Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

-: เพชรพระอุมา :- บันทึกการเดินทาง ช่วงที่ 2 (วันที่ 78 - 87)

คำเตือน !!

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่านและกำลังคิดว่าจะอ่าน เพชรพระอุมา ด้วยตนเอง

โปรดข้าม Blog นี้ไปซะ ด่วน!!!

ว่าจะไม่ spoil แล้วนะ แต่ก็อดไม่ได้อ่ะ


==============================================


หลังจากอ่านๆๆๆๆ จดๆๆๆๆ พิมพ์ๆๆๆๆ มันชักจะยาวเกินไปแฮะ ตัดตอนดีกว่า..

อย่างที่บอก..บันทึกการเดินทางช่วงที่ 2 นี้ จะขอตัดทุกๆ 10 วันละกันนะ

ม่ายงั้น blog มันจะยาวเกินไป


และก็อย่างที่บอกไปใน blog ก่อนหน้านี้แล้ว

บันทึกการเดินทางนี้ เกิดมาจากความอยาก...ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผู้ใดนะจ๊ะ

แม้ว่าบางช่วงบางตอน ก็ใส่ความรู้สึกของตนเองลงไปด้วย..ก้อมัน 'อิน' อ่ะ


==============================================


ภาค 1 ช่วงที่ 2 (วันที่ 78-87)

วันที่ 78 (จอมผีดิบมันตรัย 2 : น.486 - 688)
ภารกิจใหญ่ของเช้านี้คือ หาแหล่งน้ำ โดยให้คะหยิ่นนำทาง
พรานใหญ่กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมเพราะได้นอนหลับอย่างสนิท
แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเคืองหมอดารินเล็กๆที่ทำให้พลาดโอกาสปะทะกับเจ้าค้างคาวยักษ์เมื่อคืนนี้

อากาศร้อนแล้งขนาดหนัก จนมาเรียทนไม่ไหว เป็นลมล้มทั้งยืน
กองกอยในร่างแงซายก็เหมือนจะวนเวียนอยู่ไม่ห่าง พอรู้ว่าคณะเดินทางขาดน้ำ ก็เอาน้ำมาให้
ช่วยยืดอายุออกไปอีกหน่อย แล้วก็เดินตามคะหยิ่นหาน้ำต่อ

เดินๆอยู่ เจ้าเสือแมลงภู่ก็โดดมาหมายจะขย้ำคุณชายใหญ่ที่เดินรั้งท้าย

พอเจอแหล่งน้ำของคะหยิ่น ที่ว่านเสน่ห์จันทร์ขึ้นรายรอบ
ก็มีซากนักบวชตายซากก็มานอนเล่นในแอ่งน้ำซะงั้น แถมทีเผลอ ก็ลุกเดินหนีไปดื้อ

ซ้ำร้ายก่อนจะไปเจอแหล่งน้ำใหม่ก็ดันเดินไปเจอเถาวัลย์กินคนซะอีก..
ในซุ้มเถาวัลย์กินคนนั้น พบโครงกระดูกมนุษย์ 2 ร่าง ดีนะที่มีนักมานุษยวิทยา (สุดสวย) มาด้วย
เลยได้รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตามหากันอยู่ แต่เป็นคนเมื่อ 40 ปีก่อนโน้นที่คะหยิ่นเคยบอกไว้ว่าเคยเห็นตอนเด็กๆ

หลุดออกมาจากดงเถาวัลย์กินคนก็มาเจอแอ่งน้ำมวกที่มีว่านเสน่ห์จันทร์ขึ้นเต็มไปหมด
แถวด้วยรอยตีนไอ้ดำปลอดที่ลงมากินน้ำด้วย..แหม.ม..ดักหน้าดักหลังไปซะทุกที่เลยนะ

คืนนี้วางแคมป์ห่างจากแอ่งน้ำประมาณ 50 หลา กินมื้อค่ำเสร็จ มาเรียก็แกะอ่านสมุดบันทึกที่เก็บมาได้
ได้ความคร่าวๆว่าเป็นสมุดของ แจน เครเมอร์ นักผจญภัยชาวเดนมาร์ก เพราะเขียนเป็นภาษาเดนิช
มากัน 6 คน ตกผาตายไป 1 งูกัดตายไป 1 โดนค้างคาวยักษ์ดูดเลือดตายไปอีก 1 โดนไอ้ดำปลอดงับตายไปอีก 1 ส่วนเขาและตูเล่ก็คาดว่าจะเป็นเจ้าของโครงกระดูกที่เจอในดงเถาวัลย์กินคนนั่นแหล่ะ

ฟังจบ ยังไม่หมดแสง ทั้งคณะก็ออกเดินสำรวจป่าละแวกนั้น (ตอนนี้ไปไหนต้องไปทั้งขบวน..เสียววุ้ย)
ก็เป็นไปตามคาด แงซายเอาน้ำมาให้ น้ำนั้นมาจากแอ่งน้ำมวกนี้แหล่ะ เพราะมีรอยตัดไผ่ทำกระบอกน้ำ
แล้วก็เจอของประหลาดอีกแล้ว..หินภูเขาไฟสลักเป็นเสือ ตัวเท่าๆกับไอ้ดำปลอดเลยล่ะ
รพินทร์เลยถอดเอาเชือกผูกรองเท้ามาวัดแล้วกลับมาเทียบกับรอยตีนที่อยู่ริมแอ่งน้ำมวก..เป๊ะเลยว่ะ
บุญคำว่ามันคือ สมิงพราย ที่พอวิญญาณร้ายมาสิง หรือโดนอาคม มันก็จะมีชีวิตขึ้นมา

