space
space
space
<<
มิถุนายน 2563
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
space
space
11 มิถุนายน 2563
space
space
space

ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 2/1 พ่อขุนช้าง ขุนแผน


ขุนช้าง ขุนแผน
ฉบับถอดควาาม

เรียบเรียงจากเสภา เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน
ตอนที่ 2.1 พ่อขุนช้าง ขุนแผน

    ต่อมาสมเด็จพระพันวษา ทรงปรารภจะประภาสป่าด้วยมีข่าวว่าทางสุพรรณบุรีมีกระบือเถื่อนมาก จึงดำรัสตรัสสั่งขุนศรีวิชัยว่า
    “มึงจงรีบไปสุพรรณ บอกอ้ายขุนไกรให้คุมไพร่พลของมันให้เตรียมการอีก 5 วันกูจะออกไปแรมไพรล้อมไล่ควายป่า ให้หาที่ดอนใหญ่ใกล้ลำธาร ตั้งค่ายและพลับพลา ให้เหล่าอาสาห้าร้อยปลายไล่ต้อนฝูงควายมารอท่า”
    แล้วพระองค์ทรงผินพระพักตร์มา รับสั่งพระยาเดโช
    "จงเร่งรีบให้จัดกระบวน เหล่าทหาร พลม้า ให้พรักพร้อม ในอีกห้าวาระจะยกไป”
    ฝ่ายพระยาเดโช ผู้รับสั่ง มาที่กรมวัง สั่งการนายชำนาญออกหมายในทันใด
    "มีรับสั่งให้ออกหมายให้ทุกคนรู้ทั่วว่าพระองค์จะเสด็จประพาสป่า ไล่ต้อนกระบือเถื่อน"

     นายเวรกรมวัง ได้ฟังการ รีบเขียนหมายในทันที จากนั้นส่งให้ผู้เดินหมาย ส่งต่อให้นายเวรมหาดไทย เร่งออกหมายให้ทราบทั่วกัน นายเวรมหาดไทยก็เอาหมายไปให้ขุนนางผู้ใหญ่ ให้ทราบว่าอีกห้าวันจะเสด็จเมืองสุพรรณ
    เจ้าพระยาจักรี หลังจากทราบเรื่องแล้วจึงเรียกพันพุฒ พันจันทร์ พันเภา พันภาณ ให้มาที่ศาลาลูกขุนใน คลี่บัญชีอ่านเกณฑ์ช้างม้า ผู้คนเป็นอย่างเร่งรีบ
    “พนักงานของผู้ใดขอให้รีบมา”
     อีกทั้งยังสั่งพันจันทร์ว่า
“จงรีบเกณฑ์คนให้ถางทางกว้างขนาด 8 วาให้ราบเรียบตกแต่งให้สวยงาม เสร็จภายใน 5 วัน ตามที่มีหมายมา”
    ฝ่ายขุนศรีวิชัย รีบขี่ช้างกับลูกรีบกลับเมืองสุพรรณฯ ถึงบ้านเมื่อตะวันพลบแล้ว จากนั้นรีบเขียนหมายให้ทนายส่งไปให้ขุนไกรในทันที แจ้งเรื่องตามที่มีในหมายไป หลังจากขุนไกรได้อ่านหมายแล้ว รีบสั่งนายหมวด
“จงไปรีบติดตามไพร่ทันที”

 กว่าจะสั่งงานเสร็จสิ้นก็ได้เวลาไต้ไฟจึงเข้าไปในเรือน ขณะที่อยู่ร่วมกันกับเมียและลูกแก้วนั้น ปรากฏลางแมงมุมตีอกไม่หยุด มองดูเป็นที่เย็นยะเยือก ขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
    คืนนั้นทองประศรีนอนหลับฝันร้ายตกใจตัวสั่นสะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจจึงปลุกสามี ขุนไกรถามว่า
    “มีอะไรออเจ้า”
    นางจึงเล่าความฝันทั้งหมด
    “ดิฉันฝันว่าฟันหมดปากไม่มีเหลือ ช่วยทำนายฝันให้หายสงสัยทีเถอะ”
    ขุนไกรได้ฟังความฝันของภรรยา รู้สึกเหมือนมีใครมาผลาญ
    "เอ๊ะ จะมีเหตุการณ์ จะมีเรื่องใหญ่ ถ้าทำนายว่าร้ายไป ทองประศรีที่ไหนจะยอมห่างตัวจึงทำนายแก้ไปว่า
    “ไม่มีอะไรร้ายดอก เป็นฝันดี จะมีแต่ความสุข เจ้าอย่าทุกข์ใจไปเชื่อผัวเถอะคนดี”

