะช้ำชอก จนถลอกปอกเปิก ต้องใส่ยาแดงนั่งยอง ๆ ไม่ถนัดไปนานพอสมควร

ครูคนสุดท้ายท่านเป็นหัวหน้าของคนงานทั้งหมด เดิมมียศเป็นร้อยเอก แต่ปลดออกรับบำนาญเมื่อสิ้นสงคราม ท่านเป็นนักดื่มคอทองแดง เย็นลงเสร็จงานที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสแล้ว ก็ชวนลูกน้องคอเดียวกัน ตั้งวงสุราหลังคลัง ดวดกันพอหายเหนื่อยจึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการที่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไรนัก ผมเจียมตัวว่าเป็นเด็กจึงไม่เคยอยู่ร่วมวงกับเขา เลิกงานก็รีบกลับบ้านทุกวัน
ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร

จนกระทั่งถึงวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งรุ่งขึ้นจะเป็นวันหยุดราชการติดต่อกัน จนถึงปีใหม่ วันนั้นไม่ทราบว่าชักช้าทำอะไรอยู่ พอเดินผ่านวงก็ได้ยินเสียงคุยดังกว่าทุกวัน ซึ่งปกติมักจะเป็นเวลาที่เพิ่งเริ่มต้น คราวนี้หัวหน้ามองมาเห็นผมเข้าเต็มตา จึงร้องตะโกนเรียก

" ไอ้ห่อ มานี่ " ท่านเรียกชื่อเล่นของผม

ผมจำต้องเดินเข้าไปหาด้วยความเคยชิน ท่านก็สั่งให้นั่งร่วมวง แล้วก็ให้ลูกน้องหาน้ำเย็นให้ผมดื่ม คือวงนั้นเขาดื่มเหล้ายี่ห้ออะไรก็ไม่ทราบ กระดกแก้วดื่มกันเพียว ๆ ทีละคำ แล้วตามด้วยน้ำเย็น ที่เขาเรียกกันว่าตบตูด

ท่านบอกว่าทำงานมาเกือบครบปีแล้ว จะสอนให้กินเหล้าเป็นเสียที ผมก็อึกอักปฏิเสธว่ากลัวแม่ดุ ท่านก็ตัดบทว่าโตแล้ว ลูกผู้ชายถ้ากินเหล้าไม่เป็นก็ใช้ไม่ได้ ท่านก็ดื่มให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วก็ถามว่า

" ไอ้ห่อ...เอ็งเป็นลูกน้องใคร ? "

ผมก็ตอบว่าเป็นลูกน้องผู้กอง ท่านก็ถามต่อ

" ข้าสั่งให้ทำอะไร เอ็งจะทำไหม ? "

ผมก็รับว่าทำครับ

" งั้นข้าสั่งให้เอ็งกินเหล้า จะกินไหม ? "

" กินครับ " ผมโพล่งออกไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอายุสิบห้า

ท่านส่งแก้วที่มีน้ำสีอำพันติดก้นแก้วให้ผม ซึ่งผมรับมาดื่มกร๊วบเดียว ให้เหมือนกับที่เห็นทั้งวงเขาดื่มกันมาเป็นเวลานาน แต่คุณพระ ! ผมเกือบสำลัก น้ำหูน้ำตาปริ่ม ร้อนวาบไปตามลำคอถึงลำใส้ใหญ่น้อย ม้ามกึ๋นและขอบกระด้ง

เพื่อนผู้อาวุโสในวง รีบส่งแก้วน้ำมาให้ตบตูด อาการจึงดีขึ้น

แล้วผมก็กินเหล้าเป็นตั้งแต่วันนั้นมา และกินอยู่ร่วมสามสิบปี จนกระทั่งเป็นโรคตับ บวมไปทั้งตัว หมอที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งรักษาโรคตับโตของผมจึงบอกให้งดดื่มเหล้า ผมกินยารักษาตัวอยู่ร่วมปี แล้วก็หันมาดื่มเบียร์ต่ออีกยี่สิบปี จนเป็นแผลในกระเพาะอาหารอีกโรคหนึ่ง ที่ทำให้คิดอยู่จนทุกวันนี้ ว่าจะเลิกเสียทีจะดีไหม ?

