space
space
space
<<
กันยายน 2563
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
19 กันยายน 2563
space
space
space

ขุนช้าง ขุนแผน ตอนที่ 11/2 ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย จบตอน



 

ขุนช้าง ขุนแผน
ตอนที่   11/2  ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย (จบตอน)

    สายทองกอดคอน้องปลอบใจว่า
    “น้องเจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย จะทำให้ใจเศร้าไปเปล่าๆ”
    สองพี่น้องกอดกันแนบหน้า ร้องไห้น้ำตานองสะอึกสะอื้น
    “โอ้แม่วันทองของพี่เอย กระไรเลยชีวิตเจ้าหามีความสุขสักนิดไม่ เป็นเพราะอ้ายขุนช้างจัญไร มันพอใจในตัวเจ้าตั้งแต่เป็นสาวรุ่น พยายามเกี้ยวพาราสีอย่างหนัก ทั้งที่วัดที่บ้าน ทุกครั้้งที่เจอ
จนกระทั่งได้แต่งงานกับพ่อพลายแก้ว มันยังไม่ลดละความพยายาม ถึงกับเพ็ดทูลเจาะจงให้ทรงใช้ หรือแม้แต่แกล้งเสแสร้งร้องไห้จะเป็นจะตาย มันก็ทำได้

    เพลานี้มันทำเรื่องเลวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ครั้งนี้ัเอากระดูกที่ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด ใส่หม้อมาให้ดู ให้หลงเชื่อว่าพ่อพลายตายไปแล้ว เห็นจะเป็นเล่ห์กลของอ้ายสอพลอ มันคิดจะมาขอวันทองกับแม่ศรีประจัน คงคิดว่ามันมีเงินทองมากมายแล้ว จะทำเยี่ยงไรก็ได้

แม่เฒ่าของเราก็คล้อยตามมัน เราพี่น้องสองคนก็จนใจที่จะฝืน นี่เวรกรรมจะทำเยี่ยงไรดี จะหลบหนีไปที่ใดได้ แม่ผัวของเจ้าก็อยู่ไกล ไม่รู้แห่งหนใดในกาญจบุรี

    อย่าเลยนะ เจ้ากับพี่ เราไปวัดป่าเลไลยดีกว่า ไปหาหลวงตาจู ท่านน่าจะรู้อะไรบ้าง รอให้แม่ศรีประจันนอนก่อน น้องรออยู่ในห้องอย่าร้องไห้ไปเลย พี่จะไปหาหมากพลูก่อน”

    สายทองจัดหมากพลูใส่ขันไว้ พอถึงเวลาพลบค่ำก็นัดแนะออกจากห้องนอน ค่อยๆ ลอบลงจากเรือน

    ครัั้นถึงวัดก็ตรงไปที่กุฎีขรัวตาทันใด เอาหมากพลูส่งให้กับเจ้าเณร เณรประเคนขรัวตา ขรัวตาป้องหน้ามอง ถามว่า

    “ใครฤา ฮ่าๆๆ อ่อ..วันทองนี่เอง กูผลัดชื่อให้ไข้ก็หาย ก็ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีนี่ แต่ดูหน้าตาเหมือนไม่ค่อยสบาย เอ็งสองคนมาด้วยเหตุอันใดฤา”

    พี่น้องวันทอง และสายทองยกมือขึ้นกราบไหว้

    “ดิฉันรู้สึกร้อนใจด้วยผัวไปทัพยังไม่กลับมา มีคนบอกข่าวร้ายว่าผัวฉันตายจริงฤาเจ้าขา ขอให้ขรัวปู่ช่วยดูตามตำรา มันจะจริงเหมือนเขาว่าฤา”

    ท่านขรัวตาจูพิเคราะห์จับยามดูทันที ทำนายว่า
    “ยามสูรย์ ยามจันทร์ มั่นใจว่าไม่เป็นไร ยามตรีเนตร ใครบอกเหตุ มันโกหกอย่าเชื่อหวา 

ผัวเอ็งรบชนะข้าศึกพินาศเป็นจุล ได้เมือง ได้สิ่งของ เงิน ทอง ข้าวของผู้คนเป็นไหนๆ รอสักหน่อยก็จะมา อย่าตกใจ เอ็งอย่าเชื่อใครๆ ให้วุ่นวาย”