    แต่ในใจของขุนไกรมิได้ดังคำที่ตนได้ทำนายให้แก่ภรรยา รู้ตัวดีว่าไปครั้งคงไม่รอดกลับมา คงตายเพราะกระบือเป็นแน่แท้
    ครั้นรุ่งสางหลังจากล้างหน้าเป็นที่เรียบร้อย เข้าไปหาลูกพลายแก้วพูดเล่นกับลูกว่า
    “สว่างแล้วยังไม่ตื่นเจียวฤา”
    จากนั้นอุ้มประคองลูกด้วยมือทั้งสองอย่างทะนุถนอม บรรจงจูบอย่างเบาๆ ส่วนพลายแก้วลืมตาขึ้นมาเห็นพ่อก็คว้าคอถามว่า
    “พ่อจะไปไหนเล่า ทำไมจึงลุกขึ้นแต่เช้า เหมือนว่าพ่อนี้จะหนีลูกไป”
    ขุนไกรได้ฟังคำกล่าวคล้ายตัดพ้อน้อยใจของลูกน้อยที่รักดังดวงใจ ยกลูกน้อยขึ้นเหนือหัวน้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่เคยไหลออกมาง่ายๆ แต่วันนี้ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว อุ้มลูกถอนใจกล่าวว่า

    “พ่อนี้มิใครจะไปเลย แต่ด้วยมีรับสั่งจำเพาะมามิอาจขัดได้ สุดปัญญาของพ่อแล้วลูกแก้วของพ่อ”
    จึงหันหน้ามาทางทองประศรีกล่าวว่า
    “ขอให้เจ้าเอาใจใส่ลูกของเราให้ดี ลูกยังเล็กนัก เวลาจะนั่งจะนอนก็ระวังให้ดี ขอให้เลี้ยงลูกอย่างดี ถ้าหากมีผิดพลั้งก็จงสั่งสอน อย่าสลัดตัดรอนทอดทิ้ง วิชาทั้งปวงที่มีก็จงสั่งสอน เพื่อจะได้สืบวงศ์ตระกูลต่อไป”

    ทองประศรีฟังผัวสั่งสอน เห็นผิดจากเมื่อก่อนก็เกิดความสงสัย เพราะไปคราวนี้กอดจูบลูกด้วยความอาลัย ดูพิไรสั่งเสียเมีย จึงเข้าไปประคองเท้าของผัวขึ้นทูนหัว นางยิ่งคิดยิ่งวิตก ครั้นแลดูหน้าผัวมีความรู้สึกขนลุกทั่วทั่วตัว ทำให้หวาดหวั่นใจยิ่งนัก
    ขุนไกรตัดสินใจรีบนุ่งผ้าคว้าดาบแล้วเดินออกจากห้อง ในใจห่วงอาลัยลูกเมียยิ่งนัก ครั้นเหลียวหันมาดูเจ้าพลายแก้วให้รู้สึกอาลัยในลูกรักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม น้ำตาคลอเบ้าในที่สุดก็พยายามทำใจ ตัดใจในความอาลัยคุมคนออกจากเมืองสุพรรณฯ เดินทางไปถึงเขาพระในเวลาเย็น สั่งให้คนทั้งหลายสำรวจตรวจตราสถานที่คอยรับเสด็จ