ส่วนผู้กองที่เป็นครูของผมท่านนั้น ผมไม่ได้พบท่านอีกเลย แม้ว่าจะอยู่ทำงานที่เดิมต่อมาอีกหลายปี

เพราะท่านก็ไม่ได้อยู่ถึงวันขึ้นปีใหม่ ในคราวนั้นด้วยเหมือนกัน.

###########


โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:6:04:23 น.



Create Date : 07 ตุลาคม 2554
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 8:41:37 น. 9 comments
Counter : 564 Pageviews.

 
สวัสดีตอนเช้าครับพี่นาถ


โดย: panwat วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:8:48:51 น.  

 
สวัสดีค่ะ


ครูหนอครู สอนเด็กสิบห้าให้ดื่มเหล้า
แล้วเมาจนตายแค่วันหยุดยาวก่อนเถลิงศกใหม่
คงยังไม่หนำใจนะคะนั่น
หากอยู่ ก็คงฉลองต่ออีกยาว...

อ่านปุ๊บ นาถทราบเลยว่า แห น แหน เพราะเห็นเป็นปกติ

และขัดเคืองใจมาก เวลาเพื่อนบล็อก ถามว่า สบายดีนะค่ะ

มันต้อง สบายดีนะคะ
หนูขอลาไปแล้วละค่ะ
หนูไม่สบายน่ะค่ะ

ยังสงสัยว่า เด็กสมัยนี้ อ่านคำว่า "เหวียงเกวิ๊กกง" ออกไหมค่ะ

ดื่มเหล้า มันไม่น่าจะเป็น คำ มันน่าจะเป็น อึก

ดื่มจากแก้วเป็น อึก
จากขวด เป็นดวดเหล้า ...

คุณชายปากตระไกรอาจารย์ใหญ๋ในโรงเรียนนี่ ปากมิดี
ว่าลูกศิษย์เสียหายโม้ด...

พี่ห่อ ก็เล่าได้เต็มปากเต็มคำ
เพราะความนับถือในตนเอง เยี่ยมค่ะ

น้ำมัน ในถังสองร้อยลิตร
จารบี ในถังสองร้อยลิตร

อืม...แปลก ปริมาตรเท่ากัน แล้วมวล ไม่เท่ากันหรือ จึงหนักกว่ากัน

เมื่อวานฝนตกหนัก ตั้งแต่ทุมเศษๆ ตกราวกับทำนบสวรรค์พัง
ลมแรงมาก ฝนฟ้าก็วัยรุ่น คือคะนองเหลือเกิน
เดี๋ยวเปรี้ยง เดี๋ยวเปรี้ยง
ยังเกรงว่า เทวดาจะตกสวรรค์จ๋อมแจ๋ม
แล้วมากดออดขอเข้ามาพัก
มีของร้อนๆ หม้อใหญ่ .. หากมาจริงก็ต้อนรับเต็มที่ค่ะ



โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:9:04:18 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพัน


ขอบคุณเหลือเกินค่ะที่เข้ามาเยี่ยม
พี่นาถลองเรียกคุณดูแล้วค่ะ
หมุนคว้างกลางจออยู่นี่แหละ
แล้วจะกลับมารับทราบไหมล่ะคะเนี่ย...



โดย: พี่นาถ (sirivinit ) วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:9:07:47 น.  

 
ผมเล่าเรื่องนี้ เพื่อให้เห็นว่าครูมีหลายชนิด โดยเฉพาะที่ผมผ่านมา
ผมรู้จักชีวิต รู้จักการทำงาน รู้จักความอดทน จากครูที่ผ่านมา ช่วยให้ผมสามารถทำงานในราชการตอนหลังได้เป็นอย่างดีครับ

ขอบคุณคุณpanwat เข้ามาทักคุณนาถแล้วอ่านเรื่องสั้นหรือเปล่าครับ.



โดย: เจียวต้าย วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:9:22:13 น.  