    วันทอง และสายทองได้ฟังคำทำนายของขรัวตาจู ก็หายทุกข์โศก เช็ดน้ำตา หน้าตาสดชื่นขึ้น จากนั้นพากันกราบลากลับบ้าน พอไปถึงก็ขึ้นบ้าน ทั้งสองรู้เอิบอิ่มสบายใจ บอกเนื้อความคำนายแก่แม่ศรีประจันทุกประการ

    “ฉันออกไปหาขรัวปู่ ท่านดูแล้วทำนายว่า หาเป็นไรไม่ ออพลายแก้วไปรบได้รับชัยชนะ ได้สิ่งของต่างๆ มากมาย”
    ยายศรีประจันสั่นหัวว่า

    “กูไม่เชื่อหวา แค่ทายตามตำรา มันจะสู้ตาเห็นได้เยี่ยงไร อวดว่าดูแม่น อุแหม่ลูก ลางทีมันหาถูกสักนิดไม่ เอ็งอย่าพาซื่อเชื่อถือไปเลย ก็เห็นๆ อยู่ว่าพวกไพร่มันติดคุกกันทุกคน เขาจะมาเอาลูกไปเป็นหม้ายหลวง แล้วเจ้าจะเสียใจ ได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน

เพราะความจน คนติดตามคอยดูแลก็จะไม่มี ผ่อนปรนเสียเถิดอย่าวุ่นวายไป ออแก้วใช่แม่ไม่รักใคร่ มันตายไปแล้วไม่กลับมาบ้านเราดอก ขุนช้างมันไม่ดีแค่หัวล้าน อย่างอื่น มันดีไปหมด”

    วันทองได้ฟังคำแม่ แทบจะคิดฆ่าตัวตาย ได้แต่ทอดตัวร้องไห้ ด้วยความน้อยใจ

    “แม่ว่าเยี่ยงนี้ก็จนใจ เห็นแก่เงินทองของเขา หมูหมา ก็จะเอามายกให้ แม้แต่คำทำนายของขรัวปู่ก็ไม่ฟัง แม่ไม่เอ็นดูวันทองแล้ว ถึงไม่อายคน ก็ควรอายผี อายุสิบหกมีผัวถึงสองคน ถึงจะบังคับ ก็จะไม่ยอมตาม เพราะผัวยังมีชีวิตอยู่

เมื่อมดหมอทักทายบอกว่าไม่ถูก ยังมีต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้เป็นสำคัญยังอยู่ จะไปดูให้แน่แท้แก่ใจ ถ้าพลายแก้วตาย ต้นโพธิ์ก็คงตายด้วย”

    นางศรีประจันฮึดฮัดไม่พอใจ
    “อย่าพูดยืดยาวอีฉิบหาย มึงจะให้กูต้องพลอยวุ่นวาย จะรักอยู่เป็นหม้ายฤาอย่างไร อยากจะไปดูต้นโพธิ์ต้นไทร แต่หนทางมิใช่แค่คืบ กูไม่ไปดอก แม้นว่ายังดื้อ พูดไม่ฟัง กูจะยกให้ขุนช้างวันนี้เสียเลย”

    วันทองได้ยินคำแม่ว่า ได้แต่ทอดตัวร้องไห้อยู่กับที่ หมดแรงใจ แรงกาย ที่จะคิดอ่านต่อสู้ ทำการแก้ไขสิ่งใดได้อีก

    “วันทองพูดไปก็เท่านั้น แม่ไม่ฟังคำใดๆ ฆ่าลูกเสียเถิด ลูกจะไม่น้อยใจสักนิด ถ้าได้เกิดอีกชาติหน้า

หาปรารถณาเกิดเป็นลูกแม่อีกไม่ ตลอดร้อยกัป แสนกัปจากนี้ไป ไม่ขอมีแม่เช่นนี้ เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง ถ้าจะเอาคนไปยกให้กับผี จงฆ่าลูกให้ตายเถิด”

    จากนั้นวันทองก็ตีอกชกตัวทอดตัวนอนไป แต่ก็ยังไม่วายตะโกนด่าสุดเสียง

    “ไอ้หัวล้านจะมาเมื่อไหร่ กูจะเอาไม้ตีมัน กูไม่อยากอยู่เป็นคนแล้ว”