    สมเด็จพระพันวษาในราตรีนี้ทรงบนแท่นบรรทมฟังเสียงขับกล่อม โดยนางสนมกำนัล ท่ามกลางกลิ่นหอมระรื่น ทรงพระเกษมสำราญ ตริตรองงานราชการจนกระทั่งบรรทมหลับในราตรี
    ครั้นรุ่งเช้าเจ้าพนักงานเตรียมการเต็มที่ กรมช้างกรมม้า จัดช้างม้าตัวที่ดี จ่าดาบขวาซ้ายก็จ่ายสิ่งของ ถูกนำมาวางไว้ด้านหน้า กรมช้างรีบผูกเบาะอาน สองหูพู่จามรีห้อยปรกตะพองด้วยตาข่ายทองทั้งหมด ทั้งช้างพังช้างพลาย พระที่นั่งพุดตานสำหรับเสด็จ นายบาศเป็นควาญช้างที่มีความชำนาญ ใส่ครุยกรองนุ่งผ้าปักลาย พระที่นั่งกระโจมทองวงพระสูตรคล้องเป็นสองสาย เบาะปักทองลายขวาง อีกทั้งพระเขนยสำหรับอิงพระปฤษฎางค์ ผูกทั้งพระที่นั่งเถลิงศอ และพระยี่ภู่ปูที่คอกันกระด้าง พระที่นั่งประภาสโถงแรมตามทาง

    หมอควาญช้างนุ่งผ้าลายใส่เสื้อประจุเจือเวทมนต์ ถัดมาช้างที่นั่งต่างกรม ด้านหน้าช้างมีเหล่าทหาร หลังจากกระบวนช้างจัดเป็นที่เรียบร้อย จึงจัดขบวนม้าคัดตัวที่ดีๆ  พระยาศีเสาวภาจัดม้าต้น หลวงทรงพลเตรียมกระบวนม้าทุกตัวล้วนคล่องแคล่วว่องไว

    ม้าต้นพระที่นั่งตัวประเสริฐ สูงได้สามศอกโดยประมาณ ผูกเครื่องกุดั่นอย่างฝรั่งเศส พระแสงปืนซ้ายขวา โกลนทองประดับด้วยพลอยแวววาวคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่ บังเหียนถักด้วยไหมทอง ม้าทั้งสองชื่อว่า พลาหก และกระหนกภูษา ขุนหมื่นขี่ม้าในขบวน ขุนนางขี่ช้างตามเสด็จ มีการตระเตรียมตรวจตราอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อถึงเวลาจวนเสด็จก็เสร็จเรียบร้อย

    ลำดับนั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ในเวลาจวนสว่างเสด็จทรงสนาน ไขสุหร่ายอาบละอองเจือด้วยน้ำกุหลาบหอมฟุ้งต้องพระองค์ดังสายฝน  เสร็จแล้วจับพระแสงออกที่ท้องพระโรง ชาวภูษามาลาเชิญเครื่องคลานเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ ทรงเครื่องต้นสำหรับประพาสไพร ตามฤกษ์กำลังวัน สนับเพลาเชิงงอนซ้อนกาบ พระภูษาริ้วทองคั่น ฉลองพระองค์เป็นกำมะหยี่สีอัญชัญ สายรัดพระองค์ทรงข้างนอกริ้วทองกรองดอกเฉิดฉาย พระแสงน้อยเหน็บพระองค์ด้านซ้าย พระธำรงค์เพชร ทรงพระมาลาพื้นดำ ประดับด้วยบุษราคัมน้ำเหลือง พร้อมด้วยพระแสงดาบคาบค่าย จากนั้นทรงเสด็จพลัน

    กลองชนะตีเชิญเสด็จ กระบวนหน้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยถวายบังคมลงพร้อมกัน จากนั้นเสด็จทรงช้างที่นั่งพุดตานทอง จากนั้นแตร ฆ้อง ปี่ดังขึ้นจึงเคลื่อนขบวน
    เสียงกระดึงคอช้าง เสียงม้าควบ ธงปลิวไสว พลม้า พลช้าง พลปืนถือปืนปลายหอก พลดาบ พลทวน พลดั้งเสื้อแดง ต่างเคลื่อนขบวนประสานกับเสียง ฆ้อง กลอง ปี่ไฉน เสียงกึกก้องชวนให้น่าเกรงขาม ขบวนออกท้องทุ่งผ่านป่าและน้ำ เสียงผู้คนและสัตว์เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้สัตว์ต่างๆ แตกตื่นโกลาหล

