space
space
space
<<
สิงหาคม 2563
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
22 สิงหาคม 2563
space
space
space

ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 8/1 พลายแก้วถูกเกณฑ์ทัพ

 

ขุนช้าง ขุนแผน
เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน โดย ทักษภณ

   
พระเจ้าพิชัยเชียงอินทร์ ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ มีหมู่อำมาตย์ ราชกวี ครบครัน ข้างฝ่ายในนางกำนัล ก็มากมาย บริบูรณ์พูนสุข ไม่ขัดสน ประชาชนยกย่องสรรเสริญ เมืองน้อย นอบน้อม ถวายเครื่องบรรณาการ

วันหนึ่งเสด็จออกมีขุนนางพร้อมหน้า พร้อมด้วยพระยาท้าวแสนหลวง เหล่าอำมาตย์เหล่าทหาร  หมอบกราบเต็มหน้าพระลาน จากนั้นมีคนนำข่าวหนังสือมากราบทูล ว่าเชียงทองคิดกลับกลอก ไม่เกรงพระบารมี นำเครื่องบรรณาการ ไปชึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ดูแล้วเป็นการกำเริบ ลางทีจะนำอยุธยามาตีเชียงใหม่ก็เป็นได้

พระเจ้าเชียงใหม่ได้ทราบเรื่อง ให้ขุ่นเคืองดังโดนไฟสุม

“เหม่..อ้ายเชียงทองจองหอง ไปเข้ากับอยุธยาช่างไม่กลัว แต่เดิมมันขึ้นต่อเรา ถือดี หยิ่งกลายเป็นนกสองหัว

เฮ้ย..เกณฑ์ขบวนรบให้ครบหมื่น เครื่องศัตรา อาวุธ ปืนไฟ ทั้งน้อย ใหญ่ ให้เร่งจัดการ ให้พรั่งพร้อมเสร็จสิ้นภายในเจ็ดวัน

จงลงมือเตรียมกันตั้งแต่วันนี้ั ให้ปราบพระยาเมืองแมน เป็นแม่ทัพ ไปทำให้มันย่อยยับสิ้น แสน กำกอง ปลัดทัพฝีมือดี สองนายนี้นำไพร่กองหน้า ห้าพัน

พระยาฟ้าลั่น ให้เป็นทัพหลวง บัญชาการทั้งหมด สันบาดาลเป็นปลัด เร่งจัดการ เกณฑ์พลเข้ากองทัพจำนวนห้าพัน  นายรองกองทัพปีกซ้ายขวา ยกกระบัตร กองซุ่ม กองเล่น ให้มีมาก จงจัดหาเสบียงเลี้ยง กองทัพ และช้าง ม้า”

สั่งเสร็จแล้วก็เสด็จไปสู่เรือนทอง ฝ่ายท้าวพระยาผู้เป็นผู้ใหญ่ ก็เรียกหากะเกณฑ์พล ไพร่ ไม่ได้ผัว ก็เอาลูกเมียมา บ้างตีเป็นค่าจ้างใส่ให้ไปในกองทัพ บ้างจัดหาข้าวของมากองไว้  หอก ดาบ ปืนไฟ ไว้พร้อม ช้าง ม้า วัว ควาย มากมาย วางกอง ตามลำดับ ตามกระบวนไป

เมื่อถึงกำหนดพิชัยฤกษ์ ทัพใหญ่ออกเดินทางอย่างเอิกเกริก ดาบ หอก ปืนไฟ มากมาย ขบวนช้าง ขบวนม้า แน่นขนัด ธงชัย โบกไสว พลทหารโห่ร้อง กึกก้อง เร่งรัดเดินทาง ถึงเวลาหยุดพักกินข้าว ต่อด้วยเหล้า เพลากลางคืนก็ก่อกองไฟ เดินทางกลางป่าเป็นเวลาหลายวัน

ครั้นถึงแว่นแคว้นเชียงทอง ชาวบ้านพากันหนีเข้าป่า ด้วยความกลัว บางคนวิ่งล้มคว่ำ คมำหงาย ตะเกียก ตะกายไปก็มี พวกเชียงใหม่ไล่ยิง ล้มกลิ้งไปมากมาย