    นางศรีประจันได้ฟัง ถึงกับโกรธเต้นผาง จับไม้ได้ขึ้นไปบนหอ

    “โคตร แม่มึงจะพูดจาค่อนขอดไปถึงไหน กูจะตีให้ปี้ป่น”

    ตีเข้าที่สีข้างผางใหญ่  พลิกตะแคงหยิกซ้ำ วันทอง ร้องกรี๊ดๆ แกหวดซ้ำไปมาจนรอยเป็นแนวยาว วันทอง ไม่ร้องขอโทษ ได้แต่ร้องว่า

    “ผัวตายก็จะตายตามผัว จะไม่ยอมตกเป็นเมียไอ้ขุนช้าง ไอ้หัวเกลี้ยง”

    นางศรีประจันหยิกวันทองที่ริมฝีปาก
    “อีว่ายากมึงจะลายตลอดสันหลัง เขาเป็นเศรษฐีมั่งมีเงินทอง จะตบเอาฟันมึงออกมา อีจองหอง ลิ้นแข็งกระด้าง คางแข็ง พูดจาส่อเสียด หยาบช้าสามานย์ ได้ขุนช้างเหมือนได้ขุมทอง มึงร้องไป กูจะตีให้หลังพัง”

    วันทองร้องไห้ไปด้วย เถียงไปด้วย ส่งเสียงคุ้มคลั่ง ท่ามกลางเสียงตีของผู้เป็นแม่

    “แม่อยากตีเท่าใด ก็ตีไปเถิด แม่ไม่ฟังลูก ต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้ก็ไม่ไปดู  เยี่ยงนี้จะอยู่ไปไย พรุ่งนี้เช้า จะได้ลาแม่ไปตายแน่แท้”

    ศรีประจันได้ฟังคำของวันทองว่าจะไปตาย ก็หยุดตี จะด้วยเกิดความสงสาร หรือกลัวลูกจะผูกคอฆ่าตัวตาย ก็ตาม แต่ท่าทีของนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

    “อย่าร้องไห้ไปเลยนะลูกอา เจ้าจะไปดูต้นโพธิ์ก็ตามใจ พรุ่งนี้จึงไปเถิด แต่ขอให้ลูกฟังคำแม่ก่อนเถิด แม่เป็นคนอุ้มท้องวันทองมา ไม่ต้องการที่จะขัดใจลูกยาดอก”
    วันทองได้ฟังคำที่แม่พูดว่า เสียแรงมารดาเลี้ยงดูมา จึงกล่าวว่า

    “ถึงพ่อแก้วจะตายไป แล้วบังคับยกให้ไอ้หัวล้านก็จะไม่ยอม ปากมันมีแต่ขี้ฟัน ลูกจะนอนกับมันได้เยี่ยงไร เหมือนเอาลูกไปขว้างทิ้งเสียกลางป่า แม่ไม่รักลูกแล้วฤา”
    นางศรีประจันพยายามปลอบลูกเอาใจ

    “แม่ก็ไม่อยากยกให้ดอก แม่รักลูกดังแก้วตา จะขืนใจลูกไปทำไม ดึกดื่นแล้วลูกแม่อา ฟังคำแม่สักนิดเถิด อย่าร้องไห้ไปเลย”

    นางศรีประจันตัดสินใจนอนในห้องกับวันทอง พยายามใกล้ชิดปลอบโยนวันทอง โดยไม่ยอมให้ห่างกายแม้สักนิด ด้วยกลัวลูกจะฆ่าตัวตาย

    ส่วนขุนช้างผู้มีความรัก มั่นคงต่อวันทอง ไม่เหือดหาย อยู่บ้านรู้สึกไม่สบายใจ จึงลอบมาบ้านศรีประจัน ได้ยินเสียงอึงคะนึง วันทองถูกตี ร้องสนั่นลั่นบ้าน แล้วกลับเห็นพ้องกันที่จะไปดูต้นโพธิ์ที่สำคัญ ขุนช้างฟังสังเกต