    หนทางเสด็จเป็นเนินดินสะอาดร่มเย็น ท่ามกลางเสียงนกร้องก้องไพร เลี้ยวลัดตามเนินไพร รี้พลเร่งเดินทาง จนกระทั่งถึงดอนใหญ่ขบวนจึงหยุดให้ตั้งตำหนักพักแรมกลางป่า ตรัสสั่งขุนไกรในทันที
    “พรุ่งนี้มึงไปไล่กระบือมา”

    แล้วตรัสสั่งให้หลวงฤทธานนท์ทำคอก เอาไม้ปักรอบนอกให้แน่นหน้าทั้งสองรับสนองพระบรมราชโองการ ออกมาเร่งรัดจัดการ
    หลวงฤทธานนท์ เรียกพวกล้อมวังอลม่าน นายหมวดตรวจนับคน เสร็จแล้วสั่งให้แผ้วถางป่า พุ่มไม้ ต้นหญ้า บ้างเผาป่า บ้างถาก บ้างลากฉุด บ้างปัก บ้างขุด
    คอกใหญ่ถูกสร้างขึ้นไว้ตรงกลาง บ้างขันชะเนาะผูกเป็นเปลาะ บ้างมัดรัดเป็นท่อน ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็แอบอู้งานบ้าง  นอนพักบ้างมูลนาย นายหมวดเห็นก็ตี ตกใจวิ่งกันกระเจิดกระเจิง บ้างหลบเข้าไปนอนในป่า บ้างเก็บผักหักฝืน บ้างหุงข้าวนอนหลับกับเตาไฟ

    รุ่งเช้าขุนไกรพลพ่ายเรียกทนายพาพวกอาสาห้าร้อยคนเที่ยวไล่ค้นกระบืออื้ออึงไป ทั้งสกัด โห่ร้องจุดไฟเผาป่าเป็นวงโอบล้อม ไฟเผาผลาญป่าบรรดาสัตว์ป่าตายเป็นอันมาก

    สมเด็จพระพันวษา ประทับที่พลับพลาเห็นกระบือใหญ่น้อยเป็นร้อยเป็นพัน แออัดยัดเยียดอยู่วุ่นวายจึงตรัสว่า
    “เฮ้ย อ้ายขุนไกร เป็นไรมิต้อนควายให้เข้าค่าย มึงให้แต่ไพร่ไล่ต้อนควาย ส่วนมึงลอยชายอยู่เปล่าๆ”
    ขุนไกรได้ยินพระบรมราชโองการ ทะยานออกไปข้างหน้า พวกไพร่โห่ขึ้นมาอีกครั้งควายก็แตกตื่นอลหม่าน มีควายเขางอนตัวหนึ่งเกิดบ้าระห่ำขึ้นมาไล่ขวิดผู้คนเป็นพัลวัน ขุนไกรจึงได้ทะยานออกยืนรับ ถีบโดดโลดแทงเป็นกังหันเสียงหอกดังสนั่นฉับๆ ความตายร้อยกว่าตัว ฝูงควายยิ่งแตกตื่นกว่าเดิม วิ่งแตกกระจายเข้าป่าหาย ที่นอนตายก็ไม่น้อย
    สมเด็จพระพันวษาทรงกริ้วดังพระเพลิงโหม พระสุระเสียงเปรี้ยงมาว่า
    “เหม่ๆ ดูอ้ายขุนไกร แกล้งแทงกระบือน้อยใหญ่ตายเสียนักหนา จนแตกหนีเข้าป่าหมดสิ้น ต่อหน้าต่อตากู เร็วเพชฌฆาตฟันหัวให้ขาด เสียบใส่ขาหยั่ง ริบสมบัติข้าไทอย่าได้ช้า”
    ฝ่ายเพชฌฆาตรีบเข้าไปนำตัวขุนไกรมาโดยการมัดไพล่หลัง ทำการตอกหลักไม้เสร็จแล้วบอกให้ขุนไกรก้มหัวลง
    ในขณะนี้ขุนไกรตกใจจนแทบจะยับเป็นผุยผงตัวสั่นขวัญหนีเหมือนผีลง จะดำรงกายได้ก็ยากเต็มทีหน้าซีดผาดเผือด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกาย เป็นต้นว่า ภูติพรายก็หลีกหนี สิ้นสติตัวสั่นขวัญหาย ดังจะสิ้นชีวิตในทันใด รำพึงรำพันดูน่าเวทนา