กลับมาถึงแคมป์ ก็เจอเก้งมานอนรอให้ชำแหละ แงซายแน่นอน

ตกดึก ก็ไม่เป็นอันหลับอันนอนกันอีก เพราะคุณชายสะกิดรพินทร์ให้ขึ้นมาฟังเสียงมโหระทึก
แล้วคุณหญิงก็ฝันเห็นขบวนแห่นางกษัตริย์ เป็นนักบวชโล้น
จะคุณชายต้องบอกออกมาว่าสิ่งที่เขาและรพินทร์ได้ยินแงซายพูดในคืนนั้นว่าอย่างไร
"มายาวินคัมภีร์อุบาทว์ มันตรัยปุโรหิตพ่อมดร้าย พันธุมวดีนางพญาแห่งนครหลับ"

ยังคุยกันจ้อกแจ้ก ไอ้ดำปลอดก็ดอดมาอยู่ริมแอ่งน้ำมวก ลมเปลี่ยนทิศ กลิ่นสาบสางโชยมา
แต่พอส่องไฟแล้ว ตาไม่สะท้อนแสงไฟ..เอากะมันสิ

ตีสี่ เคลิ้มๆจวนจะหลับ เจ้าซากนักบวชโล้นก็มาให้เห็น หลอดไฟฉายของไชยยันต์ขาดเสียก่อน
ไม่งั้นคงได้ยิงกันล่ะ..เฮ่อ ไม่ต้องนอนกัน


วันที่ 79 (จอมผีดิบมันตรัย 2 - 3 : น.688 - 812 ไฟป่า)
ไอ้ดำปลอดตัวนั้นหายไปแล้ว !! ตกใจไปตามๆกัน
เดินต่อ ตามรอยแงซายไปเรื่อยๆ จนมาถึงป่าหิน ไอ้ดำปลอดก็มาเดินตามไชยยันต์และมาเรียด้านหลัง
พอรพินทร์มาเดินด้านหลัง ไอ้ดำตัวนั้นก็มาเล่นงานด้านหน้าผลักหินก้อนใหญ่ลงมา
ถึงตอนนี้ .458 ของคุณชายใหญ่เป็นอันหมดหน้าที่ลง เพราะแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
รพินทร์เลยได้โอกาสยก .460 ที่ถือติดมือมาตลอดตั้งแต่ที่แงซายหายไปให้คุณชายซะเลย
ไต่กันขึ้นมาถึงด้านบน มาเจอเพื่อนเก่า-ซากนักบวชโล้น คราวนี้มานั่งดักอยู่
คุณชายใหญ่จึงสั่งให้ฌาปณกิจมันซะเลย ระหว่างที่กำลังหาฟืน ไอ้ดำปลอดก็มาคาบไปซะงั้น
คิดซะว่ามันยังไม่ถึงคราว เลยรอดไปได้ คราวหน้าเจอกัน..ไม่รอดแน่ ไอ้ดำ!!
งานนี้พรานใหญ่ของเราก็เจ็บตัวอีก สะเก็ดหินกระเด็นเข้าตา..ดีนะที่เป็นฝีมือคุณหญิง..โกรธไม่ลง

แล้วก็ออกเดินต่อ ตามรอยที่พวกกองกอยทำไว้ แต่เส้นทางที่นำไปเนี่ย ไม่สงสารคนเดินบ้างเลย
ผ่าไปกลางทุ่งแฝก ร้อนนรก จนพรานใหญ่ต้องนำเบี่ยงออกนอกเส้นทาง เลียบชายทุ่ง ไม่งั้นตายแน่
แล้วไปเจอะถ้ำมนุษย์โบราณซะนี่ เจอพวกขวานหิน พลอยทำให้เขวออกนอกเรื่องเรื่อยเลย
คราวนี้ก็ได้จังหวะยืดเรื่องแล้ว เม้าท์กันไป..เรื่องวัตถุโบราณ ของสำคัญทางโบราณคดี

กลับมาๆ เดินต่อซะดีๆ
คราวนี้ยิ่งเดินยิ่งร้อน แถมมีกลิ่นไหม้ด้วย เอ๊ะ! ชักยังไงๆซะแล้ว
แค่โผล่พ้นเนินไปเท่านั้น ก็เห็นไฟป่าที่ลุกลามมาอย่างน่ากลัว ตีโอบมาเป็นครึ่งวงกลม
ทางรอดเหลืออยู่ทางเดียว คือกลับทางเก่า วิ่งกันกลับมาที่ถ้ำเดิม
เจอะกับโขลงช้างที่หนีไฟป่าเหมือนกัน ทั้งคณะเลยต้องวิ่งหลบเข้าไปในถ้ำ โขลงช้างก็วิ่งตามมาด้วย
ทั้งที่พยายามยิงปะทะไว้เพื่อให้ซากช้างช่วยปิดปากถ้ำ ไม่ให้พวกที่เหลือตามเข้ามา แต่ก็ไม่เป็นผล
เสียงสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินคือ "ช่วยตัวเองโดยอิสระ ตัวใครตัวมัน!"