 
ก็งั้นซีคะพี่ห่อ
ถึงต่อว่าครูผู้กอง นั่งเป็นกองๆ

ไม่ได้ว่าเด็กสิบห้าซะหน่อย
แถมเป็นเด็กเทพ..กรุงเทพ..
ไม่รู้จัก สรถ.แบบบ้านนอก


โดย: nart (sirivinit ) วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:9:51:35 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณลุง

สวัสดีค่ะวันศุกร์ค่ะพี่นาถ


15 ปีสำหรับการเริ่มต้นดื่มถ้าเป็นสมัยก่อนก็น่ากลัวนะคะ แต่เดี๋ยวนี้ดูข่าวแล้วลมจะใส่ค่ะพี่นาถ อยากรู้ อยากลองกันไปหมด ลูกหนอลูก...เราๆ เองมีทั้งลูกสาว ลูกชาย ปิดหูปิดตาก็ไม่ได้ ได้แต่บอกเค้าค่ะ


หนูหล่ะนึกเคืองเหมือนกัน เวลาใครฝากข้อความแล้วผันสระผิด นึกหงุดหงิดในใจ ไม่กล้าเตือนค่ะ แต่ก่อนในความคิดหนูใครที่ชอบอ่านหนังสือเยอะๆ มักไม่ค่อยพลาดในการเขียนหนังสือ (เพราะเราผ่านคำ หรือประโยคในหนังสือจนชิน) แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพื่อนๆ ลูกหลายคน เป็นเซียนอ่านเหมือนกัน แต่ผันวรรณยุกต์ สะกดผิดกันเยอะเลย บางคำไม่น่าผิดก็ผิด


คำว่า จอก แหน เมฆเคยอ่านผิดค่ะ ฮากันมาก เค้างงว่าเขียนแบบนี้ ก็ต้องอ่านแบบนี้....



เสาร์-อาทิตย์ หนูไม่ได้อัพบล็อก ไม่แน่ใจว่าจะได้เข้ามารึป่าว แล้วหนูจะตามอ่านย้อนหลังนะคะคุณลุง



วันนี้ผลุบๆ โผล่ๆ หลายรอบมาไม่ถึงบ้านพี่นาถซักทีค่ะ แต่ยังไงก็ต้องมานะคะ







โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:13:08:10 น.  

 
สวัสดีค่ะน้องหนู

พี่นาถราวกับถูกปล่อยเกาะค่ะ ไปไหนไม่ได้เลย
เลยคุยยืดยาวกับพี่ห่อ

ขอบคุณที่เข้ามา
เสาร์ - อาทิตย์ ก็รู้อยู่แล้ว
เราไม่ว่ากันค่ะ

เที่ยวหาโลเคชั่นถ่ายภาพงามๆ ให้ได้ดั่งใจนะคะ
ฝนตก ก็ถ่ายภาพฝนสิ
ทำให้สวยหยดย้อยไปเลยไงคะน้องหนู

มีแต่ความสุขกายสบายใจนะคะ



โดย: พี่นาถ (sirivinit ) วันที่: 7 ตุลาคม 2554 เวลา:13:46:59 น.  

 
เมื่อก่อนผู้ที่อ่านมากจะเขียนหนังสือถูกต้อง
เดี๋ยวนี้ยิ่งอ่านมากยิ่งเจอคำผิดซ้ำซากเลยนึกว่านั่นถูกแล้ว
คำที่ผิดแต่ใช้กันมาก ๆ อาจเข้าไปอยู่ในพจนานุกรมก็ได้นะครับ

ผมก็กะว่าตอนสาย ๆ ถ้าฝนหยุดตกแล้วจะออกไปถ่ายรูปแม่น้ำเจ้าพระยาใต้สะ พานกรุงธนสักหน่อยเพราะใกล้บ้านที่สุด

แต่ผมเอาภาพมาลงในบล็อกผู้อื่นไม่เป็นครับ
ไม่งั้นจะมีภาพฝีมือตนเองมาให้คุณนาถชมเยอะเลยครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 ตุลาคม 2554 เวลา:6:46:12 น.  

 
เรื่องธรรมดาของคนธรรมดา

ไข่นำโชค

"เพทาย"

ผมมีอายุครบเกณฑ์ทหารตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ แต่ได้ร้องขอผ่อนผันเพื่อหาเลี้ยงมารดา ซึ่งป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และมีลูกชายคนเดียว ได้รับการผ่อนผัน ๑ ปี เข้ารับการคัดเลือก พ.ศ.๒๔๙๖ ก็ได้ลาพักรอเข้ากองประจำการอีก ๑ ปี ได้เป็นทหารจริง พ.ศ.๒๔๙๗