ตำแหน่งแล้ว รีบกลับมาบ้าน ครั้นถึงบ้านเรียกหาพวกข้าไท สั่งให้ไปผูกเอาช้างมา ขุนช้างเตรียมจอบเสียมขึ้นหลังช้าง รีบเดินทางตัดลัดข้ามทุ่ง ข้ามป่า อย่างเร่งรีบ

    พอรุ่งเช้าถึงท่าบางลาง ปลงช้างสังเกตดูจับทางได้ ก็รีบข้ามน้ำไปทันที พบต้นโพธิ์ปลูกเรียงไว้เคียงกัน ใบนั้นเขียวชอุ่ม ขุนช้างจับต้นกลางกระชากโยกรู้สึกหนัก คาดว่าอารักษ์รักษาด้วยพลายแก้วตั้งสัตย์ปฏิญญาไว้ จอบ เสียม มีดพร้า ก็มิอาจทำอันใดได้

แต่ว่าต้นโพธิ์ยังอ่อนนัก โดนโยกหนักๆ มิอาจทนได้ ใบหดเหี่ยวเหมือนโดนไฟ ขุนช้างกับบ่าวไพร่ก็พากันกลับ

    ครั้นรุ่งสางวันทองร้องเร่งมารดา ยายศรีประจันเร้องเรียกข้า ไท

    “เร็วๆ เข้าหวา อย่าช้า ดูข้าว ปลา หมากพลู ให้พร้อม แต่งตัวกันเร็วหน่อย กูจะรีบเดินทาง เรืออยู่ไหนรีบไปถอยมา เฮ้ย พวกผู้ชายออกไปพายหัวเรือ”

    แกลุกขึ้นยืน เหน็บรั้ง ด่าฉกโคตรแม่ดังลั่นไป ไม่นานวันทองกับยายศรีประจันก็ได้ลงเรือ
    “ออกเรือเถิดหวาช้าอยู่ไย”

    ข้าไท ออกเรือพายแข็งขัน ด้วยความรีบเร่ง เกิดผิดพลาดยกพายไม่เข้ากัน เรือโคลงเคลง เกิดทุ่มเถียงกัน
    “ฟ้าผ่าเถิด ไม่เหมือนขี่ควายสักนิด แค่กระดิกพลิกขาก็รู้กัน ไปข้างนั้นข้างนี้ช่างง่ายดาย  พายเรือเหนื่อยใจจริงๆ ถ่อพายไม่ถนัดไม่ได้ดังใจเลย”

    นางศรีประจันจับไม้ถ่อเคาะเปรี้ยง นัยน์ตาลุกชันร้องด่าไปว่า
    “พวกมึงพายไม่พร้อมกัน ดีแต่โว้เว้เฮฮา เดี๋ยวกูได้ปาด้วยถ่อให้คอหัก ประเดี๋ยวเบา ประเดี๋ยวหนัก ขยักขย่อน เรือโคลงเคลง เถียงกันเสียงดังลั่นเรือ กูจะนอนสักหน่อยก็ไม่ได้”

    พวกพายเรือ รีบเร่งพายมาคืนกับวัน ถึงบางลางในเวลาไม่ช้า วาดเรือเข้าจอด ข้าไท อาบน้ำเล่นน้ำกันเสียงดังอื้ออึง

    วันทองไปถึงไม่อาบน้ำ ขึ้นบกเร่งเดินไปจนถึง เห็นใบโพธิ์หล่นกระจาย ตีอกตึงร้องหวีดวิ่งไปอย่างเร็ว ล้มราบซบหน้ากราบลงกับต้นโพธิ์


    “โอ้พ่อพลายตายแล้วฤา เมียเห็นแล้วแน่แก่ใจ ใบโพธิ์เหี่ยวสลดลงหลากตา ใบที่หล่นลงใต้ต้นยังสดๆ พ่อแก้วตายเป็นที่แน่นอนแล้ว เวรสิ่งไรมาตามทัน เขาบอกข่าวให้ยังไม่เชื่อ

เพลานี้ยากที่จะทำใจได้ พ่อมิได้กลับมาเห็นหน้ากัน นับวันจากนี้มีแต่ชอกช้ำระกำใจ เมียมีศัตรูอยู่รอบข้าง มีอ้ายขุนช้างเป็นศัตรูใหญ่