วันที่ 80 (จอมผีดิบมันตรัย 3 : น.812)
ตอนนี้เป็นตอนที่ใครๆหลายคนชอบมาก จขบ.ก็ชอบเหมือนกัน
เป็นตอนที่แนะนำให้อ่านเอง..ต้องอ่านเอง แล้วจะเข้าใจ..

จากเมื่อวานรพินทร์ตกลงมาในปล่องเหว ฟื้นขึ้นมาอีกทีตอนเย็นของวัน
เดินๆไปก็เจอะกับคุณหญิงติดอยู่กับใยแมงมุมยักษ์ อึ๋ย..น่ากลัวทีเดียว..
ต่างคนก็ต่างรู้สึกหดหู่เมื่อสำนึกบอกกับตัวเองว่าเหลือกันอยู่เพียงสองคน
แต่เมื่อยังมีลมหายใจก็ต้องลุยกันต่อไป..

..เหมือนคนเขียนจะรู้ใจคนอ่าน มีฉากให้ได้อยู่กันสองต่อสองอีกแล้ว
ฉากพ่อแง่แม่งอนตอนนี้เนี่ย..ใครๆก็ชอบ..อิอิ

ยิ่งตอนที่คุณหญิงงอน ไม่ยอมไปด้วย แล้วพรานใหญ่ต้องกลับมาง้อ
จนต้องมารยาว่าโดนอะไรไม่รู้กัด จนคุณหญิงต้องวิ่งมาช่วยแล้วก็ถูกกอดซะงั้น..

ประโยคประทับใจ
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเป็นหรือตาย ภายในธารใต้ดินสายนี้ เราจะไม่แยกห่างพลัดพรากจากกัน" (น.855)

เดินลุยน้ำในความมืดมิด ต่างชวนกันคุย ผลัดกันเล่าเรื่องราวของตัวเอง
จนถึงร่องน้ำที่เท้าเหยียบไม่ถึงพื้น ต้องลอยคอกันไปร่วมชั่วโมง ก็ออกมาได้สำเร็จ
คุณหญิงหมดสติ ตะคริวจับทั้งตัว แต่ก็ยังสั่งให้พรานใหญ่ถอดเสื้อผ้าให้ ไม่งั้นจะแย่กว่านี้

เฮ่อ..เกิดเป็นรพินทร์เนี่ย.....บรรยายไม่ถูกอ่ะ ไปอ่านเองละกัน บอกตอน บอกเล่ม บอกหน้าไว้ให้แล้ว..

อีกฉากที่น่ารักก็คือตอนลองปืน เช็คว่าลูกปืนด้านรึเปล่า เพราะแช่น้ำอยู่เป็นนาน
แล้วเจ้า .458 ก็ถีบเอาพรานใหญ่หงายหลังมานอนอยู่บนตักคุณหญิงซะนี่

[ดวงตาสดใสแพรวพราวของเจ้าของตักดูเหมือนจะมีประกายยิ้มพร้อมทั้งส่งกระแสถามมาในทำนองว่า - มีเจตนามารยาที่จะแกล้งนอนหงายเอาหัวมาชนอกนุ่มๆ แล้วก็เลยนอนสบายอยู่บนตักหรือเปล่า
อีกฝ่ายหนึ่งตอบด้วยกระแสตาเช่นกันว่า - ขอโทษ มันเป็นอุปัทวเหตุ
แต่..อึดใจเต็มๆผ่านไปก็ยังไม่ยอมลุก วางศีรษะหนุนปลีขางามอันเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น มิหนำซ้ำยังมีท่าเหมือนอยากจะหลับ สูดลมหายใจลึกเหมือนจะให้กลิ่นผิวกายของเจ้าของตักเข้าไปอาบอบอยู่ในหัวใจ]

เคลิ้มๆหลับกันไป ซากผีดิบนั่นก็เกือบจะมาเอาตัวคุณหญิงไปได้ ดีที่รพินทร์ช่วยไว้ทัน
แล้วไอ้ดำปลอดก็มารังควานอีก .. ไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี
รพินทร์เลยถอดเครื่องรางของขลังประจำตัวให้คุณหญิงห้อยคอไว้..

ในวันเดียวกันนั้น ตัดมาที่มาเรียกับไชยยันต์ ฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน
เดินคลำทางไปเรื่อยๆจนเจอบ่อลาวาเดือด ก็เลยเกิดข้อสงสัย(อีกแล้ว)ว่า
คนเราสามารถเข้าไปอยู่ได้ใกล้สุดๆขนาดไหน
เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าทั้งสองคนจะเข้าไปใกล้มากเลยนะ
เจอบ่อลาวา ไปต่อไม่ได้ ก็หาทางออกทางอื่น แล้วก็ไปเจอไอ้ดำปลอดเป็นหิน ซึ่งมาเรียยืนยันว่าเป็นตัวเดียวกัน
เพราะแอบเอายาทาเล็บของคุณหญิงมาแต้มไว้..เข้าป่ายังอุตส่าห์พกมาทาเล็บด้วย
เมื่อไอ้เสือนี่เข้ามาได้ ก็แสดงว่ามีทางออกอ่ะดิ ในที่สุดทั้งสองคนก็หาทางออกเจอ
แล้วก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ สองคนนี่อยู่ด้วยกันตามลำพังเมื่อไหร่...X x x ฉากนี้ไม่มีคำบรรยาย ไปอ่านเอาเองนะจ๊ะ..
แต่บอกได้อย่างนึงว่า Location เหมาะมากๆ เพราะทั้งสองฝั่งธารเต็มไปด้วยว่านเสน่ห์จันทร์