บ้านน้อยบ้านใหญ่ไม่สู้ด้วย บ้างหนีไป บ้างซ่อนตัว ด้วยความกลัว

กระทั่งถึงเมืองเชียงทอง ก็ล้อมเมืองไว้ ตั้งค่ายรอบเมือง จากนั้นยิงปืนกระหน่ำทำให้เกิดความหวาดกลัว ที่ประตูเมืองให้กองรักษาเฝ้าไว้ทุกแห่ง ด้วยต้องการจับตัวเจ้าพระยา หากมีผู้ใดออกมาให้ฆ่าฟัน อย่าให้หลบหนีออกไปได้

ลำดับนั้นพระยาเชียงทอง เห็นทหารมามากมายก่ายกอง ตั้งค่ายล้อมรอบไว้ ทำให้เข้าออกเมืองมิได้ จึงได้แต่นั่งร้องไห้  

“จะเข้าออกบ่ได้ตายแน่”
ตัวสั่น ตกใจ
“สู้เขาบ่ได้สักสิ่ง สิพึ่งใครก็บ่ได้  จะโดนเขาเถือทั้งเชียงทองเป็นแน่”

จึงปรึกษากันลงความเห็นว่า

“ทำเป็นยอมนบนอบ ถวายดอกไม้เงินทอง โบกธงปรองดองขอเคารพ ขอประทานโทษ อย่าฆ่า อย่าตี ขอชีวิตข้อยน้อยไว้ ไม่หลีกหลบหากจะตีอยุธยาให้พินาศ จะขอสู้จนตัวตาย รอให้พวกเชียงใหม่ตายใจ ถ้าทัพไทยมาพร้อมเมื่อใดให้ตีคืน เราจะลวงพอให้รอดชีวิต ปลอดภัยเท่านั้น”

เมื่อเห็นชอบกลอุบายนี้ตรงกัน ให้คนปีนขึันไปบนกำแพง ร้องบอกออกไปยังนายทัพ แล้วให้ยกธงคำนับขึ้นกวัดแกว่ง

“ข้อยสู้บ่ได้อย่าแคลงใจ เชิญท่านแจ้งต่อผู้ใหญ่ให้จงดี ขอท่านให้จงมีเมตตา ขออย่าเพ่อหุนหันฆ่าฟัน จะขออาสาทำการแก้ตัว ตีอยุธยาให้ป่นปี้”

ฝ่ายพวกทหารเชียงใหม่ ได้ยินเชียงทองยอมแพ้ ก็ดีใจ จึงพาพวกเชียงทองไปด้วยกัน บอกเรื่องราวแก่พระยาฟ้าลั่น หลังจากปรึกษากันแล้วให้ไปส่งข่าว

“ถ้าเชียงของอ่อนน้อมยอมต่อเชียงใหม่ จะอดโทษให้สักคราวอย่าร้อนใจไป จงให้เจ้าเมืองกรมการออกมาหา จะได้ทำพิพัฒน์สัจจะกันใหม่ ขอให้เปิดประตูเมือง ให้พวกเราเข้าไปได้ทุกวัน มีอาวุธยุทธภัณฑ์ใดๆ จงทำบัญชีไว้ให้หมด อีกทั้งหาเสบียงมาเลี้ยงกองทัพของเราทั้งหมด จึงจะไว้ใจว่าภักดี”

ฝ่ายพวกกรมการเมืองเชียงของ ได้ฟังรับเรื่องทุกสิ่งก็ไม่ขัดข้อง ลากลับมายังเมือง แจ้งเรื่องตามที่ฟังมา
พระยาเชียงทอง ไม่ขัดข้องที่จะออกไปหา จึงสั่งให้เปิดประตูเมือง  แล้วพาคนออกไป หลังจากถือน้ำทำสัตย์สำเร็จแล้ว

ฝ่ายเมืองเชียงใหม่ก็ลดความสงสัยเคลือบแคลง ต่างเที่ยวแตร่ ไปมาหาสู่ ทั้งนาย ไพร่ เชื่อถือชาวเชียงทอง บางพวกเที่ยวเกี้ยวสาวชาวบ้าน บางพวกก็ดื่มเหล้าเมามาย ขับร้องฟ้อนรำ ส่งเสียงดังอึกทึกคึกโครม เข้าออก ไปมา ด้วยความสบายใจ

พระยาเถิน กับพระยาระแหง ทราบว่าทัพเชียงใหม่มามากมาย ตีเมืองเชียงทองได้อย่างง่ายดาย ตามข่าวว่าเจ้าเมืองไม่สู้รบ กลับใจไปเข้ากับเมืองเชียงใหม่ ทั้งยังรับปากว่าจะรบกับอยุธยาอย่างไม่หลีกหลบ