    ถ้าแม้นพ่อยังมีชีวิตอยู่ คงจะมิมีภัย เหมือนดังมีกำแพงเพชรเจ็ดชั้นกั้นกาง คงจะได้ช่วยคุ้มครองสารพัด ถึงศัตรูคิดร้ายไม่คิดกลัว เพลานี้จะได้ใครป้องกัน แม่ศรีประจัน นั้นเป็นเหมือนปลักปักขี้ควาย

    แม้ยังไม่รู้เห็นอะไรสักอย่าง ยังจะยกให้ไอ้ขุนช้างเสียง่ายๆ ชีวิตของเมียนับแต่นี้ ยังมองไม่เห็นทางรอดเลย พ่อตายไปแล้วเมียขาดที่พึ่ง อยู่ไปไอ้ขุนช้างคงจะตอแยไม่เลิก เมียจะตายตามพ่อหาอยู่ไม่”

    จากนั้นร้องไห้จนกระทั่งสลบไป ที่ตรงใต้ต้นโพธิ์กลาง กายไม่กระดิก ดูเหมือนคนใกล้ตาย แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เหงื่อไหลโทรมกาย นาน ๆ ที ถึงจะมีเสียงถอนลมหายใจ

    ส่วนยายศรีประจัน ลูกสาวหายไปนาน รู้สึกผิดปกติ ที่ยังไม่เห็นลูกกลับมา เกิดเป็นห่วงไม่รู้ว่าเป็นประการใด อีกทั้งกลัวว่าจะผูกคอตาย

    คิดได้ดังนี้แกจึงรีบตามหาทันที มาถึงต้นโพธิ์ เห็นลูกนอนซมสลบไสลอยู่ ตกใจเข้ากอดลูก เห็นแน่นิ่งไม่ขยับกาย ใจหายร้องเรียกเสียงดัง ตกใจกอดลูกร้องร้องไห้น้ำตานองหน้า เรียกลูกตัวสั่นระรัว

    “วันทอง แม่วันทองเอย ไม่อออือออกมาเลยเจ้า อีเด็กเวรหวา มาช่วยกัน”

    พริบตาเดียว ข้าไททั้งหลายก็วิ่งมา บ้างเข้าหนุนหลัง บ้างร้องไห้ บ้างนวดขยำไล่บีบขาทั้งสอง บ้างกดหว่างคิ้่วไว้ให้ลืมตา ทำกันชุลมุนวุ่นวายเสียงดัง ทำให้นางศรีประจันต้องร้องเตือน

    “ทำกันเบาๆ หน่อย ที่ขาตะไกรทำไมไม่ทำ พวกถือมะกรูดจ้องอยู่ทำไมเปล่าๆ วันทองเป็นหนักหนา ช่วยกันหน่อยเร็วพวกเรา”

    ศรีประจันเข้าปลอบลูก ข้าไทช่วยกันประคองวันทองลงเรือ อ้ายเดื่อและฝีพายอื่นๆ รีบช่วยกัน ค้ำพายออกจากท่า ไม่นานวันทองก็ฟื้น แต่ตายังพร่ามัว นางเผยอตาเพียงเล็กน้อย น้ำตายังคงเอ่อท้นนองหน้า โศกาคร่ำครวญในระหว่างทางกลับบ้าน

    “โอ้พ่อแก้วของเมีย มิควรเลยที่จะจากไปเยี่ยงนี้ พ่อตายอยู่เชียงทอง ตัวของน้องคงได้ตายตามไปแน่ น้องนี้ชะตาชีวิตอาภัพนัก มีผัวประเดี๋ยวเดียวก็เป็นหม้าย น้องจะเอามีดกรีดคอตายตามพ่อพลาย หวังว่าเกิดในชาติหน้าคงได้พบกัน

    โอ้พ่อเจ้าประคุณของวันทอง พ่อทิ้งเรือนทิ้งเมีย ทิ้งความรัก ทิ้งทุกสิ่งที่อย่าง ไปสู่สวรรค์ เปลวไฟก็มิได้พาดผ่านตา ได้ใส่ฟืนไปสักท่อนก็ยังดี พอได้แทนคุณพ่อพลาย ได้เห็นเพียงแค่กระดูก ที่เขาใส่หม้อใหม่มา