    “อนิจจาเราเอ๋ยเกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อวันจะมาก็รู้สึกใจไม่ดี มีลางใหญ่เกิดขึ้น ทองประศรีของพี่ก็ฝันร้าย แต่พี่ก็แกล้งทำนายเบี่ยงเบนเนื้อความเสีย ตอนนี้พี่กรรมมาถึงแล้ว ต่อนี้ไปคงต้องจากเจ้าเสียแล้ว สุดที่คิดหาหนทางแก้ไขแล้ว จากนี้ไปไม่มีทางที่จะกลับไปเจอเจ้าอีกแล้ว จำจากไกลด้วยต้องอาญาตาย สงสารแต่ลูกน้อยคงจะไม่รู้ว่าพ่อมาตายจากเจ้าไปเสียแล้ว”

    ขุนไกรขณะนี้อยู่ในอาการร้องไห้กลิ้งเกลือก อ้อนวอนเพชฌฆาตทั้งหลายว่า
    “ไหนๆ ตัวข้าก็จะตายขอให้ท่านทั้งหลายเอ็นดูปราณีช่วยไปบอกนางทองประศรีว่า ข้าไอ้ขุนไกรนั้นได้ถึงกาลมรณะ โดนประหารชีวิตให้ระวังตัวกลัวภัยจะมาถึงตัว”
    จากนั้นก็ร่ำไรต่อไปว่า
    “โอ้อนิจจาตัวกู เป็นกรรมอะไรทำให้ต้องมาตายในป่า เป็นเหยื่อแร้งกา ลูกเมียก็ไม่ได้เห็น”

    จึงเรียกฤทธานนท์ผู้เป็นสหายมา
    “ช่วยบอกเมียข้า ให้ได้รับรู้เรื่องของข้าด้วย ได้โปรด”
    หลวงฤทธานนต์ได้ฟังคำของขุนไกรไม่อาจกลั้นน้ำตาได้
    “เกลอเอ๋ยอย่าร้อนใจห่วงกังวลใจไปทำไม นึกถึงคุณพระรัตนตรัยไว้ดีกว่า คนเราเมื่อถึงคราวก็ต้องตายทุกผู้คน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แม้พระอินทร์ก็ยังมีวันตกจากสวรรค์ คนเราทุกคนเกิดมาแล้วหาพ้นความตายไม่”
    ขุนไกรได้ฟังคำปลอบจากสหายก็ค่อยคลายใจจากความเศร้าโศกบ้าง เรียกสติกลับมาตั้งใจภาวนาประนมมือระลึกถึงคุณ พระรัตนตรัย มารดาบิดา

    “ขอประกาศแก่เทวดาทั่วฟากฟ้า ด้วยตัวข้าขุนไกรทำผิดถึงชีวิตจะมอดม้วยไป จะขอตายด้วยความสัตย์ปฏิญาณ อย่างชายชาติทหารชาญชัย”
    ในขณะที่กล่าวก็เริ่มสำรวมระงับจิตไม่ให้หวั่นไหว หลับตาภาวนา ให้ที่สำหรับฟันลง จากนั้นเพชฌฆาตฟันด้วยดาบอันคมกล้า ขุนไกรก็สิ้นชีวิตในทันใด ทำมะรงทำหน้าที่เอาศพไปเสียบไม้ไว้

    หลวงฤทธานนต์หลังจากเห็นสหายสิ้นชีวิต จึงรีบเขียนหนังสือแล้วสั่งนายไหมว่า
    “เอ็งรีบไปสุพรรณบุรี บอกนางทองประศรีมีรับสั่งให้ริบเอาตัวมา แม่รักจงอย่าได้นิ่งนอนใจ”
    นายไหมรับคำแล้วอำลา จัดแจงย่ามสิ่งของ คว้าหอกและมีดเหน็บ รีบเดินทางถึงป่าลึกในเวลาไม่นาน