จึงจัดแจงแต่งคำบอกความเป็นไปทุกประการ ให้ม้าใช้ไปตั้งแต่พลบค่ำทั้งสองเมือง ม้าใช้ไปถึงเมืองกำแพงเพชร (ออกญารามรณรงคสงครามรามภักดีอภัยพิริยภาหะกำแพงเพชร)

พระยารามพอรู้เนื้อความทั้งหมด เห็นว่าเป็นข้อราชการ มีความสำคัญ จึงให้เรือเร็วลำเขื่องรีบล่องไปอยุธยา พอถึงวางบอกที่ศาลาทันที นายเวรต่อยกระบอกให้สัญญาณทันที  แล้วซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราชการที่มา พอเจ้าคุณผู้ใหญ่มาถึง นายเวรจึงกราบเรียนเรื่อง เจ้าคุณฟังเรื่องก็รู้สึกขัดเคืองใจ รีบเข้าไปที่ท้องพระโรงทันที

ฝ่ายขุนนางน้อยใหญ่ ทุกหมวดเหล่า เจ้ากระทรวง น้อยใหญ่ ที่คอยเฝ้า ต่างเข้ามาอยู่ที่หน้าท้องพระโรง เพื่อรอเวลาจะเข้าเฝ้า





เมื่อถึงเวลา สมเด็จพระพันวษา เสด็จที่แท่นมณีด้านหน้า เหล่าเสนา ผู้ที่รอเข้าเฝ้าก็เข้ามา หมอบกราบ ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่พอได้โอกาส จึงคลี่หนังสือบอกออกทูลสารว่า

“เพลานี้พระยาฟ้าลั่น เป็นแม่ทัพของเมืองเชียงใหม่ยกทัพ เข้ามาตั้งค่ายรายล้อมล้อมเชียงทองไว้ เจ้าเมืองไม่รบกลับรับเข้ามา ยินยอมถือน้ำพิพัฒน์สัจจะ คงคิดเป็นกบถแน่แท้ พระยาเถิน พระยาระแหง และเมืองกำแพงเพชร พอทราบเรื่องรีบรายงานมา แล้วแต่จะโปรดประการใด ชีวิตอยู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า”

สมเด็จพระพันวษา ได้สดับทรงขุ่นเคืองเป็นหนักหนา จึงตรัสแก่ท้าวพระยา และที่เข้าเฝ้าว่า

“จงปรึกษาพร้อมกันในวันนี้ จะยกทัพใหญ่ หรือผู้ใดจะอาสา พรุ่งนี้มาว่ากันที่นี่”

สั่งเสร็จเสด็จไปคืนเข้าตำหนัก ทหาร พลเรือนทั้งสองฝ่าย ก็ออกพากันออกจากการเข้าเฝ้า กลับมานั่งที่ศาลา พากันปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับคดี สงคราม  กรมเมือง ทั้งสี่ คิดอ่านถกเถียงกันอย่างเต็มที่

แต่หาผู้ที่จะอาสาก็ไม่มี ตกลงกันไม่ได้ ขุนนางฝ่ายต่างๆ ก็พากันกลับบ้าน ฝ่ายทหารรู้สึกกังวลกับพระราชอาญาเป็นอันมาก เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของตน หากมิมีผู้ใดอาสาจะเสียงานราชการ

วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระพันวษา สถิตที่แท่นแก้วแพรวพรรณ พรั่งพร้อมด้วยพระสนม นางกำนัล นางใน ประดุจองค์อัมรินทร์สถิตบนเวชยันต์ปราสาท พรั่งพร้อมด้วยเทพธิดา กึกก้องไปด้วย กลองดนตรี

ทรงดำริตริตรองเกี่ยวกับเขตขอบเมืองรอบอยุธยา
“เชียงใหม่ ให้ทหารไป ราวี ย่ำยีถึงเชียงทอง เจ้าเมืองเชียงทองไม่ยอมรบ กลับหันไปเข้ากับเชียงใหม่ง่ายๆ จะกำเริบมากเกินไป เห็นจะคิดเป็นขบถเมือง  กำแพง ระแหง เถิน ที่่บอกมาก็มีความสวามิภักดิ์ จำเป็นจะต้องยกกองทัพไปตีเอาเชียงทองกลับคืนมา”