ฝั่งรพินทร์ ไอ้ผีดิบกับไอ้ดำปลอดไปรังควาน
ฝั่งไชยยันต์ก็ไม่น้อยหน้า ไอ้ค้างคาวผีก็ตามมากวนเหมือนกัน คราวนี้น่าจะยิงถูก เพราะมีรอยเลือดด้วย


วันที่ 81 (จอมผีดิบมันตรัย 4 : น.1080)
มาเรียกับไชยยันต์ ออกตามรอยเลือดไอ้ค้างคาวผีเข้าไปในถ้ำอีกรอบ
เลยได้เจอไฟเย็นที่ค้างคาวลงไปแช่เพื่อรักษาบาดแผล
แล้วก่อนที่จะทำไงต่อไป เจ้าผีกองกอยก็มานำทางให้ออกจากถ้ำ
แต่ก็ยังเจองูยักษ์อีก แต่คราวนี้คงเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาแหล่ะ
เพราะไม่เห็นทำอะไร ลุกขึ้นมามองว่าใครมาก่อไฟบนหลังข้า..พอเห็นหน้าแล้วก็จากไป
จากที่งูยักษ์เลื้อยออกไป ทำให้เห็นศิลาแลงคล้ายๆกำแพงเมือง แต่ยังไม่มีเวลาไปสนใจมากนัก
เพราะถึงวันนี้ของเดือนของมาเรียพอดี..ถึงเดือนได้ไงฟะ เพิ่งมาเมื่อวันที่ 72 ของการเดินทาง (เมื่อ 9 วันที่แล้วเองนี่หว่า)

ฟากคุณหญิงกับรพินทร์ก็ได้แงซายนำทาง คราวนี้มาให้เห็นชัดๆ ไม่ผลุบๆโผล่ๆเหมือนที่ผ่านมา
ทิ้งระยะห่างประมาณ 50 หลา ถ้าเดินเร็ว แงซายก็เร่งเดินให้เร็ว ถ้าเดินช้า แงซายก็เดินช้า..อย่าหวังว่าจะถึงตัวได้
ดารินเรียกรพินทร์ว่า "จอมพราน" ครั้งแรก (น.1158)

เดินตามไปเรื่อยๆ ก็ไปปะกับโขลงช้างซะงั้น รพินทร์เลยได้โชว์ฝีมือให้คุณผู้อ่านได้เห็นซะเลย
แล้วก็ตอกทอยโดยการเอาด้ามปืนสั้น .44 ตอกลูกทอยขึ้นไปช่วยบุญคำบนต้นกร่าง

เคยเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า รพินทร์หรือแงซายใครเก่งกว่ากัน
แล้วก็มีคนยกเรื่องการตอกทอยเนี่ยแหล่ะ เพราะตอนต้นเรื่องที่แงซายตอกทอยให้คณะนายจ้างปีนผา
แงซายต้องเหลาลูกทอยเอง แต่งานนี้ รพินทร์ใช้ลูกทอยของคนอื่น ตัวเองไม่ได้เหลาเอง ก็ยังตอกได้
อย่างนี้จะเรียกว่ารพินทร์เก่งกว่าได้รึเปล่า..

แล้วแงซายก็มานำทางต่อ พาให้ไปเจอร่องรอยของมาเรียและไชยยันต์
เจอรอยงูยักษ์ กำแพงเมืองโบราณ แล้วก็ผ้ายันต์ของมาเรีย
แล้วก่อนที่จะเจออย่าอื่นต่อไป ไอ้ตะขาบยักษ์ก็โผล่ออกมาให้วิ่งกันตับทรุดอีกแล้ว
คราวนี้ก็มากันที 2 ตัวเลยอ่า..จัดการไปได้ตัวนึง เหลืออีกตัวแต่แล้วไอ้ค้าวคาวผีก็มาแตะมือผลัดเวร
พอดีกับที่พรานใหญ่ทำหอกโมกข์ศักดิ์ (ตามที่บุญคำเรียก) เตรียมไว้แล้ว ก็เลยฝากไปกลางอกไอ้ค้างคาวซะเลย


ช่วงเย็นของวันเดียวกันที่ฝ่ายรพินทร์เจอตะขาบยักษ์
มาเรียกับไชยยันต์ ก็เจอไอ้ดำปลอดกับซากผีดิบหลอกล่อให้เกือบยิงกันเอง
ดีนะที่ไชยยันต์ฝีมือห่วย (อย่างที่มาเรียว่า) ไม่งั้นมาเรียคงตายไปแล้ว..