เมียเห็นแล้วรู้สึกน่าเวทนานัก ครั้นจะว่ามิใช่ใจก็หวั่น จะสำคัญว่าจริงก็ไม่ได้ เพราะอ้ายขุนช้างมันจัญไร ถ้าเป็นคนอื่นนำมาจะพอเชื่อถือได้มากกว่านี้

    โอ้ว่าอนิจจาวันทองเอ๋ย วิบากกรรมประดังเข้ามามิขาดสาย เจ้าเกิดมาอาภัพนัก พ่อตายในวัยเด็ก อยู่มากับแม่จนมีเรือน ไม่กี่วัน ไม่ถึงเดือนก็เป็นหม้าย ขืนอยู่ต่อไปไม่พ้นได้อายเป็นแน่

อ้ายฉิบหายคงได้รบกวนจนปั่นป่วน ผัวตายในที่ไกลนัก เมียหามีที่พึ่งที่ไหนไม่ สุดที่จะคิดหาทางแก้ไข สุดใจ สุดปัญญาเมียแล้วพ่อแก้วเอย”

    นางศรีประจันรู้สึกสงสารลูกปนรำราญ น้ำตาหลั่งไหลอาบแก้ม กอดวันทองร้องไห้ในลำเรือ รำพันว่า

    “โอ้พ่อพลายมาตายไป เจ้าก็เลยได้แต่ร้องไห้เพ้อรำพันถึงผัวที่ตายไป เมียเคยปรนนิบัติ โดยไม่ขัดใจ เคยรบเร้ากินไก่ต้มปลาร้ามิได้ขาด

เมียจะตายตามผัวกลัวผีหลอก กลัวจะหายใจไม่ออกเมื่อตายไปแล้ว จะกระโดดน้ำตายตามกันไป ก็กลัวจระเข้มันจะมาคาบไป เมียจะเชือดคอตายเสียหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ทำเพราะกลัวเจ็บ

คิดจะผูกคอตาย หาเชือกมาเตรียมไว้ เชือกก็เส้นใหญ่เกินไป กลัวมันจะรัดมัดต้นคอ โอ้ ออพิมของพ่อแก้ว ตายแล้วกลัวจะไปไม่พบพ่อ จึงคิดแล้วคิดเล่ายังรีรอ คงจะรออยู่ไปจนแก่ชรา”

    แล้วแกก็ทำท่าตรึกตรอง
    “ออพลายแก้วตายแล้วหวา จะทำเยี่ยงไรดีหนอ”
    วันทองฟังแม่ละเมอพูดเพ้อเจ้อ ยิ่งโศกสะอึกสะอื้้นกว่าเดิม ศรีประจันตกใจได้สติกลับมา จากการเผลอไผลรำพันด้วยความฟั่นเฟือน นางบ่นพร่ำรำพันต่อไปว่า

    “คิดๆ ขึ้นมาน่าแค้นใจ จะมีผู้ใดเป็นเช่นนี้บ้าง ผู้อื่นเขาอยู่กับเหย้าเรือนจนแก่เฒ่า เป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนยากไม่จากกัน นี่คงเป็นกรรมบันดาลให้ทุกข์เข็ญ ให้เกิดความวิโยคโศรกศัลย์ ออแก้วมาอยู่กับวันทองได้เพียงสองวัน ยังไม่ทันจะรู้ว่าเป็นเยี่่ยงไร

กลับมีศึกเชียงทองทำให้ต้องไปทัพ พ่อพลายออกปากฝากพิมพิลาไลย ด้วยเจ้าหมายว่าจะกลับมา แม่ยังรับคำ พิมร้องไห้ วันลาจาก แม่ก็ยังจำได้”

    ทั้งแม่ลูกร้องไห้ฟูมฟายตลอดทางที่กลับมาจนเรือถึงบ้านจอดที่ท่าก็ยังไม่หยุด สายทองอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องไห้ พอเปิดหน้าต่างเห็นเรือจอดที่บันได จึงวิ่งไปหาน้องทันที วันทองร้องไห้บอกกับสายทอง