หลังจากดำริตริตรองเรียบร้อย ก็เสด็จออกพระที่นั่งข้างหน้า ประทับที่พระแท่นทอง มุขมนตรี พรั่งพร้อม จัตุสดมภ์

ข้าทูลละอองพระบาท ราชกวี เสนาน้อยใหญ่ หมอบกราบ ถวายพระพร เสียงประโคมฆ้อง กลอง เป่าสังข์ กระทั่งแตร ดังขึ้น จากนั้ันมีพระสีหนาทประกาศไปยังเสนาน้อยใหญ่ทั้งปวงว่า

“เชียงใหม่ หมิ่นประมาทกูนัก กล้ายกทัพมาห้อมล้อม เชียงทองซึ่งเป็นของอยุธยา เพลานี้เชียงทองพลัดตกเป็นของศัตรู รู้เพราะสามเมืองนั้นบอกมา

นิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ก็มิได้ จะทำให้คิดว่ากูกลัวเป็นที่กำเริบใจ เฉกเช่นว่าอยุธยามิมีทหาร การเช่นนี้แต่ก่อนมา เคยใช้อ้ายขุนไกรที่เป็นผี มันตายไปเสียหลายปี ศึกครั้งนี้จะได้ผู้ใดไป”

จากนั้นตรัสถามผู้เข้าเฝ้า
“ลูกเต้ามันยังมีอยู่ฤาไม่ จางวางหกเหล่าคงพอจะรู้ ด้วยอ้ายขุนไกรอยู่กรมนั้น”

พระยารามจัตุรงค์ กราบลงแล้วรีบกราบทูล
“ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบมาว่า เมื่อครั้งขุนไกรดับสังขาร มีบุตรชายคนหนึ่งพึ่งคลอดออกมา อายุได้สักห้าปีปลาย

นางทองประศรีหนีจากเมืองสุพรรณ พาลูกน้อยนั้นไปข่าวคราวสูญหาย  มิได้รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่ระคายว่าอยู่กาญจบุรี”

สมเด็จพระพันวษา ฟังเรื่องเกี่ยวกับนางทองประศรีจบ จึงตรัสถามขุนช้างทันที
“เองบ้านอยู่เมืองสุพรรณ ยังจะพอรู้เรื่องราวของทองประศรี ลูกของมัน ยังอยู่ดีหรือตายไปแล้วบ้างฤา เอ็งรู้เยี่ยงไร ก็ให้บอกพลัน จะได้ให้มันไปเชียงทอง”

ขุนช้างมหาดเล็ก ผู้เคยเข้าเฝ้ามาแต่เด็ก เพ็ดทูลได้คล่องแคล่ว ก็สมความปรารถนา ที่เคยคิดหมายครอบครองพิมพิลาไลย จึงคิดว่าจะทูลส่อพลายแก้วให้ไปทัพ แล้วจะได้กลับไปเกี้ยวเจ้าพิมใหม่ คิดได้ดังนี้ ก็ทูลไปทันทีว่า

“ ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันบุตรขุนไกรที่วอดวาย ชื่อว่าพลายแก้ว ได้เมียอยู่เมืองสุพรรณ แต่มารดาของเพื่อนอยู่กาญจนบุรี กล้าหาญ ชาญชัย เลี้ยงภูตพรายได้ อายุประมาณ 17 ปี ขอจงทราบธุลีพระบาท”

พอพระองค์ได้สดับคำของขุนช้าง ตรัสว่า
“อ้ายขุนช้าง ไปนำตัวมาให้ได้ ตำรวจเวรใดหวาให้ออกไป”

เจ้ากรมพระตำรวจก็รับสั่ง ถอยหลังออกมาทันที จัดขุนหมื่น ให้ขุนช้างเป็นผู้นำทาง ออกจากกรุงศรีอยุธยา ถึงเมืองสุพรรณเวลาพลบค่ำ ขุนช้างขึ้นเรือนมิได้กล่าวคำอันใด ไปอาบน้ำลูบตัวให้สบายใจ


เสร็จแล้วไปบ้านศรีประจัน เรียกให้คนจุดไต้ สายทองมองเห็นตำรวจในวัง ตกใจ
“เอ๊ะเหตุใดขุนช้างจึงนำตำรวจมา”