เมื่อพบกับผู้บังคับหมู่ ซึ่งรู้ว่าผมเป็นนักเรียนวัดรุ่นพี่เขาแล้วทั้ง ๆ ที่เขาอายุแก่กว่าผม เขาไม่เคยสั่งลงโทษเดี่ยวกับผมเลย เว้นแต่ความผิดทั้งแถว ทั้งหมู่ หรือทั้งหมวด ผมจึงมีความสุขทางใจ ในการเป็นทหารมากขึ้น หนักแต่กายอย่างเดียว เพราะดันเป็นทหารราบ ต้องฝึกอยู่ในสนามทั้งปี

พอการฝึกเบื้องต้นแปดสัปดาห์จบลงแล้ว ก็ถึงคราวต้องฝึกเรื่องยิงปืน สมัยนั้นต้องไปที่สนามยิงปืนเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี ไปกางเต๊นท์อยู่บนเขาแถววัดเนินดินแดง กองบังคับการตั้งอยู่บนศาลาใหญ่ พวกลูกแถวต้องนอนในเต๊นท์บุคคล คู่กันหลังละสองคน เป็นการฝึกภาคสนามไปในตัว

ผมก็จับคู่กับเพื่อนชาวพระโขนงคนหนึ่ง นิสัยดีมาก พื้นที่แห่งนั้นเคยมีทหารหน่วยอื่น มาพักยิงปืนอยู่ก่อนแล้วหลายหน่วย พื้นดินจึงเต็มไปด้วย ร่องรอยของการขุดเป็นหลุมเป็นร่อง เราก็กางเต๊นท์ทับลงไปบนพื้นดินที่ขรุขระนั้น เอาผ้าใบปูรองนอนเอาเป้หนุนหัว ทนเจ็บหลังไหล่อยู่ครึ่งคืน

พอถึงกลางดึกฝนดันตกลงมาอย่างหนัก ทีแรกก็คิดว่าเย็นสบายดี สักพักก็รู้สึกว่ามีลูกคลื่นวิ่งผ่านใต้ผ้าปูที่นอน พอลุกขึ้นนั่ง น้ำก็บ่าเข้ามาในเต๊นท์เก็บข้าวของไม่ทัน เครื่องกระป๋องที่กักตุนเอาไว้ กลิ้งหลุน ๆ ตามน้ำไปหมด เหลือแต่เป้กับผ้ารองนอน ต้องวิ่งไปรวมกันอยู่ตามโคนต้นไม้ใหญ่ เอาผ้าปูนอนคลุมหัว ตกลงทหารทั้งหมดต่างก็วิ่งหนีฝนที่กระหน่ำลงมา จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง พอฝนหายเป่านกหวีดเรียกรวมได้ครบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหนดี เพราะพื้นดินเฉอะแฉะไปหมด ต้องนั่งสัปหงกจนถึงเช้า เลยยิงปืนไม่เข้าเป้าไปตาม ๆ กัน

กลับจากการฝึกยิงปืนครั้งนั้นแล้ว ผมกับเพื่อนชาวพระโขนงก็คบหาสนิทสนมกันมากขึ้น เวลากินข้าวซึ่งในสมัยนั้นหมวดสูทกรรมหุงข้าวให้อย่างเดียว กับข้าวต้องซื้อจากแม่ค้าที่ทำมาขาย ชาวพระโขนงที่เป็นอิสลาม มักจะไม่ค่อยซื้อกับข้าว แต่จะกินกับน้ำพริกซึ่งอัดใส่ขวดมาจากบ้านเป็นประจำ แต่เพื่อนของผมคนนี้ไม่ได้เป็นอิสลาม จึงซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกันได้สบาย

หลังจากที่พ้นเกณฑ์ไปตั้งสามสิบกว่าปี ได้พบกันครั้งเดียวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เขายังเลี้ยงเบียร์ผมขวดหนึ่ง เพราะผมไม่มีเงินเลย และกด เอ.ที.เอ็ม.ไม่ได้เพราะเป็นวันเงินเดือนออก เงินหมดแทบทุกตู้ ผมยังจำได้ไม่เคยลืม

เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นชาวอำเภอสัมพันธวงศ์ มีเชื้อสายจีน เขาอ่านหนังสือไทยไม่ออกเลย ได้ความว่าเมื่อเด็ก ๆ เรียนโรงเรียนจีน แล้วก็ไม่สนใจภาษาไทย พอโตขึ้นก็ลืมหมด ผมต้องเป็นครูสอนให้เขาหัดอ่านหนังสือไทยในเวลาว่าง จนพอจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้บ้าง ก็พอดีผมแยกไปเข้านักเรียนนายสิบ แล้วไม่เจอกันอีกเลย

ส่วนอีกคนหนึ่งนามสกุลใหญ่มาก และเป็นคนมีเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ซึ่งกินแต่เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่ได้รับจ่าย อย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที จนเมื่อเขาและผมได้รับการคัดเลือก ให้เป็นครูฝึกทหารใหม่รุ่นถัดไป จึงได้สนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อเวลาพักการฝึกประจำชั่วโมง ผมไม่มีเงินก็นั่งคุยอยู่กับทหารใหม่ในแถว กินแต่น้ำแช่น้ำแข็งที่เขาใส่ถังมาเลี้ยงทหาร

เพื่อนคนนี้ก็เข้าไปนั่งในเพิงขายกาแฟ ใกล้กับสนามฝึกในวังสวนสุนันทา เขาก็มักชวนผมไปกินกาแฟกับเขาเสมอ จนผมกระดาก แต่ก็ยอมให้เขาออกค่าโอเลี้ยงหลายครั้ง

ต่อมาเขาก็สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าเดียวกับผมรุ่นถัดไป ผมจึงกลับเป็นครูฝึกเขาอีก ช่วงหลังของการรับราชการนั้น เขาอยู่ทางกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้พบกันไม่กี่ครั้งก็เห็นกินเหล้ายังกับน้ำประปา แต่ถึงขณะนั้นเขาก็เป็นพันโท

หลังจากการฝึกยิงปืนแล้ว ก็เป็นการฝึกวิธีรบ เราฝึกกันในสนามหญ้าสูงท่วมหัว ใกล้ชิดติดกับกองร้อยของเราเอง พื้นที่นั้นก็คือหอประชุมกองทัพบกในปัจจุบัน ฝึกการแปรขบวน การหมอบคลานเข้ายึดพื้นที่จนหญ้าราบลงเกือบหมด ครั้งสุดท้ายของผม ก็คือการวิ่งเข้ายึดที่หมาย ต้องติดดาบปลายปืนเล็กยาวรุ่น ๖๖ หนักหลายกิโล วิ่งเข้าหา ข้าศึกในระยะ ๑๐๐ เมตร ทีละหมู่ ๑๒ คน ผมเฉียงอาวุธวิ่งไปได้ไม่เท่าไร ก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งตามแบบฝึก แต่ลุกไม่ขึ้น เพราะปวดไข่จนน้ำตาแทบเล็ด

ทีแรกครูฝึกนึกว่าผมทำ มารยา จึงเอาเท้าสะกิดให้ผมลุกขึ้นวิ่งต่อไป แต่ผมถึงกับทิ้งปืนนอนกุมไข่ดิ้นพราด ๆ จึงถูกพาไปหาหมอ ผมนอนอยู่ที่เสนารักษ์ตั้งหลายชั่วโมง แต่ทำอย่างไรก็ไม่หายปวด

ได้ความว่าผมเป็นโรคไส้เลื่อนมาแต่กำเนิด เป็นความพิการอย่างหนึ่ง คือระหว่างช่องท้องกับถุงอัณฑะ โดยปกติจะมีช่องว่างและมีพังผืดบาง ๆ ที่มีรูเล็ก ๆ กั้นอยู่ แต่ของผมรูมันค่อนข้างกว้าง เมื่อโตขึ้นลำไส้เล็กก็สามารถเลื่อน ผ่านรูนั้นลงไปในถุงอัณฑะได้ รูนั้นก็กว้างขึ้นทุกที จนเมื่อเดินหรือยืนนาน ๆ ลำไส้จะลงมากองเป็นก้อนโต ถ้าเอามือบีบดันก็กลับคืนที่เดิมได้ แต่ไม่นานก็ลงมาอีก นอกจากเวลานอนลำไส้กลับไปอยู่
ในที่ทางของมันแล้ว เราก็สบายเหมือนไม่เป็นอะไร