    สมเด็จพระพันวษา เสด็จประทับพลับพลา ประพาสป่า หลายราตรี ดำริจะกลับพระนคร จึงตรัสสั่งพระยาเดโช ให้ประกาศแก่กำลังพลน้อยใหญ่ กลับพระนครในวันรุ่งขึ้น พระยาเดโชให้บัตรหมายทั้งไพร่และนายเตรียมกระบวน ตั้งริ้วขบวนคอยท่ารับเสด็จ ครั้นรุ่งสางก็เสด็จสระสรง ทรงเครื่องประดับ เสด็จทรงช้างหลังคาทองมีม่านมิดชิด จากนั้นทั้งหมดก็เดินทาง ไม่นานก็ถึงอยุธยา

    นายไหมถึงบ้านนางทองประศรี แกไต่ถามเกี่ยวกับธุระทันทีว่ามาทำสิ่งไร ต้อนรับด้วยการชวนกินหมากตามธรรมเนียม นายไหมพอจะบอกธุระ น้ำตาก็ไหลคลอเบ้ากล่าวว่า
    “ธุระก็คือหลวงฤทธานนต์ใช้ แจ้งอยู่ในหนังสือนี้แล้ว”
    เมื่อนางทองประศรีได้รับหนังสือมาอ่านก็แจ้งความว่า ขุนไกรต้องพระอาญาตายแล้ว ถูกเสียบไว้ที่หน้าค่ายกระบืออีกทั้งยังรับสั่งให้ริบลูกเมีย จงหนีเสียอย่าอยู่ที่บ้าน ออกไปให้พ้นบ้านสุพรรณ
    ทองประศรีแจ้งความตามหนังสือ ก็ร้องไห้กลิ้งประหนึ่งจะตายตามกันไป

    “โอ้พ่อคุณตายจากกันไปเสียแล้ว เมื่อคราวไปยังไม่เจ็บป่วยไข้อันใด ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ควรที่จะถูกฟันให้ตาย เสียแรงที่อยู่ยงคงกระพัน ใครๆ ก็ไม่สู้ได้ คืนนั้นก่อนที่จะไปเมียฝันร้าย ครั้นบอกให้ทำนายก็บอกว่าเป็นดี แต่ก่อนทำสิ่งไรไม่พลั้งพลาด คราวนี้มาประมาทต้องบรรลัย ทอดทิ้งลูกเมียไปอย่างนี้ จะให้หันหน้าไปพึ่งใคร อีกทั้งยังจะถูกริบทรัพย์ หมดสิ้นหนทางทุกสิ่งเป็นแน่แท้คราวนี้”
    นางสะอึกสะอื้นไปมาเหลียวหน้ามาเห็นเจ้าพลายแก้ว
    “รู้แล้วหรือพ่อนั้นละสังขาร กำพร้าพ่อแล้วเจ้าแก้ว”
    พลางกอดลูกยาเศร้าโศก พลายแก้วสะอึกสะอื้น เศร้าโศกตลอดเวลา รำพึงรำพัน

“จะทำประการใดดี บ้านเรือนจะกลับกลายเงียบเป็นป่าช้า ข้าทาสคงต้องกระจัดกระจายไป กรมการสุพรรณจะมาย่ำยี พวกเราเห็นจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
    ข้าไทได้ฟังคำนางทองประศรี ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ รำพึงรำพันไปต่างๆ นาๆ  บ้างกล่าวถึงความดีของขุนไกร บ่นเพ้ออยู่วุ่นวาย อื้ออึง

    “พ่อเป็นคนมีน้ำใจ เป็นที่พึ่งของข้าไท ไม่ไหนก็ไม่มีใครข่มเหง เพราะเกรงในตัวขุนไกร แต่จากนี้ไปคงมีแต่ความลำบาก โดนรังแกเป็นแน่”
    เย็นวันนั้น เวียง วัง คลัง นา กับตำรวจซ้ายขวา บ่าวไพร่ ร่วมสองร้อย ทำการปิดล้อมบ้านขุนไกร ผู้รังราชการสุพรรณบุรีมีความเห็นว่า
“วันนี้ค่ำแล้ว จะทำการริบทรัพย์ในวันนี้คงไม่เหมาะ ไว้วันพรุ่งขึ้นค่อยทำการ ด้วยว่าทำบัญชีจะสะดวกกว่า จงเร่งจัดกันให้ตั้งกองไฟ คืนนี้ล้อมไว้ให้ดี ระวังบ่าวไพร่มิให้หนี พรุ่งนี้เราจะทำการ”