จึงไปบอกนางศรีประจัน จากนั้นรับตำรวจขึ้นมาบนบ้าน เชิญขุนหมื่นนั่งข้างบนสนทนา
“กินหมาก เถิดขา ตามแต่จะมี”

ตำรวจเล่าเรื่องให้นางศรีประจันฟัง ตามที่ได้รับสั่งมาครบถ้วน
“พระเจ้าแผ่นดินจะให้ขึ้นไปตีเมืองเชียงทอง ให้หาคนดีมีวิชา ขุนช้างบอกว่า พลายแก้วนี้ คล่องแคล่ว เห็นจะสมในพระทัย จึงต้องให้หาไปในวัง”

นางศรีประจันได้ฟังคำ ของตำรวจ ตกใจระรัวกับรับสั่ง ใจเต้น ลุกขึ้นจากบ้านละล้า ละลัง มายังหอของลูกในทันที ทรุดนั่งทอดตัวใกล้ผัวเมีย น้ำตารินไหลถอนใจใหญ่ สะอึกสะอื้น แกร้องไห้โฮ

“โอ้ลูกยา”
พลายแก้วและพิมพิลาไลย ไม่รู้ว่าเรื่องกระไร เห็นแม่ร้องไห้เป็นหนักหนา จึงถามว่า

“นี่ใครล้มตายฤา เป็นญาติของเราหรือว่าใครเป็นไร”
ยายศรีประจันตีอกเข้าผางๆ

“อ้ายขุนช้างมาทำเยี่ยงนี้ได้ ไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ว่าเจ้าแก้ว มีวิชาดี จึงมีรับสั่งจะให้ไปทัพ จับไอ้ลาวฆ่าให้เป็นผี เจ้าจะเข้าใจรู้สิ่งใดบ้าง จะไปทัพรบกับศัตรูฤา อ้อนแอ้นเอวบางเหมือนอย่างกับวาด แค่มันเด็ดก็จะขาดกระเด็น ดูแล้วน่าเอ็นดูมากว่า ความรู้อะไรจะได้มาจากไหน”

พิมพิลาไลยพอได้ฟัง ตกใจจนแทบจะเป็นบ้า น้ำตาไหลนองหน้า เดือดดาลด่าขุนช้าง

“อ้ายจัญไร ไม่กลัวบาป กลัวกรรม มันช่างทำได้ ที่หมายไว้ ไม่สมอารมณ์ มันจะทำให้ฉิบหาย ให้หนำแก่ใจ จะแกล้งกำจัดให้พลัดพราก ให้ได้รับความลำบากกลางป่าเขา ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไกลกัน คงได้แต่นับวันไปจากแล้วแก้วของเมีย”

พลายแก้วเห็นเมียร่ำไห้ รู้สึกอาลัยสงสารเมียรักเป็นหนักหนา แต่ต้องทำใจแข็งพูดคุย

“จะเดือดด่าร้องไห้ไปใย อันงานราชการไปกองทัพ มีมาตั้งแต่พ่อของพี่ ถ้ายกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงทอง ถ้าสำเร็จการ อาจได้ดี ฟังคำผัวเถิดอย่าร้องไห้ไปเลย ตำรวจเขาได้มาถึงบ้านแล้ว เขาอดจะประจานให้ได้เจ็บใจ ไปหาข้าวปลาอาหารให้เขากินให้อิ่มหนำสำราญเถิด”

ว่าพลางสั่งคน รวมทั้งสายทอง ให้เข้าครัวใหญ่ สั่งเสร็จแล้ว พลายแก้วก็ออกไป นั่งใกล้ตำรวจกับขุนช้าง จากนั้นทักทายปราศรัย พาสองนายไปหอขวาง เดินไปตามนอกชานกลาง ไปที่หอพิมพิลาไลย นั่งลงบนเสื่อทั้งสามคน เรียกหาพานหมากทันที

พิมหยิบให้อย่างไม่เต็มใจ ไม่ยอมนำออกไปแต่กลับสอดลอดประตู ขุนช้างเขม้นตามองเห็นแขนพิม ชะแง้เงยแหงนจ้องมองยิ้ม อยู่เป็นครู่ จนนิ้วก้อยบิดงอไปนิ้วแหวนงู  แม้กระทั่งโดนยุงกัดก็ไม่ปัด