แต่คราวนี้ฝึกหนักเป็นเวลานาน มันก็ลงมามากเป็นก้อนใหญ่ แล้วกลับคืนที่ไม่ได้ ช่องว่างที่ผนังเป็นเหมือนยางยืดก็บีบรัดเอาไว้ จึงทำให้ปวดมาก และมากขึ้นทุกที จนถึงกับอาเจียน ผู้หมวดจึงสั่งให้ขอรถเอาไปส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าทันที

โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในยุคนั้นเพิ่งจะเริ่มขยายกิจการให้ทันสมัย นายแพทย์สั่งให้เอาผมเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพราะถ้าปล่อยไว้นาน โลหิตลงไปเลี้ยงลำไส้ที่ถูกรัดไว้ไม่ได้ก็จะเน่า และมีหวังตายได้ ทั้ง ๆ ที่โรคนี้เป็นเรื่องเล็ก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะผ่าอะไรและตัดอะไร แต่ก็ปลงแล้วว่าขอให้หายปวดเถิดจะตัดทิ้งเสียทั้งพวงก็ยอม

แต่ปรากฎว่าผ่าไปนิดเดียวไม่ถึงคืบ โดยไม่ได้วางยาสลบ นายแพทย์ซึ่งจำได้ว่าเป็นพันตรี ให้ผมนอนตะแคงกอดหมอนไว้ที่หน้าอก แล้วงอหัวเข่ามาอัดไว้ ทำให้หลังงอเป็นกุ้ง แล้วก็ฉีดยาเข้าไขสันหลัง ระหว่างที่แทงเข็มเข้าไป และควานหาจุดที่เหมาะสม มันทั้งเจ็บทั้งเสียวจนมืออ่อนตีนอ่อนไปหมด จากนั้นก็ชาตั้งแต่สะดือลงไปจนถึงปลายนิ้วเท้า หมอถามว่าชาหรือยัง ผมก็บอกไปตามความรู้สึก จนชาเรียบร้อยแล้ว จึง
เอาผ้ามาปิดตาผมไว้ มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับเตียงผ่าตัด และดูเหมือนจะมีการให้น้ำเกลือด้วย

ผมทราบทีหลังว่าหมอผ่าตรงโคนขาขวาเหนือลูกอัณฑะ เปิดออก ดึงลำไส้ขึ้นมาให้อยู่ที่เดิม แล้วเย็บช่องพังผืดนั้นให้ปิดสนิท แล้วจึงเย็บแผลภายนอก โดยที่ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา หมอพยายามชวนผมคุยโดยซักถามประวัติส่วนตัว ผมก็ตอบไปเรื่อย พอถึงตอนสำคัญท่านถามว่าเจ็บไหม ผมก็บอกตามตรงว่าไม่รู้สึกเจ็บ แต่เสียวหน่อย ๆ บางครั้งหมอเอาเครื่องมือวาง เลยสะดือผมขึ้นมาก็รู้สึกว่าเป็นโลหะเย็น ๆ

ใช้เวลาผ่าตัดประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พยาบาลเข็นจากห้องผ่าตัด ไปขึ้นเตียงนอนของผมที่หมวดอะไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นที่พักของคนไข้เป็นเรือนไม้ยาว ๆ เรียงรายไปตามแนวรั้วของโรงพยาบาลด้านถนนราชวิถีแถว ๆ ที่เป็นธนาคารทหารไทยเดี๋ยวนี้ มีด้วยกันหลายโรง เรียกเป็นหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ ตามลำดับ

ถึงเตียงนอนใหม่ ๆ ยายังไม่หายชาก็รู้สึกสบายดี ผงกหัวดูปลายเท้า เห็นมันเกยกันอยู่ไม่เรียบร้อย จะเอาลงพยายามเท่าไรก็ไม่สำเร็จเพราะมันไม่รับคำสั่ง แต่พอยาชาหมดฤทธิ์ มันเจ็บปวดที่แผลอย่าบอกใครเชียว เหมือนใครเอามีดโกนมาผ่า แล้วทิ้งคาไว้อย่างนั้น