วันที่ 82 (จอมผีดิบมันตรัย 4 : น.1298)
เช้าแล้ว ลงมาเก็บปืนแล้วเดินต่อ ดีที่มาเรียทำสัญลักษณ์ไว้ตลอดทาง ทำให้เดินตามได้ง่าย
แต่แล้วแค่บ่ายโมงกว่า ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ลบรอยของทั้งสองคนออกไปหมด

รพินทร์เรียกคุณหญิงว่า "พลับพลึงไพร" (น.1317)

ระหว่างที่ฝนกระหน่ำ ทางด้านมาเรียและไชยยันต์ก็หลบเข้าไปในสุสานโบราณ
ช่างกล้าจริงๆ ถ้าเป็นเราล่ะก้อ..ขอบาย ไม่ลงไปแน่นอน
บทสนทนาฮาๆเรื่องจับปิ้ง..ไปอ่านเองนะ
สุดท้ายเลยโดนมันตรัยขังอยู่ในสุสานใต้ดินซะ..เห็นมั๊ย บอกแล้วว่าอย่าลงไปก็ไม่เชื่อ..

ทางฝ่ายรพินทร์ก็เจอร่อยรอยของคณะที่เหลือ ทั้งปลอกกระสุนลูกซอง .375 , .30/06 แล้วก็ก้นซิการ์ฮาวาน่า
เลยตัดสินใจเดินตามหาคณะใหญ่ก่อน ไต่ตามธารน้ำขึ้นไปเรื่อยๆก็ไปเจอเอาดงเห็บ

ถ้าใครถามว่าฉากขำๆระหว่างพรานใหญ่กับคุณหญิงอันไหนที่เราชอบ ฉากนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย (น.1419)
เป็นตอนที่รพินทร์เอาน้ำมันกันแมลงให้คุณหญิงทาตัว แล้วแสบร้อนมากจนคุณหญิงคาดโทษไว้ว่า
"ถ้าหนังฉันหลุดเป็นชิ้นๆละก็ นายพรานเอ๋ย อย่าอยู่เป็นคนอีกเลย ฉันจะสาปให้คุณไปเกิดเป็นตัวเห็บเหล่านั้น"
แล้วรพินทร์กระซิบตอบมาว่า..
"ถ้าผมเกิดเป็นตัวเห็บได้ละก็ ทราบไหมว่า ผมเลือกเกาะบริเวณไหนในตัวของคุณหญิง"..เอิ๊ก.ก..

ผ่านดงเห็บออกมาก็มาถึงจุดหมายที่วรมันต์ต้องการให้มาซะที สุสานโลงแก้วของนางพันธุมวดี
กำลังจะดึงกริชออกมาอยู่แล้ว มันตรัยก็โผล่มาซะก่อน แล้ววรมันต์ในร่างแงซายก็เข้ามาตะลุมบอนด้วย
กำลังชุลมุน เกือบจะเสียทีแล้วเชียว คุณชายใหญ่กับพรานที่เหลือก็เข้ามาช่วยไว้ทันเวลาพอดี
สุดท้าย คุณหญิงก็เป็นคนดึงกริชออกจากคำภีร์หนังมนุษย์เล่มนั้น ปลดปล่อยให้วิญญาณทั้งหลายไปผุดไปเกิด
แล้วก็มาถึงคิวไชยยันต์กับมาเรียที่ติดอยู่ในสุสาน ถึงขั้นต้องเอาระเบิดมาช่วยเปิดทาง รอดออกมาได้

กลับมาถึงแคมป์ใหญ่นึกว่าจะราบรื่น เกิดเรื่องอีกแล้ว
จขบ.ว่า.. อันเนื่องมาจากคุณหญิงถอดเครื่องรางคืนให้พรานใหญ่แหงๆ..มันตรัยเลยมาเอาตัวคุณหญิงออกไปได้

แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้น มาว่ากันเรื่องพรานใหญ่เสียท่าให้มาเรียก่อนดีกว่า
เป็นฉากที่ฮามาก ..ไปอ่านเองนะ (อาถรรพ์นิทรานคร 1 : น.117)

มันตรัยโผล่มาเสนอข้อแลกเปลี่ยนตัวดารินกับคัมภีร์ ซึ่งฝ่ายรพินทร์ไม่มีทางปฏิเสธได้
พอกลับถึงแคมป์ รพินทร์นึกไงไม่รู้ (อันนี้รพินทร์คงรู้กันกับลุงอี๊ด แต่คนอ่านไม่รู้เท่านั้นเอง)
สั่งบุญคำเอากระสุนไปคลุกกับ 'ของอาถรรพ์' คุณชายก็นึกไงไม่รู้เหมือนกัน..เอาด้วย


วันที่ 83 (อาถรรพ์นิทรานคร 1 : น.166)
เช้านี้รพินทร์ยกขบวนไปวางคัมภีร์ที่จุดนัด แล้วก็แยกออกมานั่งซุ่ม
ส่วนมันตรัยก็กะจะเอาคุณหญิงไปทำ Bat Woman แทนพันธุมวดี เรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกัน..ฝันไปเถอะ
ดีนะที่วรมันต์ในร่างแงซายก็มาช่วยออกไปซะก่อน ไม่งั้น..ก็ไม่รู้แล้วล่ะ พาไปส่งคืนที่แคมป์
แล้วทั้งคณะก็พากันไปวางระเบิดกับดักที่เสือหิน กะว่าถ้ามันขยับตัวละก็..แหลก..