สายทองกับบ่าวไพร่ จัดเตรียมสำรับกันจ้าละหวั่น พริก มะนาว ข่า ตะไคร้ ใส่ปรุงต้มยำ ทอดมันกุ้ง และแกงอ่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว สุกเสร็จจัดเป็นสำรับไว้ ผู้คนวิ่งไปมาคลาคล่ำ

ส่วนพิมคิดแค้นขุนช้าง จึงเรียกตาผลหัวล้านให้มาหา ส่งโต๊ะของคาวพร้อมกับข้าวให้ ตาผลเป็นผู้ใหญ่ให้เดินนำหน้า ขุนช้างเห็นเพ่งเขม็งตา เดือดดาลอยู่ในใจ
“ไอ้เจ้ากรรมนายเวรอีกแล้ว”
พลายแก้วยิ้มทำเป็นไม่เห็น

“เชิญกินข้าว ตามมีตามเกิดเถิดพ่อเจ้าเพลานี้มืดค่ำแล้ว”
ขุนช้างหยิบจอกน้่ำมาล้างมือ หลังจากกินอิ่มแล้วก็ยกสำรับกลับไป พูดจาปราศรัยกัน จะจับศัตรูมาอยุธยาให้เลื่องลือ

ขุนช้างก็อือเออผสมโรงไป พูดจากันจนดึก ก็พากันหาวง่วงนอนต้องจัดแจงฟูก หมอน ที่นอนกันอลหม่าน ให้นายทั้งสองได้พักผ่อนอย่างสบายใจ

จากนั้นพลายแก้วให้เรือนนอนแล้วลั่นดาล ทอดกายนอนลงกอดประคองพิม ใจระทวย ระทม ปานจะขาดกระเด็น เป็นท่อนท่อนเสียให้ได้ กระซิบสั่งสนทนาด้วยใจอาวรณ์

ขุนช้าง ขยับกาย นอนชิดฝาประจัน ชูคอ เงี่ยหู  ได้ยินเสียงกระดานลั่นเป็นไม่ได้ ต้องเอามือกุมหน้าแข้งขึ้นแกว่งไกว จนเหงื่อไหลโทรมเต็มหน้า นัยต์ตาลืมโพลง
พลายแก้วกอดพิมไม่คลายมือ โอบกอดจูบประโลมปลอบขวัญ พิมน้ำตานองซบอกผัว

“เมียกลัวไปรบจะแหลกล่ม”
พลายแก้วปลอบว่า
“อย่าคิดมากไปเลย”
จากนั้นก็ประคองจูบ ขุนช้างได้ยินเสียงกอดจูบ ทอดตัวกลิ้งหงาย

“ผีอำลูกแล้วพ่อคุณเอ๋ย ผีเรือนนี้ร้ายแรงนัก ข้ามาใหม่ก็ยังอำกัน”
ครั้นใกล้สว่าง เจ้าพลายแก้วกับพิมยิ่งใจปั่นป่วน ล้างหน้าแล้วไปหานางศรีประจัน พยายามกลั้นอารมณ์ความโศกเศร้า

“มีรับสั่งให้หาข้าพเจ้า จะหนักจะเบาเยี่ยงไร ก็จำจะต้องเข้าไปในพระนครดูก่อน ให้ทราบเรื่องว่าเป็นเยี่ยงไร”

พิมนำห่อผ้า และสิ่งจำเป็นสำหรับเดินทางมาให้ผัว พลายแก้วรับมาแล้วก็ลา ลงจากเรือนไปพร้อมกับบ่าว ตำรวจเตือน เร่งเร้า จึงมิอาจชักช้าได้ต้องรีบเดินทาง เพลาบ่ายก็พ้นป่า ไม่นานก็ถึงอยุธยา รีบไปที่ศาลา

ครั้นถึงก็หยุดนั่งลง ท่านผู้รับพระราชโองการรอคอยอยู่ จึงได้พูดคุยสนทนากัน ผู้รอรับ เห็นในความคมสัน ท่าทางเหมือนว่าจะเอาการเอางาน พูดจา คารมคมคาย  ตาดำกลม สมกับชาติทหาร ถ้าไปเห็นจะได้ราชการ สำเร็จตามพระราชโองการกลับมา

ตอนที่ 8 ยังมีต่อ….


 


Create Date : 22 สิงหาคม 2563
Last Update : 22 สิงหาคม 2563 9:29:40 น. 0 comments
Counter : 2479 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

0000
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
space
space
[Add 0000's blog to your web]
space
space
space
space
space