    “พลายแก้วตายจริงแล้วพี่ ต้นโพธิ์กลางใบแทบไม่มี ส่วนที่เหลืออีกสองต้นยังปกติดี”

    สายทองได้ฟังคำของน้อง ก็ตกใจฟุบร้องไห้ไม่เงยหน้า สองพี่น้องร้องไห้อยู่ในเรือจนกระทั่งเย็น สุดท้ายสายทองปลอบว่า

    “อย่าร้องไห้ไปเลยหนา แม่เอ๋ยขึ้นไปบนเรือนก่อนเถิด”
    จากนั้นสายทองประคองวันทองเข้าห้องนอน สายทองพูดจาด้วยใจสุดจะอาลัยว่า



    “พี่นี้มั่นใจว่า พลายแล้วหาได้ตายจริงไม่ ขรัวจูท่านดูแม่น ดูทีไรไม่เคยผิดพลาด เมื่อครั้งน้องวันทองเป็นไข้ ถ้ามิได้ขรัวจูน้องคงตายไปแล้ว

ท่านให้เปลี่ยนชื่อน้องก็หายเป็นปกติสบายดี เมื่อวานซืนน้องยังพูดคุยกับท่านว่าหายดีแล้ว

    ส่วนต้นโพธิ์ใบร่วง เห็นจะเป็นฝีมือของคนลวงบางคนก็เป็นได้ พี่เกรงว่าขุนช้างจะทำจัญไร อ้ายหัวใสหมันเอาหม้อกระดูกมา

พูดจาสอพลอหว่านล้อมกับแม่ขอน้องวันทอง แม่ก็ยินดียกให้กับมัน วันนั้นเราด่ามันไปหนักหนา ทั้งยังทุ่มเถียงเสียงอึงบ้านกับแม่

    ขอให้ไปดูต้นโพธิ์ที่ได้ทำสัตยาอธิษฐานไว้ รุ่งขึ้นอ้ายจัญไร ไม่เห็นตัว อ้ายชาติชั่วคงทำบางอย่างกับต้นโพธิ์เป็นแน่ วันนี้เมื่อตอนเย็นพี่เห็นมัน มาแอบอยู่ด้วยกันทั้งนายและบ่าว จงสงบใจไว้ก่อนเถิดแม่

เรื่องเป็นเหมือนที่พี่คิดแน่นอน มาตรแม้นพลายแก้วตาย ลางร้ายก็จะปรากฏบ้างสักสิ่ง แต่นี่กลับมิมีเลย”

    วันทองกล่าวว่า
    “สิ่งที่พี่คิดน่าจะเป็นจริงตามนั้น แต่น้องยังไม่ไว้วางใจกับเหตุการณ์ในเพลานี้ ยิ่งคิดยิ่งวิตกกังวลใจ”
    แล้ววันทองก็ยังคงสะอื้นจนกระทั่งหลับไป

    ครั้นรุ่งเช้าแสงสีขาวรอบขอบฟ้า เสียงนกร้องสลอน วันทองตื่นมา ด้วยใจยังอาวรณ์ จึงสนทนาปรับทุกข์ร้อนกับสายทองอีกครั้ง

    “ถึงพี่พลายแก้วจะตายจริงฤาไม่ จะอาลัยอะไรกับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในเพลานี้ ในเมื่อผัวรักไม่มีชีวิตอยู่เสียแล้ว มิได้ครอบครองผัว จะครอบครองสมบัติของเขาไปไย

น้องคิดจะเอาสิ่งของทั้งหมดทำบุญไป มาตรแม้นผัวรอดชีวิตกลับมา ข้าวของก็คงจะหาได้ใหม่ จะเอาของพลายแก้ว ทำบุญส่งไปให้ทั้งหมด วันนี้จะไปวัดป่าเลไลย์ จะได้ไล่เลียงกับท่านขรัวจู หมากพลูยังมีเหลือ ขอให้พี่ช่วยพาไปหน่อยเถิด”

    จากนัั้นวันทองไปหานางศรีประจัน บอกความตามที่ได้คิดไว้

    “เพลานี้ผัวลูกก็ตายแล้ว จะขอลาแม่ออกไปวัด เงินทองเสี้อผ้า สิ่งของสารพัน ของพลายแก้วที่เหลืออยู่ จะเอาไปทำบุญส่งไปให้เขา”
    นางศรีประจันว่า