สุดท้ายก็ปราบมันตรัยลงได้ (ในภาคนี้) เพราะกระสุนนัดเดียวของคุณชายใหญ่ ส่วนของรพินทร์ทำไว้แต่ไม่ได้ใช้
แล้วก็เผาส่งกันไปพร้อมกับ 'ของอาถรรพ์'


วันที่ 84 อาทิตย์ 11 ต.ค. (อาถรรพ์นิทรานคร 2 : น.367)
ยังไม่ทันสว่าง คุณหญิงก็แอบย่องจะออกไปนอกแคมป์ แต่ถูกมาเรียจับได้ซะก่อน
ถามไปถามมาก็บอกว่าฝันเห็นว่าวรมันต์คืนร่างของแงซายให้ แต่รพินทร์ก็แกล้งถ่วงเวลารอให้สว่างก่อน
คุณหญิงก็เลยเล่าถึงความฝัน เรื่องราวความเป็นมาของนิทรานคร ความเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งล่มสลาย
บุญคำก็เลยนั่งเล่านิทานรอบกองไฟมั่ง พวกเสือสมิง สมิงพรายหม่องอูขิ่น
(ซึ่งรพินทร์บอกว่าได้ยินเรื่องนี้เป็นรอบที่ 37...ฮา) แล้วก็มีการเอ่ยถึง 'สางห่า' ในตอนนี้ด้วย

พอสว่างก็ออกเดินไปตามแงซาย ไอ้แมงมุมหกขากัดซะปางตาย ดีที่คณะนี้มีหมองูอยู่ด้วย-ส่างปา ไม่งั้นคงแย่

โพล้เพล้จวนค่ำ เจอสัตว์ประหลาดอีกแล้ว ช้างโบราณ-ไดโนเทเรี่ยม (นี่เดินหลงเข้ามาในป่าโลกล้านปีตั้งแต่ อาถรรพ์นิทรานคร เล่ม 2 เลยเหรอเนี่ย)
แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก เพราะตอนเขียนลุงอี๊ดแกคงไม่ได้ตั้งใจแบ่งเป็นตอนชัดเจนเหมือนเดี๋ยวนี้ แกก็เขียนไปเรื่อยๆนะแหล่ะ

ตกดึก ก็มานั่งงงกับ "ปิ่นพระศิวะฉายแสงเรืองรองขึ้นเมื่อใด ถันพระอุมาเทวีจะปรากฎให้เห็น"
ก็เลยนั่งเช็คเวลากันใหญ่ว่าวันนี้วันอะไร เหลือเวลาอีกกี่วัน แล้วเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

จำได้ว่า จขบ.บันทึกการเดินทางมาตั้งแต่แรก เริ่มออกเดินทางประมาณ เม.ย.
ตอนนี้เดินทางมารวมวันนี้ด้วยก็ 84 วัน (เกือบ 3 เดือน) ถ้าเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเดือน ก.ค. แต่ไหงกลายเป็น ต.ค. ได้หว่า..ดูท่า คณะเดินทางจะหลงเข้ามาในแดนสนธยาซะแล้วล่ะ วันเวลามันผิดไปหมด
ขนาดรพินทร์บอกว่า ตั้งแต่แงซายหายไปจนได้ตัวคืนกลับมารวมทั้งหมด 12 วัน
จขบ.จดไว้มันแค่ 8 วันเองอ่ะ..เอาน่า อย่าคิดมากๆ อ่านเอามันส์
รู้แต่ว่านับตั้งแต่วันนี้ไปจะเหลือเวลาอีก 23 วัน ก็จะถึงวันที่ 3 พ.ย. (ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ตามที่ลายแทงบอกไว้)


วันที่ 85 (อาถรรพ์นิทรานคร 2 : น.563)
ยามสุดท้ายใกล้รุ่ง รพินทร์ตื่นมารับยาม แงซายก็ลุกมาด้วย
แล้วก็ปะทะคารมกันนิดหน่อย จนรพินทร์ปุดๆอยู่ข้างใน
'เกิดมาเป็น รพินทร์ ไพรวัลย์ ยังไม่เคยยอมให้ใครมาแตะคมได้เลย แต่ไอ้กะเหรี่ยงรูปงานผู้นี้เอาคมของมันมาแตะเขาอยู่ตลอดเวลา'

เช้ามาเลย 'รมณ์บ่จอย' เพราะคิดว่าคุณหญิงเป็นคนบอกแงซายเรื่องแผนการเดินทาง คุณหญิงเลยกรี๊ดป่าแตก ต่างคนต่างหลบหน้ากันไป
สายๆรพินทร์เลยกะเอาปลามาง้อ (โดยการหักคอเอาจากแงซาย)

..เนี่ยแหล่ะ ฉากนี้หลายคนชอบมาก
ก็ตอนรพินทร์กะลังปล้ำจูบคุณหญิงในมุมลับตาคน แล้วแงซายย่องมาขโมยปลาคืนนั่นแหล่ะ

แต่ที่อ่านแล้วขำก็ตอนที่คุณหญิงเดินกลับไปแล้ว รพินทร์ไม่รู้จะไปทางไหนดี
จะเดินไปบนแคมป์ ก็กลัวจะทำพิรุธให้คุณชายเห็น จะเดินไปที่กลุ่มพรานที่นั่งโจ้ปลากันอยู่ก็อายแงซาย

อ้อ..ลืมบอกไปเรื่องนึง เช้านี้แงซายบอกมาเรียเรื่องที่ตนเองจบอักษรศาสตร์ จาก บอมเบย์

อารมณ์ดีแล้วก็เลยพากันไปดูซากไดโนเทเรี่ยม กลายเป็นว่าได้เจอร่องรอยสัตว์ประหลาดอีกตัวที่มากินซากช้าง
รพินทร์กับแงซายถึงกับคิดหนัก ตอนบ่ายต้องวกกลับมาดูอีกรอบ..ตัวอะไรฟะ แต่ที่แน่ๆ น่าจะใหญ่ว่างูยักษ์ที่หล่มช้าง

ขากลับเจอนังสมิงสาวมาเรียใช้มารยาเอาจูบจากรพินทร์จนได้...no comment..