นางทองประศรีเห็นคนพลุกพล่านเสียงดังอยู่รอบๆ บ้าน รู้สึกตกใจแต่ก็ยังตั้งสติได้อุ้มลูกพลายแก้ว คว้าเงินได้สองถุง พร้อมและเสื้อผ้า จูงลูกย่องแอบหนีบังเงาแถวเสาเรือนเล็ดลอดออกมา พบเพื่อนบ้านเก่าก็เข้าขอทาน

“แม่เอ๋ยข้าวปลาอาหารข้าหมดสิ้นแล้ว เพราะโดนริบเสียทั้งบ้าน”
เพื่อนบ้านช่วยเหลือข้าวปลาอาหารจากนั้นก็เดินทางต่อพ้นบ้านเรือนคนถึงเวลากลางคืนขึ้นต้นไม้ทำห้างนอนปลอบลูกน้อย
“ลูกเอ๋ยเจ้าอย่าร้องไห้เสียงดังไปเดี๋ยวเขาจะมาผูกคอเอาตัวไป”
นางกอดลูกน้อยเข้าไว้แล้วร้องไห้พลางกล่าว
“พลายแก้วของแม่เกิดมาไม่เคยนอนป่า เพลานี้กำพร้า ตกยากตรากตรำกับมารดา ยังดีที่เพื่อนๆ แม่ยังปราณีช่วยเหลือ เสียงนกยูงร้องในป่า ฟังดูเหมือนเสียงขุนไกรพ่อเจ้าที่ตายไป ขอให้พ่อคุณช่วยรักษาในราตรี อย่าให้สัตว์ร้าย เสือหมีมากำกล้ำกราย”

อยู่บนห้างยามดึกใจนางนึกหวาดกลัวภัยไปต่าง ๆนานา จึงเอาชายผ้ามาผูกเอวลูกชาย อีกด้านหนึ่งผูกกับกิ่งไม้ไว้ เพราะกลัวว่าลูกชายจะตกต้นไม้ ไม่มีผ้าสำหรับผูกเปลนางจึงค่อยๆ เอามือลูบให้ลูก พลายแก้วยังอยู่ในอาการเศร้าโศก เหมือนดังว่าจะตายสักร้อยครั้ง คิดถึงพ่อขุนไกรพบ่นเพ้อผุดลุกผุดนั่ง เกาหัวเกาหน้า

“มดแดงมดคัน ยุงริ้น มันกัดลูกสุดจะทน ลูกหาวจะนอนก็ไม่ได้ คันไปทั้งตัวแล้ว เอ็นดูลูกมาช่วยดูแล พ่อตายก็มิได้อยู่เรือน มีคนมาล้อมเรือน ลูกลอดรั้วตามแม่มาก็น่ากลัว จะหลับจะนอนก็ทำไม่ได้ ยุงริ้นบินไต่อยู่หวู่หวี่ มดขบแม่ตบให้ฉันที พอรุ่งพรุ่งนี้เราก็จะไปจากนี้แล้ว”
ทองประศรีได้ยินคำที่ลูกกล่าว รู้สึกสงสารลูกน้อยจนน้ำตาซึม
“ลูกเอ๋ยเรามีกรรมทำอย่างไรได้ แม่ไล่มดให้แล้วนะลูก”
จากนั้นไม่นานทั้งสองก็หลับเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางบนต้นไทรนั่นเองตลอดราตรี

ตอนที่ 2 ยังมีต่อ โปรดติดตาม



Create Date : 11 มิถุนายน 2563
Last Update : 18 มิถุนายน 2563 18:41:25 น. 2 comments
Counter : 1651 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร


 
0000 Literature Blog ดู Blog
ขอบคุณจ้า เพิ่งรู้ว่ามีพอชื่อขุนไกรนะคะ



โดย: หอมกร วันที่: 11 มิถุนายน 2563 เวลา:10:55:37 น.  

 
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ
พอให้ได้เป็นกำลังใจ


โดย: 0000 วันที่: 12 มิถุนายน 2563 เวลา:7:52:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

0000
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
space
space
[Add 0000's blog to your web]
space
space
space
space
space