    “ไปเถิดแม่ การทำบุญ ทำทานแม่ไม่ว่า กรวดน้ำส่งไปให้พลายแก้วด้วยหนา ของคนตายเก็บเอาไว้ไย เงินทองของขุนช้างมีมากมาย”

    วันทองได้ยินแม่พูดถึงขุนช้างก็รู้สึกขัดใจ สะบัดหน้าลุกไปจากหอกลาง เข้าห้องจัดของออกวางเป็นกองไว้ จากนั้นเรียกคนให้มาขนเอาไป วันทองกับสายทองเดินทางมินานก็ถึงวัดป่าเลไลย์ ขึ้นบันไดไปหาขรัวจู ท่านแลเห็นวันทองก็ทักว่า

    “เอ๊ะ..อะไร ร้องไห้ ร้องห่ม ขนของมาทำไมมากมายเยี่ยงนี้หวา โดนใครที่บ้านว่า หรืออย่างไร”
    สองพี่น้องยกมือขึ้นกราบไหว้ วันทองกล่าวว่า

    “ดิฉันได้ไปดูโพธิ์ที่ได้ปลูกอธิษฐานไว้ เห็นใบร่วงหล่นรู้สึกประหลาดนัก ครั้นจะว่าพลายแก้วไม่ตาย ก็เกิดความประหลาดใจหนักหนา ของที่ขนมาเป็นของพลายแก้วทั้งหมด ตั้งใจจะทำบุญอุทิศไปให้เขา มาตรแม้นผัวดิฉัน รอดกลับมา ข้าวของคงจะหาได้ใหม่”
    ขรัวจูได้ฟังก็หัวเราะ

    “จริงฤาหวา เองคิดดีแล้ว ทำบุญส่งไปให้ ผัวจะได้กลับมาไวๆ”

    ว่าแล้วขรัวจูก็หยิบผ้าอย่างดี มาห่อคัมภีร์ ห่มพระพุทธรูป ผ้าผืนอัตลัต(ผ้ายกไหม ยกดิ้นโลหะ ลายดอกห่างๆ ทอกับไหมสีแต่มีเนื้อไหมมากกว่า)ตัดเป็นธง เงินทองเก็บไว้สร้างพระ จากนั้นกล่าวกับวันทองว่า

    “ขอเอ็งจงอนุโมทนาเอาเถิดนะ อธิษฐานให้ผัวเอ็งกลับมาเร็วๆ ขอให้ได้พบปะกันพรุ่งนี้เถิดหนา”
    วันทองหัวเราะทั้งน้ำตา
    “ท่านขรัวขา ว่ากระไรเมื่อตะกี้ ถ้าผัวฉันไม่มัวยชีวี จะบนปลูกกุฎีถวายวัด”

    “จริงๆ ฤาหวาเอาให้แน่ ถ้าเป็นจริงดังคำข้าว่า จงมาแก้บนอย่าบิดพริ้วหนา หากในเดือนนี้ผัวเอ็งมิมา เอาไฟมาเผาวัดได้เลย”

    สองพี่น้องและข้าไทที่ติดตามมา ได้ฟังคำของขรัวจูทุกสิ่ง สุดท้ายเกิดการ ท้าทายเป็นที่แม่นมั่น ค่อยรู้สึกความทุกข์ คลายโศก สบายใจขึ้น จากนั้นก็ลากลับ เมื่อมาถึงเรือน เข้าหาแม่ พร้อมกับข้าไท เล่าความตามที่ได้สนทนากับท่านขรัวจู แต่นางศรีประจันร้องว่า

    “ข้าไม่เชื่อผู้ใดดอก ขรัวตาแกเห็นกับสินบน สารพัดสิ่งของที่เอ็งขนเอาไปให้ ก็พูดสอพลอให้เอ็งพอใจ กูไม่เชื่อใครสักนิดเดียว”

จบตอนที่ ๑๑




 

Create Date : 19 กันยายน 2563
0 comments
Last Update : 19 กันยายน 2563 16:46:49 น.
Counter : 1618 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

0000
Location :
สุรินทร์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
space
space
[Add 0000's blog to your web]
space
space
space
space
space