สมัยนี้เมื่อผ่าตัดที่ใดหมอก็เอาผ้าก๊อสโปะแผลไว้แล้วปิดด้วยเทปเหนียว ไม่ให้อากาศเข้ากินยาตามเวลา ๗ วันจึงจะเปิดดูแผล สมัยก่อนไม่มียากินดี ๆ ต้องเปิดผ้าก๊อสทำความสะอาดแผลทุกเช้า และฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากล้ามทุก ๖ ชั่วโมงจนแขนซ้าย ขวาระบม ต้องเปลี่ยนเป็นฉีดที่สะโพกซ้ายขวา แล้วก็ย้ายกลับมาที่แขนอีก ๗ วันโดนเข้าไป ๒๘ เข็ม พลิกข้างไหนก็ไม่ได้เจ็บก้นเจ็บแขนไปหมด

พอตัดไหมที่เย็บภายนอกแล้วหมอก็ให้กลับกองร้อย ให้นายสิบเสนารักษ์ ทำความสะอาดแผลทุกเช้า เกิดแผลไม่หายเป็นหนองตรงกลาง เพราะมีไหมที่เย็บแผลข้างในโผล่ยื่นออกมานิดหนึ่ง ต้องเอากรรไกรขุดลงไปตัดให้ต่ำกว่ารอยแผล แล้วรักษาต่ออีกหลายวันกว่าแผลจะปิดสนิท และแผลเป็นเลยกว้างกว่าธรรมดา แต่ดีที่ไม่มีใครเห็น

โรคไส้เลื่อนนี้ อีก ๒๐ ปีต่อมาก็กลับเป็นอีกข้างหนึ่ง ขณะที่สงครามอินโดจีนกำลังเสียเปรียบ คอมมิวนิสต์ตีเมืองไซ่ง่อนและพนมเปญแตก และประกาศว่าจะมากินข้าวกลางวันที่สนามหลวง ผมกลัวว่าจะวิ่งไม่ไหว จึงไปผ่าตัดอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเจ้าเก่า คราวนี้นอนอยู่ไม่กี่วันก็หายดี แต่เป็นเพราะบารมีของ พระสยามเทวาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จึงไม่มีใครเยี่ยมกรายเข้ามาได้ ดังที่ว่านั้นเลย

เมื่อหายจากการผ่าตัดในครั้งนั้นแล้ว ผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูทหารใหม่ผลัดต่อไป พอดีทางราชการรับสมัครทหารเกณฑ์ปีที่ ๒ เข้าเป็นนักเรียนนายสิบ ผมจึงขอนุญาตผู้หมวด ขอไปสมัครเรียน ท่านก็เซ็นค้ำประกันให้ แล้วสั่งว่าให้เลือกเหล่าทหารราบ พอผมไปถึงที่รับสมัคร เขากลับมีให้เลือกเพียง ๓ เหล่าเท่านั้น คือ ทหารปืนใหญ่ ทหารสื่อสาร และนายสิบเสนารักษ์

ผมเห็นว่าผมไม่ถูกกับเข็มฉีดยามาแต่ไหนแต่ไร และไม่ชอบพยาบาลคนเจ็บป่วยจึงไม่เลือกเสนารักษ์ และเพิ่งหายจากการผ่าตัด ปืนใหญ่นั้นคงหนักน่าดู ขืนไปแบกหามหรือลากเข็นมันเข้า เกิดแผลปริออกมาก็จะยุ่งกันอีก จึงเลือกทหารสื่อสาร ซึ่งอาจจะมีความรู้วิชาวิทยุหรือโทรศัพท์ออกมาหากินนอกเวลาได้บ้าง โดยไม่ได้กลับไปบอกผู้หมวดที่กองร้อยเลย แต่ก็ไม่เคยลืมพระคุณท่าน เพียงแต่นึกชื่อท่านไม่ออกเท่านั้น

แล้วผมก็ได้ทำมาหากินเป็นทหารสื่อสาร มาสามสิบกว่าปีจนปลดเกษียณในยศพันเอก มีบำนาญเหลือเฟือ โดยไม่มีวิชาความรู้ ด้านวิทยุหรือโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย

ข้อที่สำคัญมากก็คือ ผมไม่ทราบว่าโรคไส้เลื่อน ที่เป็นมาแต่กำเนิดนั้น เขายกเว้นไม่ต้องเกณฑ์เป็นทหาร

ผมจึงได้ดีมาทุกวันนี้ ก็เพราะความไม่รู้นี้เอง.

##########


โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 ตุลาคม 2554 เวลา:6:48:52 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.