ยามแรกของรพินทร์ แงซายออกมาร้องเพลง ขับกวี ให้ฟังอีกแล้ว
แต่ละคำที่พูดออกมาเหมือนออกมาจากใจพรานใหญ่ทั้งนั้น ช่างรู้ใจไปหมดจริงๆ


โอ้ ราตรีนี้พี่เหงา เศร้าดวงจิต
รำพึงคิด โดดเดี่ยว เปลี่ยวหนักหนา
พิษรักร้อน เริงรุม สุมอุรา
โอ้ ขวัญตา จะรู้บ้างหรือไร

อ่านแล้วเห็นภาพเหมือนน้องชายออกมาแซวพี่ชายที่มีปัญหาหัวใจยังไงอย่างงั้นเลย..

แล้วมาเรียก็โดนไชยยันต์...คืนนี้เอง .. มาตามดูกันซิว่า จริงๆแล้วใครเป็นพ่อเด็กกันแน่


วันที่ 86 (อาถรรพ์นิทรานคร 3 : น.820)
ได้ยินเสียงไอ้ยักษ์แต่เช้ามืด ยังอุ่นใจอยู่บ้างที่เตรียมธนูติดไนโตรไว้แล้ว
แปดโมงออกเดินทาง ระหว่างทางก็เจอกับสัตว์โบราณทั้งหลาย อาทิ ซากสเตโกซอรัสที่ไอ้ยักษ์เขมือบทิ้งไว้
แรดอาซินอยที่ทำให้ทั้งคณะวิ่งกันกระเจิดกระเจิง แล้วมาหยุดลงที่ .600 ของไชยยันต์
เสือเขี้ยวดาบที่เกือบขบขมองส่างปา โดนแงซายสอยร่วงไป
ชอบ Location ช่วงนี้มากเลย เหมือนเดินอยู่กลางทุ่งหญ้า ลมโชยเบาๆ ดอกหญ้าปลิวไสว
แดดแรงแต่ไม่ร้อน เหมือนอยากจะล้มตัวลงนอนได้ทุกเวลา

เรื่อยๆมาจนถึงป่าหิน จวนค่ำทั้งคณะก็เจอร่องรอยของคนสาบสูญ รพินทร์พยายามหาร่องรอยเพิ่มเติม
จนหลงเข้าไปในดงเถาไม้กินคน งานนี้แหล่ะที่ชาวคณะได้เห็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างพรานนำทางกับคนใช้จอมกะล่อน
ฉากนี้แนะนำให้อ่านอย่างแรง (น.1007) เพราะถึงขั้นที่พรานใหญ่ของเราจี๊ดขึ้นมาในหัวว่า

'ฟ้าให้รพินทร์ ไพรวัลย์มาเกิดแล้ว ยังให้แงซายมาเกิดอีกหรือ?!!'


แถมยังจี้ใจดำ เรื่องที่รพินทร์พาบุกเข้าไปในดงไม้กินคนเพื่อหาหลักฐานการตายของนายชด
เพื่อที่จะได้จบงาน กลับบ้านเสียที สุดท้าย รพินทร์ก็พูดออกมาเองว่า
"ไหนๆฉันเองก็ได้บุกบั่นฟันป่ามาถึงนี่แล้ว แกอยากจะไปให้ถึงเทือกเขาพระศิวะ ฉันรับรองว่าจะไปกับแกด้วย เพื่อให้รู้ชัดเสียทีว่า อะไรเป็นความปรารถนาแท้จริงของแก และอะไรเป็นความลี้ลับที่ซ่อนอยู่หลังเทือกเขาลูกนั้น" (เชื่อได้แน่นอน สัจจะของรพินทร์ ไพรวัลย์ ยิ่งใหญ่เสมอ)

ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะเจอกับไอ้ยักษ์ (จริงๆอยากเรียกตามที่ไชยยันต์เรียกจังว่า -ไอ้เจี้ยยโบราณ- อ่านแล้วมันเห็นภาพชัดเจนมากเลย แต่เด๋วไม่ผ่านเซ็นเซอร์อ่ะดิ) แต่พอเจอเข้าจริงๆก็วิ่งกันกระเจิดกระเจิง
แล้วคืนนี้ก็ยังไม่สามารถปราบมันลงได้ แถมคุณหญิงยังสะกดพรานใหญ่ด้วยยานอนหลับซะอีก หลับยาวล่ะคราวนี้

แล้วก็มาถึงฉากแนะนำอีกแล้ว ต้องอ่านให้ได้นะ (อาถรรพ์นิทรานคร 4 : หน้าแรก) ตอนนี้ขอก๊อปมาบางส่วนละกัน ชอบมาก.ก....

"ขอบคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย...ขอบคุณต่อดวงดาวประจำชีพ...ในทุกครั้งแห่งวิบัติภัย บันดาลให้ฉันมีคุณอยู่ด้วยเสมอ ทุกครั้งไป" (น.1071)

"ถ้าไม่เคยเชื่อหรือรู้มาก่อน ก็จงให้เชื่อและรู้ไว้เสียเดี๋ยวนี้ด้วยว่า ดารินเป็นห่วงคนที่ชื่อรพินทร์ อย่างน้อยที่สุดก็ห่วงเท่าๆกับชีวิตตัวเอง แม้ว่าจะเคยทำเป็นเสมือนว่าไม่สนใจใยดีอะไรเลยก็ตาม" (น.1077)



วันที่ 87 (อาถรรพ์นิทรานคร 4 : น.1138)
ไชยยันต์บอกว่า วันนี้เป็นวันพุธที่ 14 ต.ค. ปี xxxx เหลืออีก 21 วัน (นับวันนี้ด้วย) จะต้องเดินให้ถึงเนินพระจันทร์ให้ได้
เช้านี้รพินทร์ให้แงซายเป็นคนนำทาง ตัวเองไปเดินอยู่กลางขบวนกับคุณชาย จนใครๆสงสัยว่าเหตุอันใดและแน่ใจได้อย่างไรว่าแงซายนำทางถูก
อันนี้ก็อย่างที่ (คนอ่าน) รู้ๆกันอยู่ แงซายอยากไปให้ถึงเทือกเขาพระศิวะมากกว่าใครทั้งหมด ดังนั้นก็อย่างที่รพินทร์บอกนั่นแหล่ะว่า "แกเป็นคนหนึ่งที่จะต้องพยายามจนสุดชีวิต เพื่อเดินทางให้เข้าสู่เป้าหมายนี้ และสิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้ฉันไม่ห่วงเลยสักนิดว่า ทำไมแกถึงจะแกล้งเดินให้ผิดเส้นทาง หรือแกจะแกล้งเช่นนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร"

ระหว่างทาง มาเรียบอกไชยยันต์เรื่องที่รู้ความลับของแงซายว่าจบอักษรศาสตร์ จาก บอมเบย์ เลยทำให้ไชยยันต์คันปากยิบๆ อยากจะบอกใครๆตั้งหลายครั้ง แต่มาเรียห้ามไว้

เดินมาครึ่งค่อนวัน เจอแต่หินกับทราย ไม่มีต้นไม้สักต้น น้ำก็ไม่มี คณะนายจ้างจึงกลัวว่าแงซายจะลองดีรพินทร์อีกแล้ว งานนี้แงซายเลยได้ชื่อใหม่จากรพินทร์ว่า เจ้าหมาจิ้งจอกผู้แสนจะซื่อสัตย์น่ารัก (น.1162)

ระหว่างที่คะหยิ่นนำออกไปหาน้ำ ก็ไปเจอะกับไอ้ยักษ์ตาแตกนอนเอาหัวจุ่มแอ่งน้ำอยู่ เลยต้องรีบถอยกลับมา
ทั้งคณะพากันวิ่งหนี แต่มาเรียเกิดบ้าขึ้นมา (หรือตั้งใจหว่า?) วิ่งย้อนไปปะทะกับไอ้ยักษ์จนรพินทร์ต้องตามไปด้วย
เกือบจะไม่รอดอยู่แล้ว แผ่นดินไหวช่วยชีวิต ทั้งคู่เลยไปติดอยู่ในถ้ำใต้ภูเขา..แล้วก้อ...xxx (น.1241) กฏของชีววิทยาดำเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลองของมันแล้ว ...ไม่มีคำบรรยายอ่ะ..เฮ่อ..

= = = = = To be Continue บันทึกการเดินทางช่วงที่ 2 (วันที่ 88 - 97) = = = = =




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2550
3 comments
Last Update : 21 ธันวาคม 2550 15:31:25 น.
Counter : 2853 Pageviews.

 

ย้าย Group ใหม่จ้า

 

โดย: เจ้าการเวกเสียงหวาน 21 ธันวาคม 2550 15:34:08 น.  

 

ขยันเหลือเกินน้องยุ้ยจ๋า พี่เข้ามาอ่านแบบชะแว้บ ชะแว้บ จ้ะ

 

โดย: พี่แหม่ม (Chulapinan ) 16 เมษายน 2551 17:41:12 น.  

 

กำลังอ่านถึงช่วงนี้อยู่พอดีเลย ยุ้ยเล่นเอาพี่เกิดความอยากกระโดดจากหน้าจอไปหยิบเพชรพระอุมาอ่านต่อซะแล้ว

 

โดย: พี่แหม่ม (Chulapinan ) 26 เมษายน 2551 10:25:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


เจ้าการเวกเสียงหวาน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สิ่งไหนยากกว่ากันระหว่าง
การหาคำตอบ
กับ
การพิสูจน์ว่าคำตอบ
ที่คนอื่นหามาได้นั้นถูกต้องหรือไม่
Friends' blogs
[Add เจ้าการเวกเสียงหวาน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.